• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#3121



หลังจากที่ "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จอมเตะสาวไทยเบอร์ 1 ของโลกในรุ่น 49 กก.หญิง คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญแรกให้กับทีมเทควันโดไทย และเหรียญแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย ในการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่สนามมาคูฮาริ เมสเสะ ฮอลล์เอ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น

โดย "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 เดินทางถึงประเทศไทย และอยู่ในช่วงกักตัวที่จังหวัดภูเก็ต


ล่าสุดเจ้าตัว เผยกับทีมงานข่าวสด ผ่านรายการ "ลุยโตเกียว สเปเชียล" ถึงที่มาของการใส่รองเท้าเตะสีชมพูดังกล่าวเข้าสนามทุกเกม โดยบางช่วงบางตอนรายนาทีที่ 10.55 น้องเทนนิส เผยถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะลืมเอารองเท้าผ้าใบไปเท่านั้น

"ลืมรองเท้าผ้าใบคะพี่ วันแข่งถือของพะรุงพะรัง มีอุปกรณ์เยอะ แล้วรอบนี้เราไปกันน้อย มีนักกีฬาแค่ 2 คน ก็ช่วยกันถือของทำให้ลืมรองเท้าผ้าใบ ก็ทำให้ต้องใส่รองเท้าแตะขึ้นรับเหรียญ ไม่ได้เป็นการถือเคล็ด หรือได้มาจากบุคคลสำคัญแต่อย่างใด"
#3122



เรื่องอาหารการกินคือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ควรมุ่งเน้นกินอาหารที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี แต่หลายครั้งที่คนเรามักจะลืมว่ามีสิ่งที่ไม่ควรกินมากเกินควร เมื่อเร็วๆนี้เว็บไซต์ไทม์ส ออฟ อินเดีย รวบรวมชนิดของกินที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มและแน่นขึ้น

ใครที่ชอบเติมน้ำตาลเพิ่มในอาหารหรือเครื่องดื่ม ต้องจำกัดน้ำตาลให้น้อยลง อาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มการผลิตโปรตีนที่เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ อย่าง C-reactive protein และ interleukin-6 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน น้ำตาลในเลือดสูงก็เป็นอันตรายต่อการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ทำให้เกิดความไม่สมดุล ส่งผลต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในภายหลังและทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อมากขึ้น เครื่องปรุงอีกชนิดคือเกลือ ที่อยู่ในของขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอด ขนมอบ อาหารแช่แข็ง หากมีเกลือในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบ เพราะเกลือสามารถยับยั้งการทำงานปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการตอบสนองต่อการอักเสบ เปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้

อาหารทอดก็ควรพึงระวัง เพราะมีกลุ่มสาร Advanced glycation end products (AGEs) เกิดขึ้นเมื่อน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือไขมันช่วงปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูง AGEs ที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กลไกการต้านอนุมูลอิสระลดลง นอกจากนี้ ก็มีคาเฟอีนหากได้รับมากเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับจนเพิ่มการตอบสนองต่อการอักเสบและทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และท้ายสุดคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากดื่มเกินระดับปานกลาง (ผู้หญิง 1 แก้ว/วัน ผู้ชาย 2 แก้ว/วัน) อาจส่งผลเสียต่อการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและเพิ่มความไวต่อการเจ็บป่วย เช่น โรคปอดบวม และปัญหาระบบทางเดินหายใจ.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2120307
#3123


เริ่มปูพรมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศแล้ว ในขณะที่หลายคนกังวลใจถึงประสิทธิภาพของวัคซีน ผลการศึกษาจากสถาบันวิจัยสุขภาพชั้นนำของโลกบ่งชี้ว่า การออกกำลังกายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และมีแนวโน้มช่วยให้ร่างกายเพิ่มภูมิคุ้มกันมากขึ้น 50% หลังฉีดวัคซีน

"ดร.ร็อบ นิวตัน" ศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์การออกกำลังกายจากมหาวิทยาลัยเอดิธ โคแวน ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศออสเตรเลีย บ่งชี้ว่า การฉีดวัคซีนทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เนื่องจากเราจะมีเซลล์ภูมิคุ้มกันเหล่านี้มากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงช่วยให้การตอบสนองทรงพลังมากขึ้น สอดคล้องกับ "ดร.โรเบิร์ต อี" แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและการกีฬา จากศูนย์การแพทย์ "ไคเซอร์เพอร์มาเนนต์ ฟอนตานา" รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เผยว่า ผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือเดิน 30 นาทีต่อวัน ต่อเนื่อง 5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อ 37% อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพหลังฉีดวัคซีน

ผลการวิจัยของ "กลาสโกว์ คาเลโดเนียน ยูนิเวอร์ซิตี้" มหาวิทยาลัยใหญ่ที่สุดของสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร พบว่า การออกกำลังกายเป็นประจำ ส่งผลให้ระดับแอนติบอดี้ อิมมูโนโกลบูลิน เอ (IgA) สูงขึ้น ซึ่งแอนติบอดี้นี้ทำหน้าที่ต่อต้านการติดเชื้อ โดยยับยั้งการเกาะติดของแบคทีเรียและไวรัสกับเซลล์เยื่อบุผิว จึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันปอดและอวัยวะอื่นๆในร่างกาย ตอกย้ำว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ CD4+T ซึ่งมีบทบาทในการต่อสู้กับเชื้อโรคและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ด้าน "ศาสตราจารย์จิม ซัลลิส" จากสถาบันวิจัยสุขภาพ "แมรี่ แมคคิลลอป" มหาวิทยาลัยออสเตรเลียน คาทอลิก ยูนิเวอร์ซิตี้ วิจัยถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างการออกกำลังกายกับความสามารถในการป้องกันโควิด-19 ค้นพบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงยังพบว่าอัตราการเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูของผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มคนที่ออกกำลังกายน้อยกว่า 10 นาทีต่อสัปดาห์


จะเตรียมความพร้อมยังไง ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงสุด "ฟิตเนส เฟิร์สต์ ประเทศไทย" มีเทคนิคแนะนำ

1) ช่วง 2 วันก่อน และหลังการฉีดวัคซีน ควรงดออกกำลังกายหนัก เช่น คาร์ดิโอ, แอโรบิก และยกเวท

2) ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี

3) งดเครื่องดื่มคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

4) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมง

5) หากมีไข้สูงก่อนฉีดวัคซีน ควรเลื่อนนัด

6) หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน

7) หลังฉีดวัคซีนให้รอดูอาการ 30 นาที ถ้ามีไข้ปวดเมื่อยมาก สามารถกินยาพาราฯ 500 มิลลิกรัม ครั้งละหนึ่งเม็ด ทุก 6 ชั่วโมง

8) ถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดอยู่ให้กินตามปกติ แต่เมื่อฉีดวัคซีนแล้วให้กดตำแหน่งที่ฉีดต่ออีก 1 นาที.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2113595
#3124



นายอเลฮานโดร โอโซริโอ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าได้ประกาศศึกสู้โควิดระลอก 4 ผนึกพันธมิตร "KBank-CRG-PTG" (ธนาคารกสิกรไทย (KBank) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) (PTG) และอีกหลายเครือข่ายพันธมิตร ผ่าน 4 กิจกรรมหลักซึ่งจะเริ่มต้นส.ค. ส่งโครงการ "สู้ไปด้วยกัน" เร่งสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 160 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลและองค์กรการกุศล รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนให้คนไทย พร้อมเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ 4 กิจกรรมหลักภายใต้โครงการ "สู้ไปด้วยกัน" ประกอบด้วย พร้อมใจสู้คู่ร้านค้า โดยแกร็บร่วมกับ KBank "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายและกระแสเงินสดหมุนเวียนให้กับธุรกิจร้านอาหาร มอบเงินสนับสนุนให้กับพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ใช้บัญชีกสิกรไทยในอัตรา 15% ของยอดขายในเดือน ส.ค. (จำกัดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อร้าน) โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.grabmerchantth.com/grabfood-kbank


เตรียมจัดแคมเปญ "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อมอบส่วนลดค่าอาหาร 50% เมื่อสั่งอาหารผ่าน GrabFood พร้อมช่วยโปรโมตร้านอาหารขนาดเล็กทั่วประเทศผ่านสื่อและแอพลิเคชั่น โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ พร้อมใจสู้คู่สังคมไทย: โดยแกร็บร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย พร้อมส่งเสริมการบริจาคสมทบทุนโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19ร่วมกับ CRG เพื่อช่วยจัดส่งอาหารจากแบรนด์ในเครือด้วยบริการ GrabExpress ให้กับผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มอบส่วนลดค่าบริการให้กับเครือข่ายช่วยเหลือสังคม อาทิ เพจเราต้องรอด และโรงพยาบาลศิริราช ในการจัดส่งอาหารหรือยาให้กับผู้ป่วย


นอกจากนี้ชวนผู้ใช้บริการเปลี่ยนคะแนน GrabRewards เป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ มูลนิธิรามาธิบดี โดยแกร็บจะร่วมสมทบทุนอีกเท่าตัวของยอดบริจาคทั้งหมดด้วย พร้อมใจสู้คู่พี่คนขับ: สร้างความอุ่นใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือพาร์ทเนอร์คนขับที่ถือเป็นด่านหน้าในการให้บริการการเดินทางและการจัดส่งอาหาร-พัสดุผนึก PTG มอบสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับบริการพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหารของแกร็บที่สถานีบริการปั๊มน้ำมันพีที 855 สาขาทั่วประเทศไทยตลอดเดือนสิงหาคมฟรี รวมไปถึงกล่องใส่อาหาร ร่วมกับ GQ Apparel ทยอยมอบหน้ากากผ้ารุ่น GQWhite™ Mask พร้อมลายสกรีน Vaccinated จำนวน 150,000 ชิ้นให้กับพาร์ทเนอร์คนขับที่ได้รับวัคซีนแล้ว พร้อมใจสู้คู่คนไทย: โดยการมอบส่วนลดค่าบริการส่งอาหารและพัสดุผ่าน GrabFood GrabMart และ GrabExpress เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 19 กันยายน 2564 และมอบส่วนลดสูงสุด 80% สำหรับผู้ใช้ใหม่ (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU80" มอบส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ใช้เดิม (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU30"
#3125



"เซรั่ม" ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามที่หลายคนขาดไม่ได้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวล้ำลึกมากกว่าการทาครีมทั่วไป ทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็สามารถใช้เซรั่มเป็นตัวช่วยดูแลผิวพรรณได้เช่นกัน เพราะปัจจุบันมีหลายสูตรให้เลือกใช้ ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว แต่การจะใช้เซรั่มให้ได้ผลที่สุด ก็จำเป็นต้องรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง

เซรั่ม คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมาก เนื้อสัมผัสจะเบาบาง มีลักษณะเป็นของเหลวใสๆ อาจจะมีสีขุ่นๆ รวมไปถึงมีสีสันต่างๆ ตามส่วนผสมและสารสกัดที่ใช้ เซรั่มมีจุดเด่นที่ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวได้ล้ำลึก ด้วยการใช้ในปริมาณเพียง 2-3 หยดเท่านั้น 

ปัจจุบัน มีการผลิตภัณฑ์เซรั่มผิวออกมาหลากหลายสูตร โดยเฉพาะเซรั่มบำรุงผิวหน้า เพื่อให้แต่ละคนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง ช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เช่น เซรั่มเพื่อผิวกระจ่างใส, ลดเลือนจุดด่างดำ, ลดเลือนริ้วรอย, กระชับรูขุมขน เป็นต้น 

ประโยชน์ของเซรั่ม คือ การซึมลึกลงไปยังผิวชั้นใน เพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวอย่างอ่อนโยน และปกป้องผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น นอกจากใช้เซรั่มบำรุงผิวหน้าทั่วไปแล้ว วิธีใช้เซรั่มสำหรับผู้ชาย ยังช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวจากการโกนหนวดได้อีกด้วย


"เซรั่ม" ต่างจาก "ครีม" อย่างไร?
แม้ว่าทั้งเซรั่มและครีมจะมีหน้าที่ในการช่วยดูแลบำรุงผิวพรรณ แต่ก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งหากรู้ไว้ก็จะช่วยให้เราเรียงลำดับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้การดูแลผิวพรรณมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

เซรั่ม : เป็นสารบำรุงที่มีความเข้มข้น ซึมเข้าสู่ผิวเร็ว บางเบา ใช้ในปริมาณน้อย แก้ปัญหาและฟื้นฟูผิวได้ตรงจุด เน้นการบำรุงผิวจากภายใน แทรกซึมผ่านผิวได้ล้ำลึก ผลิตภัณฑ์เซรั่มจะมีราคาค่อนข้างสูง
ครีม : มีเนื้อสัมผัสที่หนักกว่าเซรั่ม แก้ปัญหาผิวโดยรวม บำรุงผิวชั้นนอก ช่วยให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง อาจต้องใช้ปริมาณเยอะในการทำบำรุงผิวหน้า แต่ครีมส่วนใหญ่จะมีราคาไม่แพงเท่ากับเซรั่ม

วิธีใช้เซรั่ม ควรใช้ตอนไหนให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด (สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย)
สำหรับคนที่อยากหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ แต่ก็สงสัยว่าเซรั่มใช้ยังไง ใช้ตอนไหนให้ได้ผลดีที่สุด ผู้ชายใช้ได้หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ว่าจะผู้หญิง ผู้ชาย หรือเพศไหน ก็สามารถใช้เซรั่มผิวเพื่อดูแลผิวพรรณได้ ส่วนวิธีใช้นั้นง่ายมาก เพียงแค่รู้ลำดับขั้นตอนการใช้ ก็สามารถบำรุงผิวหน้าได้แล้ว ดังนี้

1. ทำความสะอาดหน้าเพื่อเตรียมผิว
เรียกว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้าม หลังอาบน้ำควรล้างหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกติดค้าง หลังจากนั้นเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เพื่อเปิดรูขุมขน ไม่ถูแรงจนเกินไป ซึ่งในขั้นตอนที่ผิวหน้ากำลังชุ่มชื้นคือ การเตรียมผิวที่ดีที่สุด ในขั้นตอนนี้สามารถใช้เอสเซนส์บำรุงเพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ด้วย

2. เริ่มทาเซรั่มบนผิวหน้า
การใช้เซรั่มในขณะที่ผิวกำลังชุ่มชื้น จะช่วยให้สารบำรุงซึมลึกลงสู่ชั้นในของผิวได้ดีกว่าตอนที่ผิวหน้าแห้ง โดยบีบเซรั่มจากหลอด ให้มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว เพียง 2-3 หยด หลังจากนั้นใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า เริ่มจากจุดกลางหน้าผาก จมูก ปลายคาง และแก้มทั้ง 2 ข้าง นวดเบาๆ ให้เนื้อเซรั่มกระจายทั่วใบหน้าและลำคอ 


3. ทามอยส์เจอไรเซอร์ หรือสกินแคร์อื่นๆ
หลังจากทาเซรั่มแล้ว ควรรอสัก 5 นาที เพื่อให้สารบำรุงซึมลงสู่ผิวชั้นใน แล้วค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งหลายคนอาจลำดับสับสน ให้จำไว้เสมอว่า "ลงเซรั่มก่อนมอยส์เจอไรเซอร์" เนื่องจากเซรั่มมีความบางเบาที่สุด ส่วนมอยส์เจอไรเซอร์มีความเข้มข้นกว่า จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นของชั้นผิวไว้ได้ หรือไม่ว่าจะใช้ครีมบำรุงและสกินแคร์ชนิดไหน ก็ควรทาตัวที่มีเนื้อครีมหนักเป็นลำดับหลังๆ เพื่อให้การบำรุงมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเลือกเซรั่มที่ดี ควรเลือกใช้ของผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ปลอดภัยจากสารปรอทและส่วนผสมที่เป็นอันตราย ใครที่แพ้ง่ายก็ควรหันมาใช้เซรั่มสูตรอ่อนโยน มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไร้สีและกลิ่น โดยต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพปัญหาผิวของตนเอง ที่สำคัญอย่าลืมดูแลสุขภาพและร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
#3126



กรุงเทพฯ, 29 กรกฎาคม 2564 – เอไอเอ ประเทศไทย ภายใต้การนำของ นายกฤษณ์ จันทโนทก ซีอีโอคนไทยคนแรก เปิด 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนองค์กรครั้งใหญ่ เดินหน้าอย่างแข็งแกร่งในฐานะบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ ที่อยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิตมายาวนานกว่า 83 ปี พร้อมปักธงสร้างความเป็นหนึ่งในทุกด้าน ผ่านนวัตกรรมสินค้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น พร้อมช่วยเติมเต็มทุกความต้องการด้านการประกันชีวิต สุขภาพ และการวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหนุนความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้แก่คนไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ ตามคำมั่นสัญญา "Healthier, Longer, .ter Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น"

5 กลยุทธ์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป การขับเคลื่อนเอไอเอ ประเทศไทย จะดำเนินภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ที่มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งในทุกมิติ

เอไอเอ เป็นหนึ่ง บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของลูกค้าด้วยประสบการณ์ที่ดีที่สุด
เอไอเอ ยืนหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศ เอไอเอ ต้องยืนหนึ่งในใจลูกค้า และในทุกมาตรวัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด ขนาดธุรกิจ ดัชนีความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า รวมไปถึงสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในตลาด
เอไอเอ ที่หนึ่ง เป็นผู้นำในการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และการบริการ
เอไอเอ เป็นบริษัทเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์ในการดูแล และมอบความคุ้มครองให้แก่คนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี และเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นและไม่หยุดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วทุกภูมิภาค ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ​ เอไอเอ ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้า ด้วยการเปลี่ยนบริบทจากการเป็นเพียงผู้จ่ายเคลม หรือ Payor เป็น Partner ที่คอยอยู่เคียงข้างในทุก ๆ วัน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น



นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า "แม้เราจะเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ของประเทศไทยมายาวนาน แต่เราจะไม่หยุดความสำเร็จไว้เพียงตรงนี้ เพราะต่อจากนี้ไปเอไอเอ ประเทศไทย ต้องเป็นหนึ่ง ยืนหนึ่ง และที่หนึ่งในทุกด้าน โดยการเป็นที่หนึ่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อองค์กรและพนักงานของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำให้ลูกค้าของเอไอเอกว่า 5.2 ล้านราย ตลอดจนคนในสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด จากหลากหลายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการวางแผนทางการเงินในระยะยาวที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ตลอดจนตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น อันถือเป็นพันธกิจสำคัญที่เรายึดถือ โดยมีเอไอเอเป็นพาร์ทเนอร์อยู่เคียงข้างดังเช่นตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา"

ที่หนึ่งแห่งความมุ่งมั่น ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่คนไทย ด้วย 3 นวัตกรรมใหม่
จากความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลากหลายมิติ ด้วยความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว เอไอเอ ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนทุกกลุ่มในยุค New Normal ควบคู่ไปกับสนับสนุนให้คนไทยได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสะดวกสบายสูงสุดในการเข้าถึงบริการ พร้อมลดความเสี่ยงจากการเดินทาง การพบเจอกันของทั้งฝั่งตัวแทนและลูกค้า ผ่าน 3 นวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ได้แก่

ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว ดูแลครบ เรื่องครอบครัว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แก่ทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่กำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงพ่อแม่มือใหม่ที่อาจขาดประสบการณ์ดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วย 5 ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพตามช่วงวัยที่แตกต่างกันของคนในครอบครัวอย่าง การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ แชทกลุ่ม กิจกรรมไลฟ์ บทความและวิดีโอ และ ระบบบันทึกความทรงจำ พร้อมความร่วมมือระหว่างพันธมิตรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครอบครัว ทั้งโรงพยาบาลสมิติเวช กูรูชื่อดัง และ theAsianparent เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตลอดการใช้งาน

AIA iSign การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในกระบวนการสมัครทำประกันภัยแบบไม่ต้องพบหน้าจบครบในกระบวนการเดียวและมีความปลอดภัยสูง ให้ผู้สมัครทำประกันชีวิตลงนามแบบ Remote Signature (การลงรายมือชื่อจากระยะไกล) ในใบสมัคร ตลอดจนเอกสารประกอบทั้งหมด โดยมีตัวแทนเป็นผู้เสนอขายประกันแบบ Digital Face to Face ภายในระบบ iPoS+ ครอบคลุมการทำประกันทุกประเภท ซึ่งถือเป็นบริการตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) ตามประกาศ คปภ. พ.ศ. 2564

AIA iService โฉมใหม่ แอปพลิเคชันรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับกรมธรรม์ไว้ครบในที่เดียว ตั้งแต่บริการยืนยันตอบรับข้อมูลกรมธรรม์ฉบับใหม่ (Freelook) การชำระเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิต ตรวจสอบสถานะสินไหม และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในกรมธรรม์ รวมถึงการทำรายการสับเปลี่ยนกองทุนที่ลงทุนได้สำหรับลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ยูนิต ลิงค์ นอกจากนี้ ยังปรับโฉมเมนู "สิทธิพิเศษ" เมนูที่รวบรวมเอกสิทธิ์และสิทธิพิเศษจากพันธมิตรไว้มากมายสำหรับลูกค้าเอไอเอ และสมาชิกเอไอเอ เพรสทีจ คลับ พร้อมให้ลูกค้าได้เข้าถึงบริการได้สะดวกครบรอบด้าน ง่าย จบ ครบในแอปเดียว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal

"สุดท้ายนี้ผมมั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งทั้ง 5 ข้อ ประกอบกับนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เอไอเอในฐานะบริษัทเพื่อคนไทย ให้สามารถเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยเพื่อเอาชนะทุกอุปสรรคร่วมกันได้อย่างยั่งยืน" นายกฤษณ์ กล่าวเสริม

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีบริษัทมีแผนงานรองรับบริการด้านงานเคลมสำหรับรูปแบบการรักษาใหม่ Home Isolationกรณีคนไข้ที่เป็นลูกค้าป่วยโควิดอย่างไร นายกฤษณ์​ กล่าวตอบว่า เอไอเอ ดำเนินงานตามกฎระเบียบและมาตรฐานของ คปภ. ดังนั้น ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเอไอเอ เป็นโรคจากการติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ระบุให้รักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้าน ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ ที่มีความคุ้มครองในส่วนของรักษาพยาบาลในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) จะได้รับความคุ้มครองผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล ค่าแพทย์ และค่ายา (ตามที่แพทย์สั่ง) โดยรายละเอียดเงื่อนไข ทางเอไอเอ จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เมื่อสรุปกับทาง คปภ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ต่อข้อถามที่ว่า ประเมินตัวเลขภาพรวมในการจ่ายสินไหมโควิดที่จะกระทบภาคอุตสาหกรรมประกันชีวิตของไทยไว้อย่างไร มากน้อยขนาดไหนในแง่เอไอเอประมาณการไว้อย่างไร นายกฤษณ์​ ตอบว่า​ เอไอเอ เราไม่สามารถประเมินตัวเลขการจ่ายสินไหมจากโควิด 19 ได้ คงต้องรอตัวเลขจากทางสมาคมประกันชีวิตและสมาคมประกันวินาศภัย ที่จะออกมารายงาน และสำหรับเอไอเอ เราไม่มีประกันที่คุ้มครองโควิด 19 โดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ประกันสุขภาพของเราทุกแผน ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงโรคโควิด 19 อยู่แล้วตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานล่าสุด เอไอเอ ประเทศไทย ได้ทำการจ่ายผลประโยชน์ในกรณีเสียชีวิตแล้วมากกว่า 100 ราย และการจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาลจากประกันสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมถึงการเจ็บป่วยจากโรคโควิด 19 ไปแล้วมากกว่า 7,000 ราย
#3127


บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% โดยมีกำไรสุทธิ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% โดยมีปัจจัยจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ได้ถูกปิดสาขาชั่วคราว ตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. 2563 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ โดยโฮมโปร ยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งบนช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์จึงทำให้สามารถสร้างยอดขายได้เพิ่ม

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย สำหรับไตรมา 2 ปี 2564 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 1,432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.91 ล้านบาท หรือ 51.97% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,954.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,572.42 ล้านบาท หรือ 17.89% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 16,154.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,330.14 ล้านบาท หรือ 16.86% เป็นผลจาก จำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งปิดสาขาชั่วคราวตามคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น กิจกรรม HomePro Super Expo เป็นต้น สำหรับยอดขาย "โฮมโปรมาเลเซีย" ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากคำสั่ง Lockdown ของรัฐบาลมาเลเซีย ในช่วงเดือน พฤษภาคม และเดือนมิถุนายน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ค่าเช่า 302.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.70 ล้านบาท หรือ 42.17% เป็นผลจากจำนวนวันในการเปิดให้บริการมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ ยังคงมีการปรับลดค่าเช่า เพื่อช่วยเหลือผู้เช่า ที่ยังได้รับผลกระทบจากระบาดของ COVID-19 และบริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นอีก 497.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152.58 ล้านบาท หรือ 44.23% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขา

ทั้งนี้ บริษัทฯ มี กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,065.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 778.03 ล้านบาท หรือ 23.67% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 23.78% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.17% เป็นผลมาจากการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากาไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา รวมถึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนจัดซื้อสินค้าเช่นกัน

"สำหรับผลกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีผลกำไร 2,795.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 585.86 ล้านบาท หรือ 26.52% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 32,786.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,080.08 ล้านบาท หรือ 10.37% และ ณ ปัจจุบัน โฮมโปร มีสาขารวมทั้งสิ้น 86 สาขา โฮมโปรเอส 8 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา" นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า

แม้สถานการณ์ยอดขายในไตรมาส 2 โดยรวมจะได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ยอดขายสาขาเดิมของทั้งธุรกิจโฮมโปรในประเทศ และธุรกิจเมกาโฮม ยังสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า เนื่องจากฐานรายได้ที่ต่ำในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมาจากการปิดบางสาขาชั่วคราว รวมถึงในช่วงต้นเดือน เมษายน บริษัทฯ มีการจัดงาน HomePro Super Expo ผ่านช่องทาง E-commerce และทุกสาขาทั่วประเทศ แทนการจัดงานในรูปแบบเดิม

นายคุณวุฒิ กล่าวอีกว่า ทางบริษัทฯ ได้ปรับตัวเปลี่ยนแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกระยะ จึงเพิ่มความสำคัญให้กับสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน ที่คนยังต้องใช้ชีวิตในบ้าน หรือลดความเสี่ยงในการไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด โดยมีการเพิ่มสินค้าในกลุ่มป้องกันและฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Work From Home และ Cooking at Home ที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาช่องทางขายอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้การใช้งานสะดวกและง่ายขึ้นในส่วนของช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น แอปพลิเคชั่น HomePro Application และ Home Service Application

"นอกจากนี้ โฮมโปร ได้พัฒนาการให้บริการ Chat Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ โดยได้พัฒนาในส่วนของบริการขนส่งสินค้าภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Sameday Delivery) และในส่วนของการรับสินค้าที่สาขา (Click & Collect) นอกจากนี้ เนื่องจากการที่คนอยู่บ้านมากขึ้นทางบริษัทฯ ได้สร้างความน่าสนใจและสรรหาโปรโมชั่นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทาง social media ซึ่งการพัฒนา Omni Channel ในช่องทางออนไลน์เหล่านี้ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่ยังมีความกังวลเรื่องการระบาดของ COVID-19 และเป็นตัวช่วยเสริมรายได้ไตรมาส 2 ให้ยังสามารถเติบโตได้เช่นกัน".
#3128


"แรมโบ้" ซัด "กลุ่มปลดแอกภูเก็ต" อำมหิต ถามหัวใจใช่คนไทยหรือเปล่า ห่อผ้าขาวคล้ายศพวางกระจายทั่วเมือง ย่ำยีทำลายจิตใจชาวภูเก็ต วอนคนไทยที่รักความถูกต้องช่วยกันประณาม จี้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับคนเลวทรามโดยเคร่งครัด เอามาลงโทษให้ได้

วันนี้ (30 ก.ค.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ กลุ่มปลดแอกภูเก็ต ได้ออกมาสร้างความปั่นป่วนให้พี่น้องชาวภูเก็ต ด้วยการนำเอาผ้าขาวมัน มีลักษณะคล้ายผ้าห่อศพ แล้วก็ใช้สีแดง ทำให้มีลักษณะ เปื้อนเลือด แล้วนำไปวางตามจุดต่างๆ ของเมืองภูเก็ต แล้วก็ถ่ายภาพลงเฟซบุ๊กภูเก็ตปลดแอก เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 29 ก.ค. 64 นั้นว่า เป็นการกระทำที่ไร้สามัญสำนึกของความเป็นคน เอาเรื่องของความเป็นความตายมาล้อเล่น ในขณะที่เวลานี้จังหวัดภูเก็ต กำลังเปิดรับนักท่องเที่ยวตามโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ประชาชน ผู้ประกอบการของจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะได้กลับมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ แทนที่กลุ่มคนเหล่านี้จะช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนคนภูเก็ต นั้น มีรายได้ มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่กลับเป็นว่าคนเหล่านี้ คอยซ้ำเติมทำให้สถานการณ์แย่ลง เพียงเพราะหวังผลทางการเมือง ไม่อยากให้รัฐบาลทำกิจกรรมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้สำเร็จ หวั่นว่าพวกตนเองนั้นจะเสียคะแนนนิยม ถ้ารัฐบาลทำสำเร็จให้คนภูเก็ตมีเศรษฐกิจรายได้มากขึ้น ถือเป็นความคิดที่ชั่วช้าต่ำทรามที่สุด

การกระทำของคนกลุ่มนี้นับวันยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่า เป็นพวกถ่วงความเจริญ ของบ้านของเมือง ด้วยการเอาคำว่าประชาธิปไตยมาแอบอ้างการเคลื่อนไหว ก็มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง เห็นได้ชัดเจนจากการชุมนุมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จัดคาร์ม็อบ จนชาวภูเก็ตจำนวนหนึ่งไม่อดทน ต้องออกมาขับไล่พวกป่วนบ้านป่วนเมือง และท้ายที่สุดก็มีคนออกมาแฉว่ามีบรรดาที่ปรึกษาของ ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกิจกรรมดังกล่าว ถึงแม้บรรดาคนเหล่านั้นจะออกมาบอกว่าเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าเกิดม็อบแต่ละครั้งก็จะมี ส.ส.พรรคก้าวไกล ไปร่วมอยู่ด้วยเสมอ และเมื่อแกนนำม็อบถูกจับ ก็จะมี ส.ส.พรรคนี้คอยวิ่งประกันตัวทุกครั้ง หัวหน้าพรรคก้าวไกลจึงต้องคอยตักเตือน ส.ส.หรือคนในพรรคด้วยอย่าได้ไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเช่นนี้ จะทำให้พรรคเสียหายได้

"การกระทำเลวๆ ที่ชัดเจนเช่นนี้ หวังเพื่อแอบอ้างเรียกร้องประชาธิปไตยบังหน้า คือ การโกหกตอแหลพี่น้องคนไทยชัดๆ ขณะที่นายกฯ และรัฐบาลตั้งใจจะช่วยคนภูเก็ตให้มีชีวิตใหม่ มีชีวิตที่ดีขึ้น คนเลวๆ พวกนี้กับมาขัดขวาง เป็นตัวถ่วงความเจริญ ผมจึงขอวิงวอนให้คนภูเก็ตและคนไทยที่รักความถูกต้องได้ประณามพวกเลวชาติชั่วเหล่านี้ อย่าให้มีที่ยืนในสังคมและขอเรียกร้องให้ทางผู้ว่าฯ ภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้ที่สนับสนุนและกลุ่มคนสารเลวกลุ่มนี้ที่ขัดขวางการทำมาหากินของพี่น้องชาวภูเก็ต ย่ำยีหัวใจคนภูเก็ตเกินไป กลุ่มนี้คงไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขคนไทยอย่างแน่นอนจิตใจจึงโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ ควรรีบเอาไปเข้าคุกเข้าตารางโดยเร็ว เพื่อชดใช้ในการกระทำที่เลวระยำที่สุดในครั้งนี้" นายเสกสกล กล่าว
 
#3129
เติมคอยส์ COINS เติมเงิน Kitty Live, Mico เติมเพชร Kitty Live, Mico

"ได้เยอะกว่าเติมผ่านแอป"
พร้อมรับสมัครวีเจ มีเงินเดือน+ค่าของขวัญ 





111Topup เปิดบริการ เติมคอยส์ เติม COINS เติมเพชร เติมรูบี้ วิธีการเติมเงิน เติมคอยส์ MICO, KittyLive เติม COINS เติมเพชรง่ายนิดเดียว เพียงแค่โอนเงินผ่านเลชบัญชีธนาคารของเรา แจ้งโอน พร้อมบอกเลขไอดี รอรับคอยส์ไม่เกิน 30 วินาที การันตีได้คอยส์ชัวร์ แถมเยอะกว่าเติมผ่านในแอป ไม่โกง ไม่หลอก แน่นอน โดยมีการเติมเงินแบบ 2 ช่องทางหลักคือ

1. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมผ่านระบบธนาคาร ATM,ฝากเงินผ่านตู้, Mobile Banking ,ผ่านเว็บไซด์ธนาคาร


2. เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เติมเงินผ่านบัตรเติมเงิน ทรูมันนี่ 


111Topup รีบแอดไลน์เพื่อรับโปรโมชั่น แถมคอยส์เพิ่มขึ้น
เติมคอยส์ MICO, KittyLive




Add Line : @111Topup


วิธีการเติมเงิน Kitty Live, Mico คอยส์ COINS เพชร


1.     แอดไลน์ @111Topup (มี @ ด้วยนะคะ) เติมคอยส์ MICO, KittyLive 


2.     โอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ตามที่ระบุไว้ หรือ ถ้าเติมผ่านบัตรทรูมันนี่ ให้ส่งหลักฐานบัตรมาที่ไลน์แอด @111Topup


3.     แจ้งเลขไอดี แอฟ Kitty Live, Mico ในไลน์


4.     เมื่อทีมงานรับเรื่องแล้วไม่เกิน 30 วินาทีคุณจะได้รับคอยส์ (COINS) ใน แอฟ Kitty Live, Mico


5.     เติมคอยส์ MICO, KittyLive  เปิดบริการเติมเงินทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 02.00 น. (8โมงเช้า-ตี2 ทุกวัน)


 


 


รับสมัครวีเจ ไลฟ์ มีเงินเดือน + ค่าของขวัญ เงินเดือนขั้นต่ำ 6000 บาท 


 


สมัครวีเจ เข้า สังกัด 111 ทำงาน ขั้นต่ำ 20 วัน 30 ชั่วโมงต่อเดือน ทำงานที่บ้านไลฟ์ ออนไลน์ผ่านมือถือ 


มีการันตีเงินเดือน 6000-10000 บาท สำหรับวีเจใหม่ มีเทรนด์งานก่อนขึ้น ไลฟ์ดี ตั้งใจไลฟ์ สังกัดพร้อมซัพพอร์ต ในการหายูสให้แน่นอน รายได้หลักหมื่น - ถึงแสน บาทต่อเดือน


** วีเจที่เคยไลฟ์ BIGO VIBIE YAYA MCAT MLIVE มีการันตีพิเศษ คลิ๊กเลย


สนใจสมัครวีเจ คลิ๊กเลย  https://lin.ee/0apXPWf


 
#3130



ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกและการลงทุนยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างเดลตาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการลงทุนยังคงมีความผันผวน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดีในทุกๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่นักลงทุนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีการศึกษาข้อมูลและการวางแผนที่ดีควบคู่ไปพร้อมกัน

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ระบบเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน แต่โลกความเป็นจริงทุกสิ่งก็ต้องยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับโลก จึงได้เผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังของปี 2564 ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมความพร้อม และเป็นแนวทางก่อนตัดสินใจที่จะลงทุน ประกอบไปด้วย

1.ภาครัฐทั่วโลกยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง – ในขณะนี้ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายระดับต่ำต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาด อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยจะไม่ต่ำแบบนี้ตลอดไป จะมีสัญญาณการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน หากภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงปกติ และเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

2.ประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วจากโควิด-19 ได้เปรียบ – ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้น แรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้างมากขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คน สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในภาคต่างๆกลับมาขับเคลื่อน จะเห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน



3.ให้น้ำหนักการลงทุนยั่งยืน (ESG) – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มหันมาให้ความสำคัญในการมุ่งสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการคว้าโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในอนาคต ตลอดจนนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าและประสิทธิภาพของพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า



4.มองบวกลงทุนหุ้นหลากกลุ่มหลายภูมิภาค– แม้ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงต่อเนื่อง แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นแนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ตลอดจนกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา

5.จับตาสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างใกล้ชิด – แม้นักวิเคราะห์ซิตี้พบว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะสั้นในอุตสาหกรรมหลายประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการสิ้นสุดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกทั้งการลงทุนระยะยาวในอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดได้เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนที่อาจเลวร้ายลง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศที่อาจมีนัยยะและส่งผลกระทบ ตลอดจนการโจมตีทางไซเบอร์บนโครงสร้างพื้นฐานของโลกยังคงเป็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว
#3131



นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา ตนได้ลงนามออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดสรรเส้นทางบินให้กับผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการการบินพลเรือนในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564

โดยได้ทำการปลดล็อคเปิดโอกาสให้สายการบินสามารถขออนุญาตทำการบินเข้า-ออกสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา –ระยอง- พัทยา เพิ่มเติม จากเดิมที่กำหนดให้มีสายการบินให้บริการได้ไม่เกิน 3 ราย เพราะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา -ระยอง -พัทยา เป็นเส้นทางสายย่อย ที่มีผู้โดยสารใช้บริการไม่ถึง 1 แสนคนต่อปี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 ต.ค. 2564 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง


สำหรับการออกประกาศดังกล่าว เพื่อต้องการเพิ่มทางเลือกและบรรเทาปัญหาการเดินทางให้กับผู้โดยสารที่มีความจำเป็นต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาและเพื่อประโยชน์สาธารณะ ในการส่งเสริมให้มีการใช้บริการขนส่งทางอากาศที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน

รวมถึงช่วยบรรเทาผลกระทบของสายการบินให้สามารถดำรงสถานะทางการเงินและให้บริการประชาชนต่อไปได้ ในช่วงที่สายการบินไม่สามารถบินรับ-ส่งผู้โดยสาร เข้าหรือออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลประกาศควบคุมเที่ยวบินเข้าออก ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค

นายสุทธิพงษ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้สายการบินใดสนใจที่จะทำการบินที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ก็สามารถยื่นขออนุญาตได้มากกว่า 3 สายการบิน โดยจะเป็นการอนุญาตให้บินแบบประจำ มีกำหนดเวลาการทำการบินรับส่งผู้โดยสาร ซึ่งขณะนี้กำหนดให้บินจนถึงแค่วันที่ 30 ต.ค.2564


อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสายการบินนกแอร์ได้แจ้งขอเริ่มทำการบินที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยยื่นขอจำนวน 5 เส้นทาง คือ เชียงใหม่ สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช อีกทั้งล่าสุดสายการบินไทยเวียตเจ็ท ได้แจ้งขอเปิดทำการบินเช่นกัน โดยจะเริ่มทำการบินเที่ยวแรก วันที่ 2 ส.ค. นี้ รวม 1 เส้นทาง คือ อู่ตะเภา-ภูเก็ต

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ท่าอากาศยานอู่ตะเภามีสายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ส ทำการบินอยู่ก่อน และได้ยกเลิกการทำการบินชั่วคราวไปอย่างไม่มีแผนกำหนด ว่าจะกลับมาเปิดบินอีกครั้งเมื่อไหร่ ขณะที่สายการบินไทยสมายล์ ไม่สนใจที่จะเข้ามาทำการบินเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีสถานีให้บริการภาคพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา
#3132



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมด ที่ได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ปยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ปมีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่

"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์กล่าว
#3133



นายบัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจดีในการแก้ไขปัญหาหนี้ของคนไทยแต่เป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน จึงต้องทำด้วยความระมัดระวังด้วย 2 เหตุผล คือ 

1.บทบาทของภาครัฐในฐานะผู้บริหารประเทศ จะเข้าไปมีบทบาทได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ การกู้ยืมนั้นมีกฎเกณฑ์ของตลาดอยู่

2.ความซับซ้อนของปัญหาหนี้เพราะหนี้หลายกลุ่มสะสมมานานก่อนโควิด-19 อาทิ หนี้ครู หนี้ กยศ. รวมถึงหนี้จากเศรษฐกิจไม่ดีและคนไม่มีรายได้พอชำระหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล

แนะแก้หนี้กลุ่มโควิดก่อน

"การแก้ปัญหารัฐบาลต้องแยก 2 เรื่องนี้ เพื่อไปสู้เป้าหมายการแก้หนี้ครั้งนี้ในวิกฤติครั้งนี้ คือ การช่วยคนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ไม่ใช่แก้ปัญหาของอดีตที่สะสมมานาน"

สำหรับการแก้ไขหนี้รัฐบาลต้องมีหลัก 3 เรื่อง คือ 1.การช่วยเหลือของรัฐต้องไม่ทำลายวินัยการกู้ยืม คือ ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ เจ้าหนี้ต้องได้รับเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งการช่วยเหลือของรัฐต้องไม่ไปทำลายจุดนี้ เพราะทำให้เกิดการเสียวินัยลูกหนี้และเจ้าหนี้

2.รัฐไม่แทรกแทรงจนทำลายกลไกตลาด เช่น การกู้ยืมผ่านระบบธนาคารพาณิชย์เป็นระบบเศรษฐกิจมานานแล้ว หากมีปัญหา การช่วยเหลืออาจเป็นการปรับเกณฑ์หรือผ่อนเกณฑ์ ซึ่งทำได้เพราะเป็นแนวทางปกติ แต่หากทำอะไรเพิ่มต้องไม่ทำให้กลไกลตลาดถูกบิดเบือน

3.ไม่สร้างภาระการคลังให้ประเทศ เช่น หากให้ธนาคารรัฐลดดอกเบี้ยอาจทำให้ฐานะการเงินธนาคารรัฐแย่ลงในที่สุดรัฐต้องนำงบมาช่วยธนาคาร ดังนั้นการให้ธนาคารทำอะไรต้องอยู่ในการตัดสินใจเชิงธุรกิจของแต่ละธนาคาร

ปล่อยธปท.หาช่องทางช่วยเหลือ

นายบัณฑิต กล่าวว่า การแก้หนี้กลุ่มที่ทำได้ง่ายสุด คือ กลุ่มหนี้ ธนาคารพาณิชย์ สินเชื่อเช่าเซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ซึ่งแต่ละสถาบันการเงินมีระบบกฎเกณฑ์ดูแล ซึ่งพอเกิดวิกฤติโควิดทุกคนรู้ว่าจะมีปัญหาการชำระหนี้ และ ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารรัฐและเอกชน ดำเนินการหลายอย่าง เช่น ให้สถาบันการเงิน ลดดอกเบี้ย ยืดการชำระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ หากมีมาตการอะไรเพิ่มเติม ธปท.จะทำเองเพราะดูตามสถานการณ์และรู้ว่ามีช่องทางใดช่วยเพิ่มเติม เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยประชาชนตามที่ ธปท.มีหลักเกณฑ์ออกมา โดยหากสถาบันการเงินไหนทำได้มากกว่า เพื่อช่วยเหลือลูกค้าถือเป็นเรื่องดี ซึ่งภาครัฐต้องสนับสนุนกฎเกณฑ์ที่ ธปท.และสถาบันการเงินต้องการ

ชงปรับรูปแบบจ่ายหนี้ กยศ.

ส่วนปัญหาหนี้ กยศ.สะสมมานานและผิดนัดชำระสูงสุด โดยมีหนี้เสีย 62% สะท้อน 2 เรื่อง คือ 1.วินัยที่รู้ว่าตัวเองเป็นหนี้แต่ไม่ชำระเพราะมองว่าไม่ชำระหนี้ก็ได้ 2.มีผู้ต้องการชำระแต่วิธีการผ่อนชำระล้าสมัยเพราะให้ชำระปีละครั้งทำให้ไม่คล่องตัวในการชำระ

ดังนั้น กยศ.ต้องปรับรูปแบบชำระให้คล่องตัวเหมือนการชำระหนี้ภาคเอกชน เช่น ผู้มีเงินเดือนประจำให้จ่ายรายเดือนได้ รวมถึงปรับวิธีหรือการชำระหนี้ให้สอดคล้องภาวะปัจจุบันในอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผิดนัดชำระ เช่น ธนาคารลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้แล้ว กยศ.ต้องลดดอกเบี้ยเช่นกัน เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ กยศ.เสียเปรียบลูกหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้ผู้ไม่ได้ชำระมานานและการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง

ส่วนการแก้หนี้ของข้าราชการต้องสร้างวินัยในการชำระเงิน เพราะบางคนมีเงินเดือนแต่ไม่นำไปชำระจนบางคนเกษียณแล้วยังไม่จ่ายหนี้ ส่วนผู้ที่ยังทำงานอยู่แต่มีหนี้มากต้องปรับโครงสร้างหนี้ ทบทวนอัตราดอกเบี้ยปรับ มีการไกล่เกลี่ย จะช่วยให้คนที่อยากจ่ายหนี้ แต่ยังไม่คล่องตัวให้ชำระหนี้ได้


ทั้งนี้ แก้ไขปัญหนี้ครัวเรือนที่ตรงจุดที่สุดและแก้ขปัญหายั่งยืน คือ การทำให้คนมีรายได้ มีการสร้างงานให้ผู้ตกงาน เมื่อมีงานทำจะมีเงินมาชำระได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลใช้เงินหลายแสนล้านในการเยียวยาโดยการให้เปล่า ให้คนเอาเงินที่ใช้จ่าย ซึ่งช่วยการบริโภค แต่คนยังไม่มีงานทำ จึงต้องรแจกเงินเยียวยารอบใหม่ ซึ่งมองว่าไม่ควรเพราะไม่ช่วยเศรษฐกิจ 

"เงินที่รัฐบาลให้ต้องสร้างงานให้คน ใครอยากไม่อยากเป็นลูกจ้างก็สนับสนุนในการให้สินเชื่อ หรือมีการปรับทักษะของคน ให้สามารถทำงานในส่วนของธุรกิจที่ยังมีการเติบโตได้ในขณะนี้"
#3134



ผ่านมาแล้วกว่าครึ่งปีที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายการทำงานในปี 2564 ให้แก่กรมต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์รับไปปฏิบัติ โดยมีนโยบายเร่งด่วนรวม 14 ข้อ ได้แก่ ประกันรายได้, ลดค่าครองชีพ, เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด, อาหารไทยอาหารโลก, การค้าออนไลน์, ส่งเสริมธุรกิจบริการ, พัฒนา SMEs และ Micro SMEs, เร่งรัดการส่งออก, ผลักดันการค้าชายแดน, เจรจาการค้าระหว่างประเทศ, จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา, บริการด้วยอิเล็กทรอนิกส์, ทำงานร่วมกับภาคเอกชนในนาม กรอ.พาณิชย์ และให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว

ผลการขับเคลื่อนงานที่ผ่านมา แต่ละกรมในกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งทำงานตามนโยบาย ปรากฏผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการช่วยเหลือเกษตรกร ประชาชน และภาคธุรกิจ จนเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่ติดอันดับต้นๆ ที่ประชาชนพอใจในผลการทำงาน

ล่าสุด "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" ได้สรุปผลการทำงานครึ่งปี และแผนการทำงานในช่วงครึ่งปีหลัง ปรากฏผลการทำงานตามนโยบายที่ประสบความสำเร็จหลายด้าน โดยเฉพาะการผลักดันเกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อย หรือที่เรียกกันว่า "คนตัวเล็ก" ให้มีโอกาสทางการตลาด ให้มีโอกาสในการทำมาค้าขาย ทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ

ใช้ออนไลน์ช่วยเกษตรกรทำตลาด

ในการขับเคลื่อนการทำงานภายใต้นโยบาย "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้แปลงนโยบายลงสู่การปฏิบัติด้วยการร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานพันธมิตร 24 หน่วยงาน ทำแพลตฟอร์มกลาง "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ในรูป B2B (Business-to-Business) ต่อยอดจากแพลตฟอร์มที่มีอยู่ ได้แก่ "Thaitrade.com ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ" และแพลตฟอร์ม "Phenixbox.com ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มศูนย์ค้าส่งครบวงจรภายในประเทศ

ผลการดำเนินงานในส่วนของตลาดต่างประเทศ ได้คัดเลือกและพัฒนาสหกรณ์ที่มีความพร้อมในการจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม และมีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ จำนวน 9 สหกรณ์ ให้มีร้านค้าออนไลน์บน Thaitrade.com รวมสินค้าทั้งสิ้น 45 รายการ เช่น ข้าว นม และโคเนื้อ โดยแพลตฟอร์ม Thaitrade.com ได้สร้างหน้าเฉพาะสำหรับสินค้าจากสหกรณ์ภายใต้ชื่อ "Thai Agricultural Trade Center" (https://www.thaitrade.com/online-exhibition/thai_agricultural) และกำหนดจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ (Online Business Matching) ระหว่างสหกรณ์กับผู้ค้าต่างประเทศ ในวันที่ 29-30 ก.ค. 2564 นี้

สำหรับตลาดในประเทศ ได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม Phenixbox.com จัดทำ Profile สินค้าเกษตร เพื่อเชื่อมโยงไปยัง Phenixbox.com จำนวน 28 สหกรณ์ รวมสินค้าทั้งสิ้น 37 รายการ เช่น ข้าวสาร นมโค ผลไม้ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ โดยแพลตฟอร์ม Phenixbox.com ได้สร้างหน้าเฉพาะสำหรับสินค้าจากสหกรณ์ภายใต้ชื่อ "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" (https://www.phenixbox.com/Thai_agricultural) โดยจะมีการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ระหว่างกลุ่มสหกรณ์กับบริษัทในเครือ TCC Group ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรต่างๆ ของบริษัทแอสเสท เวิร์ด คอร์ป จำกัด (มหาชน) ในเดือน ส.ค. 2564

ทั้งนี้ นายจุรินทร์ได้กำชับให้เพิ่มความเข้มข้น และเพิ่มจำนวนเกษตรกร และรายการสินค้าให้มีโอกาสเข้าไปจำหน่ายในแพลตฟอร์มทั้ง 2 แพลตฟอร์มให้มีจำนวนมากขึ้นต่อไป

สอนคนตัวเล็กค้าขายออนไลน์

การเพิ่มโอกาสในการค้าขายออนไลน์ เป็นอีกนโยบายหนึ่งที่นายจุรินทร์สั่งการให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์เร่งขับเคลื่อน และให้ความช่วยเหลือคนตัวเล็ก โดยเฉพาะเกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อย ให้มีโอกาสในการค้าขายออนไลน์ ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เข้าไปช่วยเหลือตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น ด้วยการให้ความรู้ สอนเทคนิคการตลาดออนไลน์ ด้วยการจัดทีมผู้เชี่ยวชาญลงไปสอนถึงที่ แต่ด้วยข้อจำกัดของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องปรับแผนเป็นการฝึกสอน อบรมผ่านช่องทางออนไลน์แทน

ที่ผ่านมาได้สอนความรู้การทำการค้าและเทคนิคการตลาดออนไลน์ไปแล้ว 2,175 ราย, สร้าง Smart Trader Online ด้วยการบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เป็นนักการค้าออนไลน์ และจับคู่เชื่อมโยงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ Trader Online กับสินค้าและบริการที่มีศักยภาพ เข้าสู่ช่องทางการตลาดบนแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมแล้ว 406 ราย

ส่วนแผนระยะถัดไป ช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2564 มีเป้าหมายที่จะพัฒนาสินค้าชุมชน กลุ่มเกษตรกร สู่ช่องทางการตลาด (Offline 2 Online) โดยจะคัดเลือกสินค้าชุมชน ของดีของเด่นประจำจังหวัด จากผู้ประกอบการฐานรากที่มีศักยภาพทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด ครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อเข้าสู่กระบวนการให้ความรู้และผลักดันสินค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวนเป้าหมาย 1,260 ราย และจะสร้างโอกาสทางการตลาดออนไลน์แก่ผู้ประกอบการฐานราก ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบออฟไลน์ ภายใต้งานมหกรรม Thailand e-Commerce Expo ที่จะจัดขึ้นในเดือน พ.ย. 2564

นอกจากนี้ ได้เข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้แก่ภาคการผลิตฐานราก ทั้ง SMEs และ Micro SMEs โดยอบรมให้ความรู้หาตลาดและเปิดโอกาส เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในตลาดที่กว้างขึ้น ส่งเสริมศักยภาพการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ส่งเสริมศักยภาพนักการตลาด OTOP มืออาชีพ เพื่อเป็นตัวแทนหรือผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP และพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดเชื่อมโยงการตลาดผลิตภัณฑ์ OTOP เข้าสู่ช่องทางการตลาด 332 ราย สร้างโอกาสทางการค้าและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าชุมชน (MOC Biz Club) เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศมาเชื่อมโยงต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มโอกาสการค้า ปัจจุบันมีสมาชิก 12,721 ราย ทั้งนี้ ยังมีกำหนดจัดงาน MOC Biz Club Fair 2021 ที่กรุงเทพฯ หรือปริมณฑล จำนวน 4 ครั้ง ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค. 2564 เพื่อการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า การเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ และการให้คำปรึกษาทางธุรกิจด้วย



พัฒนาโชวห่วยเพิ่มรายได้ฐานราก

สำหรับธุรกิจบริการ ที่เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการและเพิ่มรายได้เข้าประเทศ นายจุรินทร์ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับภาคบริการ ทั้งผู้ค้าปลีก ค้าส่ง สมาร์ทโชวห่วย กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มร้านอาหาร โดยให้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มช่องทางการตลาดให้ภาคบริการ

ผลการดำเนินงานตามนโยบาย ได้ช่วยพัฒนาร้านค้าปลีกสู่การเป็นสมาร์ทโชวห่วย ด้วยการสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ พัฒนาภาพลักษณ์ ส่งเสริมการนำเทคโนโลยี POS ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทั่วประเทศ มีเป้าหมายในการพัฒนา 3,500 รายทั่วประเทศ และผลักดันให้สมาร์ทโชวห่วยนำระบบ POS มาใช้ในการบริหารจัดการร้าน 500 ราย

นอกจากนี้ ยังได้ใช้ร้านค้าปลีกค้าส่ง ร้านโชวห่วยในเครือข่ายที่ผ่านการอบรมพัฒนาแล้ว มาช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ผู้ผลิต ผู้แทนจำหน่าย ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ในการจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดผ่านร้านโชวห่วยจำนวน 2,040 ราย ซึ่งสามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนลงลึกถึงระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านได้เป็นอย่างมาก

สร้างเครือข่าย-เพิ่มมาตรฐานธุรกิจบริการ

ส่วนธุรกิจบริการที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ สำนักงานบัญชี ได้พัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการ การตลาด เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่าย Startup กับ SMEs ด้วยนวัตกรรมด้านโลจิสติกส์ นำไปสู่การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงแหล่งตลาด และการบริหารจัดการระบบคลังสินค้าและขนส่งแบบครบวงจร 2,453 ราย

ขณะเดียวกัน ได้สร้างความเข้มแข็งและการเติบโตให้กับธุรกิจแฟรนไชส์ไทย สร้างธุรกิจแฟรนไชส์รายใหม่ (B2B Franchise) รุ่นที่ 24 จำนวน 158 ราย รวม 98 กิจการ และเสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพด้านบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์ไทย 235 ราย

พร้อมกันนี้ ได้ให้ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจผ่าน e-Learning จำนวน 7 หลักสูตร 30 วิชา ได้แก่ หลักสูตรการเริ่มต้นธุรกิจ หลักสูตรการเงินและการบัญชี หลักสูตรวิชาบัญชี หลักสูตรพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น หลักสูตรพัฒนากลยุทธ์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หลักสูตรการประกอบธุรกิจใน AEC หลักสูตรการพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ ผ่านเว็บไซต์ http://dbdacademy.dbd.go.th มีผู้สมัครเข้ามาเรียนแล้ว 28,658 ราย

สำหรับแผนงานช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2564 จะเน้นการสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ธุรกิจบริการที่ผ่านการคัดเลือก ช่วยสร้างแรงจูงใจ และผลักดันให้ผู้ประกอบธุรกิจปรับตัวกับวิถีการค้ายุคใหม่ โดยเฉพาะการขายและการตลาดออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.ของดีทั่วไทย.com ในเดือน ส.ค. 2564, ส่งเสริมร้านอาหารไทยในประเทศให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป้าหมาย 300 ราย ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ 940 ราย และจัดประกวดธุรกิจแฟรนไชส์ไทย (Thailand Franchise Award 2021 : TFA 2021) ในเดือน ส.ค. 2564

พลิกโฉมหน้างานบริการด้วยดิจิทัล

ทางด้านการปรับปรุงพัฒนาการให้บริการภาคธุรกิจและประชาชน นายจุรินทร์ได้กำชับให้มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วในการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตอบสนองนโยบายกระทรวงพาณิชย์ดิจิทัล และนโยบาย E-Government ของรัฐบาล โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ยกระดับการเริ่มต้นธุรกิจของประเทศ โดยดำเนินการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เริ่มจากการจองชื่อนิติบุคคลด้วยระบบ AI ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบและผลอนุมัติการจองชื่อ โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 2564 และส่งเสริมการใช้ระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) เพิ่มช่องทางการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) และปรับปรุงแบบฟอร์มการกรอกให้ง่ายขึ้น เปิดให้บริการ 27 เม.ย. 2563 และยังได้ลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านระบบ e-Registration จากเดิมลดให้ร้อยละ 30 เป็นลดให้ร้อยละ 50 เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564

นอกจากนี้ ได้เพิ่มช่องทางให้ผู้แทนสามารถกรอกและยื่นคำขอจดทะเบียนแทนผู้ประกอบการได้ เปิดให้บริการ 8 มี.ค. 2564 และพัฒนาระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Foreign Certificate) โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนต่างชาติ ให้สามารถยื่นขอรับบัตรส่งเสริมลงทุนจาก BOI และหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้ ณ จุดเดียว (Single Unit) ที่ BOI ทำให้ลดระยะเวลาจากเดิมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 30 วัน เหลือเพียงภายใน 5 วัน และลดต้นทุนการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจชาวต่างชาติโดยเปิดให้บริการเดือน ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา

ไม่เพียงแค่นั้น ยังได้เปิดให้บริการระบบออกเลขประจำตัวนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอมีเลขประจำตัวนิติบุคคล แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูล และแจ้งยกเลิกการประกอบธุรกิจให้แก่นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย และเป็นธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งคนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจได้โดยไม่ต้องขออนุญาต โดยสามารถดำเนินการได้ผ่านเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2564

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามนโยบายเร่งด่วน ที่นายจุรินทร์ได้กำหนดเป็นแผนการทำงานสำหรับปี 2564 ซึ่งสามารถช่วยให้ "คนตัวเล็ก" ได้มีโอกาสทางการตลาดเพิ่มขึ้น มีโอกาสในการทำมาค้าขายเพิ่มขึ้น มีโอกาสในการเพิ่มรายได้ในกระเป๋าเพิ่มขึ้น และมีโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของการทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ยืนยันว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงเพิ่มความเข้มข้นและช่วยผลักดันให้คนตัวเล็กมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อไป
#3135
ซิกส์ทีม (SIXTEEM) เป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องสำอางบำรุงผิว ที่มีแนวคิดแรกเริ่มจากการนำข้าวไทยมาเป็นวัตถุดิบส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ โดยคุณพัทธนันท์ เศรษฐภูวนันท์ ผู้จัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิกส์ทีม เนเชอรัล โปรดักส์ โดยมีแรงบันดาลใจจากปัญหาเศรษฐกิจในตอนนั้นคือชาวนากับการจำนำข้าว ทำให้มีแนวคิดเพื่อช่วยส่งเสริมเกษตรกรและก็เพิ่มราคาให้ข้าวไทย ทางซิกส์ทีมก็เลยนำปัญหานี้ไปต่อยอดค้นคว้าหาข้อมูลข้าวสายพันธ์ต่างๆที่สามารถนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ จนพบว่าข้าวสีนิลไทยหรือข้าวหอมนิล ที่ประโยชน์ มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การบำรุงผิวพรรณ โดยซิกส์ทีมเริ่มออกผลิตภัณฑ์ตัวแรกในปี พุทธศักราช 2559 เป็นโลชั่นบำรุงผิวกายจากสารสกัดข้าวสีนิล ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้อย่างดีเยี่ยม





 ซิกส์ทีมยังคงสร้างสรรค์รวมทั้งปรับปรุงสินค้าเพื่อตอบโจทย์การบำรุงผิวเรื่อยมาจนกระทั่งในปี พุทธศักราช 2560 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิกส์ทีม เนเชอรัล โปรดักส์ ก็ได้รับรางวัล Chiang Mai TOP TEN AWARDS 2017 จากหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ แล้วก็ยังถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในสินค้าของดีจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาก็ได้รับรางวัล SMEs START UP AWARDS 2017-2018 จาก สสว. ถึงสองปีซ้อน รวมทั้งล่าสุดได้รับรางวัล SME Provincial Champions 2020 กิจการต้นแบบของจังหวัดเชียงใหม่ รางวัลต่างๆแล้วก็เสียงตอบรับจากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ทำให้ซิกส์ทีมมั่นใจยิ่งขึ้นว่าสามารถส่งเสริมให้ข้าวไทยเป็นที่รู้จักในระดับประเทศได้ ซิกส์ทีมก็เลยเริ่มนำสินค้าที่มีออกวางขายไปที่ประเทศอื่นๆ โดยได้รับการช่วยส่งเสริมจากภาครัฐได้ออกบูธผลิตภัณฑ์ในประเทศจีน แล้วก็สปป.ลาว ต่อเนื่องเรื่อยมา





 ในปี พ.ศ. 2562 ซิกส์ทีม ได้ผลักดันข้าวไทยสู่งานนวัตกรรมข้าวไทย ซึ่งคิดค้นแล้วก็พัฒนาร่วมกับคณะเกษตรศาสตร์และเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยข้าวที่ซิกส์ทีมเอามาร่วมศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้คือ "ข้าวก่ำดอยสะเก็ด" เป็นพญาแห่งข้าวทั้งหลาย สายพันธุ์ดั้งเดิมของชาวล้านนา และยังเป็นข้าวGI ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมี 6 คุณประโยชน์ ต้านความชรา จากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยข้าวครั้งนี้ ทำให้ซิกส์ทีม สร้างสรรค์รวมทั้งต่อยอดจนกระทั่งเกิดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากข้าวไทย ปัจจุบันซิกส์ทีมยังคงมุ่งมั่นพัฒนา โดยเป็นแบรนด์แรกๆที่ได้นำข้าวสีนิลไทยมาสกัดจนเกิดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนอกเหนือจากที่จะต้องการสนับสนุนชาวนาไทยแล้ว ซิกส์ทีมยังมุ่งมั่นสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ข้าวไทยสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่ให้สูญหาย รวมทั้งร่วมส่งเสริมให้ข้าวไทยมีชื่อเสียงในระดับโลกต่อไป



 
 
#3136



โรคโควิด-19 ที่ระบาดมาเป็นปีๆ มีขึ้นมีลงไปหลายระลอก จนบริษัทยาต่างๆ ต้องรีบทำวิจัยวัคซีนออกมาหยุดยั้งการระบาด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดให้ได้

เฉพาะในสหรัฐอเมริกาแห่งเดียว ก็มีบริษัทยาเป็นสิบๆ แห่งที่ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 หลายแห่งยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่มี 2 แห่งใหญ่ๆ ที่ได้วัคซีนประเภท mRNA ออกมาใช้ในภาวะฉุกเฉินและได้รับความนิยมทั่วโลก อย่าง ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ส่วนที่จะตามมาในปีหน้า โดยมุ่งหมายจะเป็นวัคซีนตัวบูสเตอร์ ต้านเชื้อร้ายที่กลายพันธุ์ ยังมี โนวาแวกซ์

ขณะที่ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทำวิจัยวัคซีนโควิด-19 ชนิด ไวรัลเวคเตอร์ อย่างแอสตรา ซีเนกา ส่วนประเทศต้นทางของเชื้อโควิด-19 อย่างจีน ผลิตวัคซีนโดยอาศัยเชื้อตายออกมา ทั้งชิโนแวค และชิโนฟาร์ม

เรามาทำความรู้จักหน้าค่าตาของผู้นำบริษัทยาเหล่านี้กัน...



:: อัลเบิร์ต บูร์ลา - ไฟเซอร์

บริษัทยาอเมริกันที่มีรายได้เป็นพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยที่มาของรายได้ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐเอง 52% กับอีก 6% จากจีนและญี่ปุ่น และ 36% ที่เหลือจากที่อื่นๆ ทั่วโลก



ประธานบริษัทไฟเซอร์ อัลเบิร์ต บูร์ลา เป็นสัตวแพทย์ชาวกรีก เข้ามาร่วมงานกับไฟเซอร์ในปี 1993 โดยได้ทำงานบริหารแผนกต่างๆ ของบริษัทหลายแผนก ก่อนจะขึ้นเป็นกรรมการบริษัทและเป็นประธานในที่สุด

อัลเบิร์ต ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มาเปลี่ยนโฉมหน้าของการผลิตยา โดยเฉพาะการไม่เบียดเบียนสัตว์ รวมทั้ง การพยายามต่อสู้ด้านราคาและสิทธิบัตรยา ซึ่งเขาเห็นว่า มีความสำคัญในการค้นคว้าวิจัยยาอื่นๆ ในอนาคต และประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ในความร่วมมือกับ ไบออนเทค ของเยอรมนี ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 โดยเขาเป็นผู้ผลักดันให้ทีมวิจัยเร่งทำงานให้เร็วขึ้น



:: สเตฟาน บองเซล - โมเดอร์นา

บริษัทยาอเมริกันในเคมบริดจ์ แมสซาชูเซตส์ ที่ผลิตวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA อีกเจ้าหนึ่ง ซึ่งชื่อโมเดอร์นา ก็มาจากเทคโนโลยีในการผลิต nucleoside-modified messenger RNA (modRNA) นั่นเอง

ก่อนหน้าวัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นาเคยผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และอื่นๆ มาแล้วกว่า 24 ชนิด พวกเขามี สเตฟาน บองเซล มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศสนั่งเป็นซีอีโอ



สเตฟานจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปารีส-ซาคเลย์ วิทยาเขตซองทรัลซูเปเลค และที่มหาวิทยาลัยมินเนโซตา นอกจากนี้ยังได้เอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ด บิซิเนส สกูล อีกด้วย

เขาเริ่มงานครั้งแรกด้วยการเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขาย ของบริษัทยาอเมริกัน อีไล ลิลลี แอนด์ โค. โดยไปประจำอยู่ที่สาขาเบลเยียม ก่อนจะย้ายไปเป็นซีอีโอของบริษัทยาฝรั่งเศส ไบโอเมริเยอร์ซ และเข้ามาเป็นซีอีโอของบริษัท โมเดอร์นา ในปี 2011

ว่ากันว่า หลังจากการทดลองเฟส 2 ของวัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา หุ้นที่สเตฟาน บองเซล ถืออยู่ก็มีมูลค่าพุ่งไปกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ก็อย่าได้ไปพูดถึง



:: ลิฟ โยฮันสัน + ปาสกัล โซริโอต์ - แอสตราซีเนกา

บริษัทร่วมทุนอังกฤษ-สวีเดน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในคณะชีววิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ ในการผลิตวัคซีนโควิด-19 พวกเขาอาศัยเทคโนโลยีจากการวิจัยของออกซ์ฟอร์ด ที่เป็นวัคซีนแบบไวรัล เวคเตอร์ หรือจำลองดีเอ็นเอของตัวเชื้อไวรัสขึ้นมา ให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาต้านทาน

นักธุรกิจชาวสวีเดน ลิฟ โยฮันสัน นั่งในตำแหน่งประธานของแอสตราซีเนกา โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็นประธานและซีอีโอของวอลโว กรุ๊ป และเคยเป็นประธานบริษัท อีริคสัน เขาจัดว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลลำดับที่ 6 ของสวีเดน

ลิฟ จบปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ และปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในโกเตนเบิร์ก เขาทำงานในอุตสาหกรรมของสวีเดนมาตลอดชีวิต เริ่มจากเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมอเตอร์ไซค์ฮุสกวานา เคยเป็นซีอีโออีเลคโทรลักซ์ และเป็นประธานกับซีอีโอของวอลโว ประธานบริษัท อีริคสัน ก่อนจะมาเป็นประธานของแอสตราซีเนกา



บุคคลสำคัญของแอสตราซีเนกาอีกคน คือ ปาลกัล โซริโอต์ ที่เพิ่งได้รางวัลสุดยอดซีอีโอโลก 100 ของนิตยสารฮาร์วาร์ด บิซิเนส รีวิว ในปี 2019 โดยดูจากผลประกอบการ รวมทั้งการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

ปาลกัล ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ปฏิวัติการทำงานในแอสตราซีเนกา เขาดูแลพนักงานฝ่ายต่างๆ กว่า 60,000 ให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการตอบสนองความคาดหวังของคนในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19

ปาลกัล ศึกษาจบด้านสัตวแพทย์ศาสตร์ ก่อนจะศึกษาเพิ่มเติมด้านเอ็มบีเอ ในปี 1986 เขาเข้าทำงานในบริษัท รุสเซล ยูคลัฟ บริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของฝรั่งเศส ในตำแหน่งพนักงานขายโดยไปประจำอยู่ในออสเตรเลีย แล้วย้ายไปประจำที่กรุงโตเกียว

ในปี 2000 เขาย้ายไปบริษัท อะเวนติส สหรัฐ ตามด้วย โรช ฟาร์มา ในปี 2006 และได้ขึ้นเป็นซีอีโอในปี 2010 Ffp.oxu 2012 ได้กลายมาเป็นซีอีโอของแอสตาซีเนกา บริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก



:: สแตนลีย์ เอิร์ค - โนวาแวกซ์

วัคซีนที่คาดกันว่าจะเป็นความหวังของมนุษยชาติ ผลิตโดยบริษัทยาอเมริกันในแมรีแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา ไข้หวัดใหญ่ และไวรัสอาร์เอสวี มาแล้ว

สแตนลีย์ เอิร์ค ประธาน ซีอีโอ และผู้ก่อตั้งบริษัทโนวาแวกซ์ บริษัทยาเกิดใหม่วัย 10 ปี ของอเมริกา เห็นว่า วัคซีนโควิด-19 เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทเติบโต และก้าวไปในแนวทางที่ต้องการ แม้ว่าในขณะนี้ยังมีเครือข่ายไม่มากพอ ทำให้การวิจัยพัฒนาไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

สแตนลีย์ จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย ชิคาโก บูธ เขาเชี่ยวชาญด้านเชื้อโรคและภูมิคุ้มกันหมู่ จากประสบการทำงานที่ผ่านๆ มาของเขาในหลายๆ แห่ง ก่อนหน้าจะมาก่อตั้งโนวาแวกซ์



:: อินเว่ยตง - ชิโนแวค ไบโอเทค

วัคซีนเชื้อตายเมดอินไชน่า ที่กลายเป็นข้อถกเถียงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างมาก

ชิโนแวค ไบโอเทค มี อินเว่ยตง นั่งเป็นประธาน หลังจากจบทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในบ้านเกิดแล้ว เขาก็ไปเรียนต่อทางด้านไวรัสวิทยาที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ จึงไม่แปลกที่จะเข้าทำงานอยู่ในสายการผลิตยามาโดยตลอด ตั้งแต่ ชิโนไบโอเวย์ กรุ๊ป ถังซาน ไบโอเอนจิเนียริง และชิโนแวค ไบโอเทค

ก่อนหน้านี้ เขาเคยประสบความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนก โรคซาร์ส รวมทั้งไข้หวัดใหญ่ และกวาดรางวัลทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ของจีนมามากมาย
#3137



เมอร์เซเดส-เบนซ์ เพิ่มทางเลือกลูกค้า รถอายุ 5 ปีขึ้นไป เปิดตัวอะไหล่ สตาร์พาร์ท (StarParts) รองรับทีั้งกลุ่มรถคอมแพคท์ เอสยูวี โรดสเตอร์ ช่วยลูกค้าประหยัด ดีลเลอร์มีรายได้

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) เปิดตัว สตาร์พาร์ทส์  (StarParts) อะไหล่รถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ได้มาตรฐาน ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น โดยระบุว่าจะช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 55%

ทั้งนี้ อะไหล่ "StarParts" พัฒนาและทดสอบตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วประเทศ สำหรับการบำรุงรักษาในกลุ่มรถที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป

พุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหารฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกเหนือจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ แล้ว การบำรุงรักษารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ยืดอายุการใช้งานเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ

นอกจากนี้ StarParts ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับตัวแทนจำหน่าย ในการรักษาลูกค้า และสร้างยอดขาย ด้านอะไหล่และบริการได้อีกด้วย



สำหรับอะไหล่ StarParts ผลิตออกมารองรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นต่างๆ ประกอบด้วย

  • A-Class (169/176)
  • GLA (156)
  • B-Class (245/246)
  • C-Class (203/204)
  • CLK-Class (209)
  • E-Class (211/212)
  • CLS-Class (218/219)
  • ML-Class (164/166)
  • SLK-Class (170/171)
โดยอะไหล่ที่ผลิตออกมาสำหรับ StarParts ประกอบด้วย

  • แบตเตอรี่สตาร์ท
  • ผ้าเบรก/ดิสก์เบรก
  • ไส้กรองอากาศสำหรับเครื่องยนต์
  • ไส้กรองน้ำมันเครื่อง
  • ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ไส้กรองน้ำมันเกียร์
  • ไส้กรองสำหรับห้องโดยสาร
  • หัวเทียน
  • ใบปัดน้ำฝน
#3138



ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี เผยภาคภูมิใจหลังโชว์ฟอร์มในศึกโอลิมปิก ได้อย่างเด็ดขาดจนเข้ามาถึงรอบ 8 คนสุดท้ายเป็นครั้งแรก พร้อมตั้งความหวังปราบนักชกคิวบา เพื่อเอาเหรียญทองแดงมาคล้องการันตีไว้ก่อน

รอบนี้ ฉัตร์ชัยเดชา เจอกับ เมียร์โก เจฮีล คูเอลโญ่ จากอาร์เจนติน่า ปรากฏว่านักชกไทยโชว์ประเคนหมัดได้อย่างเหนือชั้น ก่อนที่กรรมการตัดสินให้กำปั้นตัวเก๋าชนะ 4-1 เสียง ทำให้ ฉัตร์ชัยเดชา เข้ารอบ 8 คนสุดท้ายไปเจอกับ ลาซาโร่ อัลบาเรซ จากคิวบา ดีกรีเหรียญทองแดงโอลิมปิกที่ลอนดอน 2012 กับ ริโอ 2016 ซึ่งหากกำปั้นไทยเอาชนะได้อีกไฟต์ จะการันตีเหรียญทองแดงไปคล้องคอก่อนแล้ว

หลังจบไฟต์ กำปั้นไทยวัย 36 ปี เผยว่า "ถือว่าชกได้ตามเป้าที่วางไว้ เขาเป็นมวยไฟต์เตอร์ ชกระยะใกล้ได้ดี เราเลยใช้วิธีคือพยายามชกระยะห่าง และระวังศรีษะไว้แต่ก็มีพลาดจนได้ ถือว่าพอใจกับผลการแข่งขัน"

"ไฟต์ต่อไปชิงเหรียญทองแดง เจอกับนักชกจากคิวบา เป็นมวยซ้าย ชกยาว จังหวะฝีมือก็ดี เราก็ต้องคุยกับสตาฟฟ์เพื่อหาวิธีการชก รวมถึงไปแก้เกมบนเวที น่าจะสนุกครับ"

"โอลิมปิกครั้งนี้ก็ถือว่าดีที่สุดที่เคยชกเพราะที่ผ่านมามาถึงแค่รอบ 16 คน แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับบ้าน บอกเลยว่า 36 ยังแจ๋วครับ" เจ้าสด กล่าวด้วยรอยยิ้ม
#3139


ถูกวิจารณ์เดือดเลยทีเดียว กรณีที่ "นารา เครปกะเทย" อนิวัต ประทุมถิ่น ไปออกรายการแฉ ที่มี "น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์" เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ซึ่งที่ผ่านมา น็อตถูกวิจารณ์แรงจนทัวร์ลงเหตุเห็นต่างจาก "เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ" ซึ่งน็อตและเพชรได้เคลียร์ใจกันไปแล้วว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงความคิดเห็นต่างกัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนเสมอมา ขณะที่นาราก่อนหน้านี้ไปขอเงินสปอนเซอร์เพื่อนำมาทำคอนเทนต์ช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาด โดยถามว่า "รักลุง...หรือไม่" ถ้าตอบว่ารักจะเดินหนี แต่ถ้าตอบว่าไม่รักจะช่วยเหมาทั้งหมด โดยก่อนหน้านาราไปร่วมรายการ นารา ได้โพสต์ว่าตนจะไปออกรายการแฉ และอยากเจอ น็อต วรฤทธิ์

ภายหลังนาราออกรายการแฉ ก็ถูกใจชาวทวิตเตอร์ ถึงขั้นแชร์นาทีที่นาราแสดงพฤติกรรมไม่รับของจากน็อต วรฤทธิ์ รวมทั้งกรณีที่เจ้าตัวพูดถึงสาเหตุที่ Call out และดาราเน็ตไอดอลหลายคนออกมา Call out โดยเชื่อว่าเขามีความสำเหนียกและสำนึกว่า ตัวเองอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร ก็เพราะว่า FC FC คือประชาชน วันนี้ประชาชนเดือดร้อนเราจะมองข้ามได้หรือ เมื่อก่อนเรานอนหลับ กินอิ่มได้เพราะสปอนเซอร์จ้างเรา แต่ถ้าเราไม่มี FC เราไม่มีประชาชนคอยซัปพอร์ต สปอนเซอร์ไม่จ้าง ถ้าสปอนเซอร์ไม่จ้างเราก็ไม่มีเงิน ไม่อยู่ได้จนทุกวันนี้ และเชื่อว่า เน็ตไอดอล ดาราที่ออกมา Call out ก็ต้องคิดแบบนี้เช่นกัน ก่อนเจ้าตัวจะหันไปหาน็อตแล้วถามว่า "ใช่ไหมคะพี่น็อต" ซึ่งน็อตก็ตอบรับนิ่งๆ ว่า "ครับ"

โดยพฤติกรรมดังกล่าว แม้จะถูกอกถูกใจชาวทวิตเตี้ยนผู้เห็นต่างกับน็อต วรฤทธิ์ แต่บางส่วนก็บ่นผิดหวังกับพฤติกรรมนารา เพราะมองว่าที่ผ่านมาน็อตก็ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้น เหมาะสมหรือไม่ที่จงใจไปหักหน้าน็อตกลางรายการ มองว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทไปนิดนึง 
#3140



เมื่อเร็วๆนี้บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ได้เปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน G-Cell โดยใช้เทคโนโลยี SemiSolid แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง

โดยโรงงานแบตเตอรี่แห่งนี้ ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียฯ กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง(MW) ด้วยทุน 1,100 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายขึ้นเป็น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง(GWh) ต่อปี ตามเป้าหมายของ GPSC ที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 8,000 เมกะวัตต์ 

ภายในปี 2573 ตามนโยบายของบริษัทแม่ คือ ปตท. ซึ่งคาดหวังว่า โรงงานแห่งนี้ จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต และสนับสนุนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามเป้าหมายของรัฐบาล