• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#8028
สนใจติตต่อสอบถามได้ครับ ยินดีให้บริการครับ ช่างกุญแจ 085-108-8797  ช่างปาน ครับ
#8030
ทริสฯคงอันดับเครดิตองค์กร ธ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ A- เปลี่ยนแนวโน้มเป็นลบ

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ระดับ "A-" รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์ Basel III ชุดปัจจุบันของธนาคารที่ระดับ "BBB" ในขณะเดียวกันยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่" ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์และผลการดำเนินงานของธนาคารที่อ่อนแอกว่าคาด ตลอดจนฐานทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการขยายสินเชื่อจำนวนมาก โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าธนาคารมีความเสี่ยงที่จะมีฐานทุนที่ลดลงในระยะปานกลางหากธนาคารยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตแบบเชิงรุกต่อไป

อันดับเครดิตของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีระดับเทียบเท่ากับอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ (Group Credit Profile ? GCP) ของ บมจ.แอล เอช ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (LHFG) ซึ่งอยู่ที่ระดับ "a-" เนื่องจากธนาคารมีสถานะเป็นบริษัทหลักของกลุ่ม

ในขณะที่อันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile ? SACP) ของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ระดับ "a-" นั้นสะท้อนถึงธุรกิจของธนาคารที่มีขนาดเล็ก ตลอดจนการกระจุกตัวของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง และความสามารถในการสร้างผลกำไร (Earnings Capacity) ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีขนาดธุรกิจที่เล็กและมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัว สถานะทางธุรกิจของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงมีจำกัดจากขนาดของธุรกิจที่เล็กเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทยรายอื่น ๆ โดยสินทรัพย์ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 2.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 ถึงแม้ว่าธนาคารจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ธนาคารยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ระดับเพียง 1.3% เท่านั้นทั้งในด้านสินเชื่อและเงินฝากเมื่อเทียบกับบรรดาธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งหมด ณ สิ้นปี 2564
นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจของธนาคารยังมีข้อจำกัดจากการมีธุรกิจที่กระจายตัวน้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ไทยรายอื่น ๆ โดย ณ สิ้นปี 2564 ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีสัดส่วนคิดเป็น 49% ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคารซึ่งรวมรายการระหว่างธนาคาร รองลงมาคือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) (34%) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (17%) ธนาคารพยายามที่จะให้ความสำคัญกับการขยายสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจ SME และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย) เพื่อกระจายความหลากหลายของพอร์ตสินเชื่อในระยะปานกลาง

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าธนาคารอาจต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของสินเชื่อกว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเมื่อพิจารณาจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวังในกลุ่มธุรกิจ SME ของธนาคาร ทริสเรทติ้งยังมองว่าธนาคารยังมีช่องทางที่จะปรับปรุงสัดส่วนของรายได้ให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารคิดเป็นสัดส่วน 81.1% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 68.3% ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ระดับเพียง 4.6% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 17.6% ทริสเรทติ้งมองว่ากลยุทธ์ของธนาคารในการขยายฐานรายได้ค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นรายได้ประจำผ่านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจประกันภัยนั้นเป็นปัจจัยในเชิงบวก อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้ของธนาคารจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 2 ปีข้างหน้าเนื่องจากความพยายามเหล่านี้จะต้องใช้เวลาในการที่จะเพิ่มส่วนแบ่งของรายได้รวมของธนาคารให้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความสามารถในการทำกำไรอ่อนแอลงแต่คาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารมีข้อจำกัดจากการที่ธนาคารมุ่งเน้นไปที่การปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำ ประเด็นดังกล่าวยิ่งได้รับการซ้ำเติมยิ่งขึ้นจากต้นทุนทางเครดิตที่สูงกว่าคาดในปี 2564 ซึ่งธนาคารได้ตั้งไว้เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่บางราย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารลดลงอย่างเห็นได้ชัดมาอยู่ที่ระดับ 0.28% ในปี 2564 จาก 0.6% ในปี 2563
แม้ว่าธนาคารจะสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิให้อยู่ที่ระดับสูงกว่า 2% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่ดี แต่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.81% ในปี 2564 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันที่รุนแรงในการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำจะยังคงสร้างแรงกดดันต่ออัตราผลตอบแทนในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารต่อไปในช่วง 2 ปีข้างหน้า

ในปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของธนาคารจะฟื้นตัวขึ้นแม้ว่าจะฟื้นตัวในอัตราที่ค่อนข้างช้าก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.4%-0.7% ในปี 2565-2567 โดยในระหว่างปีดังกล่าวนั้น

ทริสเรทติ้งมีประมาณการกรณีพื้นฐานว่าสินเชื่อของธนาคารจะขยายตัวที่ระดับ 2.5%-5% อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิจะอยู่ในช่วง 2.25%-2.4% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 5% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ในช่วง 42%-46% และต้นทุนทางเครดิตจะอยู่ในช่วง 1.25%-1.45% ทริสเรทติ้งยังคาดว่าต้นทุนทางเครดิตที่ลดลงจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการทำกำไรของธนาคารในช่วง 2 ปีข้างหน้าจากที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.9% ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในเชิงบวกจากการตั้งสำรองที่ลดลงอาจถูกชดเชยบางส่วนด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่บริษัทวางแผนไว้แล้ว

ความเสี่ยงจากการอ่อนแอลงของเงินกองทุน เงินกองทุนที่แข็งแกร่งของธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตของธนาคารนับตั้งแต่การเพิ่มทุนโดย CTBC Bank Co., Ltd. (CTBC Bank) ในปี 2560 เป็นต้นมาซึ่งช่วยทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET-1) ของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู๋ที่ระดับ 18.7% ณ สิ้นปี 2560 จากระดับ 10.2% ณ สิ้นปี 2559 อย่างไรก็ตาม การเติบโตของสินเชื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2564 นั้นได้ส่งผลกดดัน CET-1 ของธนาคารให้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 16.1% ณ สิ้นปี 2564
การเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่" ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมุมมองของทริสเรทติ้งที่เห็นว่ามีความเสี่ยงที่ระดับเงินกองทุนของธนาคารจะลดลงไปอีก ทั้งนี้ สมมติฐานกรณีฐานของทริสเรทติ้งที่ประมาณการการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารในระดับปานกลางที่ 2.5%-5.0% และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ระดับ 50% ในปี 2565-2567 จะส่งผลให้ตัวเลขคาดการณ์ของอัตราส่วน CET-1 ของธนาคารยังทรงตัวอยู่ในช่วงประมาณ 16% ต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากธนาคารยังคงขยายฐานสินเชื่อมากขึ้นยิ่งต่อไปในช่วงที่แรงกดดันในการทำกำไรที่เกิดจากความเสี่ยงในการกันสำรองยังคงอยู่ในระยะปานกลางแล้วก็มีความเสี่ยงที่อัตราส่วน CET-1 จะลดลงต่ำกว่า 16% ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตของธนาคารได้ อย่างไรก็ตาม คุณภาพเงินกองทุนของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงโดยมีส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญคิดเป็น 88% ของเงินกองทุนทั้งหมดซึ่งสูงที่สุดในบรรดาธนาคารพาณิชย์ไทยที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต ปัจจัยดังกล่าวจึงน่าจะยังคงเป็นสิ่งที่ทริสเรทติ้งใช้สนับสนุนการประเมินสถานะเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ที่ระดับ "Very Strong" หรือ "แข็งแกร่งมาก" ต่อไปโดยอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราส่วน CET-1 ของธนาคารไม่ลดลงจากระดับปัจจุบันในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอกว่าที่คาด ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะความเสี่ยงของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่ในระดับปานกลางโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับปานกลางและการกระจุกตัวของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่เสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าซึ่งวัดจากสัดส่วนของผู้กู้รายใหญ่ที่สุด 20 รายต่อสินเชื่อรวมนั้นยังคงเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 ผู้กู้รายใหญ่ที่สุดทั้ง 20 รายมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 28.1% ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคารและคิดเป็นประมาณ 1.6 เท่าของ CET-1 ของธนาคารซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเนื่องจากการที่ธนาคารให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงเวลาที่สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานไม่เอื้ออำนวย ถึงแม้ว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.89% ณ สิ้นปี 2564 จะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.82% แต่อัตราส่วนดังกล่าวก็เพิ่มสูงขึ้นจากระดับประมาณ 1%-2% ในอดีต
ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ในปี 2563 นั้นทริสเรทติ้งมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ค่อนข้างน้อยเนื่องจากสินเชื่อของธนาคารที่อยู่ภายใต้มาตรการให้การช่วยเหลือ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ยังคงค่อนข้างต่ำที่ระดับ 35% ของสินเชื่อทั้งหมดเมื่อเทียบกับระดับประมาณ 40% ของสินเชื่อของธนาคารรายใหญ่อื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ความคืบหน้าในการปรับลดลงของสินเชื่อที่อยู่ภายใต้มาตรการให้การช่วยเหลือของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีความล่าช้ากว่าของธนาคารอื่น ๆ ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าสิ่งนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการปล่อยสินเชื่อที่ธนาคารมุ่งเน้นลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งมีกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ที่ซับซ้อน ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 สินเชื่อที่อยู่ภายใต้มาตรการให้การช่วยเหลืออยู่ที่ระดับ 26% ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคารเมื่อเทียบกับระดับเลขหลักเดียวหรือระดับหลักสิบต้น ๆ ของธนาคารอื่น ๆ โดยที่การเปลี่ยนแนวโน้มอับดับเครดิตเป็น "Negative" หรือ "ลบ" นั้นทริสเรทติ้งคำนึงถึงความเสี่ยงที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารอาจเพิ่มขึ้นอีกจากระดับในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งมีมุมมองในด้านบวกสำหรับนโยบายการตั้งสำรองของธนาคาร โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยธนาคารจะมีต้นทุนด้านเครดิตอยู่ที่ระดับ 1.94% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารเองในรอบ 5 ปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.97% อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าต้นทุนด้านเครดิตอาจถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นเดียวกับธนาคารอื่น ๆ แต่ทริสเรทติ้งคาดว่าต้นทุนด้านเครดิตของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 1.25%-1.45% ต่อไปในระหว่างปี 2565-2567 จากสินเชื่อของธนาคารที่อยู่ภายใต้มาตรการให้การช่วยเหลือที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อยู่ในระดับสูงน่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งสำรองของธนาคารได้ในระดับหนึ่งในอนาคต ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารอยู่ที่ระดับ 179% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 160%

ความสามารถในการระดมเงินฝากแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังคงพึ่งพิงลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ความสามารถในการระดมเงินฝากของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ พัฒนาขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาโดยเงินฝากคิดเป็นสัดส่วน 90% ของแหล่งเงินทุนรวม ณ สิ้นปี 2564 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 87% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงการประเมินสถานะเงินทุนของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้อยู่ที่ระดับ "Below Average" หรือ "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย" แม้ว่าสัดส่วนเงินฝากจากลูกค้าบุคคลจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่สัดส่วนเงินฝากจากลูกค้าองค์กรลดลงซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ในการดึงดูดเงินฝากจากลูกค้ารายบุคคลมากขึ้น แต่สัดส่วนของบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current and Savings Account ? CASA) ต่อเงินฝากทั้งหมดของธนาคารยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 50.7% ณ สิ้นปี 2564 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 74% ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าธนาคารยังคงพึ่งพาเงินฝากประจำที่มีต้นทุนสูงจากลูกค้าบุคคลรายใหญ่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งเงินทุนในระดับหนึ่ง เป็นผลให้ต้นทุนเงินฝากของธนาคารซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.06% ในปี 2564 นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.43% แม้จะสอดคล้องกับของธนาคารขนาดเล็กอื่น ๆ ที่ใช้กลยุทธ์ที่คล้ายกันก็ตาม
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ สภาพคล่องของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio ? LCR) ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามาอยู่ที่ระดับ 154% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 โดยสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำซึ่งอยู่ที่ระดับ 100% และเทียบกับค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ซึ่งอยู่ที่ระดับ 187% ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในความเห็นของทริสเรทติ้งมองว่าสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารที่ระดับ 30.9% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2564 นั้นอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารส่วนใหญ่เป็นรายการระหว่างธนาคารและการลงทุนในหุ้นกู้ซึ่งสามารถจำหน่ายออกไปได้โดยง่ายเพื่อรองรับความต้องการด้านสภาพคล่อง
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน คาดการณ์สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในระหว่างปี 2565-2567

อัตราการเติบโตของสินเชื่อ: 2.5%-5.0%
อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ: 2.28%-2.36%
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวม: 42.0%-46.0%
ต้นทุนทางเครดิต: 1.25%-1.45%
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (ไม่รวมรายการสินทรัพย์ระหว่างธนาคาร): 2.9%-5.0%
อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ: 16.2%-16.3%
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้และมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลงไปอีกเนื่องจากการกระจุกตัวของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ยังสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ระดับของเงินกองทุนของธนาคารจะลดลงต่อไปในระยะปานกลางหากธนาคารยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตแบบเชิงรุกต่อไปอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง ความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในระยะปานกลาง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเปลี่ยนเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากมีพัฒนาการที่เห็นได้ชัดทั้งในด้านคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในขณะที่อัตราส่วน CET-1 ไม่ลดลงจากระดับปัจจุบัน ในทางกลับกัน ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารเสื่อมถอยลงไปอีก และ/หรืออัตราส่วน CET-1 ของธนาคารลดลงไปจากระดับในปัจจุบันอีก
#8031
สวัสดีครับเพื่อนๆ ยะเป็นคนหนึ่ง ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ลมพิษเรื้อรัง เป็นผื่นคัน ขึ้นตามบริเวณผิวหนัง ข้อพับ.. ขึ้นมาเองโดยไม่รู้สาเหตุ หลังจากที่ขึ้นมีอาการคัน เป็นมาเป็นปี เวลาที่เป็น ก็กินยาแก้แพ้ แต่อาการ ไม่หายจาก เราไปซะที

จนมาเจออาหารเสริม Balance UCore ตัวนี้ยะกินทุกวัน วันละ 1 เม็ดก่อนนอน กินต่อเนื่อง ทำให้อาการที่เป็นลมพิษ ค่อยๆหายไป จนตอนนี้ไม่เป็นแล้ว ยะกินมา 2 กระปุกแล้ว ใครมีปัญหาแบบนี้ ลอง UCore ช่วยได้จริงๆค่ะ
 
#8032
CONSENSUS: โบรกฯเชียร์ BCH รับปัจจัยบวกโควิดยังระบาดหนัก,ขยายฐานกลุ่มประกันสังคมหนุน
 
โบรกเกอร์แนะนำ "ซื้อ" หุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) รับปัจจัยโควิด-19 ยังหนุนผลงานในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งการให้บริการรักษาและการฉีดวัคซีนโควิด-19 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังสูง ทำให้รายได้ที่มาจากการให้บริการเกี่ยวกับโควิด-19 ยังหนุนผลงานในครึ่งปีแรกเป็นหลัก

ขณะที่ BCH ยังมีการขยายฐานกลุ่มลูกค้าประกันสังคมต่อเนื่อง ทำให้จะมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าประกันสังคมเข้ามาเพิ่มขึ้น พร้อมกับการปรับธุรกิจหันมาให้บริการศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อรองรับกับกลุ่มลูกค้าที่จะกลับมาใช้บริการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น หลังจากที่โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้ BCH สามารถปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างดี หนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน

ราคาหุ้น BCH อยู่ที่ 21.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+0.48%) เมื่อเวลา 14.53น ขณะที่ SET +1.25%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                  ราคาเป่าหมาย (บาท/หุ้น)
          ฟินันเซีย                        ซื้อ                        28.50
          ทรินีตี้                          ซื้อ                        26.30
          บัวหลวง                        ซื้อ                        26.00
          หยวนต้า                        ซื้อ                        25.90
          เอเชีย เวลทธ์                   ซื้อ                        25.00
          ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี                 ซื้อ                        24.50
          ดีบีเอสฯ                        ซื้อ                        24.00
          เคทีบีเอส                       ซื้อ                        24.00
          กสิกรไทย                       ซื้อ                        23.90
          โนมูระ                         ซื้อ                        23.50
นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า BCH ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากการให้บริการรักษาโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรกเติบโต ประกอบกับมีรายได้จากบริการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาหนุน ทำให้ปัจจัยของโควิด-19 ยังคงเป็นหลักหนุนผลงานของ BCH ในครึ่งปีแรกนี้

BCH ยังขยายฐานกลุ่มลูกค้าประกันสังคมอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มโควตาเข้ามาในโรงพยาบาลในเครือ ทำให้จะมีรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้น

นอกจากนั้น BCH ยังหันมาเน้นบริการศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง ซึ่งเป็นการปรับตัวทางธุรกิจหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้คนเริ่มกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่ง BCH ถืงเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มโรงพยาบาลที่ปรับตัวได้เร็ว และสามารถควบคุมต้นทุนได้ค่อนข้างดีทำให้ยังมองว่าการเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้ยังสามารถเติบโตได้ดี

นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า แนวโน้มของ BCH ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงมีปัจจัยสนุบสนุนจากโควิด-19 ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากการให้บริการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เข้ามาหนุน ประกอบกับรายได้จากการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ยังเข้ามาต่อเนื่อง และการที่จะมีวัคซีนโควิด-19 รุ่นที่ 2 ออกมา ทำให้คนจำเป็นต้องมาฉีดวัคซีนอีกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่วัคซีนรุ่นแรกอาจจะยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ

ขณะที่ภาพรวมของโรงพยาบาลถือว่ายังมีศักยภาพในการปรับตัวที่รวดเร็วของการทำธุรกิจ โดยที่ทางเครือโรงพยาบาลมีการเตรียมความพร้อมกลับมาเน้นการให้บริการศูนย์โรคเฉพาะทางมากขึ้น หลังจากลูกค้าเริ่มกลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะศูนย์หัวใจที่จะมีการเปิดเพิ่ม อีกทั้งยังมีการขยายจำนวนผู้ประกันตนเข้ามาทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาจากกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และหนุนต่อการเติบโตของบริษัทในระยะกลาง-ยาว

บทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนะสิน ระบุว่า ยังมีมุมมองบวกต่อ BCH โดยมองว่าในช่วงครึ่งปีแรกมีปัจจัยหนุนจากรายได้ที่มาจากการรักษาโรคโควิด และบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 อีกทั้งในส่วนของจำนวนผู้ประกันตนของโรงพยาบาลในเครือในปีนี้จะเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนผลงาน และการที่ปรับตัวของธุรกิจที่รวดเร็ว ทำให้บริษัทสามารถปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้ดี

โดยเฉพาะรูปแบบการให้บริการรักษาโควิด-19 ที่ BCH ได้ปรับมาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ของภาครัฐ ทำให้ลดความเสี่ยงในด้านการเบิกค่าใช้จ่ายกับภาครัฐ และเมื่อมีการประกาศเป็นโรคประจำถิ่นแล้วจะทำให้ BCH ได้ฐานกลุ่มลูกค้าเงินสดเข้ามาทดแทน อีกทั้งในปีนี้บริษัทยังหันมาเน้นศูนย์โรคเฉพาะทางมากขึ้น หลังจากที่ลูกค้าเริ่มกลับเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อกำไรให้กับ BCH
#8033
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้อนรับ บมจ. บีบีจีไอ (BBGI) เริ่มซื้อขาย 17 มี.ค. นี้

บมจ. บีบีจีไอ หนึ่งในผู้นำและผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ของประเทศไทย สู่การต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 17 มี.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 15,183 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ ว่า "BBGI"

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. บีบีจีไอ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "BBGI" ในวันที่ 17 มีนาคม 2565

BBGI ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักคือธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ได้แก่ เอทานอล และไบโอดีเซล กำลังการผลิต 1.6 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นเอทานอล 0.6 ล้านลิตรต่อวัน และไบโอดีเซล 1 ล้านลิตรต่อวัน BBGI ซึ่งเกิดจากการตกลงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ระหว่าง บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) กับ บมจ. น้ำตาลขอนแก่น (KSL) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้มีความแข็งแกร่งทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบและจัดจำหน่ายผลผลิต บริษัทมีแผนต่อยอดการเติบโตในอนาคตไปสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (High Value Bio-Based Products) ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy (BCG) ของภาครัฐในการนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายของการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและการพัฒนาที่ยั่งยืน ปัจจุบัน บริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ แบรนด์ B-Nature Plus และลงทุนกับพันธมิตร Manus Bio Inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดจำหน่ายสารให้ความหวาน

BBGI มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 3,615 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,012.80 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 433.20 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ BCP และ KSL ในวันที่ 3-8 มีนาคม และบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และผู้ลงทุนสถาบัน วันที่ 9-11 มีนาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 10.50 บาท มูลค่าระดมทุน 4,548.60 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 15,183 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีบีจีไอ เปิดเผยว่า BBGI เล็งเห็นโอกาสการเติบโตจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพ โดยใช้จุดเด่นด้านความชำนาญในเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทต่อยอดการเติบโต การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะเข้าลงทุนแบบบูรณาการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีความรู้และความสามารถในเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงทั้งในและต่างประเทศ BBGI ตั้งเป้าว่าในปี 2569 จะมีสัดส่วน EBITDA จากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพอยู่ที่ 50% ของ EBITDA รวม

BBGI มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ BCP ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40.20% และ KSL ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 26.80% ขึ้นกับการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินและการซื้อหุ้นเพื่อส่งมอบคืน

BBGI มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ตามข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน แผนการลงทุนและการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ภาวะเศรษฐกิจ ความจำเป็นและข้อพิจารณา อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
#8034
สนใจทัก
สมัครตัวแทน ทัก
---------------------------------------------------------
Line:@collagen
http://line.me/ti/p/@collagen
FB. https://www.facebook.com/manacollagedipeptide
www.manaok.com
www.manaextra.com
www.manathailand.page
#8035
วช. หนุน วว. ถ่ายทอดความรู้ตามแนวทาง "มาลัยวิทยสถาน" แก่ผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับ จ.เลย

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ถ่ายทอดความรู้การพัฒนาชุดข้อมูลพื้นฐานไม้ดอกไม้ประดับอัตลักษณ์ประจำถิ่นเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ ด้วยแนวทางมาลัยวิทยสถาน ให้แก่ผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับในจังหวัดเลย ณ สำนักงานเกษตรจังหวัดเลย โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการอบรม ดร.อนันต์ พิริยะภัทรกิจ และคณะนักวิจัย จาก วว. เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้จากงานวิจัยให้แก่ผู้เข้าอบรม

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้สนับสนุนโครงการมาลัยวิทยสถาน โดยเป็นแนวคิดของ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ดำเนินการโดย วว. ในการนำเอานวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การพัฒนาองค์ความรู้ที่ยั่งยืน สู่การพัฒนาตลอดห่วงโซ่การผลิต อาทิ การพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ การคัดเลือกต้นพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่แข็งแรงปลอดโรค การส่งเสริมการใช้วัสดุปลูกที่มีคุณภาพและมีสารอาหารที่เหมาะสมต่อพืช ระบบการปลูกเลี้ยงสมัยใหม่ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน ระบบการปลูกเลี้ยงตามหลักความพอดีไม่เหลือทิ้ง กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว การสร้างกลุ่มเครือข่ายผู้ปลูกเลี้ยงให้เข้มแข็ง รวมถึงการเพิ่มมูลค่าเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวในจังหวัด เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบสู่การเรียนรู้เชื่อมโยงไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า โครงการมาลัยวิทยสถาน ได้รับการสนับสนุนจาก วช. โดยการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยไม้ดอกไม้ประดับของ วว. และพันธมิตร ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาระบบการปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับในประเทศไทย ซึ่งมีการนำไปใช้จริงในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันยังคงดำเนินงานผ่านโครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนกลุ่มไม้ดอกไม้ประดับด้วยนวัตกรรมเกษตรตามแนวทาง "มาลัยวิทยสถาน" เพื่อทำหน้าที่เป็นวิทยสถานแห่งปัญญา พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรม ตลาดไม้ดอกไม้ประดับและผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับในพื้นที่จังหวัดเลยและลำปาง ประสบผลสำเร็จพัฒนาศักยภาพในการผลิต การแข่งขัน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร เพื่อเป็นต้นแบบและขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้ที่ยั่งยืน

การอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว มีการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับ แนวทางการพัฒนาชุดข้อมูลพื้นฐานไม้ดอกไม้ประดับอัตลักษณ์ประจำถิ่นเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดย ดร.อนันต์ พิริยะภัทรกิจ, การนำข้อมูล (Big Data) มาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร โดย รศ.ธัญญะ เตชะศีลพิทักษ์, การเข้าถึงระบบฐานข้อมูลออนไลน์ (มาลัยวิทยสถาน) โดย นายวีระ ชาติจันทึก และสรุปการพัฒนาวัสดุปลอดโรคสำหรับการผลิตไม้ดอกไม้ประดับ โดย ดร.กนกอร อัมพรายน์ ซึ่งมีเกษตรกร ผู้ประกอบการไม้ดอกไม้ประดับ ให้ความสนใจการถ่ายทอดองค์ความรู้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาให้สามารถผลิตไม้ดอกไม้ประดับในเชิงพาณิชย์ ได้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ผลิตช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก และการยกระดับสู่อาชีพที่ยั่งยืนด้วยเกษตรสมัยใหม่ ตามหลัก BCG Model เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมอยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ให้เป็นเมืองน่าอยู่ เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเป็นประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกเลี้ยงไม้ดอกไม้ประดับและคนในชุมชนใกล้เคียง และเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ต่อไป และก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกลุ่มเกษตรกร นักวิจัยในมหาวิทยาลัย นักวิจัยในหน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับของต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้อย่างแท้จริง
#8036
ซีพีเปิดเวทีปฐมนิเทศติวเข้มเอสเอ็มอี เตรียมความพร้อมก่อนดีเดย์เจรจาธุรกิจ 17-18 มี.ค.นี้ ตอบโจทย์แพลตฟอร์มแห่งโอกาส ด้านเอสเอ็มอีขานรับหวังช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

เมื่อ 15 มี.ค.65 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพี ประกอบ ด้วยบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) ได้จัดให้มีการปฐมนิเทศและเตรียมความพร้อมเข้าร่วมเจรจาธุรกิจ โครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส "SME Online Business Matching ครั้งที่ 1/2565" ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจำนวน 110 ราย ทั้งนี้โดยมีนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนเครือฯเป็นประธานในการปฐมนิเทศและเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และมีผู้บริหารจาก 3 ธุรกิจค้าปลีกร่วมพบปะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับเครือซีพีผ่านแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ก่อนที่จะเปิดเวทีจับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างวันที่ 17-18 มีนาคมที่จะถึงนี้

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจจำนวนมาก เครือเจริญโภคภัณฑ์โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือฯ จึงมีนโยบาย "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" เพื่อให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ในการช่วยฟื้นฟูประเทศไทย ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพัฒนาศักยภาพ พร้อมเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะมีการแบ่งปันข้อมูลตลาดให้เอสเอ็มอี พัฒนาช่องทางขาย รวมไปถึงการสนับสนุนสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และมีการให้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพสินค้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด รวมถึงเครือซีพีพร้อมที่จะนำพาสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยไปสู่ตลาดอาเซียนและภูมิภาคเอเชียใต้ เพื่อสร้างระบบนิเวศให้กับกลุ่มผู้ประกอบการได้มีโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลก

ในการนี้ นายกมล พงษ์ประยูร ที่ปรึกษา บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เวทีจับคู่ธุรกิจ "SME Online Business Matching" เป็นหนึ่งในกิจกรรมนำร่องแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะได้เจรจาธุรกิจกับธุรกิจค้าปลีกในเครือซีพีพร้อมกันในคราวเดียวถึง 3 ราย ได้แก่ แม็คโคร , โลตัส และ 7 อีเลฟเว่น โดยสินค้าที่ผ่านการคัดเลือกสามารถจำหน่ายได้ทั้งช่องทาง Online และ On Shelf รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศ

ด้าน นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของแม็คโครมีแนวทางการทำงานสนับสนุนเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยร่วมกันแบบ "คู่ค้าพันธมิตร" เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ฉะนั้นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ทางแม็คโครพร้อมสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติ ทั้งการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค การให้โอกาสในการเข้าถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างยอดขายและทำกำไรให้ผู้ประกอบการมากขึ้น รวมไปถึงการจัดเตรียมทีมงานเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจ และหากผู้ประกอบการที่มีความพร้อมจะขยายสินค้าเพื่อส่งออกทางแม็คโครพร้อมที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาสในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดโลก

ขณะเดียวกัน นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนและกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) กล่าวว่า โลตัสมีความมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทางโลตัสจะมีทีมงานช่วยผลักดันและพัฒนาสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในสาขากว่า 2,322 แห่งทั่วประเทศ รวมไปถึงการสนับสนุนช่องทางออนไลน์เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น โดยผู้ประกอบการในระดับเริ่มต้นทางโลตัส เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เปิดบูธจำหน่ายสินค้า ทดลองตลาด สร้างการรับรู้ และขยายฐานลูกค้าผ่านพื้นที่ศูนย์การค้าของโลตัสทั่วประเทศ นอกจากนี้ทางโลตัสพร้อมสนับสนุนทีมงานให้คำปรึกษาในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าและ มาตรฐานการผลิตอีกด้วย

ในการปฐมนิเทศครั้งนี้ถือเป็นการติวเข้มแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้เข้าใจถึงขั้นตอนและวิธีการเจรจาจับคู่ธุรกิจแบบออนไลน์ รวมถึงรายละเอียดที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมความพร้อมในการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะมีขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 17-18 มีนาคมนี้ โดยมีบริษัท ซีพี ออริจิน จำกัด เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มในการพัฒนาเอสเอ็มอี ภายใต้โครงการแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ให้ข้อแนะนำในการที่จะนำพาเอสเอ็มอีเข้ามาร่วมเป็นธุรกิจกับเครือซีพี ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะสนับสนุนองค์ความรู้ การจัดหาวัตถุดิบที่ดี ช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการให้คำแนะนำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นตำราสำคัญที่จะทำให้เอสเอ็มอีประสบความสำเร็จ พร้อมนำพาเอสเอ็มอีและเกษตรกรไทยเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดทั้งในไทยและต่างประเทศ

หนึ่งในผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เข้าจะเข้าร่วมการเจรจาจับคู่ธุรกิจในโครงการนี้ คือ นายไพศาล กิตติฤดีกุล จาก บริษัท ไทยโคโค่ฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า ขอบคุณทางเครือซีพีที่สร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาสด้วยการจัดเวทีการเจรจาธุรกิจออนไลน์ครั้งนี้ขึ้นมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการไทยที่ได้มีโอกาสในการนำเสนอสินค้ากับ 3 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกใหญ่ทั้ง เซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร และโลตัสในครั้งเดียว ซึ่งเวทีนี้ยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้รับองค์ความรู้นำไปต่อยอดพัฒนาสินค้าให้มาตรฐาน รวมไปถึงช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีความหลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ นอกจากนี้เครือซีพียังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีความพร้อมขยายตลาดไปต่างประเทศอีกด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของผู้ประกอบการที่จะเพิ่มยอดขายและมีโอกาสได้ฟื้นธุรกิจที่ตอนนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นอย่างมากให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

อีกหนึ่งเสียงจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือ นางสาวอมรรัตน์ อมรพิมล เจ้าของผลิตภัณฑ์ AVA Mineral Water Purifying OverNight Mask มาสก์สูตรน้ำแร่บริสุทธิ์ กล่าวว่า การที่เครือซีพีได้สร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาส เป็นช่องทางที่เป็นประโยชน์อย่างมากให้กับผู้ประกอบการไทย เพราะมีโอกาสไม่ง่ายนักที่จะได้เข้ามาเจรจาธุรกิจกับเครือข่ายค้าปลีกค้าส่งพร้อม ๆ กัน โดยมองว่าการได้เข้าร่วมเวทีครั้งนี้จะสามารถนำองค์ความรู้ รวมทั้งคำแนะนำในการทำการตลาดในแต่ละแพลตฟอร์มไปพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานทางการผลิตที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ
#8037

รับโพสต์ขายอสังหา  รับจ้างโพสขายบ้าน รับโพสต์ขายที่ดิน รั
#8038
UAC เดินหน้าธุรกิจ Circular Economy หนุนรายได้แตะ 2,000 ล้านบาท จ่อลุยลงทุนในแหล่งปิโตรเลียม Q2/65 นี้ พร้อมโกยเงินเข้ากระเป๋าQ3 ทันที
 
บมจ.ยูเอซี โกล. ("UAC") ประกาศเดินหน้ายุทธ์ศาสตร์ Circular Economy ควบคู่ไปกับการสร้าง Sustainable Development ให้กับองค์กร ปั้นธุรกิจโรงไฟฟ้าชุมชน - แหล่งปิโตรเลียม - EV Charging Station หวังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้ แตะ 2,000 ล้านบาท และ EBITDA มากกว่า 420 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร ประกาศเดินหน้าลุยลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 และ L11/43 ไตรมาส2 นี้ พร้อมรับรู้รายได้เข้ากระเป๋า ไตรมาส3 ทันที

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี โกล. จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ วางยุทธ์ศาสตร์ทางธุรกิจ เพื่อการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และพลังงานทดแทน ควบคู่ไปกับการการเร่งขยายการตลาดในส่วนของธุรกิจเทรดดิ้ง ไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น อาทิ โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี พลังงานและเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กร เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) และการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมทั้งยังมองหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่กำลังพัฒนา อาทิ สารปรับปรุงดิน โรงไฟฟ้า การเข้าเป็นที่ปรึกษากับพันธมิตรในด้านโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ

ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2565 แตะ ระดับ 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯยังตั้งเป้ารักษาระดับอัตรากำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มากกว่า 420 ล้านบาท ของรายได้ยอดขายรวม

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงในสัญญารับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียม กับกรมเชื้อเพลังธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เพื่อเข้าลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมหมายเลข L10/43 และ L11/43 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นบริษัทฯจะมีการเข้าสำรวจปริมาณปิโตรเลียมสำรองในพื้นที่สัมปทานดังกล่าว เพื่อต้องการทราบปริมาณปิโตรเลียมที่ชัดเจนได้ในไตรมาส 2/2565 นี้

"ปัจจุบันแหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวสามารถผลิตน้ำมันดิบ ได้เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 300 บาร์เรล/วัน และคาดว่าภายหลังการเข้าลงทุนแล้วจะสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 500 บาร์เรลต่อวัน ดังนั้นหลังจากบริษัทฯ เข้ามาดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์ จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี อ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ณ ปัจจุบัน"

ส่วนความคืบหน้าในการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า หรือ EV Charging Station นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) และพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจให้บริการสถานีน้ำมัน ซึ่งคาดว่า สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ในปี2565 จะดำเนินการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ในรูปแบบชาร์จไฟแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC EV Quick Charger) ที่มีขนาดสูงสุดถึง 200 KW เฟสแรก จำนวน 4 สถานี 12 หัวจ่าย

นอกจากนี้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนภูผาม่าน ขนาด 3 MW จังหวัดขอนแก่น ได้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้หญ้าเนเปียร์เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจากแก๊สชีวภาพ คาดว่า พร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 2/2565 นี้ และมั่นใจว่าโครงการภูผาม่าน จะเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานแห่งแรกที่สามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้
#8039
ห้องสุวรรณภูมิในจังหวัดกรุงเทพ เมืองไทย
​สุวรรณภูมิสวีทตั้งอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิในจ.กรุงเทพฯ
 เพียงแต่ 5 นาที เป็นบังกะโลที่สมบูรณ์แบบ บรรยากาศดี ลาดกระบัง
สำหรับนักเที่ยวที่รอต่อเครื่อง ตรงนี้ คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าพักที่สุดยอด
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบบริการเต็ม
ต้นแบบในทำเลที่ตั้งที่เป็นต่อรวมทั้งราคาที่มีเหตุผล 
บังกะโลของเรามีมากกว่าบ้านพักที่สงบเงียบ
หลังหรือก่อนเที่ยวบิน พวกเราภาคภูมิใจที่เกินความมุ่งมาด
ของแขกของพวกเราด้วยการนำเสนอหอพักและ บรรยากาศดี ลาดกระบัง
เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับช่วยในด้านสำหรับอำนวยความสะดวก
ที่ดูแลอย่างละเอียดลออ รวมทั้งบริการที่มีคุณภาพแล้วก็
เหมาะสมที่สุดจาก
พนักงานที่อ่อนน้อมถ่อมตนของพวกเรา บรรยากาศดี ลาดกระบัง
 พวกเราได้ดีไซน์ทุกแง่ทุกมุมโดยคำนึงถึงความสบายสบายของคุณ
 เชิญชวนเข้ามาได้ทุกเวลา และก็รับการต้อนรับจากแผนกต้อนรับที่เปิดตลอด 
24 ชั่วโมงของเรา เราได้ทำให้แน่ใจว่าห้องเช่าพร้อมเสมอที่สามารถจะช่วยให้ท่านนอน
สบายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันหยุดที่น่าระทึกใจของคุณ  บรรยากาศดี ลาดกระบัง

https://bit.ly/37nkVJF
#8040
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค