• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kaidee20

#6061
โปรแกรมทัวร์ลาวใต้ 3วัน2คืนวันที่ 1 : อุบลฯ-ช่องเม็ก-วัดภูพร้าว-จำปาสัก-ปราสาทหินวัดพู08.30 น. รับคณะที่สนามบินอุบลราชธานี  และพร้อมรับประทานอาหารเช้า (มื้อที่ 1 ) และเดินทางไป ที่ด่านพรมแดน ช่องเม็ก ไทย-ลาว
10.00 น. ระหว่างทาง แวะถ่ายรูป ก่อนถึงด่านช่องเม็ก  ถ่ายรูป วัดภูพร้าวสิรินธรวราราม ชมโบสถ์ศิลปะแบบล้านช้าง ทัวร์ลาวใต้  ถ่ายรูป ต้นโพธิ์เรืองแสง และพร้อมชมวิว เขื่อนสิรินธร
10.45 น. ถึงด่าน ต.ม ช่องเม็ก ตรวจเอกสารก่อนข้ามสู่ ทัวร์ลาวใต้ สปป.ลาว และเดินชมสินค้าที่ดิวตี้ฟรีก่อนเดินทางสู่เมืองปากเซ ผ่านบ้านเรือนชนบทวิถีชีวิตชาวลาว 2 ข้างทาง ชมทัศนียภาพแม่น้ำโขงและสะพานลาว-ญี่ปุ่น  ออกเดินทาง สู่เมืองปากเซ (ระยะทาง 45 กม.) เมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของลาวตอนใต้ ข้ามแม่น้ำโขงที่สะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น ตรงเข้าสู่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก พาทุกท่านสู่ เมือง บาเจียง เจริญสุข เมืองเดียวของลาวที่มีนามสุกลต่อท้าย พร้อมฟังเรื่องราว รักสามเศร้า ของท้าวบาเจียง นางมะโรง และท้าวจำปาสัก เป็นที่มาของที่ต่างๆในลาว
12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยง (มื้อที่ 2) ในตัวเมืองปากเซ
13.00 น. เดินทางสู่ ปราสาทหินวัดพู หรือปราสาทหินวัดพู เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่สำคัญที่สุดในจำปาสัก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แห่งที่ 2 ของลาว  ตั้งอยู่บนเนินเขาพูป่าสัก หรือ พู. ห่างจากตัวเมืองไป  40 กิโลเมตร เป็นเทวสถานของขอมคล้ายกับเขาพระวิหาร สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12 สมัยพระเจ้ามเหนทรวรมัน เพื่อใช้เป็นสถานที่บูชาเทพเจ้าและประกอบพิธีทางศาสนาตามลัทธิพราหมณ์ – ฮินดู ต่อมาลาวได้รับพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศเทวสถานแห่งนี้จึงเปลี่ยนเป็นวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาท ทัวร์ลาวใต้
17.00 น. นำคณะ เดินทาง ถึง วัดพูสะเหล้า เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ตั้งอยู่บน ยอดเขา จากยอดนี้ เราจะสามารถมองเห็น วิว ของตัวเมือง ปากเซ สะพานข้ามแม่น้ำโขง  พร้อมจุใจ ในการถ่ายรูป
18.00 น. รับประทานอาหารเย็น (มื้อที่ 3 ) และพร้อมเข้าที่พักในเมืองปากเซ และพักผ่อนตามอัธยาศัย

ตรานี้รวม
-ค่ารถตู้ปรับอากาศตลอดการเดินทาง
-ค่าที่พัก 2 คืน ( โรงแรมในประเทศลาว 2 คืน พัก 2 ท่าน/ห้อง)
-ค่าอาหารทุกมื้อ ( 8 มื้อ) ตามในโปรแกรม
-น้ำดื่มระหว่างเดินทาง
-ค่าธรรมเนียมสถานที่ต่าง ๆ รวมค่าผ่านแดนไปลาว
-ค่าเรือล่องแม่น้ำโขง
-ค่าประกันอุบัติเหตุตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ท่านละ 1,000,000 บาท
-มัคคุเทศก์นำเที่ยวตลอดการเดินทาง (ลาว )
 
อัตรานี้ไม่รวม
-ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ค่ามินิบาร์
-ค่าตั๋วเครื่องบิน กทม-อุบล ไปกลับ
-ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และหัก ณ ที่จ่าย 3 %
-ค่ารายการอาหารนอกเมนู เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-ค่าทิปคนขับรถและไกด์

 
#6063
แบงก์ชาติออสเตรเลียส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ สกัดเงินเฟ้อพุ่ง
 
นายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยในวันนี้ (9 มี.ค.) ว่า RBA จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของออสเตรเลียในปีนี้ เพราะความไม่แน่นอนเรื่องเงินเฟ้อและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ สำนักข่าวซินหัวเปิดเผยถ้อยแถลงของนายโลว์ว่า เมื่อพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อที่ 3.5% ของออสเตรเลียแล้ว "ก็ถือได้ว่ามีเหตุผลรองรับเพียงพอที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต่อไปของปีนี้"

"ผมยอมรับว่ามีความเสี่ยงหากรอคอยนานจนเกินไป โดยเฉพาะท่ามกลางภาวะตื่นตระหนกด้านอุปทานควบคู่กับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับสูง แต่หากดำเนินการเร็วเกินไปก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน" นายโลว์กล่าว
ธนาคารเอกชนรายใหญ่ของออสเตรเลียหลายแห่ง รวมถึงคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลีย (CBA) คาดการณ์ว่า RBA จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกภายในช่วงกลางปีนี้

นายโลว์ได้กล่าวว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นจะสร้างประโยชน์ให้กับออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น 40% แล้วนับตั้งแต่ต้นเดือนก.พ.

"ออสเตรเลียอยู่ในสถานะที่แตกต่างออกไป เพราะเราส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาแพงขึ้นมาก" นายโลว์กล่าว แต่ก็เสริมด้วยว่า แม้ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ของออสเตรเลียจะได้กำไร แต่ต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนชาวออสเตรเลีย

"ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นจะกัดกร่อนเงินในกระเป๋าของภาคครัวเรือน, เพิ่มต้นทุนสำหรับธุรกิจจำนวนมาก และขัดขวางการใช้จ่ายในบางพื้นที่"
#6064
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#6065
INSET มั่นใจปีนี้โตแรง กระแสงานก่อสร้างศูนย์ Data Center รุ่ง

คุณศักดิ์บวร พุกกะณะสุต (กลาง) กรรมการผู้จัดการ, คุณวรางคณา เตไชยา (ซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน และคุณพิมวรินทร์ ลำภา (ขวา) นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) โชว์ผลดำเนินงานปี 2564 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 25.87% เทียบกับปีก่อน มั่นใจแนวโน้มปี 65 รายได้เติบโตแข็งแกร่ง จาก Backlog กว่า 2 พันลบ. และมีงานประมูลไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานด้านการสร้างศูนย์ Data Center และอัพเกรดโครงข่าย 5G ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโต และ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้

QTC จับมือ "SUNGROW" จำหน่าย Solar Inverter
 
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน (กลางซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายเรืองชัย กฤษณเกรียงไกร (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ นายกิตติ อัจฉริยบุญยงค์ (ขวา) รองกรรมการผู้จัดการสายการตลาด บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) และนายภูษิต เรืองวิวัฒนโรจน์ (กลางขวา) ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ซันโกรว์ พาวเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (SUNGROW) ผู้ผลิตระบบพลังงานหมุนเวียนชั้นนำระดับโลกร่วมลงนามความร่วมมือทางธุรกิจในการเป็นตัวแทนจำหน่ายของผลิตภัณฑ์โซลาร์ อินเวอร์เตอร์ (Solar Inverter) สำหรับใช้กับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยระบบจัดการพลังงานอย่างอัจฉริยะ ช่วยให้เพิ่มเสถียรภาพของระบบไฟฟ้ามากขึ้น และเป็นการต่อยอดธุรกิจของ QTC ในการรุกตลาด Solar Roof, Solar Farm และ Floating Solar เพิ่มขึ้น ณ บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆนี้
#6070
ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ดึงพันธมิตรรายใหม่ HUBBA เสริมแกร่ง โครงการ Smart Business Transformation ปี 2565

ด้วยผลกระทบและการเผชิญหน้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีความต้องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจึงร่วมกับองค์กรพันธมิตรรายใหม่ HUBBA ในโครงการ Smart Business Transformation หรือ SBTP ประจำปี 2565 เพื่อแบ่งปันเทรนด์และข้อมูลเชิงลึกในเรื่องการปรับองค์กรและธุรกิจสู่ดิจิทัล โดย HUBBA เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์มนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้ให้คำแนะนำสนับสนุนผู้ประกอบการมามากกว่า 2,000 ราย อาทิ Bitkub ยูนิคอร์น รายที่สองของประเทศไทย

นอกจากนี้ SMEs มากกว่า 200 รายที่สมัครเข้าร่วมโครงการหลักสูตร 3 เดือนจะได้รับคำแนะนำและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน การบูรณาการหลักการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึง แนวคิดการบริหารองค์กรที่สนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของพนักงานเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้นับเป็นสิ่งจำเป็นในการบรรลุความสำเร็จขององค์กรและพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ SMEs ยังจะได้เรียนรู้ทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ การปรับโครงสร้างธุรกิจ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาด้านลูกค้า และเข้าถึงโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถช่วยพวกเขาเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันทางธุรกิจ

นางสาวสิรินันท์ จิรดิลก ผู้อำนวยการอาวุโส Digital Engagement and FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า "การระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งได้เน้นย้ำให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัล จากผลสำรวจของเรา พบว่า SMEs มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เน้นไปที่การปรับตัวเป็นดิจิทัล การตลาดดิจิทัล และการส่งมอบประสบการณ์แก่ลูกค้าเพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน"

"ผลสำรวจของธนาคารยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยมากกว่าหนึ่งในสอง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทนยั่งยืนอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของลูกหลานพวกเขาในอนาคต ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่ความเป็นดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ SMEs ต้องตระหนักคือการผสานความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเสริมประสิทธิภาพรากฐานทางธุรกิจของพวกเขา"

นายชาล เจริญพันธ์ CEO & Co-Founder HUBBA กล่าวว่า "นับตั้งแต่ปี 2555 HUBBA ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ผ่านเครือข่ายและการบ่มเพาะทางธุรกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมตอบโจทย์ของตลาดและประสบความสำเร็จออกสู่ตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และจากการระบาดของโควิด-19ที่ผ่านมา เราได้สังเกตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่านี่คือโอกาสของ SMEs ที่จะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจและกลยุทธ์ในการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า ยิ่งธุรกิจสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้นเท่าไร ความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากการปรับตัวสู่ดิจิทัลแล้ว เราพบว่า SMEs ยังต้องการคำแนะนำในด้านการบริหารองค์กรและทรัพยากรบุคคลด้วย จากการที่เราเห็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากต้องเผชิญปัญหาด้านนี้ เราจึงรวบรวมเอาหลักสูตรการฝึกอบรมในด้านการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมองค์กรเข้ามา เนื่องจากเรื่องนี้มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อทัศนคติและแรงจูงใจของพนักงานซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า"

มุ่งมั่นผสานความร่วมมือ ขับเคลื่อน SMEs ก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
โครงการ Smart Business Transformation (SBTP) ดำเนินงานโดย The FinLab หน่วยงานบ่มเพาะนวัตกรรม (Innovation Accelerator) ดำเนินงานภายใต้ธนาคารยูโอบี พร้อมด้วยองค์กรพันธมิตรชั้นนำได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ซึ่งพันธมิตรเหล่านี้ได้ให้การสนับสนุนโครงการ SBTP มาโดยตลอดในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา

สสว. ในฐานะที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในการสนับสนุน SMEs ของประเทศไทยได้กำหนดนโยบายและแผนการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการยกระดับทางเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า "ประเทศไทยมีผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 3.2 ล้านราย ส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนพวกเขาให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้ คือการได้ประชาสัมพันธ์ให้พวกเขาเข้าร่วมโครงการ SBTP ซึ่งเปรียบเสมือนช่องทางด่วนพิเศษในการพัฒนาทักษะดิจิทัล เร่งความสามารถในการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และเข้าถึงการให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล"

สวทช. มีบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้าให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล ผ่านโปรแกรม Innovation Technology Assistance Programme (ITAP) นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า "ตลอดระยะเวลา 3 ปี ของความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เราประสบความสำเร็จในการสนับสนุน SMEs ไทยจำนวน 35 ราย ให้มีแนวคิดในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจด้วยนวัตกรรม และสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท และคาดว่าจะเกิดการลงทุนจากภาคเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 20 ล้านบาท ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ITAP ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนไปแล้ว 5 ล้านบาท โดยเป็นการช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัลให้กับองค์กร"

depa ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนด้านโซลูชันเทคโนโลยีแก่ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการ นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า "ระยะเวลาความร่วมมือกว่า 3 ปีของ depa กับธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลของ SMEs รวมถึงการขยายโอกาสทางการตลาดสำหรับผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีชาวไทย เราเชื่อว่า SMEs ที่เข้าร่วมจะไม่เพียงสามารถปรับตัวเข้ากับโซลูชันที่เป็นดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่าน SBTP เท่านั้น แต่โครงการยังเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจระหว่าง SMEs และผู้ให้บริการโซลูชัน การสร้างเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลได้"

นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการในปี 2562 โครงการ SBTP ได้รับความสนใจจาก SMEs ในประเทศไทยมากกว่า 4,000 ราย โดยมี SMEs มากกว่า 600 รายที่นำเทคโนโลยีไปปรับใช้เพื่อช่วยพัฒนาการตลาด (Front-end) และกระบวนการทำงานหลังบ้าน (Back-end)

โครงการ SBTP เปิดรับเจ้าของธุรกิจ SMEs หรือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ที่พร้อมเปิดรับแนวคิดใหม่ในการทำธุรกิจ มีความกระตือรือร้นในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและความพร้อมในการลงทุนด้านเครื่องมือดิจิทัล และสามารถให้เวลากับโครงการได้อย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลาสามเดือนของโครงการ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความสนใจ จำกัดสาขาธุรกิจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ SBTP ได้ที่ www.facebook .com/uob.th หรือ https://thefinlab .com/th/thailand จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565
#6071
Exness รีวิว รีวิวโบรกเกอร์ Exness เทรดกับ Exness ดีไหม มีข้อดีข้อเสีย
#6072
โบรกฯเชียร์ซื้อ OSP รับแนวโน้มพลิกฟื้นโตจากหลายกลยุทธ์,M-150 พรีเมียมหนุน

โบรกเกอร์ต่างเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.โอสถสภา (OSP) จากมุมมองที่ว่าแนวโน้มผลประกอบการในปี 65 จะกลับมาเติบโตได้หลังจากปีที่แล้วหดตัว เนื่องบริษัทเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ Premium อย่าง M-150 สูตรใหม่ พร้อมปรับราคาขายจาก 10 บาทเป็น 12 บาท บวกกับกำลังซื้อเริ่มฟื้นกลับมา รวมไปถึง OSP ยังเป็นบริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ยังเตรียมวางจำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมสาร CBD จากกัญชงภายใน Q2/65 อีกด้วย

ประกอบกับ OSP มีแผนฟื้นฟูยอดขายกลุ่ม Personal Care และผลักดันการจำหน่ายผ่านออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกันยังเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศ และมองหาพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

สำหรับราคาต้นทุนวัตถุดิบคาดว่าจะลดลงหลังจาก Q1/65 เป็นต้นไป บวกกับแผนลดต้นทุน 5-7 ปี หนุน Margin ให้ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า OSP เป็นหุ้นที่จะ Outperform ได้ในปี 65 ไปจนถึงครึ่งแรกของปี 66

ราคาหุ้น OSP ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 35.50 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.70%) ขณะที่ SET +0.58%

          โบรกเกอร์             คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          โนมูระ พัฒนสิน            ซื้อ                    42.00
          ฟินันเซีย ไซรัส            ซื้อ                    42.00
          เมย์แบงก์                ซื้อ                    41.00
          ยูโอบีเคเฮียน             ซื้อ                    40.50
          กสิกรไทย                ซื้อ                    40.50
          หยวนต้า                 ซื้อ                    40.00
          เอเชียเวลท์              ซื้อ                    39.50
          กรุงศรี                  ซื้อ                    38.00
          ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี          ซื้อ                    37.50
          ไทยพาณิชย์               ซื้อ                    37.00
          เอเซียพลัส               ซื้อ                    37.00
          พาย                    ซื้อ                    36.50
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้น OSP ได้รับแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น จึงเกิดการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง M-150 สูตรใหม่ที่ขยับราคาขายจาก 10 บาทมาเป็น 12 บาท และประเมินราคาต้นทุนวัตถุดิบ แม้จะเป็นช่วงพีคใน Q1/65 แต่คาดว่าจะเริ่มลดระดับลงมา หลังจากราคาพลังงานต่าง ๆ เริ่มลดลง

รวมถึงเห็น Momentum ของการคลายล็อกดาวน์ แม้ว่ากำลังซื้อในปัจจุบันอาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็เห็นโอกาสที่ยอดขายจะวิ่งขึ้นจากราคาขายที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นกลับมาได้

พร้อมประเมินแนวโน้มผลประกอบการในปี 65 น่าจะมีรายได้อยู่ที่ราว 2.8 หมื่นล้านบาท กลับมาเติบโตได้หลังจากที่ปีที่แล้วหดตัว ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตประมาณ 17% YoY และมองภาพของ OSP ในระยะกลางถึงระยะยาว คาดว่าจะเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่จะ Outperform ได้ในปี 65 จนถึงครึ่งแรกของปี 66

ด้าน บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แผนเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ Premium โดยเฉพาะสินค้าใหม่อย่าง M-150 ระดับ Premium เพิ่มวิตามิน B12 (2 เท่า) ราคาขายปลีก 12 บาท ตั้งแต่ มี.ค. 65 ยกระดับตลาดเครื่องดื่มบำรุงไทย จะช่วยลดแรงปะทะจาก Cost Push Inflation ในปัจจุบัน และดีต่อ Gross Margin ระยะถัดไป หลังต้นทุนวัตถุดิบผ่านจุดเลวร้าย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์สินค้า OSP ครองส่วนแบ่งการตลาดเบอร์ 1 ในไทย โดยมูลค่าตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศปี 64 อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท OSP ครองส่วนแบ่งการตลาดเบอร์ 1 ที่ 54.6%

พร้อมประเมินแนวโน้มกำไร Q1/65 น่าจะเห็นการเติบโต YoY หลังยอดขายเดือนม.ค.ขยายตัว YoY อีกทั้ง Q1/64 มีการปิดซ่อมเตาเผาใหญ่ กดดันให้ Gross Margin อยู่ที่ 33.5% เทียบกับพัฒนาการงวด Q4/64 ที่ทำได้ 34.6%

นอกจากนี้สถานะการเงินที่เป็น Net Cash 1.6 พันล้านบาท จึงมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ที่ปกติจ่ายปีละ 2 ครั้ง ล่าสุด OSP รายงานการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 64 ที่ 0.65 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD 5 พ.ค. 65

สำหรับ บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า OSP มีแผนธุรกิจหลักในปี 65 คือโครงการลดต้นทุน (Fast Forward 10x) โดยตั้งเป้าลดต้นทุนให้ได้ 5 พันล้านบาท ภายใน 5-7 ปี เน้นการประหยัดต้นทุนและเพิ่ม Margin และจากสถานการณ์ปัจจุบันที่วัตถุดิบอย่างก๊าซธรรมชาติและอลูมิเนียมมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ทาง OSP มีแผนล็อกราคาวัตถุดิบหลักอย่างน้อยครึ่งปี เช่น ตัวกระป๋องและฝาอลูมิเนียม, เศษแก้ว, Soda Ash และปรับราคาขายส่งขึ้น 2-3% รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานน้อยลง อีกทั้งเปลี่ยนขวดแก้ว Energy Drink ให้มีน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดผลกระทบของต้นทุนที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ OSP วางแผนเพิ่มยอดขายเครื่องดื่มในประเทศ เน้นสินค้าเพื่อสุขภาพและ Product Innovation รวมไปถึงฟื้นฟูยอดขายกลุ่ม Personal Care โดยเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่มี Innovation มากขึ้น ในกลุ่ม Babi Mild และ Twelve Plus และขายผ่านออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งมีแผนวางขายเครื่องดื่ม Functional Drink ผสม CBD จากกัญชงภายใน Q2/65 อีกด้วย

ขณะเดียวกันยังขยายตลาดในต่างประเทศเพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะในประเทศ เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมองหาหุ้นส่วนทางธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อขยายการเติบโตของธุรกิจ เช่น การทำ M&A, B2B
#6073
RAM-THG-VIBHA ร่วมลงทุนรพ.ธนบุรี รังสิต มูลค่า 2.7 พันลบ.คาดเปิด Q2/68

บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) บมจ.โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) บมจ.โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) และ กลุ่มแพทย์ จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการโรงพยาบาลธนบุรี รังสิต

ทั้งนี้โครงการฯจะดำเนินการใต้บริษัทร่วมทุนซึ่งจะจัดตั้งใหม่ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 2,700 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้น 4 ราย ได้แก่ THG จำนวน 8,100,000 หุ้น คิดเป็น 30% RAM จำนวน 10,800,000 หุ้น คิดเป็น 40% กลุ่มแพย์ จำนวน 5,400,000 หุ้น คิดเป็น 20% และ VIBHA จำนวน 2,700,000 หุ้น คิดเป็น 10%

บริษัทร่วมทุน จะก่อสร้างโรงพยาบาลธนบุรี รังสิต เป็นโรงพยาบาลประเภทตติยภูมิจำนวน 250 เตียง บนที่ดิน 20-0-0.8 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณโครงการ Jin Wellbeing County ติดถนนพหลโยธิน (ทล.1) บริเวณกม.36+550 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งปัจจุบันที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ ของ THG

ทั้งนี้ บริษัทร่วมทุนจะก่อสร้างโรงพยาบาลธนบุรีรังสิต เป็นอาคารสูง 13 ชั้น พื้นที่ 38,200 ตร.ม. โดยจะประกอบด้วย

1) ห้องตรวจผู้ป่วยนอก 80 ห้อง

2) ห้องพักป่วย 250 เตียง

3) ห้องผ่าตัด 5 ห้อง

4) ห้องผู้ป่วยวิกฤต 25 เตียง

5) ห้องแล็บ 1 ห้อง

6) ห้อง MRI 1 ห้อง

7) ห้อง CT SCAN 1 ห้อง

อาคารจอดรถ 215 คัน

สำหรับแหล่งที่มาของเงินทุนสำหรับเข้าลงทุนในโครงการโรงพยาบาลธนบุรี รังสิต ของ THG มาจาก 2 ส่วน ได้แก่

(1) THG จะจำหน่ายที่ดินของบริษัทฯ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 184903, 184904, 184905 และ 184906 รวมจำนวน 4 โฉนด เนื้อที่รวมเท่ากับ 20-0-0.8ไร่ หรือ 8,000.8 ตารางวา ให้แก่บริษัทร่วมทุนเพื่อใช้ชำระค่าหุ้นแทนเงินสด ซึ่งถือเป็นการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนจดทะเบียนตามมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นบริษัทร่วมทุนโดยมีมูลค่า 584.00 ล้านบาท

(2) THG จะใช้เงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ ชำระค่าหุ้นของบริษัทร่วมทุนเพิ่มเติมอีกจำนวน 226.00 ล้านบาท

ทั้งนี้ การลงนามในสัญญาข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders? Agreement) ภายในมิถุนายน 65 และจัดตั้งบริษัทร่วมทุน พร้อมทั้งดำเนินการโอนที่ดิน และชำระค่าหุ้น ภายในมิถุนายน 2565

ขณะที่การออกแบบต่าง ๆ และดำเนินการเกี่ยวกับการยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(Environment Impact Assessment: EIA) และการขออนุญาตก่อสร้างอาคารภายในธันวาคม 65 และการประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงงานเสาเข็ม งานโครงสร้างอาคารงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคารภายในไตรมาสที่ 1/66

โดยการดำเนินการก่อสร้าง รวมถึงงานเสาเข็มงานโครงสร้างอาคารงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร (โดยงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566)ตกแต่งภายใน และงานภูมิทัศน์ภายในมิถุนายน 66

ส่วนการขออนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการเปิดใช้อาคารและการเปิดใช้สถานพยาบาล ภายในไตรมาส 1/68 และการเตรียมความพร้อมในการเปิดดำเนินการ ภายในไตรมาส 1/68

ทั้งนี้ คาดโรงพยาบาลธนบุรีรังสิต เปิดดำเนินการ ภายในไตรมาส 2/68
#6074
ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดลบ 73.42 จุด เซ่นพิษสหรัฐแบนนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดลบ 4 วันทำการติดต่อกัน พลิกจากที่ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับราคาพลังงาน หลังสหรัฐตัดสินใจระงับการนำเข้าน้ำมันและพลังงานอื่น ๆ จากรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 24,717.53 จุด ลดลง 73.42 จุด หรือ -0.30% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. 2563

หุ้นลบวันนี้นำโดยกลุ่มพลังงานไฟฟ้าและก๊าซ, กลุ่มขนส่งทางทะเล และกลุ่มเครื่องมือชั่งตวงวัด

ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex เปิดบวกกว่า 300 จุด หุ้นกลุ่มการบินหนุนตลาด
 

ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียเปิดตลาดในแดนบวก โดยมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสายการบิน หลังอินเดียเปิดเผยวานนี้ (8 มี.ค.) ว่า จะอนุญาตให้เที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศกลับมาทำการบินได้ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. เป็นต้นไป หลังระงับให้บริการมานานถึง 2 ปี เนื่องจากการระบาดของโควิด-19

ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 53,793.99 จุด เพิ่มขึ้น 369.9 จุด หรือ +0.69%

หุ้น RIL พุ่ง 3.25%, หุ้น Tech Mahindra เพิ่มขึ้น 2.82% และหุ้น Dr. Reddys บวก 2.63%

SFT เตรียมนักลงทุนเก็บหุ้นเข้าพอร์ตก่อนขึ้น XD รับเงินปันผล
 
เป็นหนี่งหุ้นที่สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นเข้าตานักลงทุน สำหรับ บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน ที่มีฐานการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าอย่างครบเครื่อง แถมแผนปีนี้ SFT ตั้งเป้าหมายเติบโต 15-20% รับแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงเป็นโอกาสเก็บหุ้น SFT เข้าพอร์ตก่อนกำหนดรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 11 มี.ค. นี้ รับปันผลทันทีในอัตรา 0.1015 บาทต่อหุ้น ที่เตรียมจ่าย 17 พ.ค. 65

 
#6075
วิจัยกรุงศรีคาดการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานตลาดโลกสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเร่งขึ้น แต่ไทยยังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

วิจัยกรุงศรีรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 13 ปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากวิกฤตราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 5.28% YoY เร่งขึ้นจาก 3.23% ในเดือนมกราคม สาเหตุจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานเป็นสำคัญ อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทางการได้มีมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงเกือบสิ้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่มอาหารโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป และอาหารบริโภคนอกบ้าน มีการปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 1.80% สูงสุดในรอบกว่า 7 ปี จาก 0.52% เดือนมกราคม สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ 4.25% และ 1.16% ตามลำดับ

อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเร่งขึ้นมากโดยแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 และยืนอยู่เหนือกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ในเดือนถัดไปยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทะยานสูงขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่มีความเสี่ยงจะยืดเยื้อ แรงกดดันทางด้านราคาโดยเฉพาะในหมวดพลังงานจึงเพิ่มขึ้นกว่าคาด กระทบต้นทุนการผลิตปรับเพิ่ม อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จึงมีโอกาสสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.7%

แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งขึ้นกว่าคาด โดยมีสาเหตุสำคัญจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์ความรุนแรงในยูเครน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวยังอาจสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย นอกจากนี้ การระบาดของไวรัสโอมิครอนในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาอยู่ในระดับสูงกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งนี้ เพื่อช่วยประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยซึ่งนับว่ามีความอ่อนแอและเปราะบางอยู่มาก วิจัย
กรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกตรึงไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.50% ตลอดทั้งปี 2565

แม้มีปัจจัยบวกอยู่บ้าง แต่ความเสี่ยงจากวิกฤตยูเครนที่ทวีความรุนแรง อาจกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรี (วันที่ 1 มีนาคม) มีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลง Air Travel Bubble ระหว่างไทย-อินเดีย ซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่การกลับมาเปิดเที่ยวบินพาณิชย์ระหว่างประเทศได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากถูกระงับไปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

ในปี 2562 หรือช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ไทยมีนักท่องเที่ยวอินเดียราว 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 5% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม แต่หลังจากไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวด้วยมาตรการ Test & Go ยังมีนักท่องเที่ยวอินเดียเข้ามาเพียง 7,671 คน (พฤศจิกายน 2564 - มกราคม 2565) หรือคิดเป็น 1.6% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำความตกลงดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมาไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่าจีนเริ่มหาแนวทางยกเลิกนโยบาย Zero Covid ซึ่งหากเกิดขึ้นได้เร็ว คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังเป็นปัจจัยลบที่ต้องติดตาม โดยล่าสุดเดือนมกราคม นักท่องเที่ยวรัสเซียมีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง 23,761 คน (สัดส่วน 17.7% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม) เทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการระบาดอยู่ที่ 1.5 ล้านคน (สัดส่วน 3.7%) แต่หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงและยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อนักท่องเที่ยวจากยุโรปซึ่งนับเป็นตลาดสำคัญของไทยนับตั้งแต่มีการเปิดประเทศ

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก สงครามในยูเครน การคว่ำบาตร และการตอบโต้ที่ทวีความรุนแรง เพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก วิกฤตยูเครนรุนแรงกว่าคาด เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในยุโรป สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนรุนแรงขึ้น โดยกองกำลังทหารของรัสเซียได้เข้ายึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของยูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีปูติน ยืนกรานใช้กำลังเพื่อยุติการต่อต้านรัสเซีย ด้านสหภาพยุโรปและชาติพันธมิตรประกาศคว่ำบาตรธนาคารกลางรัสเซียซึ่งจะมีผลให้ไม่สามารถใช้ทุนสำรองได้ นอกจากนี้ยังปิดกั้นธนาคารรัสเซีย 7 แห่งจากระบบชำระเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) รวมทั้งการปิดน่านฟ้าต่ออากาศยานรัสเซีย การคว่ำบาตรที่รุนแรงส่งให้มีแรงเทขายสินทรัพย์รัสเซีย ขณะที่ตราสารหนี้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ค่าเงินรูเบิลร่วงถึง 30% YTD ธนาคารกลางรัสเซียจึงได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 9.5% เป็น 20.0% วิกฤตที่ลุกลามสู่ภาคเศรษฐกิจและการเงินอาจส่งผลให้รัสเซียเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ความตึงเครียดจากการโจมตียูเครนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะภูมิภาคยูโรโซน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประเมินว่าความเสียหายเบื้องต้นอาจทำให้ GDP ของยูโรโซนลดลงประมาณ 0.3%-0.4% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4.2% อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งที่มีแนวโน้มลากยาวและรุนแรงยิ่งขึ้นจะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยุโรปและชาติพันธมิตรอาจห้ามการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ความขัดแย้งยังอาจส่งผลต่อภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ล่าสุดธนาคารโลกระบุว่าสงครามในยูเครนถือเป็นหายนะที่จะบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามในยูเครน แต่ตลาดแรงงานสหรัฐฯที่ตึงตัวอาจกดดันเฟดให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคการผลิตและบริการแตะระดับ 55.9 ดีขึ้นจากเดือนก่อนซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ด้านการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 6.78 แสนตำแหน่งสูงสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดที่ 3.8% ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงเพิ่มสู่ระดับ 34.7 ดอลลาร์และดีกว่าที่ตลาด ล่าสุดจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปีที่ 2.15 แสนราย

ถึงเฟดจะประเมินผลกระทบจากความตึงเครียดในยูเครนว่า"มีความไม่แน่นอนอย่างมาก" แต่ตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ประธานเฟดระบุว่าเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและตลาดแรงงานที่ตึงตัวอย่างมากถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ สำหรับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นกว่าคาดอาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้ออย่างเป็นวงจรต่อเนื่อง (Wage-price spiral) วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้ โดยจะเริ่มปรับขึ้น 25 bps ในการประชุมเดือนมีนาคม

เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น ขณะที่ทางการกำหนดเป้าหมายการเติบโตสูงกว่าคาด พร้อมรับมือความเสี่ยงในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้น (51.2 จาก 51.0 ในเดือนมกราคม) นำโดย PMI นอกภาคการผลิต (51.6 จาก 51.1) ส่วน PMI ภาคการผลิตทรงตัวจากเดือนก่อน (50.2 จาก 50.1)

เศรษฐกิจจีนกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยจากสถานการณ์การระบาดที่บรรเทาลง รวมทั้งปัจจัยบวกจากมาตรการด้านการเงินและการคลัง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนยังอาจเผชิญความไม่แน่นอนจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ล่าสุดรัฐบาลได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจและรัฐบาลท้องถิ่นเร่งสำรองสินค้าจากแหล่งอื่น เนื่องจากจีนต้องพึ่งพาการนำเข้าจากรัสเซียในหลายรายการ เช่น นิกเกิล อะลูมิเนียม พัลลาเดียม น้ำมันจากธัญพืช ด้านการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติและสภาที่ปรึกษาทางการเมือง รัฐบาลได้ประกาศเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 5.5% แม้สูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ (IMF คาดไว้ที่ 4.8%) แต่ต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี ส่วนเป้าหมายการขาดดุลทางการคลังลดลงสู่ 2.8% ต่อ GDP (จาก 3.2%) แต่เร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น สะท้อนการดูแลเศรษฐกิจมิให้ชะลอตัวรุนแรงและรับมือกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่กำลังเพิ่มขึ้น