My Best Friend แอนน์ แฟรงค์ 2022

[Tawanida]

รีวิว My Best Friend แอนน์ แฟรงค์ (Netflix) เด็กหญิงชาวยิว ผู้สร้างสถิติโลก! (ไม่มีสปอยล์)

รีวิวเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แอนน์ แฟรงค์


สร้างจากเรื่องจริงที่อาจเพิ่มผ่านฮันนาห์ เพื่อนสนิทของ Anne Frank ในปี 1942 มิตรภาพของหญิงสาว Hannah และ Anne Frank ซึ่งความฝันและอนาคตอันไกลโพ้นสิ้นสุดลงเมื่อการมาถึงของสงครามโลกครั้งที่สองเปลี่ยนชะตากรรมของ พวกเขาแยกกองกำลังเยอรมันที่แยกจากกันบุกและจับ Hannah และของเขา ครอบครัวในค่ายกักกันและทุกคนถูกจับเข้าคุก และบางทีอาจจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของวันที่รอคอยที่จะตายเพียงลำพัง ฮันนาห์มองดูชะตากรรมอันน่าสลดใจ ย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงเวลาที่สดใสที่สุดเมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่และมีทุกอย่างเป็นของตัวเอง ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยความหวัง และเพื่อนสนิทของเขาที่อยู่ข้างๆ แซว พูดคุย มีความสุขราวกับไม่มีอะไรสามารถพรากมันไปได้ แต่เพราะว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว ความทรงจำอันสวยงามที่อาจหลงเหลืออยู่ในใจของฮันนาห์ในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ เมื่อเธอได้พบกับแอนน์ แฟรงค์อีกครั้งหลังจากที่เธอเชื่อว่าแอนน์หนีจากเธอไป แต่จริงๆ แล้ว อาจเป็นการบรรจบกันครั้งสุดท้าย เพื่อจะได้กระจ่างถึงสิ่งที่ไม่สงบให้กระจ่างถึงที่สุด




ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวในรูปแบบดราม่าที่สลับไปมาระหว่างสองช่วงเวลา ภาคแรกบอกเล่าเรื่องราวของเวลาที่ฮันนาห์ต้องเผชิญ เมื่อเล่าย้อนถึงวันวานของแอนน์ แฟรงค์ในอดีตอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้บอกเล่าผ่านตัวละครที่คนทั่วไปรู้จักเช่น แอนน์ แฟรงค์ แต่ในทางกลับกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอวิสัยทัศน์และมุมมองของฮันนาห์ เพื่อนสนิทของเธอที่มีความหวังและความฝัน พร้อมกับการพรรณนาถึงความโหดร้ายของกองทัพเยอรมันที่บังคับชาวยิวให้ไปอยู่ในค่ายกักกัน น่าจะเป็นมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ ขณะที่ครอบครัวของเธอค่อยๆ คลี่คลายความลับที่เขย่ามิตรภาพของพวกเขา ก่อนที่หนังจะเล่าถึงชะตากรรมของคนเยอรมันในค่ายกักกัน เราอาจเคยเห็นในภาพยนตร์แบบนี้ เช่น เด็กชายในชุดนอนลายทาง แต่นี่คือมุมมองของเด็กสาวที่ต้องเข้าสู่สังคมทาสและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และภาพยนตร์เรื่องนี้ My Best Friend แอนน์ แฟรงค์ แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายที่ปราศจากความรุนแรง แต่ใช้สัญลักษณ์และการเล่าเรื่องของภาพแทนซึ่งทำให้หดหู่ใจมาก เมื่อเรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะเห็นมุมมองของคนที่รอความตายและมีความหวังในการใช้ชีวิตน้อย แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะบอกล่วงหน้าว่าเป็นช่วงเวลาที่ตลกขบขันเล็กน้อยและเฉื่อยชาเล็กน้อยเพื่อให้โทนของเรื่องราวตกต่ำ ตอนจบของหนังก็มีทางแก้ไขและน้ำตาจะไหล จนไม่อยากกลับมาดูอีกเลยไม่ได้ใช้เพราะหนังมันแย่ แต่หนังก็โหดร้ายกับชะตากรรมของตัวละครในเรื่อง ที่อาจมีการดัดแปลง แต่โดยรวมพอใช้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชาวดัตช์จะสนใจหนังเรื่องนี้ในปี 2564 และค่อนข้างประทับใจ แต่ฉันไม่อยากเห็นมันอีก



ตัวละครถือว่ามีสีสัน มีชีวิตชีวา และจิตใจ เพราะเป็นคนจริงในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะมีอะไรเพิ่ม รวมถึงฮันนาห์ พระเอกของเรื่องที่เป็นเหมือนบุคคลที่นำเราไปสู่เรื่องราวในชีวิต เธอและแอนน์ แฟรงค์ได้ปีนขึ้นจากคนที่ทำให้ครอบครัวสับสนซึ่งเก็บเธอไว้ในกฎ มาเป็นคนที่ทำผิดร้ายแรงเกือบสาย มันทำให้เราทั้งหงุดหงิดใจ สมน้ำหน้าสงสาร และเห็นใจ ขณะที่แอนน์ แฟรงค์ ตัวละครที่ไม่ใช่ตัวหลัก สาวมหึมาและผู้ชายที่ค่อนข้างบ้า แต่เธอไม่ค่อยเก่งเรื่องการปฏิเสธ เธอมีความฝัน เธอมีด้านขี้เล่นขี้เล่นที่ทำให้เราเสียใจกับชะตากรรมของเธอที่สะท้อนถึงวาระชีวิตของเธอที่เป็นมากกว่าแค่บันทึกที่มีชื่อเสียง แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเธอและเพื่อนของเธอมีเวลาเหมือนคนทั่วไปก่อนที่ชาวเยอรมันจะทำลายมัน กับครอบครัวของเธอทำให้เกิดความโกลาหลในขณะที่พ่อของเธอวางแผนทุกอย่าง แม่ที่เกิดระหว่างการกวาดล้างชาวยิว และ Gabi เด็กสาวที่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจชะตากรรมของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายของกองทัพเยอรมันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก เช่นเดียวกับที่พวกเขามา สั่งการ ถือปืนและตะโกน ทำร้ายและข่มขู่ เราทั้งคู่ขนลุกและโกรธพร้อมๆ กัน อยากให้ทุกคนจำไว้ว่า กองทัพเยอรมันในสมัยนั้นชั่วร้ายไร้ยางอายที่กวาดล้างมนุษยชาติด้วยอุดมการณ์ที่น่าขยะแขยง



ภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนถึงความโหดร้ายในปี 1942 สมัยที่ชาวยิวอาศัยอยู่ในเยอรมนี ไม่ว่าชีวิตจะดีแค่ไหน หรือยากแค่ไหน? จะมีกองทัพของฮิตเลอร์ไปประจำการ บังคับไปยังค่ายกักกันและใช้พวกเขาให้ทำงานหนัก ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษถึงตาย บางคนถูกทารุณกรรมว่าไม่ใช่คน บางคนร้อนแรงกับฉัน ใส่เสื้อผ้าเก่าและรวมกันเข้าไปในห้องควันพิษจนตาย เด็กสาวอย่างฮันนาห์ต้องเผชิญกับความโหดร้ายด้วยพลังและความหวัง กลับมาพบกับเพื่อนๆ อีกครั้ง มิตรภาพที่แนบชิดแม้เราจะแยกจากกันไม่เปลี่ยนแปลง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยัง