• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - kaidee20

#3141


ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องการขออนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น

กระทรวงการคลังขอเรียนว่า การพิจารณาให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดการเงินและตลาดตราสารหนี้ไทยในภาพรวม อาทิ
1.ด้านเสถียรภาพของตลาดการเงินในประเทศ
2.ด้านผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย
3.ด้านการส่งเสริมให้นักลงทุนในประเทศมีตราสารหนี้ที่มีคุณภาพให้ลงทุน
4.ด้านการพัฒนาตลาดพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท


ในรอบการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 3/2564 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2564 – 31 พฤษภาคม 2565 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จำนวน 1 ราย ได้แก่ กระทรวงการเงินแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Ministry of Finance of the Lao People's Democratic Republic: Ruay MOFL) ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสำคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต

กระทรวงการคลังขอขอบคุณผู้ยื่นคำขออนุญาตทุกรายที่ให้ความสนใจในการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย สำหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจำนงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี
#3142


ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาด้วยระบบ Home-Community isolation ยังมีจำนวนมาก และคาดการณ์แนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 2 เดือนนี้ (เดือนกันยายน-ตุลาคม) ที่สำคัญสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้อมีอัตราการติดเชื้อสูง เนื่องจากต้องสัมผัสใกล้ชิดเป็นเวลานานถึง 24 วัน ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล เครียด รวมถึงการถูกตีตราจากคนในชุมชน สสส. จึงเร่งหารือกับ กลุ่มคนตัวD และภาคีเครือข่าย ริเริ่มโครงการ "เพื่อนกันวันติดโควิด .. สื่อฟื้นฟูสุขภาวะผู้ป่วยและคนใกล้ชิดในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19" โดยพัฒนาช่องทางสื่อออนไลน์ ผ่านช่องรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" เพื่อฟื้นฟูสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจที่เหมาะสมแก่คนไทย โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาด้วยระบบ Home-Community isolation และสมาชิกในครอบครัว รวมถึงผู้ที่ต้องดูแลผู้ที่ติดเชื้อ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ดร.สุปรีดา กล่าวว่า รายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" มีแนวคิด ให้ความรู้สึกเป็นเพื่อน มีข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันกำลังใจ โดยใช้หลักการ 4C ดังนี้ 1.Content ข้อมูลแนวทางการปฏิบัติตนตั้งแต่การป้องกันจนถึงการรักษา 2.Consult รายการที่เป็นได้ทั้งที่ปรึกษา ที่พึ่งทางร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม 3.Community มีความเป็นชุมชนที่เกื้อกูลกัน เป็นเพื่อนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว หรือถูกทอดทิ้ง และ 4.Compassion ฟื้นฟูด้านสภาพจิตใจ ลดการตีตรา สร้างจิตสำนึกสาธารณะให้แก่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทำให้สถานการณ์ในสังคมดีขึ้น โดยนำเสนอในรูปแบบถ่ายทอดสดที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้มีปฏิสัมพันธ์ได้ทุกวัน เริ่ม 6 กันยายนนี้ไปจนถึง 31 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กแฟนเพจเพื่อนกันวันติดโควิด ยูทูบเพื่อนกันวันติดโควิด และ AIS PLAY โดยมีเป้าหมายเข้าถึงคนไทยทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในระบบ Home-Community Isolation ทั่วประเทศ



นายวันชัย บุญประชา อุปนายกสมาคมส่งเสริมภาคประชาสังคม และที่ปรึกษากลุ่มคนตัวD กล่าวว่า รายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในการสนับสนุน ทั้งด้านข้อมูลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค พื้นที่ต้นแบบการทำ Home-Community Isolation รวมถึงวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และบริษัท บุญมีฤทธิ์ มีเดีย จำกัด คัดกรองเนื้อหาในการดูแลสุขภาวะทางกาย จิต สังคมและปัญญา ขณะนี้ กลุ่มคนตัวD ได้เชื่อมประสานกับเครือข่ายสถานีวิทยุกว่า 100 สถานีทั่วประเทศ เพื่อให้นักสื่อเสียงสุขภาวะมีความพร้อมที่จะนำความรู้ที่ถูกต้องจากรายการไปสื่อสารต่อในชุมชนเพื่อกระจายสู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง นอกจากนี้ ได้เปิดช่องทางเยียวยาและฟื้นฟูสุขภาวะกลุ่มเป้าหมายที่เผชิญวิกฤตโควิด-19 ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจกลุ่มปิด "เพื่อนคุยกันวันติดโควิด" โดยมีนักจิตวิทยา และผู้ปฏิบัติงานอาสาด้านสุขภาพจิตทำหน้าที่ฟื้นฟูเยียวยาจิตใจแบบกลุ่ม (Self-help group) คอยเป็นที่ปรึกษาพูดคุย พร้อมให้สมาชิกได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งต่อกำลังใจเพื่อนสมาชิก เพื่อเป็นพลังในการดำเนินชีวิตต่อได้ โดยมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม 500 คน



นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) กล่าวว่า ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ทั้ง AIS 5G, AIS Fibre, AIS Super Wifi รวมถึงบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อเสริมขีดความสามารถของทุกภาคส่วนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤตโควิด-19 มุ่งเป้าหมายช่องทางหลักส่งต่อเนื้อหาที่จะเป็นประโยชน์ช่วยเหลือประชาชน ผ่านการทำงานร่วมกับ สสส. กลุ่มคนตัวดีD ผลิตช่องรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" ที่จะออกอากาศสด และรับชมย้อนหลังผ่านทาง AIS PLAY วิดีโอแพลตฟอร์มของ AIS ทุกช่องทางที่มีผู้ใช้บริการรวมกว่า 6 ล้านคน ทั้งนี้ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AIS PLAY ได้ที่ https://m.ais.co.th/lp ทั้ง Apple App store, Google Play Store, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV และเว็บไซต์ aisplay.ais.co.th ถือเป็นกำลังใจให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดีขึ้น

ผู้ที่สนใจรับชมรายการ "เพื่อนกัน วันติดโควิด" สามารถติดตามที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/HomeIsolationFriends และยูทูบ เพื่อนกันวันติดโควิด และ AIS Play เริ่ม 6 ก.ย. นี้
#3143


การแข่งขันเทควันโด กีฬา "พาราลิมปิก โตเกียว 2020" ที่มาคูฮาริ เมสเสะ ฮอลล์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 กันยายน เป็นการแข่งขันวันแรก ไทยส่งนักกีฬาลงแข่งขันเพียงคนเดียวในคลาส K 44 รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 49 กก. หญิง "น้องขวัญ" ขวัญสุดา พวงกิจจา จอมเตะสาวไทยวัย 21 ปีดีกรีแชมป์โลก รุ่น 49 กก.หญิง

ประเดิมลงแข่งขันครั้งแรกในรอบ 16 คนสุดท้าย พบกับ โรยาล่า เฟตาลิเยว่า จอมเตะสาวจากอาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งผลปรากฏว่า จอมเตะสาวไทยเหนือชั้นกว่ามากไล่เตะคู่แข่งเอาชนะไปแบบง่ายดาย 17-4 คะแนน ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ไปพบกับ เคฟดาร์ เมอร์เย็ม จอมเตะสาวทีมชาติตุรกี ปรากฏว่า น้องขวัญ พ่ายไป 13-34 คะแนน

แต่ ขวัญสุดา ยังมีโอกาสที่จะคว้าเหรียญทองแดงมาครองหลังยังมีรอบแก้ตัวเพื่อไปชิงเหรียญทองแดง โดยจอมเตะสาวไทยพบกับ ดานิเจล่า โยวาโนวิค จอมเตะสาวเซอร์เบียวัย 53 ปี ซึ่งขวัญสุดา เหนือกว่ามากไล่เตะเอาชนะไปขาดลอย 35-3 คะแนน ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ของรอบแก้ตัวเพื่อชิงเหรียญทองแดง โดยไปพบกับ อิกห์ตูย่า คูห์รีลบาทาร์ จอมเตะสาวเบอร์ 1 ของรุ่นจากมองโกเลียวัย 30 ปี

ผลรอบตัดเชือก ในรอบแก้ตัวชิงเหรียญทองแดง ปรากฏว่า จอมเตะสาวไทย ระเบิดฟอร์มเฉียบไล่เตะล้มสาวเบอร์ 1 จากมองโกเลียไป 33-30 คะแนน ชนิดต้องลุ้นกันระทึกในยกสุดท้ายหลังคะแนนมาเสมอกัน 30-30 ก่อนที่ขวัญสุดา จะได้จังหวะเตะที่ลำตัวทิ้งออกไป 32-30 ก่อนที่นักเทควันโดสาวมองโกเลียทำฟาวล์ทำให้ได้เพิ่มอีก 1 คะแนน ส่งผลให้ ขวัญสุดา ทะยานเข้ารอบชิงชนะเลิศ ในรอบแก้ตัว พบกับ ซิโยดาคอน อิซาโคว่า นักเทควันโดสาวจากอุซเบกิสถาน ซึ่งผู้ชนะในรอบนี้จะคว้าเหรียญทองแดงมาครองทันที

ผลปรากฏว่า ขวัญสุดา ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมโกงความตายจากตกรอบก่อนรองชนะเลิศ และมาแข่งขันรอบแก้ตัวกรุยทางจนกระทั่งคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้สำเร็จหลังจากเอาชนะ ซิโยดาคอน อิซาโคว่า จากอุซเบกิสถานไป 18-2 คะแนน คว้าเหรียญทองแดงไปครอง
#3144


นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจ  บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง  ซึ่ง โรงงานสงขลาแคนนิ่ง เดิมหรือ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สำหรับส่วนของสายการผลิตอาหารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากอาหารสัตว์เลี้ยง จะย้ายการผลิตไปยังโรงงานอื่นๆ ของไทยยูเนี่ยน

โดยการดำเนินธุรกิจภายใต้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับการเติบโตของไทยยูเนี่ยน โดยจะเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 ที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นอย่างมาก เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคตของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ไทยยูเนี่ยนได้มีการปรับแผนงานใหม่ที่นำนวัตกรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ของเรา โดย Global PetCare Ruay Innovation (GPCI) และ Global Innovation Center (GIC) หรือศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน จะมีภารกิจสำคัญคือพัฒนานวัตกรรมและตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ของเรา  โดยมีเป้าหมายในการสร้างสุขภาพที่ดีและอายุขัยที่ยืนยาวให้กับสัตว์เลี้ยง
#3145

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น U วานนี้ (1ก.ย.)ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่2 โดยราคาเพิ่มขึ้นแรงในช่วงบ่ายชนซิลลิ่งที่30% หรือ เพิ่มขึ้น0.33 บาท อยู่ที่ 1.43 บาทต่อหุ้น สูงสุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งเป็นระดับราคาปิดตลาด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นUปรับตัวขึ้นแรงจะมาจากสองปัจจัยหนุน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานการได้มาหุ้น U โดย ASM CONNAUGHT Huay HOUSE (MASTER) FUND III LP ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.64 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 15.7137% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลถือหุ้นรวม 16.6249% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

รวมถึงก่อนหน้านี้ U ประกาศรุกธุรกิจการเงิน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น JMART 9.9% และ SINGER 24.9% มีโอกาสทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต จากการที่บริษัทตั้งเป้าปีหน้าคาดเริ่มเห็นกำไรสุทธิ

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการที่บริษัทเปลี่ยนขาธุรกิจจากอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด -19 อย่างมากมาสู่ธุรกิจการเงิน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น JMART และ SINGER ที่คาดว่าในปี2565 จะมีกำไรราว 1,500 ล้านบาทและ 1,000 ล้านบาท จะช่วยลดผลการขาดทุนสะสม อาจมีโอกาสกลับมามีกำไรในอนาคต ทำให้กลายเป็นหุ้นเก็งกำไรตัวหนึ่งที่มีความสนใจและน่าจับตาพอสมควร ดังนั้น จึงเห็นตลาดตอบรับเร็วและส่งผลดีต่อการจ่ายปันผลของ U ด้วย


ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจาก 0.9 บาท มาอยู่เหนือ 1.4 บาท แนะว่า ผู้ลงทุนคงต้องรอจังหวะราคาย่อลงทยอยสะสมเพิ่มได้ ส่วนที่มีอยู่แล้วสามารถถือต่อไปได้

"แม้ว่าบริษัทต้องทำกำไรเข้ามาค่อนข้างมากเพื่อล้างขาดทุนสะสมและการจ่ายปันผลสะสม หลังจากนั้นจะเป็นกำไรสะสมที่แท้จริงซึ่งจะเกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน ในปีหน้าหรือไม่ยังต้องติดตาม แต่มองว่า บริษัทเข้าถือซื้อหุ้นธุรกิจการเงินเปลี่ยนขาธุรกิจครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลียบ้านที่ดีมีโอกาสกลับมาเทิร์นอะลาวด์ได้ในอนาคต"

----------------------
ตลท.สั่ง U ติดแคชบาลานซ์ พร้อมขยายมาตรการกำกับขั้นสูงสุด XPG

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยหลักทรัพย์เข้าข่ายกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 โดยให้ซื้อขายด้วยบัญชีเงินสด (Cash Balance) ได้แก่ บมจ.ยู ซิตี้ (U) หุ้นบุริมสิทธิของบริษัท (U-P) และใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (U-W4) มีผลตั้งแต่ 2-22 ก.ย. 2564

รวมถึงขยายช่วงดำเนินการห้าม Net Settlement ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) และใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (XPG-W4) มีผล 2-22 ก.ย.2564
 
#3146


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#3147


กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เป็นเครือข่ายพันธมิตรวิชาการด้านคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ภายใต้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ภายใต้หัวข้อ โควิด-19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ (FROM COVID-19 TO DEVELOPMENT OF INNOVATION FOR PERSON WITH DISABILITIES) 

พบกับกิจกรรมเสวนาเรื่อง "โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ"และการบรรยายพิเศษหัวข้อ "Home Isolation" และ "อาชีพที่ใช่หลังโควิด-19" ในวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 08.30-12.30 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ระหว่างสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดทางความคิดและสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคมต่อไป 

ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://bit.ly/38oD5Ii หรือทางคิวอาร์โค้ดบนหน้าสื่อประชาสัมพันธ์ โดยเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมทาง facebook fanpage : NCPD 2021
#3148


ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมการประชุมหารือกับนักวิจัยกลุ่มแพทย์และสาธารณสุข นำโดยศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะนักวิจัย ร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนงานวิจัยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (EID) ปลดล็อกข้อจำกัดเพื่อยกระดับการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและทันต่อสถานการณ์



โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า การประชุมหารือในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ สกสว. กับนักวิจัยกลุ่มต่าง ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือถึงแนวทางการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเสนอความคืบหน้าของการวิจัยในวันนี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่างานวิจัยสำคัญต่อประเทศ ถือเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบวิจัยของประเทศร่วมกับ สกสว. ในการปลดล็อกระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเงิน โดยวันนี้ได้รับฟังปัญหาและอุปสรรคในการทำงานจากนักวิจัยโดยตรง เพื่อให้ภาคนโยบายนั้นสามารถนำไปทำงานเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ในส่วนตัวเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ



ทางด้าน ศาสตราจารย์ ดร. นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอภาพรวมงานวิจัยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (EID) รวมถึงมีการเสนอแนวทางแก้ไขข้อจำกัดในการบริหารจัดการงานวิจัย ระบุว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านการวิจัย ซึ่งมีประสบการณ์ในการศึกษาวิจัยโรคระบาดในอดีตที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นมีความแตกต่างจากโรคระบาดอื่น ๆ เนื่องจากเชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นได้ว่าในระยะแรกของการแพร่ระบาดยังขาดการใช้ข้อมูลทางด้านการแพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านนโยบายบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ จากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการการศึกษาวิจัยด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยการทำงานร่วมกับหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม (PMU) แต่ด้วยสถานการณ์เร่งด่วน ทำให้ในบางครั้งอาจจะมีข้อจำกัดในระเบียบด้านงบประมาณ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จึงมีแนวคิดเสนอการทำ Sandbox ด้านการแพทย์โดยเฉพาะการรับมือกับโควิด-19 เพื่อปลดล็อกระเบียบต่าง ๆ ทำให้นักวิจัยสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอการทดลองทางคลินิกของวัคซีนโควิด (Clinical Trials of Covid Vaccines) เผยความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 2 ปัจจุบันมีอาสาสมัครจำนวน 210 คน ซึ่งได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 205 คน ส่วนใหญ่ไม่มีความกังวล โดยผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทานมากกว่า 4 เท่าเกินกว่าร้อยละ 90 ของอาสาสมัคร 100 คน ยืนยันวัคซีนมีความปลอดภัย ซึ่งการทดลองในระยะที่ 2 นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม จากนั้นจะเข้าสู่การทดลองในระยะที่ 3 ต่อไป



นอกจากนี้ การประชุมในวันนี้ยังมีการนำเสนอในหัวข้ออื่นๆ อาทิ Antigen Test Kit (ATK) for Covid and Infectious Diseases, บทบาทของเครือข่ายศูนย์วิจัยทางคลินิก ในการทดสอบ ยาและวัคซีน สำหรับการรักษาโควิด-19 และ Covid Consortium and Emerging Infectious Disease (EID) ซึ่งทีมนักวิจัยยังได้มีโอกาสในการสื่อสารปัญหาในการทำงานวิจัยถึงภาคนโยบาย ซึ่งต่อจากนี้ที่ประชุมจะได้ร่วมกันหาทางออกเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาอันเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศต่อไป
#3149


นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์วันที่ 1 ก.ย. ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2563 แนวโน้มการทำงานที่บ้านยาวนานขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและเริ่มมองหาชีวิตที่ยืดหยุ่นได้ มีพื้นที่พักผ่อนและทำงาน รวมถึงการจำกัดพื้นที่จากการประกาศล็อกดาวน์แต่ละครั้ง ทำให้ผู้คนมองหาทางเลือกบ้านพักตากอากาศ

ส่งผลดีต่อบ้านพักตากอากาศเมืองพัทยามีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ได้รับความสนใจและยอดซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด โดยกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศ ที่มองว่าพัทยายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการพักผ่อน มี กิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำร่วมกัน ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง 2-3 ชั่วโมง

"กำลังซื้อระดับบนยังคงมองหาคอนโดมิเนียมหรูที่มองเห็นวิวทะเล มีห้องขนาดใหญ่ 80-133 ตร.ม. เป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สอง หรือต้องการเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน หากห้องมีขนาดเล็กเกินไป อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะการซื้อจะมองถึงประโยชน์การใช้พื้นที่ของสมาชิกในครอบครัวได้มากกว่า"

ขณะเดียวกันมีกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเข้ามามากขึ้น จากศักยภาพของทำเลที่ตั้งนาจอมเทียนมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต จากการก่อสร้างเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ที่มีจุดทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จะไม่พบว่ามีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยา แต่ยังคงมีความคืบหน้าของดีเวลลอปเปอร์หลายรายที่มองเห็นโอกาสการลงทุนและศักยภาพของพัทยาได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ โดยรอจังหวะที่เหมาะสมเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้จำนวนหน่วยที่เปิดขายในตลาดปัจจุบันไม่ล้นเกินกว่าความต้องการซื้อที่แท้จริง


"1 ปีครึ่งที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด กำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนหายไปเหลือเพียงกำลังซื้อในประเทศ"

นอกจากซัพพลายที่มีอยู่ไม่มากจะเป็นโอกาสสร้างยอดขายให้คนไทยที่มองหาบ้านหลังที่สองในแหล่งท่องเที่ยวแล้ว "ขนาด" พื้นที่ของคอนโดมิเนียม ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย โดยพบว่า ห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตร.ม. ขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียง 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายหรือราว 610 ยูนิต เพราะยูนิตเปิดขายใหม่ในโครงการต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดเล็ก

ภาพรวมตลาดอสังหาฯ พัทยา ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีอีซี หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวได้จะทำให้พัทยากลับมาคึกคัก ทั้งมีกำลังซื้อจากแรงงานนอกพื้นที่เข้ามาในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญมีเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้เกิดดีมานด์ซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนเพิ่มขึ้น
#3150


บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด ผู้พัฒนาร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น "LAWSON 108" (ลอว์สัน108) เปิดสาขาใหม่ในสถานีบริการน้ำมัน "สาขาปั๊มน้ำมันบางจาก วังน้อย กม.71" ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยพื้นที่ให้บริการขนาด 116 ตารางเมตร จำหน่ายสินค้าออริจินัล อาทิ โอเด้ง ของทอด เบนโตะ เบเกอรี่ และสินค้าอื่นๆ มากมาย โดยรองรับผู้ใช้บริการเติมน้ำมัน และผู้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ 

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการเปิดสาขาใหม่ของ LAWSON 108 ต้องมีการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการเริ่มก่อสร้างออกไป แต่ LAWSON 108 จะยังเดินหน้าต่อไปและวางแผนการเปิดแต่ละสาขาอย่างเหมาะสมต่อไป เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบัน LAWSON 108 ให้บริการในพื้นที่ปั๊มน้ำมันซัสโก้, สถานีรถไฟฟ้า BTS, สถานีรถไฟใต้ดิน MRT, แอร์พอร์ต เรล ลิงก์, สนามบินสุวรรณภูมิ, โรงพยาบาล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และพื้นที่ที่เหมาะสม

จากภาพ: คิมิฮิโกะ ชินากาว่า (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ และทาคาฮิโระ นิชิวากิ (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด ร่วมพิธีเปิดสาขาใหม่ ร่วมด้วย วีระ ลีลาสุขสวัสดิ์ (ที่ 4 จากขวา) และ ศรีวรรณา ลีลาสุขสวัสดิ์ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการบริษัท เอสเอสซี ปิโตรเลียม จำกัด และ วรากร โกศลพิศิษฐ์กุล (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการตลาด และ ยศธร อรัญนารถ (ซ้ายสุด) รักษาการผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและพันธมิตรค้าปลีก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี
#3151


การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่หดตัวลงทุกประเทศ โดยอาเซียนมีแผนที่จะผลักดันการลงทุนเพื่อผลักดันเป้าหมายการเป็น "ซัพพลายเชน" สำคัญของโลก

รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อเร็วๆนี้ เห็นชอบร่างกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอาเซียน (ASEAN Investment Facilitation Framework : AIFF) ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอ โดย ครม.มอบหมายให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย คือ "สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์" รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนไทยรับรองกรอบ AIFF ในที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและคณะมนตรีเขตการลงทุนอาเซียนครั้งที่ 24 (ASEAN Economics Ministers-24th ASEAN Investment Area Council Meeting : AEM-24tAA Counail Meeting) วันที่ 8 ก.ย.2564

สำหรับกรอบ AIFF ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกการลงทุน ในฐานะเสาหลักสำคัญของการลงทุนที่นำไปสู่การรักษาและการเติบโตของการลงทุนในประเทศ ผ่านการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตั้งธุรกิจ การดำเนินและขยายธุรกิจ โดยเฉพาะช่วงที่อาเชียนกำลังก้าวสู่สภาพแวดล้อมหลังวิกฤติโรคโควิด-19 โดยมุ่งให้อาเซียนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 โดยเน้นที่การลงทุนเพื่อผลักดันให้อาเซียนเป็นฐานการผลิต (ซัพพลายเชน) ที่สำคัญของโลก

ทั้งนี้ สาระสำคัญในการอำนวยความสะดวกการลงทุนมี 11 ด้าน ได้แก่

1.ความโปร่งใสของมาตรการและข้อมูล เช่น การเข้าถึงได้ของมาตรการบังคับใช้ทั่วไปความสะดวก และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในรัฐสมาชิกที่เกี่ยวข้อง

2.การปรับปรุงด้านการลงทุน และเร่งรัดขั้นตอนการปฏิบัติและข้อกำหนด เช่น มาตรการบังคับใช้ทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนที่นำไปบังคับใช้อย่างสมเหตุสมผล ตรงตามวัตถุประสงค์และเป็นธรรมครอบคลุม ขั้นตอนด้านการลงทุนไม่เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของผู้ลงทุนในการลงทุนด้านเอกสารไม่ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

3.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต เช่น ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนากระบวนการรับคำขอการลงทุน การอนุมัติต่ออายุ และการดูแลหลังการลงทุน สนับสนุนการใช้สำเนาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายแทนเอกสารต้นฉบับ ส่งเสริมชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายโดยหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการลงทุน



4.แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จ เช่น สนับสนุนให้ลดข้อกำหนดสำหรับผู้ยื่นคำขอในการประสานติดต่อหน่วยงานที่มีอำนาจเกี่ยวข้องมากกว่า 1 หน่วยงานสำหรับการขออนุญาตลงทุน รวมทั้งสนับสนุนให้มีแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จให้ผู้ลงทุนเพื่อชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตลงทุน จัดตั้ง ควบรวมและขยายการลงทุน

5.บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ลงทุน เช่น การจัดให้มีบริการช่วยเหลือผู้ลงทุนในขอบเขตที่ทำได้เพื่อแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน พิจารณาตั้งกลไกให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่มีอำนาจเพื่อแก้ปัญหาที่พบบ่อยและกระทบผู้ลงทุน

6.ความเป็นอิสระของหน่วยงานที่มีอำนาจ เช่น เมื่อจำเป็นต้องขออนุญาตในการลงทุน หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการและตัดสินใจอย่างเป็นอิสระจากองค์กรใดสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการขออนุญาตในการลงทุนนั้นได้

7.การเข้าเมืองและการพำนักชั่วคราวของนักธุรกิจเพื่อลงทุน เช่น สนับสนุนให้อำนวยความสะดวกโดยเร่งดำเนินการเกี่ยวกับคำขอเข้าเมืองและการพำนักชั่วคราวของนักธุรกิจ เพื่อการลงทุนในระยะเวลาอันสมควร

8.การอำนวยความสะดวกด้านปัจจัยสนับสนุนการลงทุน โดยช่วยเหลือผู้ลงทุนในการบ่งชี้ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนเช่น แรงงาน แหล่งเงินทุน ผู้ผลิตภายในประเทศและโอกาสจับคู่ทางธุรกิจ

9.กลไกการให้คำปรึกษาสำหรับนโยบายการลงทุน เช่น การสนับสนุนให้มีกลไกการปรึกษาและสนทนาอย่างสม่ำเสมอกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สนใจ โดยรวมถึงผู้ลงทุนและหน่วยงานภาคเอกชน

10.ความร่วมมือ เช่น อำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารและร่วมมือกับรัฐสมาชิกอาเซียนในประเด็นการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน

11.การดำเนินการตามกรอบ AIFF ฉบับนี้ และแจ้งให้ที่ประชุมคณะกรรมการฯทราบอย่างสม่ำเสมอ


นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การผลักดันให้อาเซียนเป็นซัพพลายเชนสำคัญของโลกถือว่าเป็นไปได้ โดยระยะกลางอาเซียนจะเป็นพื้นที่มีศักยภาพมาก เพราะประชากรเยอะและเศรษฐกิจเติบโตเป็นกลุ่ม โดยสิงค์โปร์เติบโตเร็วกว่าประเทศอื่น และตามด้วยมาเลเซีย ไทย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และต่อด้วยกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งชนชั้นกลางจะเติบโตเป็นกำลังแรงงานและกำลังซื้อ

"เป็นไปได้ที่อาเซียนจะเป็นซัพพลายเชนสำคัญ เพราะประชากรเยอะและเศรษฐกิจเติบโตเป็นกลุ่ม" นณริฏ กล่าว 

สำหรับเส้นทางขนส่งภายในอาเซียนมีทั้งแบบเก่าและส่วนที่เป็น Belt and Road Initiative (BRI) หรือเส้นทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศที่จีนผลักดัน โดยอาเซียนมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจพอสมควร ซึ่งหลากหลายและตอบโจทย์ความร่วมมือในกลุ่มและนอกกลุ่ม เช่น RCEP, CPTPP, GMS และที่เหลือเป็นการร่วมมือในภาคปฏิบัติให้เกิดผล

รวมทั้งมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาแทนแรงงาน ซึ่งเป็นภัยคุกคามทุกฝ่ายและถ้าเทคโนโลยีนี้พัฒนาเร็วจจะทำให้แรงงานมีความจำเป็นน้อยลง และอาจเกิดกระบวนการ Reshoring หรือกระบวนการส่งกลับการผลิตและการผลิตสินค้ากลับไปยังประเทศของตัวเอง ซึ่งบางครั้งจะมีความกังวลเกี่ยวกับการกระจายชิ้นส่วนไปหลายประเทศ และเมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 อีกจะทำให้ชิ้นส่วนในประเทศหนึ่งผลิตไม่ได้และกระทบกันหมด
#3152


หลังจาก airasia food เริ่มให้บริการนำร่อง 4 เขต ได้แก่ ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว และห้วยขวาง ในช่วง 2 สัปดาห์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุดขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มเติมในเขต พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน และวัฒนา ก่อนครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ ภายในปีนี้ และขยายสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศไทย

โดย airasia food ถือเป็นหนึ่งในบริการจาก "แอร์เอเชีย ดิจิทัล" หน่วยธุรกิจด้านดิจิทัลภายใต้กลุ่มแอร์เอเชีย เพื่อยกระดับ airasia super app (แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ) ให้เป็นซูเปอร์แอพชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน ชูจุดเด่นเรื่องราคาที่เข้าถึงได้ บริการที่สะดวก ปลอดภัย และส่วนลดต่างๆ

ในช่วงเปิดให้บริการ airasia food ได้ทำแคมเปญฟรี 30,000 มื้อเป็นเวลา 30 วัน วันละ 1,000 มื้อ โดยร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ แฟลช คอฟฟี่ แบล็คแคนยอน คาเฟ่ อเมซอน กูร์กูร์ ชิกเก้น และแบรนด์อื่นๆ เพื่อจัดเมนูยอดนิยมมามอบให้ฟรีวันละ 1 เมนู หมุนเวียนมาให้ลูกค้าได้สั่ง เพียงใส่โค้ด FREEMEALS จะได้รับเมนูประจำวันฟรีทุกวัน (จำกัด 1 ออเดอร์ต่อ 1 ผู้ใช้ตลอดแคมเปญ) ตั้งแต่วันนี้ - 16 กันยายน 2564

ระหว่าง 1-7 กันยายน 64 เอาใจคอกาแฟกับแฟลช คอฟฟี่ พร้อมแจก Americano ขนาด Upsize 2 แก้ว และ Latte ขนาด Upsize 1 แก้ว รับเลยรวม 3 แก้วต่อสิทธิ์ ฟรีทุกวัน   จัดส่งฟรีสำหรับทุกออเดอร์ภายใน 6 กิโลเมตรแรก ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2564

รวมถึง ส่วนลด 80 บาทสำหรับผู้ใช้ใหม่เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท เพียงใส่โค้ด HELLO80 ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2564 และมอบ BigPoint จำนวน 2,000 แต้มสำหรับสมาชิก 20,000 รายแรกที่ได้ลงทะเบียนใช้งานครั้งแรก ตั้งแต่วันนี้ - 16 กันยายน 2564 
สำหรับร้านอาหารในพื้นที่ให้บริการ ที่สนใจสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ airasia food รับโปรโมชัน ค่าคอมมิชชั่นพิเศษเพียง 5% ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ตุลาคม 2564 เพื่อช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มฐานลูกค้า และสร้างรายได้เสริมให้กับธุรกิจ

ทั้งนี้ airasia food พร้อมให้บริการสำหรับทุกความต้องการ และเพื่อส่งมอบมื้ออร่อยในราคาที่คุ้มค่าที่สุดให้กับคนไทย โดยบริการ airasia food พร้อมให้บริการตั้งแต่ 7.00 น. ถึง 19.30 น. ของทุกวัน สมัครและดาวน์โหลดใช้บริการได้แล้ววันนี้ทางแอพพลิเคชั่นได้ทั้งในระบบ iOS และ Android 
#3153


นายธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า "การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน และการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งยังเร่งให้ทุกคนต้องปรับตัวทรานฟอร์มสู่ชีวิตวิถีใหม่ที่มีเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลเข้ามาช่วยลดช่องว่างและเชื่อมโยงทุกรูปแบบการใช้ชีวิต กลุ่มทรู เห็นถึงแนวโน้มการใช้งานดาต้าของผู้บริโภคชาวไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่จำกัดเฉพาะย่านใจกลางเมืองเท่านั้น แต่ยังกระจายในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

อีกทั้ง ยังมีความหลากหลายมากขึ้นในการใช้งานแอปพลิเคชัน และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ กล่าวได้ว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการสื่อสารที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ที่มีอัจฉริยภาพยกระดับการใช้ชีวิตในทุกมิติ โดยเครือข่ายทรู 5G มอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า ด้วยศักยภาพผู้ให้บริการรายเดียวในไทยที่มีคลื่นมากสุดถึง 7 ย่านความถี่ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ สอดรับกับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทยในยุคนิวนอร์มัล ที่ต้องอยู่บ้านทำงานและเรียนออนไลน์ รวมทั้งต้องการความบันเทิงออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา 


นอกจากนี้ เครื่องสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ยังมีความหลากหลายเลือกได้ในราคาที่เหมาะสม ตลอดจนแพ็กเกจบริการที่ให้ความคุ้มค่ามากขึ้น คนไทยจึงเปลี่ยนมาใช้ 5G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฐานลูกค้าทรู 5G เพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านราย (ณ ไตรมาส 2 ปี 2564) และวันนี้กลุ่มทรูพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าให้ใช้งาน 5G ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น เปิดตัวแคมเปญ "ยุคนี้ต้องทรู 5G" ชวนคนไทยทั่วประเทศก้าวสู่ยุคใหม่แห่งโลกการสื่อสารไปด้วยกัน

ซึ่งจะมีพรีเซนเตอร์ทรู 5G คนล่าสุด 'กันต์ กันตถาวร' พิธีกรเบอร์ 1 ของไทย สู่ครอบครัวทรู เพื่อนำเสนอความพิเศษของการใช้ทรู 5G ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ ในราคาที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด กับแคมเปญ 5G VIP เพื่อรับมือถือ 5G รุ่น Mid Tier ฟรี! หรือรับส่วนลดเพิ่ม 3,000 บาท จากโปรโมชั่นที่ลดแล้ว สำหรับซื้อมือถือ 5G รุ่น High Tier สิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้เฉพาะลูกค้าทรู และลูกค้ากลุ่มพันธมิตรเท่านั้น พร้อมรับฟรี! แพ็กเกจ "ทรู พรีเมียร์ ฟุต. ไลท์" เพื่อรับชมฟุต.พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021/22 ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าถึงช่องทางการขายของกลุ่มทรูได้อย่างสะดวก ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ รวมทั้งบริการจัดส่งถึงบ้าน"
#3154


การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตของผู้คน ซึ่งการรับมือกับวิกฤตสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและเชื่อมโยงการทำงานในทุกมิติ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ข้อมูลจากงานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย" สะท้อนข้อมูลการดำเนินงานของประเทศที่ผ่านมา พบจุดแข็งสำคัญหลายประการซึ่งปรากฏแก่สังคมอย่างชัดเจน อาทิเช่น มีการจัดตั้งหน่วยงานกลาง รวมทั้งการออกและปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการทางสังคมในระดับประเทศ รวมถึงมาตรการระหว่างประเทศ เช่น งดการเดินทางระหว่างประเทศ งดดำเนินกิจการในกลุ่มเสี่ยง มีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับการระบาดเป็นวงกว้าง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรค เป็นต้น โดยอีกด้านที่ยังคงเป็นจุดอ่อนและช่องว่างของการดำเนินงาน เช่น ยังขาดศักยภาพการผลิตทรัพยากรภายในประเทศ เช่น ชุด PPE N95 ขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อวางแนวทางการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ขาดการเฝ้าระวังการปฏิบัติตามมาตรการเชิงสังคมในระดับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังมีช่องว่างของระบบข้อมูลทรัพยากรสุขภาพคงคลัง และยังขาดฐานข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น

ทั้งนี้ งานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของประเทศไทย" ดังกล่าว เป็นการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยทีมนักวิจัยจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอประเด็นเพื่อการพัฒนาในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีเป้าหมายให้การจัดทำยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศมีความชัดเจนและรอบด้านมากขึ้น ที่จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้และอนาคตได้

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า การรับมือกับโรคระบาดต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง และมีการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนเชื่อมโยงกับหลายปัจจัยทั้งด้านสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยงานวิจัยนี้ มีเป้าหมายสำคัญของการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศ ที่จะลดการติดเชื้อ ลดการป่วยและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยทีมวิจัยได้วิเคราะห์การดำเนินงานของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ตลอดจน ช่องว่างต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเสนอกรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของประเทศที่ตอบสนองต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมทั้งหมดไว้ 7 ด้าน ได้แก่ การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาด, การกำหนดมาตรการทางสังคมและมาตรการสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด, การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ, การส่งเสริมจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา, การสื่อสารกับหน่วยงานและประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อจัดการกับการระบาดของโรค

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ฯ นับเป็นงานวิจัยเชิงระบบที่เปรียบเหมือนการพัฒนาเข็มทิศการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนครอบคลุมไปจนถึงผลกระทบของเรื่องต่างๆ โดยกรอบยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้านดังกล่าว เป็นภาพระดับประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานระดับเขตและระดับจังหวัด รวมทั้งจะทำให้มีข้อมูลการดำเนินงานที่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ และเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา คมนาคม แรงงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ ได้ต่อไป 



สำหรับข้อเสนองานวิจัย : กรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย 7 ด้าน

1) การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาดของโรค ทั้งการรายงานสถานการณ์การระบาด การจัดกลุ่มความเสี่ยง การสำรวจสถานการณ์สุขภาพและพฤติกรรมของประชาชน การพยากรณ์โรคทั้งระดับประเทศและพื้นที่

2) การกำหนดมาตรการทางสังคมตามสถานการณ์ปัจจุบัน และหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่เน้นการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันตัวในระดับบุคคลอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อสื่อสารคำแนะนำในรูปแบบคู่มือต่างๆ พัฒนาระบบการติดตามการปฏิบัติตามมาตรการ ตลอดจนสร้างกลไกกำหนดมาตรการทางสังคมแบบมีส่วนร่วม

3) การกำหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค พัฒนาระบบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ/ระบบติดตามเฝ้าระวัง สอบสวนโรค/การกักตัว ควบคู่กับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวัง พัฒนาเครือข่ายและระบบข้อมูล ทบทวนแผนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างจังหวัดหรือเขต และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงจัดทำรายละเอียดการปฏิบัติการเฉพาะกลุ่ม

4) การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพในการรักษาโรค พัฒนาระบบสุขภาพ รวมทั้งระบบข้อมูลและติดตามประเมินผลการรักษา ทั้งโรคโควิด-19 และโรคอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขอย่างเพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรมและต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการผลิตเวชภัณฑ์ที่จำเป็นภายในประเทศ และนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบบริการสุขภาพมากขึ้น

5) การส่งเสริมการจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา อาทิ พัฒนาให้มีฐานข้อมูลที่เชื่อมองค์ความรู้ระหว่างแหล่งทุนและนักวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน และลดความกังวลต่อการระบาดของโรค เชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการประเมินผลกระทบระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนบูรณาการการบริหารจัดการงานวิจัยในระยะยาว

6) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน อาทิ ควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติการสื่อสารความเสี่ยง การบริหารจัดการสื่อสารและกำหนดแผนการกระจายข้อมูลให้ทั่วถึงทั้งระดับส่วนกลางและพื้นที่ พัฒนาความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถสอบถามข้อมูลได้

7) การบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อการจัดการกับการระบาดของโรค มีระบบติดตามประเมินผลการทำงานตามหลักธรรมาภิบาลในทุก

ระดับ ศึกษาทบทวนกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการเงินการคลัง การจัดซื้อจัดจ้าง การปฏิบัติงานของบุคลากร จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและมีการกระจายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสำหรับระบบการเฝ้าระวัง และการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เช่น การพัฒนาวัคซีน รวมทั้งการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก
#3155


ฮ่องกงปฏิเสธไม่ล้มเลิกยุทธศาสตร์ "ซีโร่-โควิด" ตามกระแสเรียกร้องของประคมธุรกิจ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของคู่แข่งสำคัญอย่างสิงคโปร์ ที่หันมา "อยู่กับโควิด" โดยผู้บริหารสูงสุดของเกาะเน้นย้ำเป้าหมายสำคัญอันดับแรกในการเปิดประตูคือการฟื้นการเดินทางติดต่อกับจีน ส่วนทางญี่ปุ่นเผยมีแนวโน้มสูงที่ปัญหาวัคซีนโมเดอร์นาปนเปื้อนที่โอกินาวา จากการแทงเข็มฉีดยาลงในขวดผิดวิธี ด้าน WHO เตือนปลายปีนี้ยุโรปอาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิดกว่า 230,000 คน

ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หอการค้ายุโรปในฮ่องกงส่งจดหมายเปิดผนึกถึงแคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เตือนว่า ชื่อเสียงการเป็นฮับธุรกิจของฮ่องกงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และประชาชนกำลัง "ติดอยู่ในกับดักไม่รู้จบ"

แต่ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (31 ส.ค.) ลัมยังคงยืนยันว่า ไม่มีแผนยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางจากต่างแดน โดยระบุว่า การปกป้องที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันการนำเข้าผู้ติดเชื้อโควิด ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผู้นำฮ่องกงสำทับว่า การฟื้นการเดินทางติดต่ออย่างเป็นปกติกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเป้าหมายที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าการเดินทางติดต่อกับทั่วโลก ถึงแม้คู่แข่งสำคัญในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์ เตรียมปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้กับโควิดมาเป็นการยอมรับที่จะต้องอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสโคโรนานี้ และดำเนินการเปิดประเทศต่อโลก ก็ตามที

ลัมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ยิ่งผ่อนคลายกฎเปิดรับชาวต่างชาติมากเท่าไร ฮ่องกงยิ่งมีโอกาสน้อยลงที่จะฟื้นการเดินทางติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่ และเธอยังเชื่อว่า ธุรกิจระหว่างประเทศส่วนใหญ่ต้องการเปิดการเดินทางกับจีนเป็นอันดับแรก ซึ่งฮ่องกงถือว่า มีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นเกตเวย์สู่แดนมังกรที่เป็นตลาดขนาดใหญ่มหึมา

คำแถลงของลัมถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่มีธุรกิจในจีน แต่ไม่ค่อยดีนักสำหรับบริษัทระหว่างประเทศที่เลือกฮ่องกงเป็นฐานเพื่อการเข้าถึงภูมิภาคนี้

จีนนั้นไม่กระตือรือร้นผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง ซึ่งรวมถึงการเดินทางติดต่อกับฮ่องกงด้วย โดยสื่อฮ่องกงรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนจะคงมาตรการจำกัดต่อไปอย่างน้อยจนถึงภายหลังกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่ปักกิ่ง

เท่าที่ผ่านมา ฮ่องกงสามารถสยบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ค่อนข้างอยู่หมัด ซึ่งต้องขอบคุณมาตรการอย่างเรื่องการสวมหน้ากากป้องกัน, การรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด, รวมทั้งการใช้มาตรการกักกันโรคซึ่งบางอย่างจัดว่าเข้มงวดที่สุดในโลก ทว่าอัตราการฉีดวัคซีนของดินแดนบริหารพิเศษของจีนแห่งนี้กลับยังคงล้าหลังสิงคโปร์มาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขาดแคลนวัคซีนแต่อย่างใด

เวลานี้สิงคโปร์อยู่ในฐานะเป็นหนึ่งในประเทศและดินแดนซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกในการรณรงค์ให้ผู้คนมาฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมีประชากรมากกว่า 80% แล้วที่ได้รับวัคซีนครบโดส แถมในหมู่ผู้สูงวัยอายุ 70 ปีขึ้นไป อัตราส่วนผู้ฉีดครบอยู่ที่ 84% ทีเดียว

ตรงกันข้าม มีชาวฮ่องกงที่อยู่ในเกณฑ์เข้าฉีดวัคซีนได้เพียงแค่ 46% เท่านั้นซึ่งได้วัคซีนครบโดสแล้ว โดยผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนครบแล้วเพียงแค่ 25%

สันนิษฐานสาเหตุวัคซีนโมเดอร์นาจำนวนมากปนเปื้อนในญี่ปุ่น

ทางด้านญี่ปุ่น โนริฮิสะ ทามูระ รัฐมนตรีสาธารณสุข แถลงเมื่อวันอังคารว่า มีความเป็นไปได้สูงที่การปนเปื้อนในวัคซีนโมเดอร์นาที่พบที่โอกินาวะเมื่อวันอาทิตย์ (29 ส.ค.) อาจมีสาเหตุจากการแทงเข็มฉีดยาลงในขวดผิดวิธี ทำให้ชิ้นส่วนยางปิดปากขวดแตกเป็นชิ้นเล็กๆ และปนเปื้อนในขวดวัคซีน

อย่างไรก็ดี ทามูระสำทับว่า ไม่พบปัญหาความปลอดภัยหรือปัญหาอื่นๆ และทางกระทรวงจะรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ข่าวการปนเปื้อนของวัคซีนโมเดอร์นาจนต้องระงับการฉีดถึง 1.63 ล้านโดสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดขึ้นขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุดจากสายพันธุ์เดลตา ซึ่งทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละเกิน 25,000 คนเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ขณะที่แผนการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้า

เตือนยุโรปจำนวนคนตายจะพุ่งแรงสิ้นปีนี้

ขณะเดียวกัน จากการที่ยุโรปก็ประสบปัญหาความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเช่นกัน รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อก็พุ่งขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ทำให้หน่วยงานในยุโรปขององค์การอนามัยโลก แถลงเตือนเมื่อวันจันทร์ (30) ว่า ภายในเดือนธันวาคม อาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในภูมิภาคนี้ถึง 236,000 คน

คำเตือนนี้ออกมาขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกทะลุ 4.5 ล้านคน ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักข่าวเอเอฟพี

ฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการ WHO ประจำยุโรปยังระบุว่า เวลานี้ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนเสียชีวิตเพราะโควิดกลับเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศยากจนแถบ.ข่าน คอเคซัส ไปจนถึงเอเชียกลาง เฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 11% และจากการคาดการณ์ที่เชื่อถือได้ ภูมิภาคนี้จะมีผู้เสียชีวิต 236,000 คนภายในวันที่ 1 ธันวาคม

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิดในยุโรปขณะนี้อยู่ที่ราว 1.3 ล้านคน

(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)
#3156


ไบรสัน เดอชอมโบ นักกอล์ฟมือ 6 ของโลกชาวอเมริกัน รักษาเก้าอี้ผู้นำศึก บีเอ็มดับเบิลยู แชมเปียนชิพ อย่างเหนียวแน่น หลังเก็บสกอร์รวมเพิ่มเป็น 21 อันเดอร์พาร์ เมื่อจบรอบสาม ก่อนเตรียมตัวลุ้นหยิบแชมป์กลับบ้านในรอบสุดท้าย

ศึกกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ รายการ บีเอ็มดับเบิลยู แชมเปียนชิพ ชิงเงินรางวัลรวม 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 311 ล้านบาท) ณ สนาม เคฟส์ วัลเลย์ กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,226 หลา พาร์ 71 แมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นการดวลสวิงรอบสาม

ปรากฏว่า ไบรสัน เดอชอมโบ สวิงหนุ่มเจ้าบ้าน ยังเกาะตำแหน่งผู้นำเหนียวแน่น หลังลงสนามไปตี 5 อันเดอร์ จากการตี 5 เบอร์ดีกับ 2 อีเกิล แม้พลาดเสีย 2 โบกีและ 1 ดับเบิลโบกี แต่สกอร์ที่ได้มาก็ยังส่งให้เจ้าตัวเก็บเพิ่มเป็น 21 อันเดอร์พาร์ นำจ่าฝูงต่อโดยมี แพทริค แคนท์เลย์ เพื่อนร่วมชาติ ขึ้นมาแชร์เก้าอี้ร่วมกันอีกคน

'ช่วง 9 หลุมแรกผมเล่นดีมากเลย แต่ช่วงหลังก็รู้สึกว่าไม่ดีเท่าไหร่ แตก็ยังโอเค จากนี้ไปต้องทำความสะอาดไม้กอล์ฟสักหน่อย' โปรหนุ่มวัย 27 ปี กล่าวหลังจบวันที่สาม

ส่วนผลงานมือดังคนอื่น รอรีย์ แม็คอิลรอย ซูเปอร์สตาร์ชาวไอริช กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 4 มีลุ้นแบบเล็กๆ หลังเก็บเพิ่มเป็น 17 อันเดอร์พาร์ ตามหลัง 4 สโตรก และ จอน ราห์ม มือ 1 โลก และผู้นำวันแรก ตกไปที่ 8 หลังสกอร์มี 16 อันเดอร์พาร์ แต่ก็ยังมีโอกาสแซงเป็นแชมป์หากโชว์ฟอร์มดีวันสุดท้าย
#3157


โพล เอสปาร์กาโร่ นักบิดจอมฝีมือของ เรปโซล ฮอนด้า คัมแบ็กตำแหน่งกริดสตาร์ทแถวหน้าสุดครั้งแรกในรอบปี หลังทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในด่านควอลิฟายของศึก บริติช กรังด์ ปรีซ์ ที่อังกฤษ

ศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก โมโตจีพี สนามที่ 12 ของปี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ ณ สนาม ซิลเวอร์สโตน อังกฤษ โดยวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นรอบควอลิฟาย จัดกริดสตาร์ทให้นักแข่งก่อนชิงชนะเลิศวันถัดไป

ปรากฏว่า โพล เอสปาร์กาโร่ จอมบิดวัย 30 ปีของ เรปโซล ฮอนด้า ได้ออกสตาร์ทคันแรกสุดหลังทำความเร็วต่อรอบไว้ที่ 1 นาที 58.889 วินาที ส่งให้เจ้าตัวได้ครอง โพล โพซิชัน ครั้งแรกนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือศึกยูโรเปียน กรังด์ ปรีซ์ ที่สเปน เมื่อปีก่อน

ขณะที่กริดที่ 2 สตาร์ทโดย ฟรานเชสโก้ บานาญ่า นักบิดเลือดอิตาเลียนของทีมดูคาติ ด้านกริดที่ 3 คือ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ มือ 1 แห่ง มอนสเตอร์ ยามาฮ่า ส่วน มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัยจาก เรปโซล ฮอนด้า ได้กริดที่ 5 มีลุ้นแซงขึ้นโพเดียมในวันชิง

สำหรับรอบชิงชนะเลิศ โมโตจีพี รายการ บริติช กรังด์ ปรีซ์ จะชิงชัยกันในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ แข่งเวลา 19.00น. ของเมืองไทย
#3158


ศึกฟุต. 'พรีเมียร์ ลีก ซีซั่น 2021/22' ถูกนับให้เป็นสงครามลูกหนังที่ดุเดือดกว่าที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย จากการเสริมทีมของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ที่ทำเอาแฟน.ทั่วโลกอ้าปากค้าง อันนำมาสู่การแย่งแชมป์ที่ต้องเมามันระดับ 10 เท้าถีบ และนี่คือเหตผลว่าทำไมแฟน.ต้องห้ามพลาดติดตาม พรีเมียร์ ลีก ปีนี้

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - อุดมไปด้วยนักเตะระดับมหาดาราเช่น พอล ป๊อกบา, เจดอน ซานโช่, บรูโน่ แฟร์นานเดส, แฮร์รี แม็คไกวร์, เอดินสัน คาวานี และการกลับมาอีกครั้งของหนึ่งในสุดยอดหมายเลข 7 ตลอดกาล 'คริสเตียโน่ โรนัลโด้'

แมนเชสเตอร์ ซิตี - วอดวายเงิน 100 ล้านปอนด์ เอาตัว แจ๊ค เกรียลิช หนึ่งในตัวรุกที่ดีที่สุดของอังกฤษโมงยามนี้ มาร่วมปั้นเกมกับ เควิน เดอ บรอยน์ แถมได้มันสมองระดับอ๋องของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาขับเคลื่อนภารกิจป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ซีซั่นนี้

ลิเวอร์พูล - เครื่องจักรสีแดงที่แข็งแกร่งตั้งแต่ผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ ไปถึงจอมยิงประตูทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, ดิโอโก้ โชต้า และสำคัญกว่านั้นคือการกลับมาของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก ปราการหลังตัวแกร่งที่หายเจ็บแล้ว เหมือนได้นักเตะใหม่เพิ่มอีกคน

เชลซี - ทีมของ โธมัส ทูเคิล แน่นปึ้กทุกขุมกำลัง และการได้ตัว โรเมลู ลูกากู ที่แปลงร่างเป็นสุดยอดดาวยิงไปเรียบร้อย กลับคืนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า 'สิงห์บลูส์' พร้อมแล้วที่จะกลับไปแย่งถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง

เลสเตอร์ ซิตี - ทีมที่มีผู้บริหารชาวไทย ภายใต้การทำทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นำพาให้ 'เดอะ ฟ็อกซ์' เป็นทีมที่เล่นฟุต.ได้สนุกสนานเร้าใจ ทำผลงานติดลมบนไปเรียบร้อย พร้อมแย่งชิงตำแหน่งท็อป 4 เพื่อกลับไปลุย ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก อีกหน

ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ - เก็บรักษา แฮร์รี เคน กองหน้าเบอร์ 1 เอาไว้ได้เพื่อผนึกกำลังกับ ซอน เฮือน มิน ตัวรุกขวัญใจ 'คลับไก่ ในการลุ้นหยิบถ้วยสักใบ - ส่วนกุนซือ นูโน่ เอสปิริโต ซานโต ชื่อชั้นอาจเป็นรองคนอื่น แต่ก็ทำทีมชนะมา 2 เกมติดแล้ว แถมบุกสนุกกว่าเดิม น่าลุ้นกันยาวๆ

อาร์เซนอล - ยักษ์หลับที่หล่นตุ้บไปอยู่รองบ๊วยของตาราง เป็นซีซั่นที่ 'เด็กปืน' ต้องเชียร์ไปเครียดไป และลุ้นไปด้วยว่าระหว่างทีมกลับไปติดท็อป 4 อีกครั้ง กับ จะเก็บชัยชนะเกมแรกในลีกตอนไหน และ มิเกล อาร์เตต้า โดนไล่ออกกลางทาง อะไรจะเกิดขึ้นก่อนกัน
#3159


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดดาวยิงชาวโปรตุกีส กลับสู่บ้านหลังเก่าอีกครั้ง ก่อนจะมีคำถามตามมาว่าเจ้าตัวจะยังสามารถใส่เสื้อหมายเลข 7 ได้หรือไม่ ในเมื่อเบอร์นี้มีนักเตะรุ่นใหญ่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

โรนัลโด้ แจ้งเกิดเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในช่วงเวลาที่อยู่กับ แมนฯยู ปี 2003-2009 โดยสวมเสื้อหมายเลข 7 สืบทอดตำนานอย่าง จอร์จ เบสต์, เอริค คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม ก่อนยิงประตูถล่มทลาย 118 ประตู และมีฉายาว่า "CR7" ที่กลายเครื่องหมายการค้าในเวลาต่อมา

นักเตะวัย 36 ปี สวมเสื้อเบอร์ 7 กับทุกทีมที่ย้ายไปทั้ง รีล มาดริด, ยูเวนตุส รวมถึงทีมชาติโปรตุเกส จนกลายเป็นภาพจำของแฟน.ไปแล้ว ทว่าการกลับมาถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในยามนี้ โรนัลโด อาจจะไม่ได้สวมเสื้อเบอร์เอกลักษณ์นี้ด้วยเหตุผลบางประการ

เพราะว่าเบอร์ 7 ของ "ผีแดง" คนปัจจุบันคือ เอดินสัน คาวานี ดาวยิงตัวเก๋าชาวอุรุกวัย ซึ่ง แมนฯยู ได้ส่งรายชื่อนักเตะและเบอร์เสื้อไปยืนยันกับ พรีเมียร์ ลีก เรียบร้อยแล้ว ทำให้ตามกฎแล้วยอดแข้งบัลลง ดอร์ 5 สมัย หมดสิทธิ์ใช้เสื้อหมายเลข 7 ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ จะใส่เบอร์ 7 ได้ต่อเมื่อมี 2 กรณี คือ 1. คาวานี ย้ายออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งจะทำให้เสื้อเบอร์ 7 ว่างลง และ 2. แมนฯยู ต้องยื่นเรื่องไปที่คณะกรรมการ พรีเมียร์ ลีก เพื่อขอเปลี่ยนแปลงเบอร์เสื้อ ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีทีมใดทำแบบนี้ แต่หากฝ่ายผู้คุมกฎอนุมัติเป็นกรณีพิเศษ โรนัลโด้ ก็จะได้ใส่เบอร์ 7 สมใจ

คาวานี ปัจจุบันกลับมาซ้อมกับ แมนฯยู แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงสนามสักเกม ซึ่งทางสโมสรคงมีการพูดคุยเรื่องนี้กับเจ้าตัวไว้แล้ว แต่อยู่ที่ว่าหัวหอกชาวอุรุกวัย จะตัดสินใจอย่างไร

ทั้งนี้ สมัยย้ายไปอยู่ รีล มาดริด ปีแรก โรนัลโด้ ก็ไม่ได้ใส่เสื้อเบอร์ 7 ตั้งแต่แรก เพราะมี ราอูล กอนซาเลซ กองหน้าขวัญใจตลอดกาลของ "ราชันชุดขาว" ถือครองอยู่จนปีกจอมสับขาต้องใส่เบอร์ 9 แก้ขัดไปก่อน กระทั่งเมื่อตำนานหอกชาวสเปนย้ายออกไป เสื้อหมายเลข 7 เลยตกเป็นของ โรนัลโด้

มีการคาดเดาว่า หากปีนี้ โรนัลโด้ ไม่ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ของแมนฯยู เจ้าตัวก็อาจได้ใส่เบอร์ 28 อันเป็นเบอร์ที่เคยใส่ตอนเป็นดาวรุ่งที่ สปอร์ติง ลิสบอน แต่หากใส่เบอร์อื่นก็มีผลกระทบต่อแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ใช้ชื่อ CR7 อย่างแน่นอนเป็นเครื่องหมายการค้าด้วย ดังนั้น ต้องรอติดตามดูกันต่อไป
#3160


ประชาคมข่าวกรองของสหรัฐฯไม่ได้ข้อสรุปเด็ดขาดในการสืบสวนต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และเชื่อว่าพวกเขาคงไม่สามารถคลี่คลายข้อถกเถียง ในสมมุติฐานอุบัติเหตุที่ห้องปฏิบัติการแห่งหนึ่งของจีนคือต้นตอของโควิด-19 หากปราศจากข้อมูลที่มากกว่านี้ บรรดาเจ้าหน้าที่อเมริการะบุในรายงานสรุปที่ไม่ถูกจัดในชั้นลับสุดยอดในวันศุกร์(27ส.ค.)

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่ามีเพียงแค่จีนเท่านั้นที่สามารถช่วยคลี่คลายคำถามต่างๆเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของไวรัส ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกแล้วมากกว่า 4.6 ล้านราย "ความร่วมมือของจีนจะเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด สำหรับการบรรลุคำประเมินที่ได้ข้อสรุปของแหล่งต้นตอโควิด-19"

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งได้รับรายงานสรุปลับสุดยอดเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ระบุว่าวอชิงตันและพันธมิตรจะเดินหน้ากดดันรัฐบาลจีนต่อไปเพื่อให้ได้คำตอบต่างๆนานาเหล่านั้น

รายงานการสืบสวนของประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯฉบับนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ผู้นำสหรัฐฯออกคำสั่งให้หน่วยข่าวกรองเพิ่มความพยายามสืบหาต้นตอโควิด-19 และรายงานผลภายใน 90 วัน

"ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับต้นตอของโรคระบาดใหญ่ มีอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ใช่ตั้งแต่แรกเริ่ม เจ้าหน้าที่รัฐบาลในจีนขัดขวางคณะสืบสวนนานาชาติและสมาชิกประชาคมสาธารณสุขโลกไม่ให้เข้าถึงมัน" ไบเดนระบุในถ้อยแถลง หลังมีการเผยแพร่รายงานสรุป

รายงานสรุปที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ น่าจะทำให้ความไม่ลงรอยระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันเลวร้ายลงไปอีก ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ ขณะที่ในสหรัฐฯ พวกนักเคลื่อนไหวกังวลว่าผลการสืบสวนอาจปะทุเหตุใช้ความรุนแรงกับคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียขึ้นมาอีกระลอก

จีนเย้ยหยันมาตลอดต่อทฤษฎีหนึ่งว่าเชื่อว่าโควิด-19 หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาของภาครัฐในเมืองอูฮั่น และยังนำเสนอสมมุติฐานต่างๆของตนเอง ในนั้นรวมถึงไวรัสหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการหนึ่งในฐานทัพฟอร์ต ดีทริค แห่งกองทัพสหรัฐฯ ในแมรีแลนด์ ปี 2019

รายงานของสหรัฐฯยังเผยให้เห็นรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับขอบเขตความเห็นที่ขัดแย้งกันภายในรัฐบาลของไบเดนเกี่ยวกับทฤษฎีไวรัสหลุดมาจากห้องปฏิบัติการ

หลายหน่วยงานของประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯคิดว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าจะอุบัติขึ้นจากการสัมผัสโดยธรรมชาติกับสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสหรือใกล้ชิดกับรากเหง้าไวรัส รายงานสรุประบุ

อย่างไรก็ตามรายงานสรุประบุว่าพวกเขามีความมั่นใจในข้อสรุปดังกล่าวในระดับต่ำ ขณะที่บางส่วนก็ไม่สามารถให้ความคิดเห็นที่หนักแน่นใดๆต่อต้นกำเนิดของไวรัส

กระนั้นก็มีอยู่บางส่วนในประชาคมข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่มีความเชื่อมั่นพอประมาณว่ามนุษย์คนแรกที่ติดเชื้อโควิด-19 น่าจะเป็นผลจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการทดลอง การจัดการสัตว์หรือการสุ่มตัวอย่างโดยสถาบันไวรัสวิทยาอูฮั่นของจีน

สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า คณะทำงานที่นำโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งใช้เวลา 4 สัปดาห์ ตรวจสอบทั้งในและรอบๆเมืองอู่ฮั่นในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ปฏิเสธทฤษฎีดังกล่าว แต่ในรายงานขององค์การอนามัยโลกในเดือนมีนาคม ซึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์จีนร่วมเขียนด้วย ไม่ได้ให้หลักฐานอย่างพอเพียงสำหรับบอกปัดทฤษฎีนี้

รายงานฉบับใหม่ของสหรัฐฯสรุปว่าพวกนักวิเคราะห์จะไม่สามารถมอบคำอธิบายชัดเจนเด็ดขาดกว่านี้หากปราศจากข้อมูลใหม่ๆจากจีน อย่างเช่นตัวอย่างทางคลินิกและข้อมูลระบาดวิทยาของเคสผู้ติดเชื้อรายแรกๆ

ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ระบุว่าหน่วยงานของเขายังไม่ตัดข้อสันนิษฐานใดๆ โดยองค์การที่มีสำนักงานใหญ่ในเจนีวาแห่งนี้เตรียมตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อวางแผนขั้นต่อไปสำหรับศึกษาไวรัส SARS-CoV-2

อย่างไรก็ตามบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาบอกว่าประตูสำหรับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆที่รวบรวมมาได้กำลังปิดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ติดเชื้อไวรัสในปี 2019 ครั้งที่โควิด-19 อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรก

(ที่มา:รอยเตอร์)