• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3141


สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. จัดงาน "ARDA Virtual Event : ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน" ในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 – 13.00 น. บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยของ สวก. ให้เป็นที่รับรู้และรู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย สาธารณะ และพาณิชย์

โดยนำเสนอเทคโนโลยี "ต่อยอดงานวิจัยเกษตรไทย มิติใหม่แห่งการลงทุน" จำนวน 12 โครงการ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานวิจัยของ สวก. จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท เอ็ม.วาย.อาร์.คอสเมติคส์ โซลูชั่น จำกัด 2) บริษัท ไบโอเมดอินโนเวชั่น จำกัด และ 3) บริษัท เจอาร์ แลบโบราทอรี่ จำกัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง


ทั้งนี้ ยังมีการเสวนา เรื่อง "ศักยภาพของสมุนไพรไทยในการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูโรคโควิด 19" เพื่อยกระดับงานวิจัยด้านสมุนไพรไทย นำไปต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก

ภายในงาน จะสามารถให้ผู้ที่ร่วมลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการผลงานวิจัยของ สวก. ในรูปแบบ Virtual Event บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวนกว่า 60 ผลงาน ประกอบด้วย

โซนที่ 1 ผลิตภัณฑ์ผลงานวิจัยจาก "หิ้งสู่ห้าง" มากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์ ที่มีการผลิตและจำหน่ายจริง อาทิ เครื่องสำอางชะลอความชราจากข้าว เครื่องดื่มข้าวสินเหล็ก ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงและแมลง ผลิตภัณฑ์เส้นบุก เครื่องสำอางจากดอกไม้สีเหลือง และเครื่องสำอางจากน้ำมันปาล์มแดง เป็นต้น

โซนที่ 2 ต้นแบบผลงานวิจัยพร้อมใช้ "เชิงพาณิชย์" มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ ตำรับยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ตำรับยาจากพืชกระท่อม อาหารสุขภาพสำหรับโรคเรื้อรังจากสาหร่าย เป็นต้น


โซนที่ 3 ต้นแบบองค์ความรู้วิจัยพร้อมใช้ "เชิงสาธารณะ" มากกว่า 20 ผลงาน อาทิ คู่มือเทคโนโลยีการผลิตภัณฑ์ปลาช่อน Food loss เทคโนโลยีการให้น้ำด้วยการใช้อ่างน้ำจากยางรถยนต์เก่าและระบบไส้ตะเกียง และนวัตกรรม Cement ring แบบประหยัดน้ำ เป็นต้น

โซนที่ 4 การให้บริการข้อมูลของ สวก. (ARDA Contact) ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัย ทุนพัฒนาบุคลากรวิจัย ระบบคลังข้อมูลการวิจัยการเกษตรไทย (TARR) ช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ และช่องทางการติดต่อ สวก.

ทั้งนี้ ท่านผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ ได้ที่ http://www.ardavirtual2021.com/

หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักส่งเสริมการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โทร. 02-579-7435 และ Facebook : Agricultural Research Development Agency (ARDA)
#3142
ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป


 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากสถานการณ์โควิดได้ที่  www.jitasa.care

 ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด เว็บ JITASA.CARE จิตอาสาดูแลไทย (สำหรับอาสาสมัคร)  ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19

เว็บ ร่วมกันช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือนร้อนจากโควิด19  ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถาณการ์โควิท สำหรับผู้ป่วยโควิท และ ประชาชนทั่วไป
.
สายด่วนสถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด (กรุงเทพมหานคร),แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation),
แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

และ ข้อมูลติดต่อฉุกเนิน ต่างๆเช่น

-สายด่วนกรมการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยในการหาเตียง โทร 1668
-สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินทันที /โทร 1669
-สายด่วน สปสช. ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โทร 1330
-ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน โทร 1111
-สบายดีบอต หาเตียง Line Official: https://bit.ly/Covid-SaBaiDee
-กรุงเทพมหานคร Line ID: @bkkcovid19connect หรือ https://bit.ly/Covid-BKK
-เราต้องรอด Facebook: www.facebook.com/savethailandsafe Line ID: @iwillsurvive หรือ https://bit.ly/ Covid-iwillsurvive
-โควิดติดล้อถึงเตียง Facebook: www.facebook.com/CC.Kontumngan


และข้อมูลอื่นๆ คลิก JITASA.CARE 

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://prakasfree.website/ข้อมูลการติดต่อหน่วยงา/



คำค้น
#ช่วยเหลือโควิท, #ร่วมกันช่วยเหลือคนเดือดร้อนจากโควิท19, สายด่วน สถานการณ์โควิด-19, ข้อมูลการติดต่อหน่วยงานสถานการณ์โควิด,
แนวทางปฏิบัติในการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), แนวทางการจัดการศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
 
#3143
 กลุ่มข้าวอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ  คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




 ข้าวหอมมะลิสุขภาพข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)  ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลนิลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิก เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ขายข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิก
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf3bcuv6dva2b1ntb.com/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิสุขภาพ
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลออร์แกนิค
4.  ข้าวอินทรีย์ผสมหลายสายพันธุ์ จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลorganic7.  ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิค


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 
 
#3144


เออร์โรล สเปนซ์ จูเนียร์ กำปั้นชาวอเมริกัน ถอนตัวจากไฟต์พบ แมนนี ปาเกียว จาก ฟิลิปปินส์ หลังได้รับบาดเจ็บที่ตา และต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

สเปนซ์ มีโปรแกรมป้องกันเข็มขัด รุ่นเวลเตอร์เวต ของ สภามวยโลก (WBC) และ สหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ปะทะ "เดอะ แพ็คแมน" วันที่ 21 สิงหาคมนี้

ทว่า เจ้าของสถิติชนะรวด 27 ไฟต์ (21 น็อกเอาท์) แจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า จำเป็นต้องถอนตัว

ทำให้ ยอร์เดนิส อูกัส นักชกคิวบาวัย 35 ปี ถูกเรียกมาขึ้นสังเวียนแทน สเปนซ์ เพื่อ.เข็มขัด สมาคมมวยโลก (WBA) เส้นเดียวกับที่ริบคืนจาก ปาเกียว ช่วงต้นปี 2021 เนื่องจากไม่ป้องกันตำแหน่งภายในระยะเวลาที่กำหนด

สเปนซ์ วัย 31 ปี กล่าว "ผมผิดหวังมากที่ผมไม่สามารถชกกับ แมนนี ปาเกียว วันที่ 21 สิงหาคม ผมตื่นเต้นที่จะขึ้นสังเวียนไฟต์นี้"

"โขคร้ายเหลือเกิน แพทย์พบรอยฉีกตรงตาซ้าย แล้วบอกว่าผมจำเป็นต้องผ่าตัดด่วนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่มีทางที่ผมจะขึ้นสังเวียนด้วยการบาดเจ็บตา ผมขอโทษทุกๆ คน ผมจะกลับมาโดยเร็วที่สุด เราจะกลับมาจากจุดที่แย่สุด"

ปาเกียว วัย 42 ปี ไม่มีคิวชกตั้งแต่เอาชนะ คีธ เธอร์แมน วัย 32 ปี คว้าแชมป์ของ WBA เดือนกรกฎาคม 2019 เนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด จึงเก็บตัวอยู่บ้าน ที่กรุงมะนิลา
#3145


นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564/65 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 สถานการณ์การแพร่ระบาตของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีความผันผวน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 อย่างไรก็ตาม VGI สามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยมีรายได้ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีผลกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท จากประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเตรียมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน มีรายได้ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 266 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตในสื่อโฆษณาทุกหน่วยธุรกิจจากการใช้แคมเปญการจองใช้สื่อโฆษณาล่วงหน้าที่บริษัทฯ ได้เสนอแพคเกจพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีการทำสัญญาในระยะยาว รวมถึงการรับรู้รายได้จากการขายสื่อโฆษณาประเภทสตรีทเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถูกบันทึกภายใต้หน่วยธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน

- สื่อโฆษณาในระบบชนส่งมวลชน มีรายได้ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 236 ล้านบาท

- สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและอื่นๆ มีรายได้ 29 ล้านบาท ลดลง 2.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ก 30 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มีรายได้ 218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากค่าคอมมิชชั่น และ Lead Generation ภายใต้กลุ่มแรบบิท

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้มาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีต้นทุนการให้บริการอยู่ที่ 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 68.9% จาก 74.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.1% เพิ่มขึ้นจาก 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงมาอยู่ที่ 42.1% จาก 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน 22 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) จากการรับรายได้ค่าตอบแทนขั้นต่ำในธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศ และความสำเร็จในการเจรจาต่อรองลดค่าสัมปทานของธุรกิจสื่อโฆษณาในสนามบิน Kuala Lumpur International Airport ของธุรกิจสื่อโฆษณาในต่างประเทศ

จากผลการดำเนินธุรกิจที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 1.7%
#3146


รัฐบาลสิงคโปร์แถลงวันนี้ (11 ส.ค.) ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวดีเกินคาดในช่วงไตรมาส 2 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ว่าจะเติบโตระหว่าง 6-7% โดยมีปัจจัยหนุนจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ ทั้งในสิงคโปร์และตลาดสำคัญอื่นๆ

กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมสิงคโปร์เปิดเผยว่า จีดีพีไตรมาส 2 ขยายตัว 14.7% เมื่อเทียบปีต่อปี สูงกว่าตัวเลข 14.3% ที่รัฐบาลคาดการณ์เอาไว้ และมากกว่าตัวเลข 14.2% ที่นักวิเคราะห์คาดหมาย ทว่ายังคงต่ำกว่าจีดีพีไตรมาส 2/2019 หรือช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ประมาณ 0.6%

รัฐบาลยังได้ปรับคาดการณ์จีดีพีตลอดทั้งปีว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 6-7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เพียง 4-6%

แกเบรียล ลิม ปลัดกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ระบุว่า "เศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมที่เปิดกว้างสู่ภายนอก (outward-oriented sectors)"

ลิม ชี้ว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมพรมแดนจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่อิงกับผู้บริโภคโดยตรง (consumer-facing sectors) และลดปัญหาขาดแคลนคนทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว

อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่ากิจกรรมจะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนมีโควิด-19 ไปจนถึงสิ้นปีนี้

กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมสิงคโปร์ระบุด้วยว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตา แต่อัตราการฉีดวัคซีนก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถเดินหน้าเปิดเศรษฐกิจได้

แม้จะยังคงมาตรการจำกัดทางสังคมบางส่วนไว้ แต่รัฐบาลสิงคโปร์ได้เริ่มวางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว โดยจะเน้นไปที่การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด

สถานการณ์โควิด-19 ในสิงคโปร์ยังถือว่าเบากว่าหลายๆ ประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 65,000 คนเศษ และเสียชีวิต 45 คน

ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี 
#3147


หุ้นเช้าปิดลบ 3.01 จุด ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัยคาดหวังเร่งฉีดวัคซีนหนุนคลายล็อก-เปิดประเทศ ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นการชะลอมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,550 จุดจากนั้นย่อตัวลงมา แม้ดาวโจนส์ทำนิวไฮตอบรับวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงาน โดยตลาดฯขึ้นต่อไปได้ไม่นานก็ย่อตัวลงในเวลาต่อมา

แต่บ้านเรามีปัจจัยหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีนได้มากขึ้นเกิน 4 แสนโดสต่อวัน จึงเกิดความคาดหวังจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู้เร็วขึ้น นำไปสู่การคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศได้เร็วตามมา ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบอย่างไร้ทิศทาง พร้อมแนะติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,539.61 จุด ลดลง 3.01 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.20% มูลค่าการซื้อขายราว 50,980 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ แนวรับ 1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 จุด
#3148


ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยสีสันและฉากหลังที่เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันทำให้"เกาะบาหลี"ดึงดูดความสนใจเหล่าผู้ผลิตภาพยนต์จากต่างประเทศให้ไปปักหลักถ่ายทำภาพยนต์ที่นั่นมานับไม่ถ้วน

ตั้งแต่ภาพยนต์เรื่อง "Legong, Dance of the Virgins"ภาพยนตร์เงียบแนวดรามาเกี่ยวกับการท่องเที่ยว สร้างเมื่อปี 2478 ภาพยนต์เรื่อง "Baraka" ภาพยนต์สารคดีแนวคัลท์ สร้างเมื่อปี 2535 ,ภาพยนต์เรื่อง"The Endless Summer II" สร้างปี 2537 และภาพยนต์ที่ดัดแปลงจากหนังสือบันทึกความจำที่ขายดีที่สุด "Eat, Pray, Love" มีจูเลีย โรเบิร์ตส นักแสดงชื่อดังของฮอลลีวู้ดนำแสดง

นอกจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์มาช้านาน บาหลียังเป็นโลเคชันสุดปรารถนาในการถ่ายทำขนาดเล็กกว่าการถ่ายทำภาพยนต์อย่างโฆษณาทางทีวีมากมายหลายชิ้น และตอนนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติและท้องถิ่นต้องการเป็นสะพานอุดรอยโหว่ระหว่างสตูดิโอผลิตภาพยนต์ระดับโลกของฮอลลีวู้ดและเหล่าครีเอทีฟชาวอินโดนีเซียด้วยการสร้างสตูดิโอผลิตภาพยนต์บนเกาะแห่งนี้

สำนักงานสถิติแห่งชาติของอินโดนีเซีย ระบุว่า "ยูไนเต็ด มีเดีย เอเชีย แอนด์ ครีเอทีฟ อาร์ทิส เอเจนซี" (ยูเอ็มเอ)ในสหรัฐ ได้เปิดเผยโครงการนี้ที่เทศกาลภาพยนต์เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนที่แล้ว โดยมองเห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของเกาะบาหลีที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลักแม้ว่าเศรษฐกิจบนเกาะแห่งนี้จะหดตัวโดยเฉลี่ยปีละ 9.3%

"ภายใต้แผนการผลิตภาพยนต์นี้ ยูเอ็มเอจะว่าจ้างพนักงานในท้องถิ่นที่มีความรู้ความสามารถซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจบนเกาะบาหลี ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19 บาหลีเป็นโลเคชันในอุดมคติในการสร้างภาพยนต์"มิสซี เทวี โฆษกยูเอ็มเอ ระบุ

ดูเหมือนแผนการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลอินโดนีเซีย โดย"แซนดิอากา อูโน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซีย กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นความพยายามของยูเอ็มเอที่จะสร้างและบ่มเพาะบาหลีให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเนื้อหาระดับโลก

ยูเอ็มเอ ถูกก่อตั้งเมื่อปี 2561 โดย"Michy Gustavia"นักแสดงหญิงและโปรดิวเซอร์ชาวอินโดนีเซีย พร้อมการสนับสนุนด้านเงินทุน 20 ล้านดอลลาร์จากกลุ่มบริษัทสื่อคอมพาส กรามีเดีย (Kompas Gramedia)โดยเน้นผลิตเนื้อหาให้แก่ผู้ชมในท้องถิ่น 270 ล้านคนในภาษาอินโดนีเซีย โดยอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรมากสุดอันดับ4ของโลก มีอายุผู้ชมโดยเฉลี่ยแค่ 29.7 ปีเทียบกับสหรัฐที่มีอายุผู้ชมโดยเฉลี่ย 38.1 ปี

หนังสือพิมพ์จาการ์ตา โพสต์ รายงานว่าช่วง5ปีที่ผ่านมา บ็อกซ์ ออฟฟิศในอินโดนีเซียขยายตัวปีละ 7% และชาวอินโดนีเซียเป็นผู้บริโภคที่ชื่นชอบการดูภาพยนต์ออน-ดีมานด์ผ่านแพลทฟอร์มต่างๆ อาทิ เน็ตฟลิกซ์ โดยคาดว่าจะมีชาวอินโดนีเซียเข้าไปใช้บริการในแพลทฟอร์มนี้มากถึง 18% หรือ 50 ล้านคนภายในปี 2568

"ตลาดบันเทิงของอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก ถ้าไม่นับจีนและยูเอ็มเอได้วางกลยุทธ์ รวมทั้งเพิ่มการลงทุนเพื่อผลิตเนื้อหาสำหรับผู้บริโภคในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น"เทวี ระบุ

แต่มีคำถามว่า บาหลี ที่ปัจจุบันยังคงมีปัญหาไฟฟ้าดับๆติดๆและน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่จะทำหน้าที่ศูนย์กลางการผลิตภาพยนต์ในระดับภูมิภาคได้หรือเมื่อเทียบกับโกลด์ โคสต์ของออสเตรเลีย หรือกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ ซึ่ง"แอนดรี ดานันจายา"จากโคเปอร์นิก เอ็นจีโอ ซึ่งทำโปรเจคมากมายเกี่ยวกับการผลิตภาพยนต์สารคดีประเด็นสิทธิมนุษยชนเชื่อมั่นว่าบาหลีทำได้

"ตั้งแต่ดีไซเนอร์ด้านเสียงและด้านเสื้อผ้าไปจนถึงช่างภาพถ่ายทำภาพยนต์ ในบาหลีมีผู้มีความสามารถในด้านต่างๆเหล่านี้หลายพันคน หากสตูดิโอต้องการผลิตภาพยนต์ที่มีเนื้อหาต่างประเทศ สามารถเริ่มได้ทันที แม้สตูดิโอจะมีข้อจำกัด แต่ด้วยความที่บาหลีมีทัศนียภาพที่หลากหลาย โปรดิวเซอร์จึงสามารถเลือกที่จะถ่ายทำในโลเคชันที่เหมาะสมได้มากกว่าถ่ายทำในสตูดิโอ"ดานันจายา กล่าว

ดานันจายา กล่าวด้วยว่า ในสตูดิโอผลิตภาพยนต์ทุกแห่งต้องติดตั้งระบบสำรองไฟฟ้าไว้ เพราะฉะนั้นการจ่ายกระแสไฟฟ้าบนเกาะจึงไม่ใช่ปัญหา

ขณะที่"ลาโคทา มอยรา"บริษัทผลิตภาพยนต์สัญชาติสหรัฐที่มีฐานดำเนินงานอยู่บนเกาะบาหลี และเป็นผู้ผลิตภาพยนต์เรื่อง

"Pulau Plastik,"หรือ Rubbish Island สารคดีความยาวเท่าภาพยนต์ที่ตีแผ่ปัญหามลภาวะขากขยะในอินโดนีเซีย มีความเห็นต่อเรื่องนี้คล้ายๆกัน

"บนเกาะนี้มีคนมีความรู้ความสามารถมากมาย หากมีแพลทฟอร์มที่ช่วยกระจายผลงานไปยังกลุ่มผู้ฟังที่กว้างขวางขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจแก่เกาะแห่งนี้มากขึ้น"มอยรา กล่าว

ด้านโอมริ เบน-คานาอัน ชาวฝรั่งเศสจากบาหลีพร็อด โพรดักชั่นเฮาส์ที่ผลิตโฆษณาทางทีวีและเสนอการบริการสำหรับผู้ผลิตสารคดีในราคาตายตัวบนเกาะบาหลี บอกว่า กำลังคิดที่จะเปิดสตูดิโอผลิตภาพยนต์บนเกาะแห่งนี้

"ตั้งแต่เราเริ่มทำธุรกิจเมื่อ5ปีที่แล้ว ก็เจอคำถามมากมายว่าทำไมไม่เปิดสตูดิโอผลิตภาพยนต์ จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ผมก็ยังคิดว่าอินโดนีเซียมีความพร้อมและเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นแหล่งผลิตภาพยนต์" เบน-คานาอัน กล่าว
#3149


หัวเว่ย ยังมั่นใจประเทศไทย ย้ำชัด คือ ยังเป็นตลาดกลยุทธ์หลักของหัวเว่ย เร่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มที่ ขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลเป็นครั้งแรกในไทย ลงทุนต่อเนื่อง 5G คลาวด์ พัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศ สวมบทป๋าดัน หนุนไทยสู่ดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน และผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียน

เจย์ เฉิน รองประธานหัวเว่ยเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงเทรนด์ เทคโนโลยีทั่วโลกที่น่าสนใจในยุคนิวนอร์มอล ว่า สองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกคน การรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดในขณะนี้ทำให้เราเห็นว่าทุกประเทศหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น

ข้อมูลจากรายงาน Global Connectivity Index ฉบับล่าสุดของหัวเว่ยระบุว่า ประเทศที่มีความพร้อมทางด้าน ICT มากกว่าประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้น้อยกว่า ทั้งในแง่ของภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือตลาดประเทศไทย ที่สถานการณ์ระบาดในตอนนี้ทำให้เห็นว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ICT และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่ในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยให้ประเทศยังคงฟื้นตัวและเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติ

3 เรื่องดันไทยขึ้นดิจิทัลฮับอาเซียน

เจย์ เฉิน ระบุว่า ประเทศไทยค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็นดิจิทัลฮับในภูมิภาคอาเซียนจากหลายองค์ประกอบ เรื่องแรก คือ ไทยได้พัฒนาแผนเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการเดินตามวิสัยทัศน์ไทยแลนด์ 4.0

เรื่องที่สองคือข้อมูลอ้างอิงจาก Speedtest Global Index 2020 ระบุว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับหนึ่งใน 176 ประเทศในแง่ของความเร็วอินเทอร์เน็ตแบบฟิกซ์บรอดแบนด์ ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในแง่การวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยี 5G

เรื่องที่สามคือประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคเกษตรกรรม กาคสาธารณสุข ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัล

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนสนับสนุนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Huawei ASEAN Academy ซึ่งตั้งเป้าบ่มเพาะบุคลากรในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคให้ได้ถึง 300,000 คนภายในระยะเวลาห้าปี และจะมีสัดส่วนในการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนถึงหนึ่งในสามจากจำนวนบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งหมด

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อว่า หัวเว่ยยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและพลังงานดิจิทัลมาเนิ่นนาน ซึ่งได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค โดยส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ยได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งในแง่ของผลประกอบการและส่วนแบ่งตลาด ทั้งในส่วนธุรกิจ Prefabricated Modular Data Center, Smart PV และ Site Power Facility ที่หัวเว่ยถือว่าเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดในระดับโลก

สำหรับส่วนธุรกิจ mPower หัวเว่ยถือเป็นบริษัทแห่งแรกในโลกที่ส่งมอบนวัตกรรมใหม่ในชื่อว่า X-in-1 ePowertrain ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้แก่รถยนต์พลังไฟฟ้า นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ Modular Power ประสิทธิภาพสูงเป็นจำนวนมากกว่า 300 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยในปี 2563 หัวเว่ยทำยอดขายในส่วนธุรกิจพลังงานจากทั่วโลกได้มากกว่า 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้บริการประชากรถึง 1 ใน 3 จากทั่วโลก

นั่นทำให้หัวเว่ยตัดสินใจขยายส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัลสำหรับตลาดประเทศไทยในปีนี้ โดยปัจจุบัน หัวเว่ยได้ให้บริการลูกค้าระดับองค์กรธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในตลาดประเทศไทย ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจ 35 แห่งจาก 50 แห่ง ได้เลือกหัวเว่ยเป็นพาร์ทเนอร์ในด้านพลังงานดิจิทัล

"หัวเว่ยกำลังสร้างเครือข่ายพาร์ทเนอร์สำหรับด้านการบริการ การติดตั้ง และด้านโซลูชันมากกว่า 50 รายในประเทศไทย โดยหัวเว่ยคาดว่าการขยายส่วนธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยสร้างงานในทางอ้อมได้มากกว่า 1,000 ตำหน่งในประเทศไทย ซึ่งหัวเว่ยทีมกับพาร์ทเนอร์หวังว่าเทคโนโลยีชั้นนำและกรณีตัวอย่างการใช้งานในระดับโลกจะสามารถช่วยส่งเสริมประเทศไทยในการขึ้นเป็นผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอาเซียนได้"



ลงทุน 4 ด้านหลักต่อเนื่อง

อาเบล เติ้ง ย้ำด้วยว่า ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญของหัวเว่ย ซึ่งหัวเว่ยจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยใน 4 ด้าน อันได้แก่ ด้านเทคโนโลยี 5G ด้านดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ด้านพลังงานดิจิทัล และด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้นำด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคนี้ให้จงได้

"ในด้านเทคโนโลยี 5G ประเทศไทยได้ขึ้นเป็นผู้นำในเรื่องการริเริ่มติดตั้งเครือข่าย 5G ในระดับภูมิภาคไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายรายต่าง ๆ ในไทยที่ช่วยผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนี้ ประเทศอื่น ๆ ก็จะเริ่มตามทันไทยในแง่ของการขยายเครือข่าย 5G ต้องการจะเอาชนะในยก 2 ต่อจากนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องผลักดันให้มีอัตราการใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อสร้างงานและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงช่วยเพิ่มสัดส่วนที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งหัวเว่ยจะสนับสนุนประเทศไทยผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านนวัตกรรม 5G และเสริมสร้างอีโคซิสเต็มในประเทศ" คุณอาเบลกล่าว

ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ลงทุนเป็นเงิน 475 ล้านบาทในโปรเจ็ค 5G EIC เพื่อพัฒนานวัตกรรม 5G สำหรับใช้งานในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ และเพิ่มทักษะให้แก่สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี โดยหัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อจัดงานประชุมสุดยอด 5G Summit ในไทยในปีนี้ เพื่อช่วยวางรากฐานให้แก่อุตสาหกรรมและอีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศ

ซึ่งหัวเว่ยเชื่อว่างานประชุมสุดยอดในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในประเทศไทยด้วยการประยุกต์ใช้ 5G ในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง นอกจากนี้ หัวเว่ยยังจะได้รับการสนับสนุนจากดีป้าในการสร้างอีโคซิสเต็มของพาร์ทเนอร์เพื่อก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรด้าน 5G และเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มสำหรับนวัตกรรมและแอปพลิเคชัน 5G ในภาคอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์

"ที่สำคัญคือหัวเว่ยจะยังคงมุ่งมั่นสร้าง อีโคซิสเต็มของ 5G ในประเทศไทยต่อไป เพื่อสร้างนคร 5G ระดับแนวหน้า และมีมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่าย 5G ในขั้นสูง เสริมแกร่งแอปพลิเคชันรวมทั้งนวัตกรรมด้าน 5G เพื่อสร้างโมเดลและคุณค่าใหม่ทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงพอที่จะขึ้นเป็นเมือง 5G แห่งภูมิภาคอาเซียน รองรับการเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 ของไทยที่จะจัดขึ้นในจังหวัดกรุงเทพมหานคร พัทยา และเชียงใหม่" เขากล่าวเสริม

ปีนี้ หัวเว่ยจะลงทุนเป็นเงิน 700 ล้านบาท สำหรับศูนย์ข้อมูลการให้บริการคลาวด์แห่งที่สามในประเทศไทย ซึ่งทำให้หัวเว่ยเป็นผู้ให้บริการ HUAWEI CLOUD ระดับโลกในไทยเพียงรายเดียวที่มีศูนย์ข้อมูลในประเทศถึงสามแห่ง

โดยหัวเว่ยต้องการสนับสนุนด้านการวางจุดยืนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดูน่าลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในด้านการตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) และการลงทุนในครั้งนี้ยังช่วยสร้างงานใหม่กว่า 200 ตำแหน่ง ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในไทยกว่า 200 ราย

ทั้งนี้ หัวเว่ยต้องการจะผลักดันให้ประเทศไทยดูน่าดึงดูดและน่าลงทุนมากขึ้นในสายตาขององค์กรธุรกิจข้ามชาติ ที่ต้องการจะตั้งศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคนี้

หัวเว่ยยังเชื่อว่าหัวใจสำคัญของการผลักดันการพัฒนาด้านดิจิทัลนั้นขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งทางบริษัทได้ผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ผ่านการบ่มเพาะบุคลากรในไทย เพื่อช่วยลดช่องว่างเรื่องการขาดจำนวนบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยโครงการพัฒนาอย่าง Huawei ASEAN Academy ประเทศไทย ซึ่งตั้งเป้าฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานด้านไอทีในไทยให้ได้รับทักษะในระดับโลกเป็นจำนวน 100,000 คนภายในเวลา 5 ปีนี้
#3150


เชื่อสถานการณ์โควิด-19 ถึงจุดพีคแล้ว หวังครึ่งปีหลังสถานการณ์คลี่คลาย เสนาฯชี้อสังหาฯวิกฤตซ้อนวิกฤต หลังต้นทุนก่อสร้างขยับ แรงงานขาด เหล็กราคาพุ่ง เผยอสังหาฯต้องประสบกับภาวะ"Zombie Firm"รายได้ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ระบุปัญหาการจ้างานส่งผลกำลังซื้อหด หนี้ครัวเรือนพุ่ง ดีมานด์ชะลอตัวผู้ประกอบการติดกับดักกระแสเงินสดขาดมือ หนุนรายใหญ่การเงินแกร่ครองแชร์ตลาดแตะ70-80% เสนาฯมั่นใจ "คิดท์คอนโด" เรือธงปี64 ถูกที่ถูกเวลาแม้แบงก์เข้มยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง เหตุกลุ่มเป้าหมายเป็นเรียลดีมานด์ แจงวครึ่งปียอดขาย 3,000 ล้านบาทเศษ

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ว่าภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ในเดือนส.ค. นี้น่าจะเป็นช่วงที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดแล้วหลังจากนี้ไปคาดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดจำนวนลง ไม่น่าจะมีจำนวนพูดติดเชื้อเพิ่มขึ้น ถึง 30,000-40,000 คนต่อวันอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ในช่วงแรก ทั้งนี้สถานการณ์การดังกล่าวส่งผลต่อ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ จำนวนมากต้องประสบกับภาวะซมไข้ยาวนาน" หรือเรียกว่า "Zombie Firm" (ซอมบี้เฟิร์ม) หรือภาวะธุรกิจที่มีค่า interest coverage ratio (ICR) หรือมีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ย ต่ำกว่า 1 เท่า ติดต่อกัน 3 รอบปีบัญชีล่าสุด ซึ่งค่า ICR สะท้อนมาจากยอดขายของธุรกิจ เมื่อคำนวณแล้ว ICR ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะมีรายได้ต่ำกว่าดอกเบี้ย จากเงินกู้

ขณะเดียวกัน ปัญหาการจ้างงานยังส่งผลกระทบต่อรายได้ของ ผู้บริโภคปรับตัวลดลงมีผลต่อกำลังซื้อให้หดตัวประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงทำให้กำลังซื้อลดลงและกระทบ ต่อการชะลอตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งกระทบต่อยอดขายของบริษัทอสังหาฯ ลดลง ส่งผลต่อกระแสเงินสดหรือเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอสังหาฯขนาดกลางและเล็ก ภาวะดังกล่าวทำให้เกิดการกระจุกตัวของสินค้าในกลุ่มของ ผู้ประกอบการรายใหญ่ จากเดิมที่ รายใหญ่มีแชร์อยู่ในตลาดรวม 50% ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 70-80% เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินโดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันนี้ ปัจจัยที่จะทำให้ ผู้ประกอบการก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้นคือความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการบริหารจัดการ

ในส่วนของความต้องการที่อยู่อาศัย ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะกำลังซื้อและความสามารถในการก่อหนี้ของผู้บริโภคปรับตัวลดลงตามรายได้ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการตัดสินใจและชะลอแผนในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ต้องใช้ระยะเวลาในการผ่อนนานทำให้มีผลต่อการตัดสินใจโดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนปรับตัว ขึ้นนอกจากนี้ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินยังเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเข้มงวดการปล่อยกู้โดยในส่วนของเสนาฯนั้น มียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 30%

ดร.เกษรา กล่าวว่า นอกจากนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันยังสามารถเรียกได้ว่าวิกฤตซ้อนวิกฤต เพราะโดยปกติแล้วในช่วงที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นวัดถุดิบหรือวัสดุก่อสร้างต้นทุนต่าง ๆ จะปรับตัวลดลงแต่ในครั้งนี้ต้นทุนทางด้านการก่อสร้าง กลับปรับตัวสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงานก่อสร้างต้นทุนวัสดุก่อสร้างเช่นเหล็กซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก ที่สำคัญต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นจากผลกระทบการล็อกดาวแคมก่อสร้างทำให้งานก่อสร้างต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลงผู้ประกอบการไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างและส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ทัน และแม้ว่าขณะนี้จะปลดล็อคดาวน์แล้วแต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งงานก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกำหนดส่งมอบให้กับลูกค้าทำให้มีต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามภาวะการ หดตัว ของดีมานในปัจจุบันจะเกิดเพียงระยะสั้นแต่ในระยะยาวโอกาสของการขยายตัวของเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ต่อเนื่องทำให้ในอนาคตความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองจะยังขยายตัวได้อีกมากประกอบกับการผลักดันสินค้าที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมากขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมยังมีแนวโน้มการขยายตัว ได้อีกมากเนื่องจากแนวโน้มการกระจายตัวของครัวเรือนยังมีอยู่ต่อเนื่อง

จากแนวโน้มการหดตัวของดีมานในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่ยังรุนแรงอยู่ทำให้บริษัทมีการพิจารณาปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยในบางโครงการอาจมีการเลื่อนเวลาการเปิดออกไปจากเดิมเล็กน้อยแต่อย่างไรก็ตามเสนาฯยังคง แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ไว้ 18 โครงการตามแผนเดิมโดยในปีนี้โครงการคอนโดแบรนด์เดอะคิดท์ ยังคงเป็นเรือธงสำคัญในการทำตลาดเนื่องจากเป็นการจับกลุ่มเดียวดีมานด์อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายแล้ว 3,000 ล้านบาทเศษโดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วสี่โครงการส่วนในไตรมาสที่ 3 ได้มีการเปิดตัวไปแล้วหนึ่งโครงการในทำเลลาดกระบังโดยสามารถทำยอดขายได้ 500 ยูนิตในวันแรกที่เปิดขายส่วนโครงการที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนนี้อาจจะมีการเลื่อนระยะเวลาการเปิดเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโดยอาจจะเลื่อนไปเปิดตัวในช่วงเดือน ต.ค. เดิมที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงเดือน ก.ย.
#3151


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง อีกทั้ง คลัสเตอร์โรงงานกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่องส่งผลให้หลายโรงงานต้องปิดดำเนินการชั่วคราวและกระทบการผลิตในทันที

ความจำเป็นในการเพิ่มผลิตภาพการผลิตและแรงกดดันจากผลกระทบวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตมีการตื่นตัวในการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในสายการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart factory) โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงานคน

 โดยในช่วงเวลา 5 ปีก่อนวิกฤติโควิด (2016-2019) มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปเฉลี่ยอยู่ที่ราว 2% ต่อปี ซึ่งสาเหตุหนึ่งเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่หรือโรงงานที่ตั้งโดยนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง อีกทั้ง ผู้ประกอบการไทยยังมีความกังวลในความพร้อมของระบบอัตโนมัติและทักษะของบุคลากร แต่หลังจากที่ภาคการผลิตในไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านแรงงานจากผลกระทบของวิกฤตโควิดตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 เป็นต้นมา มูลค่าการนำเข้าระบบอัตโนมัติสำหรับการผลิตและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมเติบโตกว่า 7%YOY จาก 1.72 พันล้านบาทในปี 2019 เป็น 1.84 พันล้านบาทในปี 2020 และการนำเข้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 40%YOY

ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2021 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีการนำเข้าระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงการตื่นตัวของภาคการผลิตในไทยที่เห็นความสำคัญของ Smart factory มากขึ้น เพื่อฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่และให้การผลิตเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีความมั่นใจในการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างเทคโนโลยี 5G ได้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานใน EEC 100% แล้ว รวมถึงผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งมีการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตแบบสาย (FTTx) และจัดตั้งศูนย์ Data center ในพื้นที่โครงการพร้อมรองรับการใช้งานในระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ทันสมัย


แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตสู่การเป็น Smart factory รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยมีความพร้อมรองรับการใช้งานเทคโนโลยี แต่การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล และการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนด้านดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยให้มากขึ้นยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ด้วยจำนวนแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลของไทยมีไม่มากนักในปัจจุบัน 

โดยจากรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum พบว่ามีเพียง 55% ของแรงงานไทยที่มีทักษะด้านดิจิทัล ดังนั้น การส่งเสริมให้เกิดการยกระดับทักษะแรงงานให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอและการผลิตแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลอย่างจริงจังอาจต้องเร่งดำเนินการเพื่อรองรับความต้องการแรงงานเหล่านี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจในการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดภาระการลงทุนเพื่อดึงดูดความต้องการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเห็นประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานจริง ซึ่งการยกระดับภาคการผลิตของไทยสู่โรงงานอัจฉริยะนั้น นอกจากจะทำให้เกิดการรับรู้ถึงการปรับตัวของภาคการผลิตในไทยเพื่อฝ่าวิกฤติโควิดแล้ว ยังสะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคในอนาคตได้อีกด้วย
#3152


ระบบ 'Home isolation' ถูกนำมาใช้ได้ในระยะหนึ่ง มีการปรับหลักเกณฑ์ และระบบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษา รับยาให้ได้เร็วขึ้นเพื่อลดการเสียชีวิต เพิ่มคลินิกเอกชนร่วมดูแล และเพิ่มร้านขายยากระจาย 'Antigen Test Kit' ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

ผู้ป่วยโควิดที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวที่บ้าน การเตรียมระบบเพื่อรองรับผู้ป่วยในกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยที่หลุดจากระบบการรักษา และเสียชีวิตในบ้านอย่างที่เป็นมา การให้ยาได้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งกรมการแพทย์ ได้ออกประกาศให้ยาฟิวิพิราเวียร์ให้เร็วที่สุดโดยไม่แบ่งว่าเป็นกลุ่มใด

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (3 ส.ค.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเพื่อร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวที่บ้าน และการตรวจโควิดด้วยชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) สำหรับคลินิกเอกชนทั่วประเทศเพื่อให้บริการในระบบ Home Isolation และ Community Isolation (HI/CI)

ประสานผู้ป่วยตกค้าง จัดส่งยา เข้าระบบ


โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 6 ส.ค. พบว่าผู้ป่วยในระบบ Home Isolation มีประมาณ 6.3 หมื่นราย นำเข้าระบบแล้วราว 4 หมื่นราย ส่วนอีกประมาณ 2 หมื่นราย อยู่ระหว่างรอการตอบรับจากคลินิก ซึ่งมีคลินิกที่เข้ามาช่วยดูแล ผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 206 แห่ง

"นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี" เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าผู้ป่วยราว 2 หมื่นรายที่ยังไม่มีคลินิกกดรับเข้าระบบ Home isolation ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 64 เหลืออยู่ราว 1.3 หมื่นราย จะทำการเคลียร์ให้เสร็จภายใน 1-2 วัน เบื้องต้น สปสช. ได้โทรสอบถามผู้ป่วยราว 2,000 ราย มีประมาณครึ่งหนึ่งที่เข้าระบบการรักษาไปแล้ว


เช่น ฮอสพิเทล หรือกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการจะส่งยาไป กำลังประสานขอยาไปให้โดยไม่ต้องมีคลินิกกดรับก็ได้ จากเดิมต้องให้คลินิกรับ และให้คลินิกเป็นผู้ส่งยา แต่ตอนนี้ขอว่าหากไม่มีใครรับ เราเป็นคนโทรเองและส่งยาก่อน จนกว่าคลินิกจะกดรับ

ขณะที่กรมการแพทย์ ได้ออกหนังสือมาให้ว่าต่อจากนี้ระหว่างรอสามารถให้ยาก่อนได้ สปสช. มีคอลเซ็นเตอร์ขณะนี้เพิ่มคู่สายเป็น 3,000 คู่สาย และเพิ่มคนรับโทรศัพท์ 800 กว่าคน มีอาสาสมัครมาช่วยเพิ่มเติมในการตามผู้ป่วยที่ค้างอยู่ ธนาคารออมสิน จะส่งมอเตอร์ไซค์เดลิเวอร์รี่ มาช่วยอีกแรง

คลินิกเอกชน ร้านยา เข้าร่วมดูแลผู้ป่วย กระจายชุดตรวจ
นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช.ให้องค์การเภสัชกรรมจัดหา ATK จำนวน 8.5 ล้านชุดไว้สำหรับใช้ทั่วประเทศใน 1-2 เดือนตอนนี้จึงเตรียมกระบวนการกระจาย ต้องย้ำว่า ATK ให้ประชาชนตรวจเองไม่คิดมูลค่า คนละส่วนกับที่กระจายให้หน่วยบริการตรวจ"

ขณะนี้ มีคลินิกเอกชนที่สนใจเข้าร่วมเพิ่มเติม 23 แห่ง และมีแอพพลิเคชั่นที่ปรึกษาผู้ป่วย 1 แห่ง มีร้านยาที่สนใจเข้ามาเป็นหน่วยกระจาย ATK จำนวน 170 แห่ง เพิ่มเติมจากที่มี 200 แห่ง และมีศูนย์ที่จะช่วยตรวจ ATK ประมาณ 50 แห่ง ในพื้นที่ กทม.ในอนาคตอาจจะมีการพิสูจน์ตัวตนผ่านแอพฯ เป๋าตังค์ รวมถึงส่ง ATK ทางไปรษณีย์ เพราะคนป่วย หรือญาติอาจจะไม่สะดวกเดินทางมารับที่คลินิก กำลังพิจารณาว่าคนหนึ่งอาจจะต้องตรวจ 3-4 ชิ้น ใน 14 วัน

ตรียมระบบส่งต่อ ผู้ป่วย ATK ผลบวก
สำหรับร้านยาที่กระจาย ATK ต้องมีข้อแนะนำ หากผู้ป่วยเจอผลบวกต้องทำอย่างไร เช่น โทรมาที่ร้าน ส่งต่อไปคลินิก หรือ แนะนำการเข้าระบบผ่าน สปสช. หากผลบวกไม่มีอาการสามารถรักษาที่บ้านได้ หรือขอยาที่ร้านขายยาได้ จะง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น โมเดลนี้กำลังพยายามดูว่าใช้ได้หรือไม่ หากอาหารหนักต้องมีระบบไปดูแล ขณะนี้ยอดผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาตัวเลขรวมทุกภาคส่วนกว่าแสนคน ประสานผ่านสปสช. เฉลี่ยวันละประมาณ 600- 700 ราย

เล็งจัดระบบส่งอาหารผู้ป่วย HI
นพ.จเด็จ กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น สปสช.พยายามพัฒนาระบบการทำ Home isolation แต่มีข้อจำกัดเรื่องอาหาร หากได้ร้านอาหารที่ตอนนี้เปิดหน้าร้านไม่ได้ มาช่วยส่งอาหารเดลิเวอร์รี่จะถือว่าดีมาก เป็นการสร้างงานให้กับร้านอาหารอีกทางหนึ่ง เพราะการจัดระบบหากมีกลไกกลางมาเข้าร่วมน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เช่น สมาคมภัตตาคารไทย มาจัดระบบได้อย่างนั้นจะดีมาก

"ตอนนี้หากมีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร มาช่วยเรื่องอาหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์มาช่วยเรื่องอุปกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ก็ทำด้านการแพทย์ จะดีใจมาก ซึ่งหากมีภาคส่วนใดสนใจ ไม่ต้องเปิดหน้าร้านก็ได้ เพียงแค่มีเดลิเวอร์รี่วิ่งไปส่งผู้ป่วย เชื่อว่าสามารถทำได้ เพราะ สปสช. มีงบประมาณอยู่แล้ว จะทำให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพขึ้น" เลขาธิการ สปสช. กล่าว

จัดหา ฟาวิพิราเวียร์ สำรอง
สำหรับแผนการจัดหายา ฟาวิพิราเวียร์ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที 9/2564 เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2564 มีมติเห็นชอบให้เพิ่มรายการยาฟาวิพิราเวียร์ในแผนการจัดหา เพื่อให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์จัดหาเพิ่มเติมอย่างเร่งด่วนในปี 2564 จำนวนไม่เกิน 27 ล้านเม็ด วงเงินไม่เกิน 891 ล้านบาท จากงบค่าบริการโควิด-19 และต่อเนื่องไปปี 2565 รองรับกรณีหน่วยบริการไม่สามารถหายาฟาวิพิราเวียร์ได้เพียงพอ ซึ่ง ครม.อนุมัติงบดำเนินการมา 13,026 ล้านบาท

"เดิมป่วยเราต้องไปเข้า รพ. ฮอสพิเทล รพ.สนาม วันนี้ต้องใช้วิธี Home isolation ขณะนี้เริ่มมีหลายคนที่สมัครใจอยู่บ้าน ขอเอายา โดยเฉพาะคนที่อายุไม่มากเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่ากลุ่มที่ไม่เสี่ยงก็สามารถรักษาที่บ้านได้ แทนที่จะไปอยู่ฮอสพิเทล เพราะมีแพทย์ มียา อาหาร แต่ต้องสร้างความมั่นใจว่า หากมีอาการเปลี่ยนแปลง เราพร้อมจะรับเข้าสู่ระบบ"

อย่างไรก็ตามการรับมือกับสถานการณ์ต้องประเมินทุกๆ มาตรการ หาก 2 เดือนแล้วยังไม่สงบ ก็ต้องวางมาตรการเพิ่ม เมื่อผู้ป่วยเยอะขึ้น ต้องยอมรับว่าบริการสาธารณสุข รองรับไม่ไหว รัฐบาลต้องเข้าไปสนับสนุนประชาชนที่ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน


สำรองฟาวิพิราเวียร์ 400 ล้านเม็ด
องค์การเภสัชกรรม (จีพีโอ) ปรับแผนเพิ่มการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รองรับการรักษาที่จ่ายยาเร็วขึ้น เดือนสิงหาคม-กันยายน 2 เดือน 120 ล้านเม็ด ตุลาคม-ธันวาคม 300 ล้านเม็ด และทยอยกระจายสู่หน่วยบริการแม่ข่ายตามการจัดสรรของศูนย์ PHEOC อย่างต่อเนื่อง

"นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์" ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า องค์การฯได้ทำการปรับแผนการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อรองรับการปรับเกณฑ์แนวทางการรักษาใหม่เพื่อจ่ายยาให้ผู้ป่วยเร็วขึ้น ได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง โดยจะมีการเพิ่มการสำรองทั้งจากยาที่องค์การฯผลิตเองและจัดหาจากต่างประเทศ โดยเดือนสิงหาคม-กันยายน รวม 2 เดือน จำนวน 120 ล้านเม็ด และเดือนตุลาคม-ธันวาคม เพิ่มอีกเดือนละ100 ล้านเม็ด รวมจำนวน 300 ล้านเม็ด

โดยทั้งนี้จะมีติดตามและประเมินสถานการณ์ความต้องการใช้ใกล้ชิด เพื่อทำการปรับแผนการสำรองให้ทั้งการผลิตเองและจัดหาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของการระบาดของโรค โควิด-19 ซึ่งจำนวนยาทั้งหมดในข้างต้นจะมีการทยอยผลิตเองและจัดหาเข้ามาสำรองอย่างต่อเนื่อง


เตรียมยาแรมเดซิเวีย 2 แสนขวด
นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคมได้จัดหา ยาแรมเดซิเวีย (Remdesivir) เป็น 2 แสนขวด และจะพิจารณาจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอตามเกณฑ์การรักษาใหม่ โดยยาเรมเดซิเวียร์นั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาฉีดให้กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด ที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้มีปัญหาในการดูดซึมยา ผู้ป่วยที่มีอาการปอดบวมอย่างรุนแรง ผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้

ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งหมดจะมีจัดสรรให้กับหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลแม่ข่ายต่างๆ ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) โดยกลุ่มภารกิจสำรองเวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง ผ่านระบบการบริหารคลังสินค้า หรือ VMI (Vender Management Inventory) ขององค์การเภสัชกรรม และองค์การฯเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งกระจายตามการจัดสรรให้กับหน่วยบริการแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหลังจากนั้น หน่วยงานแม่ข่ายจะทำการบริหารจัดการและกระจายให้แก่หน่วยบริการลูกข่ายในแต่ละพื้นที่ต่อไป
#3153


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 106.66 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 35,101.85 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 4.17 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 4,432.35 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 24.41 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 14,860.18 จุด

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดเมื่อวันศุกร์แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ดีเกินคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงในวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน ท่ามกลางการทรุดตัวของราคาน้ำมัน หลังจากที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน ขณะที่ภาวะโลกร้อนกำลังใกล้เข้าสู่ระดับวิกฤต

ทั้งนี้ นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็นเรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน รวมทั้งพลังงานอื่นๆที่ปล่อยมลพิษในระดับสูงโดยทันที หลังจากที่รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ระบุว่า ระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศในขณะนี้สูงพอที่จะส่งผลเสียต่อสภาพภูมิอากาศไปอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้า

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันพุธ และเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ในวันพฤหัสบดี

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีซีพีไอพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี

นักลงทุนกังวลว่า หากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.
#3154


นายเศรษฐา  ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้เป็นอุบัติการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะการพังทลายของระบบเศรษฐกิจการค้าที่ยังหาจุดจบไม่ได้ และดูเหมือนทุกคนจะโดนผลกระทบเหมือนๆ กัน ซึ่งหากวิเคราะห์ จากตัวเลขสถิติต่างๆ ให้ดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือช่องว่างทางด้าน "ความมั่งคั่ง" ระหว่าง "คนมี" กับ "คนไม่มี" กำลังขยายตัวกว้างขึ้นอย่างน่ากลัวและจะเป็นการปรับฐานสมดุลย์ทางด้านความมั่งคั่งที่ทำให้โอกาสเกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมาก อย่างไรก็ดี ทุกประเทศมีวิธีแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ผ่านนโยบายอัดเงินเข้าระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การแจกเงิน การลดภาษี ผ่อนปรนหนี้ ฯลฯ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบที่ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ หรือช่วยลดช่องว่างทางด้านความมั่งคั่งลงได้


 ยกตัวอย่าง  สหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการออก American Rescue Plan Act ซึ่งนับเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งการออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า CARES Act มากว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ตามมาและเกิดขึ้น คือกลายเป็นการช่วยทวีคูณความมั่งคั่งให้คนรวย 1% ที่อยู่ด้านบนของปิรามิดประชากรเป็นมูลค่าถึงกว่า 4.8 ล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว ในขณะที่คน 80% ที่อยู่ด้านล่างฐานปิรามิดต้องแบ่งความมั่งคั่งมูลค่าแค่ 12,000 ล้านเหรียญเท่านั้น 


"สำหรับในประเทศไทย วิกฤติโควิดในไทยครั้งนี้ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจ-สังคม ในสัดส่วนที่ "ห่าง" ออกจากกันเยอะขึ้น ดังนั้น ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจสังคม ที่เกิดขึ้นหลังโควิด จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะจะทำให้ความเท่าเทียมยิ่งถูกลิดรอน คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง อย่างไรก็ดี วิกฤติโควิดฟื้นได้ หากมีวัคซีนที่ดีทั่วถึงโดยเร็วที่สุด คนป่วยได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียมและรวดเร็วเพื่อลดการเสียชีวิต ขณะที่การพยุงเศรษฐกิจในขณะนี้ ภาครัฐควรมีการจัดกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิดและขาดรายได้ ควบคู่ไปกับการพักชำระหนี้" นายเศรษฐา กล่าว  

อย่างไรก็ตาม แสนสิริภายใต้การมองตลาดเร็วและความพร้อมในการปรับแผนรองรับในทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งภายใต้สถานการณ์โควิด- 19 ด้วยรายได้สูงสุดในกลุ่มตลาดอสังหาฯ และยอดโอนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา และยอดขาย-ยอดโอนในปีนี้เกินเป้าหมายในรอบครึ่งปีและมี Secured Revenue เกินกว่า 83% ของเป้ารายได้ในปีนี้ในระยะเวลาเพียง 7 เดือน ทำให้แสนสิริมีกำลังที่จะแบ่งปันสังคมในด้านต่างๆ 


ทั้งนี้ แสนสิริขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศไทยด้วยการใช้งบ 100 ล้านบาทเพื่อผลักดัน "วัคซีนทั่วถึง – รักษาเท่าเทียม - พยุงคนลำบาก"  เพราะแสนสิริจะไม่ทอดทิ้งใคร เพื่อให้สังคมก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปด้วยกัน เพราะการสร้างสังคมที่ดี สร้างชีวิตที่ดีสำหรับแสนสิริ เราหมายถึง "ทุกคน" #แสนสิริไม่ทอดทิ้งใคร พร้อมยืนยันมุ่งมั่นช่วยเหลือ 4 เสาสังคมอย่างเต็มที่และดูแลทุกกลุ่มไม่ทอดทิ้งใคร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อประเทศและเศรษฐกิจไทยเราจะผ่านพ้นไปด้วยกันได้  


ผู้ถือหุ้น – สร้างความแข็งแกร่งทางการการเงิน โตสวนกระแสแม้ในภาวะวิกฤติ

ลูกบ้าน – ออกมาตรการขานรับ Home Isolation มุ่งช่วยเหลือลูกบ้านผู้รักษาแบบกักตัวที่บ้านสูงสุด และ Community Isolation เพื่อความอุ่นใจปลอดภัยของทั้งโครงการ และปลูกฟ้าทะลายโจรจำนวน 100,000 ต้นไว้รองรับ

พนักงาน-คู่ค้า – จัดตั้งกองทุน Sansiri Relief Fund, จัดหาวัคซีนครอบคลุมพนักงานทุกคน

สังคม – มุ่งเน้นสังคมมากขึ้นในปีนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจนที่ช่องว่างทางสังคมเริ่มห่างออกไป เพื่อให้ภาคใหญ่ของประเทศผ่านวิกฤติไปด้วยกัน เช่น ร่วมสร้างโรงพยาบาลสนาม, ช่วยแคมป์คนงาน, ช่วยเหลือเกษตรกร, ช่วยช้างไทย ฯลฯ


โดยเฉพาะในด้านสังคม แสนสิริเดินหน้าสุดตัวบริจาคและสร้างโรงพยาบาลสนาม บริจาคภาครัฐให้คนเข้าถึงวัคซีนทั่วถึงและเท่าเทียม และช่วยเกษตรกรคนยากไร้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีน ด้วยการบริจาคเงินรวม 4 ล้านบาทให้ศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อ ร่วมปูพรมฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มแก่พนักงาน-คู่ค้า-สังคม  ภายใต้กลยุทธ์ "แสนสิริและสังคม...คนละครึ่ง" 50% ของวัคซีนให้แก่พนักงานและครอบครัว ส่วนอีก 50% สู่คู่ค้า พันธมิตร และสังคม รวมทั้งจัดซื้อโมเดอร์นาเข็มที่ 3 ให้กับพนักงานรวม 6,000 คน 


ลดความเหลื่อมล้ำในการรักษาโควิด ด้วยการร่วมสร้างโรงพยาบาลสนามบุษราคัม เช่น เร่งสร้างห้อง ICU ที่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม เสร็จภายใน 1 อาทิตย์ และกำลังเดินหน้าสร้างห้อง ICU เพิ่ม สร้างห้องอาบน้ำสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 มูลค่า 8 ล้านบาท และสร้างห้องอาบน้ำให้กับแพทย์และพยาบาล 40 ห้อง รวมทั้งยังบริจาคให้แก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการรักษาและควบคุมการระบาดสม่ำเสมอ เช่น บริจาคเครื่องช่วยหายใจและเครื่องมือทางการแพทย์ 8 ล้านบาทแก่กระทรวงสาธารณสุข, บริจาครถตรวจโควิด ฯลฯ


ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ด้วยการช่วยสนับสนุนสินค้าเกษตรจากเกษตรกรทั่วประเทศ และทำแคมเปญช่วยเหลือ SME และซื้อของจาก SME ในธุรกิจก่อสร้างมากขึ้น ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน อุดหนุนร้านค้ารายย่อยในชุมชน และดูแลชุมชนรอบโครงการ ตลอดจนดูแลแคมป์คนงานก่อสร้างอย่างเต็มที่ 


"ตอนนี้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนต้องช่วยกัน แสนสิริเชื่อมั่นว่า ควรยับยั้งความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้น เพื่อสังคมจะฟื้นตัวอย่างอย่างยั่งยืน และอยากให้บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งมาช่วยกัน เพื่อประเทศไทยเราจะได้ฟื้นตัวและข้ามวิกฤติได้ โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้แม้แต่คนเดียว "No One Left Behind" นายเศรษฐา กล่าว 

เศรษฐกิจไทยควรเดินต่ออย่างไร โดยไม่ทอดทิ้งใคร


"ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าวัคซีน ที่ต้องมีเพียงพอ จัดหาอย่างรวดเร็ว และการกระจายอย่างเสมอภาค รัฐบาลควรเตรียมวัคซีนช็อตที่ 3 เพื่อสร้างภูมิจากการรุกหนักของโควิดในรอบนี้ นอกจากนี้ต้องไม่ลืมมองข้ามช็อตไปถึงวัคซีนปีหน้าและปีถัดๆ ไปที่เราต้องเตรียมตัวเอาไว้ด้วย  เพราะโควิดจะเหมือนไข้หวัดใหญ่ที่ต้องฉีดวัคซีนทุกปี เรามีบทเรียนในปีนี้แล้ว ดังนั้น ในปีหน้าต้องประเมินปริมาณวัคซีนให้ดี ควรต้องสั่งเผื่อล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เท่าของจำนวนประชากร สำหรับตัวเลข 2 แสนล้านสำหรับค่าวัคซีนถึงแม้จะดูจำนวนมาก แต่อยากให้ภาครัฐ "ลงทุนกับสวัสดิภาพและความมั่นใจของประชาชนในระยะยาว" นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับภาพเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกได้วิเคราะห์ไว้ว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้ทำให้คนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านคน ซึ่งภาครัฐควรถือโอกาส "ยกการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นวาระแห่งชาติ" นอกจากนี้ แนวทาง "ทำอย่างไรให้ประเทศไทยฟื้นตัวเร็ว" มีมุมมองในด้านต่างๆ ดังนี้ 


"ควรเตรียมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่" เพราะแผนลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่กระตุ้นให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างและการจ้างงานปริมาณมหาศาลตามมา ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐต้องหาเงินมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบเพิ่มโดยเฉพาะ SME และธุรกิจท่องเที่ยว ผ่านการกู้เพิ่มและเก็บภาษีมรดกคนรวย ยกตัวอย่างที่ยุโรป สหรัฐอเมริกาออกแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว โดย ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โจ ไบเดน เปิดตัวแผนลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯ มูลค่ารวม 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่างบที่ใช้ช่วงวิกฤติเมื่อสิบกว่าปีก่อนถึง 4 เท่า ขณะที่ทางรัฐสภายุโรปก็เพิ่งอนุมัติงบประมาณ 3 หมื่นล้านยูโร ในการสนับสนุนโครงการด้านการขนส่ง ดิจิทัล และพลังงานจนถึงปี 2570 


ในประเทศไทย หากต้องลงทุนเพิ่มก็ต้องมีเงินทุน แหล่งเงินอย่างแรกที่รัฐบาลต้องพิจารณาก็คือ "การกู้" ที่ได้รับความเห็นชอบให้กู้เงินเพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้านบาทแล้ว ควรต้องเดินหน้าเร่งกู้เงินเพื่อเตรียมใช้ในการลงทุน เพราะไทยต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ที่เร่งกู้เพื่อฟื้นฟูประเทศเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐบาลควรต้องขอขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60% เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการปรับอัตราสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นแล้ว จากการที่ทุกประเทศต้องการเงินกู้เพื่ออัดฉีดเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมในประเทศของตัวเองเช่นกัน หากไทยไม่เร่งกู้ เงินในระบบจะถูกดูดไปหมดก่อน คล้ายกับกรณีวัคซีนที่จะหาทีหลังก็หาไม่ได้แล้ว 
ควรมีการปรับโครงสร้างการเก็บภาษี เพราะเป็นแหล่งรายได้ของรัฐ ที่จะถูกนำมา ใช้ในการชำระหนี้และดำเนินการบริหารโครงการต่างๆ ของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับการเสนอแนะให้ปรับภาษีความมั่งคั่ง ที่ควรมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่มั่งคั่งกว่าในรูปแบบต่างๆ ให้เกิดภาวะการเงินที่สมดุลของประเทศ 


การพยุงราคาสินค้าและประกันราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย รัฐบาลต้องช่วยรับภาระในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตร แทนที่จะรอเงินช่วยเหลืออย่างเดียวและประชาชนจะได้พอเลี้ยงตัวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปได้
ควรเร่งแก้ปัญหาการบินไทยและพยุงสายการบินอื่นๆ ด้วย เพราะ GDP ไทย พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสูงมาก ดังนั้นต้องเร่งแก้ปัญหาการบินไทยให้จบ และต้องใช้โอกาสนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ปรับองค์กรให้จบ และโปร่งใส เมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ไทยจะได้มีสายการบินหลักที่มีประสิทธิภาพที่จะนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยได้ 


มีมาตรการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนจากต่างชาติอั้นมาพอสมควรจากสถานการณ์ 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ปริมาณการลงทุนจะดีดตัวขึ้นแน่นอน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้ไทยเริ่มโดนสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซียทิ้งห่างไปเยอะ มาตรการดึงดูดการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือสิทธิประโยชน์ที่ต้องตอบโจทย์บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลต้องรีบจัดการและประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน 


การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาสู่ระบบการเมืองในสายตาประชาชน ไม่ว่าจะมีการปรับแก้ไขรายมาตราหรือจะแก้ทั้งฉบับก็ต้องหาทางออกให้ได้ เพราะเศรษฐกิจและการเมืองแยกกันไม่ขาด ถ้าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาแต่องค์ประกอบทางการเมืองยังเป็นชนวนของความขัดแย้งอยู่ ประชาชนก็จะไม่มีความมั่นใจ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็จะชะลอไปด้วย
#3155
ทำไม  ข้าวกล้องออแกนิค   (SURIN Organic Rice)  ถึงดีกว่าข้าวทั่วๆไปที่ใช้สารเคมีอย่างไร ?  ข้าวจังหวัดสุรินทร์ หรือ ข้าวออร์แกนิค (Organic Rice)  คือ  ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคทีได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการจัดการด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในนา  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิค ไม่ใช้วัตถุดิบที่ได้จากการสังเคราะห์  สารเคที สารพิษ ยาฆ่าหญ้า ว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตของ ข้าวปลอดสารพิษ สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว ตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม  เราเน้นปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น มีการจัดการกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพที่สำคัญในทุกขั้นตอนการผลิตและการแปรรูป ข้าวหอมสุรินทร์

 
ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิคส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook : https://www.facebook.com/Hor.Product
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ  ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย
1.   ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ 
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์
4.  จำหน่ายข้าวหอมมะลิสุรินทร์ผสมหลายสายพันธุ์แท้ จากสุรินทร์
5.ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์
6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค
7. ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค #ข้าวออแกนิก  #ข้าวอินทรีย์ #ข้าวสุขภาพ
#3156


และแล้วเปลวเพลิงสัญลักษณ์ของโอลิมปิกเกมส์ 2020 ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้มอดดับลงแล้ว และจะกลับมาโชติช่วงสว่างไสวอีกครั้ง ในอีก 3 ปีข้างหน้า ที่มหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าภาพโอลิมปิก PARIS 2024 ครั้งต่อไป ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม – 11 สิงหาคม 2024 

โดยการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในครั้งนี้ ชาวปารีสต้องรอนานถึงหนึ่งร้อยปี ในการได้กลับมาเป็นเจ้าภาพเกมกีฬาแห่งมนุษยชาตินี้อีกครั้ง หลังจากได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันไปแล้วเมื่อปี 1924 

ดังนั้น PARIS 2024 จึงคล้ายเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสครบ 100 ปีของการได้ทำหน้าที่เจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง ซึ่งไม่เพียงชาวฝรั่งเศสเท่านั้นที่ตื่นเต้นนับวันรอเท่านั้น เพราะเชื่อเถอะว่า ถ้าใครได้เห็นภาพจำลองสนามแข่งขันที่ทางฝรั่งเศสปล่อยออกมา ต่างเป็นต้องอยากเก็บกระเป๋ารอกันอย่างแน่นอน

เพราะจากภาพจำลองสนามแข่งขันบางส่วนใน PARIS 2024 ที่ปล่อยออกมานั้น บอกเลยว่า อลังการสะท้อนภาพของปารีส ผ่านสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมที่งดงาม โดยฝรั่งเศสเลือกใช้แลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพจำของปารีส มาปรับเปลี่ยนเป็นสนามกีฬาในโอลิมปิกชั่วคราวในครั้งนี้ แทนการสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่

ยกตัวอย่างเช่น กีฬาวอลเล่ย์.ชายหาดที่ควรจัดริมทะเล เจ้าภาพฝรั่งเศสก็ยกสนามแข่งมาอยู่กลางเมืองตรง ช็องเดอมาร์ส (Champ de Mars) ซะเลย โดยมีหอไอเฟลตั้งตะหง่านเป็นฉากหลัง อลังการสุดๆ


หรือตรงจัสตุรัสคองคอร์ดที่มีเสาโอเบลิสก์ จากประเทศอียิตป์ที่ได้ส่งมอบให้เป็นของขวัญแด่พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น จะถูกสร้างอัฒจันทร์ชั่วคราวเป็นสถานที่แข่งกีฬาเอ็กซ์ตรีม อย่างสเกตบอร์ด จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ บาสเก็ต. 3x3 และเบรกแดนซ์ กีฬาที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในโอลิมปิกครั้งนี้

ส่วนบริเวณพระราชวังแวร์ซาย จะถูกปรับให้เป็นสถานที่จัดแข่งขันขี่ม้า ประเภทศิลปะการบังคับม้า กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง และอีเวนติ้ง ท่ามกลางบรรยากาศของสวนสวยซึ่งเป็นไฮไลต์ของพระราชวังแวร์ซาย ได้ฟีลย้อนยุคไปยังสมัยศตวรรษที่ 17 ที่กีฬาขี่ม้าเป็นกิจกรรมที่นิยมของชนชั้นสูงและขุนนางในสมัยนั้น

อีกแลนด์มาร์กสำคัญอย่างแม่น้ำแซน ที่ไหลผ่านกลางเมืองปารีส ก็จะเป็นสถานที่แข่งว่ายน้ำสำหรับให้นักกีฬาไตรกีฬา รวมถึงกีฬาว่ายน้ำมาราธอนและกีฬาโต้คลื่น

สำหรับกีฬาฟันดาบ และกีฬาเทควันโดที่เป็นความหวังในการคว้าเหรียญของคนไทย ถูกจัดแข่งขันที่กร็องด์ ปาเลส์ ซึ่งเป็นอาคารสไตล์อาร์ตนูโวที่มีหลังคาโดมกระจก สร้างในปี 1900 โดยใช้เป็นที่จัดนิทรรศการและกิจกรรมทางวัฒนธรรม ซึ่งกร็องด์ ปาเลส์ในปัจจุบัน อยู่ในระหว่างบูรณะ เพื่อเตรียมพร้อมใช้งานในโอลิมปิก 2024

และนี่เป็นเพียงไฮไลต์ที่ทาง PARIS 2024 ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อย เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่คนทั้งโลก โอลิมปิกครั้งที่ 33 ที่ฝรั่งเศสจึงไม่ใช่เพียงเรื่องการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ได้เชื่อมโยงเสน่ห์ของเมืองปารีส สู่สายตาชาวโลกได้อย่างน่าติดตาม

อ้างอิง :  paris2024
#3157


ปฏิเสธไม่ได้ว่าความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญของ "ร้านค้าออนไลน์" พ่อค้าแม่ค้าในแวดวงออนไลน์จึงต้องศึกษาหาข้อมูลทั้งในแง่กลยุทธ์การขาย การบริการ ช่องทางการขาย วิธีโปรโมทร้าน รวมถึงวิธีส่งเสริมความน่าเชื่อถือทางด้านกฎหมายด้วย ซึ่งหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้คือ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"

ทำไม? ต้อง "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"
มีข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น ก็เพื่อให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ จากการมีสถานะตัวตนทางกฎหมาย และเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งยังจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค

โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอาศัยอำนาจตามกฎหมายทะเบียนพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์หรือ Social Media ต้องจดทะเบียนพาณิชย์การประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ประกอบการแสดงตนอย่างเปิดเผยต่อทางราชการ


ประโยชน์ของการ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์"
นอกจากการจดทะเบียนฯ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจแล้ว ยังมีประโยชน์อื่นๆ ต่ออาชีพ "ขายออนไลน์" ด้วย  ได้แก่

1. หลังจดทะเบียนฯ เจ้าของธุรกิจจะมีสิทธิ์ในการเข้ารับการอบรม ตามหลักสูตรที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ การบริหารร้านค้า เรียนรู้เทคนิคการตลาดแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

2. ช่วยสร้างเครดิตให้กับ "ร้านค้าออนไลน์" ในสายตาของสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการขอสินเชื่อเงินกู้ ยื่นขอกู้เงินทุนหมุนเวียน หรือแม้แต่การขอสินเชื่อเรื่องอื่นๆ ก็สามารถใช้ทะเบียนร้านค้าพาณิชย์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นเอกสารทางการเงินได้เช่นกัน

3. ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐเก็บข้อมูลสถิติร้านค้าออนไลน์ได้ง่ายขึ้น รัฐจะได้สามารถดำเนินการตามนโยบายทางเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน, การช่วยเหลือผู้ประกอบการ, การสนับสนุนธุรกิจออนไลน์, การลงทุนต่างประเทศ ฯลฯ


หากไม่ "จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" มีสิทธิ์ถูกปรับ
ผู้ค้าออนไลน์ทุกคนจะต้องรู้จัก "ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2553 มาตรา 5" ซึ่งบังคับให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจ ดังต่อไปนี้ ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่ กิจการที่มีการซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

หรือการบริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือบริษัทมหาชนจำกัดทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร)

ดังนั้น การขายสินค้าออนไลน์ จึงนับเป็นพาณิชยกิจที่ต้องจดทะเบียนตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับดังกล่าว


อีกทั้ง ผู้ค้าออนไลน์ต้องรู้จัก "พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499" เอาไว้ด้วย เนื่องจากเป็นกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 19 ที่ระบุว่า

หาก "ร้านค้าออนไลน์" ไม่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ หรือแสดงรายการเท็จ หรือไม่มาให้นายทะเบียนพาณิชย์สอบสวน ไม่ยอมให้ถ้อยคำ หรือไม่ยอมให้ทะเบียนพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบนั้น จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และให้ปรับอีกวันละ 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนแล้วเสร็จ

ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์?
1. ผู้ขายสินค้า/บริการ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ Social Media

2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider : ISP)

3. ผู้ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (WebHosting)

4. ผู้ให้บริการเป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า/บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต (E-Marketplace) เช่น Lazada Shopee ฯลฯ

โดยต้องขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มค้าขาย ผู้ค้าต้องทำเว็บไซต์ที่จะใช้ขายสินค้าให้เรียบร้อย เช่น ลงรูปสินค้า คำบรรยาย ราคา วิธีชำระเงิน และวิธีจัดส่งให้ครบถ้วน

ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนฯ และเช็กจุดให้บริการ
ผู้ขายสินค้าหรือบริการผ่านทางออนไลน์ สามารถเดินทางไปจดทะเบียนพาณิชย์ ณ สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตามที่ตั้งของสถานประกอบการหรือตามที่อยู่ของผู้ขาย โดยเอกสารที่จำเป็น ได้แก่ บัตรประชาชนตัวจริง สำเนาบัตรประชาชน รูปหน้าแรกของเว็บไซต์ (Print เป็นเอกสารเตรียมไปด้วย)

ส่วนขั้นตอนการยื่นจดทะเบียน และเอกสารสำคัญที่ใช้จดทะเบียนพาณิชย์เล็กทรอนิกส์  มีดังนี้

1. แสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง พร้อมแจ้งว่ามาจดทะเบียนฯ

2. ขอเอกสารแบบคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)

3. กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับเว็บไซต์(เอกสารแนบแบบ ทพ.) กรอก 1 ใบต่อ 1 เว็บไซต์

4. เตรียมเอกสารที่ Print หน้าแรกของเว็บไซต์

5. วาดแผนที่ตั้งการประกอบพาณิชยกิจ

6. หนังสือรับรองการจดทะเบียนของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท (กรณีจดในนามนิติบุคคล)

7. กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาจดแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของทั้งผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ

วิธีขอเครื่องหมาย "DBD REGISTERED" รับรองธุรกิจออนไลน์
เมื่อพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผ่านขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนฯ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็สามารถขอใช้เครื่องหมายรับรองผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่าเครื่องหมาย "DBD Registered" ได้เลย โดยเครื่องหมายนี้มีประโยชน์คือ ใช้แสดงความมีตัวตนในการประกอบธุรกิจ e-Commerce โดยแสดงไว้บนหน้าเว็บไซต์ร้านค้าของคุณ และสามารถคลิกตรวจสอบข้อมูลความมีตัวตนมายัง www.trustmarkthai.com ได้


สำหรับช่องทางในการยื่นขออนุญาตใช้เครื่องหมาย "DBD Registered" สามารถแจ้งขอใช้เครื่องหมายฯ ได้ที่ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 0-2547-5960 หรือ เว็บไซต์ www.trustmarkthai.com หรือ ส่งเอกสารมาที่ e-Mail : e-commerce@dbd.go.th หรือ โทรสาร 0-2547-5973

NOTE : เครื่องหมายรับรองผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จะมีอายุการใช้งานเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่กรมอนุมัติให้มีกำหนดใช้

-------------------------

ที่มา : 

POST family

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
#3158


"สินิตย์"สั่งเดินหน้าช่วยผู้ประกอบการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้ประโยชน์จาก FTA ทำการส่งออกไปตลาดอาเซียน เผยมีหลายสินค้าที่มีศักยภาพ ทั้งผลไม้ อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผ้าบาติก

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาออนไลน์ เรื่อง "รู้ลึกก่อนใคร โอกาสการค้าชายแดนใต้สู่ตลาดการค้าเสรีอาเซียน" และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ชี้ช่องเพิ่มโอกาสการค้าของจังหวัดชายแดนใต้กับตลาดอาเซียน" ว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศสร้างความตระหนักรู้เรื่องการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยให้ทำงานร่วมกับทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัดใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เร่งช่วยหาช่องทางให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาด ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในการหาตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ตามนโยบาย "ตลาดนำการผลิต"

สำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ ได้ระดมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มาร่วมแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วม โดยวิทยากรมีทั้งผู้ส่งออกรายใหญ่ นักการตลาด ทูตพาณิชย์ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. และพาณิชย์จังหวัด 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้ามาชี้โอกาสการทำธุรกิจและการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพในพื้นที่ เช่น ผลไม้ (ทุเรียน ส้มโอ เงาะ ลองกอง มังคุด) อาหารทะเลแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผ้าบาติก เป็นต้น เน้นตลาดมาเลเซีย อาเซียน และตลาดสินค้าฮาลาล และแนะนำแนวทางการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA สร้างแต้มต่อขยายส่งออกสินค้าในตลาดการค้าเสรี ที่ประเทศคู่ค้าได้ลดและยกเลิกการจัดเก็บภาษีศุลกากรให้กับสินค้าจากไทยแล้วเกือบทุกรายการ

"กระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจและมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ของตลาด โดยเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงวิธีการผลิตและแหล่งผลิตได้ โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่ต้องมีใบรับรองด้านมาตรฐาน เพื่อให้ตลาดยอมรับ ผู้บริโภคเชื่อมั่น ซึ่งจะช่วยให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ในราคาสูง และจะช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จาก FTA เป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขันทางการค้าขยายส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดสินค้าฮาลาลที่มีประชากรสูงกว่า 2,000 ล้านคน และมั่นใจว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาจะสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้และต่อยอดสำหรับวางแผนหาโอกาสจากตลาดใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับสินค้าของไทยได้มากขึ้น"นายสินิตย์กล่าว

ในปี 2563 การค้าไทยกับอาเซียนมีมูลค่าสูงถึง 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกมูลค่า 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบการส่งออกปี 2563 กับปีก่อนที่ความตกลงการค้าเสรีอาเซียนมีผลบังคับใช้ พบว่า การค้าของไทยกับอาเซียนขยายตัวถึง 843% และการส่งออกขยายตัวสูงถึง 1,135% สำหรับในช่วง 5 เดือของปี 2564 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าไทยกับอาเซียนมีมูลค่า 45,267.41 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 26,224.69 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 24.14%

ทั้งนี้ หากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) มีผลบังคับใช้ในต้นปี 2565 จะเป็นอีกหนึ่ง FTA สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการและเกษตรกร สามารถใช้ประโยชน์ขยายการส่งออกไปตลาดสำคัญของไทย ทั้งอาเซียน จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพิ่มเติมจาก FTA ที่มีอยู่เดิม
 
#3159


"กัปตันคิม" คิม ยอน คยอง ซูเปอร์สตาร์ทีมลูกยางเกาหลีใต้ ประกาศเลิกเล่นทีมชาติทันที หลังแพ้ เซอร์เบีย 0-3 เซต ในรอบชิงเหรียญทองแดง วอลเลย์.หญิง โอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

โดย "กัปตันคิม" วัย 33 ปี ที่วืดเหรียญทองแดง "โตเกียวเกมส์" เผยว่า "นี้คือเกมสุดท้ายของฉันในฐานะผู้เล่นทีมชาติ มันน่าผิดหวังที่ต้องปิดฉากโอลิมปิกเกมส์แบบนี้ แต่ฉันเองก็ยังดีใจนะที่พาทีมมาถึงจุดนี้ได้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเราจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ แม้กระทั่งผู้เล่นบางรายในทีมของเราเอง"

"ปีนี้ฉันตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องกลับบ้านเกิดโดยที่ไม่มีอะไรต้องเสียใจ และจากความพ่ายแพ้วันนี้ ฉันคิดว่าเราสามารถระบุได้ว่าจุดไหน เราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาทีมของเราไปสู่อนาคตที่ดี แต่จากการเตรียมตัวก่อนมาแข่งโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ถือว่าเราไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจกับการเดินทางมาไกล"

"ในฐานะกัปตันทีมชาติเกาหลีใต้ ฉันคิดว่าเราได้ฝากผลงานอันยิ่งใหญ่เอาไว้ที่โอลิมปิกเกมส์ 2020 และเราสมควรที่จะยิ้มให้กับมันมากกว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งทุกครั้งที่ได้เล่นในนามทีมชาติ"

สำหรับ คิม ยอน คยอง ถือเป็นสุดยอดนักกีฬาวอลเลย์.ของเกาหลีใต้ โดยเคยคว้าเกียรติยศมากมายในนามทีมชาติ อาทิ เหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2014 (อินชอนเกมส์), เหรียญเงินเอเชียนเกมส์ 2010 (กวางโจวเกมส์) และเหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ 2018 (จาการ์ตา-ปาเลมบัง) เป็นต้น
#3160
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto