• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - luktan1479

#9916
น้ำมันว่านดอกทองมหาลาภหัวใจเศรษฐี ใส่ตะกรุดนะเมตตามหานิยมและหัวใจเศรษฐี ขวดละ 399 บาท
ส่งเสริมในเรื่องเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ คนเห็นคนรัก คนเห็นคนหลง ทั้งยังช่วยเรื่องโชคลาภ ทำมาค้าขายอีกด้วย
ว่านดอกทอง
ตามตำราโบราณระบุว่าว่านดอกทองมีอำนาจทางเพศรุนแรง คนสมัยก่อนจึงนิยมเก็บดอกของว่านดอกทองไว้หุงกับน้ำมันจันทน์ ใช้น้ำมันว่านทาที่ตัว หรือใช้สีผึ้งทาปาก เมื่อถึงคราวจะต้องไปพบปะผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้คนต่างๆ หรือหนุ่มสาว พอได้กลิ่นว่านในน้ำมันหรือสีผึ้ง มักจะมีอาการใจอ่อนเคลิบเคลิ้มคล้อยตามได้ง่าย ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ สะกดจิตสะกดใจต่อผู้เจรจาด้วยยิ่งนัก ใครเห็นใครรักใครหลง ว่านดอกทองหรือว่านราคะ เป็นเมตามหาเสน่ห์ มหานิยม มหาละลวย ลุ่มหลงงวยงง ทำให้คนรักคนหลง ทั้งยังช่วยให้มีโชคลาภ
ว่านมหาลาภ
ความเชื่อ ว่านมหาลาภ หรือ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกวักนางพญาหงสาวดี เป็น มีคุณประโยชน์ด้านเมตตามหานิยม ชักนำให้เกิดลาภผลทวีคูณหลาย ส่งเสริมลาภจากการเสี่ยงโชค
คาถากำกับ
อุ อา กะ สะ
อา กะ สะ อุ
กะ สะ อุ อา
สะ อุ อา กะ
(ท่องเก้าจบ แล้วอธิษฐาน)
ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่
โทร. 0846623662
id line : teerapat999

ลาซาด้า
https://www.lazada.co.th/.../-i1140634945-s2648460701...
#9917


FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด คาด GDP โต 4% นักท่องเที่ยว-กำลังซื้อในประเทศกลับมา ส่วนดัชนีช่วงที่เหลือของปีนี้มองอยู่ที่บริเวณ 1,650 จุด ขณะโบรกฯ พาเหรดขยับเป้าดัชนีหุ้นไทยเพิ่ม หลังต่างชาติกลับเข้าตลาดทุน อีกทั้งรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบวกเฟดประกาศแนวโน้มการลดลงวงเงิน QE ก่อนสิ้นปี ให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด ให้เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และกลุ่ม Global , Reopening Lottovip Play รวมทั้ง Domestic Play

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่างๆ คงเตรียมประเมินทิศทางตลาดหุ้นกันใหม่ เพราะก่อนหน้ามองว่า ดัชนีหุ้นจะไม่สามารถตีฝ่าแนวต้าน 1,600 จุดได้ แต่หุ้นทะลุ 1,600 จุดขึ้นมาแล้ว และยังเดินหน้า โดยมีแนวโน้มสร้างจุดสูงใหม่ต่อไป เพราะเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปี โบรกเกอร์คาดหมายว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด แต่วันนี้ชนเป้าหมายปลายปีแล้ว เพราะแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ สมทบด้วยกองทุนในประเทศ ซึ่งกลับมาไล่ช้อนซื้อหุ้น อีกทั้งการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นจุดที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลุยตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ลดลงต่ำกว่าระดับ 20,000 คนติดต่อกัน นอกจากนั้น รัฐบาลยังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้หลายธุรกิจเปิดให้บริการได้

หุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนหุ้นขนาดใหญ่มีแรงซื้อจากต่างชาติและกองทุนเข้ามาหนุน ทำให้ราคาเดินหน้าต่อ และขับเคลื่อนดัชนี ฯ ผ่านพ้น 1,600 จุดอย่างง่ายดาย ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้นแล้วหรือไม่ อาจเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะสถานการณ์โควิดยังไม่นิ่ง วัคซีนล็อตใหญ่ยังไม่มา และไม่มั่นใจว่า หลังเปิดฉากงานไทยแลนด์โฟกัสแล้ว ต่างชาติยังจะซื้อต่อหรือไม่ เพราะหากต่างชาติหยุดซื้อและกลับมาขาย ดัชนี ฯ 1,600 จุดอาจยืนไม่อยู่

FETCO มองเป้า SET ปี 65 แตะ 1,800 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด บวก-ลบ โดยอัพไซด์จากตรงนี้ถึงปลายปีมีไม่มาก ขณะที่ดาวน์ไซด์ก็ไม่มากเช่นกัน

" ตอนนี้นักลงทุนมองไปถึงปี 65 แล้ว ซึ่ง FETCO คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไปแตะ 1,800 จุด ภายใต้คาดการณ์จีดีพีไทยปี 65 ขยายตัว 4% นักท่องเที่ยวต้องกลับกลับพอควร และกำลังซื้อในประเทศกลับมา ทั้งนี้ รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาด้วย ส่วนปีนี้ถ้าจีดีพีกลับมาระดับ 1% ก็ดีมากแล้ว ก็หวังว่าไตรมาส 4 รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษกิฐออกมาเพิ่มเติม" นายไพบูลย์กล่าว

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 64 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 144.37 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 124.3% จากเกณฑ์ซบเซาเดือนก่อน มาอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

บล. โกลเบล็กให้กรอบดัชนี 1,600-1,650 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยคาดว่ายังคงมีแนวโน้มปรับตัว Sideway Up จากปัจจัยบวกการประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้นั่งกินในร้าน ห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์เปิดถึง 2 ทุ่ม ของ ศบค. ซึ่งเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประกอบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งทาง สธ.ได้มีการรายงานว่าอัตราครองเตียงผู้ป่วยเหลือง-เขียวในกทม.-ปริมณฑลมีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ยังได้ อานิสงส์จากปัจจัยต่างประเทศภายหลังที่นายพาวเวล ประธานเฟดกล่าวในการประชุมประจำปีว่าเฟดมีแนวโน้มเริ่มปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้ แต่ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และบริษัทน้ำมันหลายแห่งหยุดผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกก่อนที่พายุเฮอริเคนจะพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,600-1,650 จุด 

อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่างๆ ในรอบสัปดาห์นี้ อาทิ ทาง EIU เปิดเผยรายงานระบุว่า GDP ของโลกอาจเสียหายระดับล้านล้านดอลลาร์เพราะความล่าช้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยประเทศกำลังพัฒนาจะเสียหายหนักที่สุด เนื่องจากความไม่เท่าเทียมของการฉีด ขณะที่สหรัฐโจมตีกลุ่ม ISIS ในกรุงคาบูลระลอกสอง สังหารมือวางระเบิดสนามบินได้ 1 ราย และปัญหาทางการเมืองในประเทศซึ่งจะมีการชุมนุมอีกคร้ง 2 ก.ย. เรียกร้องส.ส.ร่วมมือขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่าง 31 ส.ค. – 3 ก.ย. ลงมติ 4 ก.ย.64 รวมทั้งทาง ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ด้านปัจจัยต่างประเทศ เช่น การรายงานตัวเลขดัชนี PMI ของจีนและดัชนีความเชื่อมั่นของสหรัฐในเดือนส.ค.

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการประกาศของ ศบค. คลายล็อกดาวน์ ร้านอาหารเปิดได้ 50-75% ห้างสรรพสินค้าเปิดได้ทุกแผนกแต่มีเงื่อนไขการเว้นระยะห่างอย่างเคร่งครัด โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า เช่น CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร เช่น AU, M และ ZEN

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ  นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่าผลการประชุมที่ Jackson Hole มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ แต่เตรียมลดวงเงิน QE ภายในปีนี้เป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำในระยะกลาง ดังนั้นจึงแนะนำให้เล่นฝั่ง Short เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น โดยมองกรอบในสัปดาห์นี้ที่ 1,780-,1,850 $/Oz

ASP คาด SET ก.ย.ให้กรอบ 1,560-1,650 จุด

บล.เอเซียพลัส (ASP) ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ย.64 ว่า ดัชนีตลาดหุ้น (SET Index) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560 – 1,650 จุด มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ส.ค.ที่ดีดตัวขึ้นมาสวนทางกับที่คาดารณ์ไว้ โดย (2-28 ส.ค.) ปรับเพิ่มกว่า 89 จุด (+5.9%) เป็นผลจากแรงซื้อในช่วงปลายเดือนตอบรับปัจจัยเชิงบวก การจัดหาวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับในช่วงที่เหลือของปี 64 และบูสเตอร์โดสปี 65 อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดลดลง และ เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์เริ่ม 1 ก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการจำนวนผู้ติดเชื้อคาดว่าทำจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงกลางเดือน ส.ค. ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะไม่เกิดภาวะหดตัวต่อเนื่องจากปี 63

ทั้งนี้ ปัจจัยบวกจากเดือน ส.ค.มองเป็น Sentiment บวกที่ต่อเนื่องถึงเดือน ก.ย.ประกอบกับ การส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฟดจะปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนสิ้นปี 64 แต่ยังไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงลดแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ขณะที่ต้นเดือน ก.ย. ต้องติดตามการคัดสรรประธานเฟดที่จะหมดวาระในเดือน ก.พ.65 หากมีการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาพรวมการลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเป็น 60% เลือก (1) Oil Play เลือก PTTEP , PTT, TOP, IRPC และ PTTGC (2) Re-opening Play เลือก PTG, CRC และ PLANB และ (3) ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า เลือก GPSC , WHAUP และ TVO ขณะที่เลือกหุ้นเด่นในเดือน ก.ย.564 ได้แก่ PTG, HMPRO, PACO และ KBANK

บล.บัวหลวงให้กรอบดัชนีปีนี้ 1,605 จุด

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) มองว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุด เห็นได้จากค่าเฉลี่ย PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในกลุ่มประเทศอาเซียนลดลง เป็นผลมาจากจำนวนผู้ฉีดวัคซีนในอาเซียนยังค่อนข้างต่ำ โดยประเทศไทยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด เศรษฐกิจจึงเกิดการชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคหายไป ทำให้ต้องใช้เวลามากขึ้นในการฟื้นตัว

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีหลังยังคงเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากัน โดย กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่จะฟื้นตัวและเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่า ซึ่งจะจะค่อยๆ ปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งพิจารณาลดมาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินต่าง ๆ ให้กลับไปอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ขณะที่ทางกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก ดังนั้น มาตรการช่วยเหลือและนโยบายการเงินจึงยังต้องอยู่ในระดับเดิม เช่น การควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่เท่ากันจะทำให้ประเทศกลุ่มอาเซียนมีความเสี่ยงเผชิญภาวะ Stagflation กล่าวคือเศรษฐกิจโตน้อยแต่อัตราเงินเฟ้อสูง

สำหรับในประเทศได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานอื่น ๆ ตั้งแต่การระบาดระลอกพื้นที่มหาชัย จนปัจจุบัน GDP ถูกปรับลงมาเหลือเพียง 0.8% เนื่องจากการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาช่วงครึ่งปีหลังไม่เป็นไปตามที่เคยตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน และปี 65 นักท่องเที่ยวคงยังไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนโควิดคือประมาณปีละ 40 ล้านคน

ขณะนี้ทุกภาคส่วนยังกังวลกับความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้คาดการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ค่อนข้างยาก แต่แนวโน้ม GDP ของไทยในไตรมาส 3-4/64 มีแนวโน้มจะติดลบ ครึ่งปีหลังที่เหลือยังคงต้องอาศัยภาคการส่งออกและการลงทุนของภาครัฐประคองไว้และไปฟื้นตัวขึ้นในปี65 โดยประเมินว่านักท่องเที่ยวอาจมีเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับมาตรการของรัฐที่บริหารจัดการโดยเฉพาะเรื่องวัคซีนให้ประชาชน

โดยให้เป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้ที่ 1,605 จุดและปีหน้าที่ 1,784 จุด พร้อมแนะนำการปรับพอร์ตในช่วงปี 64-65 เพื่อรับมือการลงทุนฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ โดยแนะนำหุ้น 2 กลุ่มกลุ่ม Global Growth : อิงกับการเติบโตของสินค้าในตลาดโลก เน้นสินค้ากลุ่มส่งออกเป็นหลัก ได้แก่ TU, KCE, HANA หรือ CBG และกลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มธนาคาร การเงิน หรือกลุ่มที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง ได้แก่ M, TISCO, KKP, AMATA, BH, CPN, OR , CRC

"ตอนนี้คิดว่าควรปรับพอร์ตอิงไปกับตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยน้ำหนักหุ้นในพอร์ตสัก 70% น่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม Global Growth และอีก 30% ที่เหลือ เป็นหุ้นกลุ่ม Domestic Play แต่ถ้าภาครัฐสามารถจัดการโควิด-19 ในประเทศได้ดีขึ้น มีการเดินหน้าฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลง ก็ค่อยๆเพิ่มสัดส่วนพอร์ต Domestic Play ในอนาคต"นายชัยพรกล่าว

บล. โกลเบล็กให้กรอบ 1,600 - 1,680 จุด

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกันยายนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในลักษณะ Sideway Up โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ชะละตัวต่อเนื่อง และมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของ ศบค. ซึ่งนายกฯ ยืนยันเดินหน้าเปิดประเทศใน 120 วัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้าจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดย แผนเปิดประเทศเฟส 2 ในอีก 5 จังหวัดเริ่ม 1 ต.ค.นี้ รวมทั้งจับตาการทำ Window Dressing ปลายงวดไตรมาสที่ 3/2564 จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีเดือนนี้แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,600-1,680 จุด

ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลบวกต่อดัชนี อาทิ ราคาน้ำมันดิบ WTI ตลอดเดือนส.ค. ร่วงลง 7% จากกลุ่มโอเปกพลัสบรรลุข้อตกลงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 400,000 บาร์เรล/วันและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาทำให้ นักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจะชะลอตัว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้เริ่มลด QE ภายในสิ้นปี รวมทั้งคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหภาพยุโรป ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองโดสแล้ว 70% หรือราว 256 ล้านคน ส่วนดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.9 ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 58.6 หลังจากแตะระดับ 59.5 ในเดือนก.ค.และตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และนักลงทุนเชื่อว่า FED จะเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินต่อไป ยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม  ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า "mu" ซึ่งทาง EU ได้ถอดสหรัฐออกจากรายชื่อประเทศที่ปลอดภัยด้านการเดินทาง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งการที่ ธปท.เปิดเผยว่าเศรษฐกิจในเดือนส.ค.ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากเดือนก.ค. จากกำลังซื้ออ่อนแอ ซึ่งคาดว่า ธปท.จะปรับประมาณการ GDP ปี 64 อีกครั้งในวันที่ 29 ก.ย.64 จากเดิมที่คาดว่า GDP ปี 64 จะขยายตัว 0.7% และกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 64 (ต.ค.63-ก.ค.64) ต่ำกว่าประมาณการ 10.2% และทาง ส.อ.ท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า รวมทั้งทาง สศค. จะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง และต่างประเทศรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในหมวดต่างๆออกมา

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Reopening Play เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม MINT, ERW, CENTEL, AWC และ SHR หุ้นกลุ่มขนส่ง BEM และ BTS หุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า CPN, CRC และ MBK หุ้นกลุ่มร้านอาหาร AU, M และ ZEN และสุดท้ายหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC และ MAKRO จากการแผนการทยอยเปิดเมืองในเดือนตุลาคมนี้

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก ประเมินกรอบทองคำในเดือน ก.ย. 64 ไว้ที่ระดับ 1,770-1,870 $/Oz โดยแนะนำให้หาจังหวะ Short เมื่อทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้าน เนื่องจากเฟดเตรียมปรับลดวงเงิน QE ลงภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำในระยะกลาง โดยในปี 2013 ที่มีการปรับลดวงเงิน QE ราคาทองคำจะปรับตัวลงและแตะจุดต่ำสุด ณ เดือนที่เฟดมีการปรับลดวงเงิน QE
 
#9918


"Asia Buffet อร่อยครบ จบที่เอเชีย" สโลแกนของร้าน "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" แห่ง จ.สมุทรสาคร นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวงการ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อีสาน ญี่ปุ่น และยุโรป สร้างความประทับใจให้ลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่เข้ามารับประทาน แต่ด้วยพิษโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เป็นที่มาของการปรับธุรกิจ หันมาให้บริการ "เดลิเวอรี่"  ควบคู่กับใช้บริการสินเชื่อดอกเบี้ย 1% ใน "โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย"  ของ สสว. และ SME D Bank ช่วยให้ธุรกิจยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และรอกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง


ไพโรจน์ รุจิวงศ์ หุ้นส่วน บริษัท เอเชีย บาร์บีคิว (2009) จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารหมูย่างเกาหลี และอาหารตามสั่งทุกชนิด จ.สมุทรสาคร เล่าย้อนถึงความเป็นมาของธุรกิจ ว่า เริ่มเข้าทำธุรกิจร้านอาหาร โดยเปิดร้าน "เอเชีย หมูกระทะ" ดำเนินธุรกิจต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 17 ปี

กระทั่งเมื่อประมาณ ปี 2561 มองเห็นถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจใกล้ถึงจุดอิ่มตัว เนื่องจากโอกาสการทำกำไรที่ลดลง ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจอีกครั้ง พลิกโฉมรูปแบบและเมนูเป็นสไตล์ "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ร้านอาหารบริการบุฟเฟ่ต์พรีเมียม ราคาเริ่มต้นที่ 499 บาท อาศัยความเชี่ยวชาญและความชำนาญที่อยู่ในวงการมายาวนาน กลายเป็นจุดแข็งที่สามารถจัดหาวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมจากซัพพลายเออร์ได้หลากหลาย ทั้งสด สะอาด และปลอดภัย สร้างความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคที่ต้องการเข้ามารับประทาน


ทั้งนี้ "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ถือเป็นโอกาสของธุรกิจ ด้วยประสบการณ์และการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท แม้กำลังซื้อและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่ายก็ตาม แต่ก็พร้อมที่จะเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ทำให้เห็นช่องทางการทำธุรกิจ ประกอบกับนำอุปสรรคต่างๆ ที่เคยเผชิญมาปรับใช้ สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน

อีกทั้งจุดเด่นคือ การใส่ใจทุกกระบวนการทุกขั้นตอน เพื่อผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด ด้วยมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริการ สถานที่ ที่มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอาหารที่มีความหลากหลายมากกว่า 100 เมนู ทั้งอาหารไทย อีสาน ญี่ปุ่น และยุโรป ทำสดใหม่จานต่อจาน

"เราให้ความสำคัญกับหน้าตาของอาหารทุกเมนู เมื่อเสิร์ฟแล้วต้องร้องว๊าว ปรุงสดใหม่จานต่อจาน พร้อมตกแต่งให้น่ารับประทานมากขึ้น ทำให้ได้รับความชื่นชมจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับยุคที่มีโซเชียลมีเดียที่ผู้บริโภคให้ความสนใจถ่ายภาพอาหารพร้อมเช็คอินร้านค้า ถือเป็นการทำตลาดอีกทางหนึ่ง นอกจากจะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยให้เกิดการบอกต่อในวงกว้าง ขยายฐานลูกค้ารายใหม่ ทำให้ร้านของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น ดูได้จากยอดคนติดตามในเพจเฟซบุ๊ก "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 100,000 ราย"



จากความนิยมที่ได้รับการตอบรับที่ดีของลูกค้า ปัจจุบันได้ขยับขยายร้านใหม่ ปรับเปลี่ยนทำเลที่อยู่ใกล้ที่เดิม แต่กว้างขวางมากขึ้น สามารถเพิ่มที่นั่งรองรับการเข้ามาใช้บริการ จากเดิม 80-100 ที่นั่ง เป็น 120-200 ที่นั่ง ช่วยให้บริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ส่วนกลุ่มลูกค้า จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก พบว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการส่วนใหญ่ จะเป็นอยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 65% และผู้บริโภคในพื้นที่โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็น จ.สมุทรสาคร และ จ. นครปฐม ประมาณ 35% ซึ่งมองเห็นช่องทางในการทำธุรกิจในอนาคต

หลังจากธุรกิจที่ดำเนินมาด้วยดี แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก ตั้งแต่แพร่ระบาดครั้งแรก เนื่องจาก "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ที่เพิ่งเปิดให้บริการเพียง 4-5 เดือนเท่านั้น ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามมาตรการของภาครัฐ ทำให้วัตถุดิบที่สต๊อกไว้เกิดความเสียหาย แต่ส่วนหนึ่งเป็นการสอนให้ได้เรียนรู้ถึงการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า ควบคู่กับการจัดทำการตลาด ผ่านการจัดโปรโมชั่นจำหน่ายคูปองที่มีส่วนลด ที่สามารถนำมาใช้ในเดือนถัดไป ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค หากเข้ามารับประทานในราคาปกติจะอยู่ที่ 499 บาท แต่ถ้าซื้อคูปอง 5 ใบ จะมีราคาเฉลี่ยที่ใบละ 399 บาทเท่านั้น นอกจากจะมอบส่วนลดให้กับลูกค้า ยังช่วยให้บริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างต่อเนื่อง



ที่สำคัญจะช่วยให้เชื่อมั่นใจการเดินหน้าธุรกิจ จากการตอบรับของลูกค้าเป็นอย่างดี สะท้อนถึงสถิติของการจำหน่ายคูปอง เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เริ่มทำตลาด ใช้เวลากว่า 3 วันถึงจะจำหน่ายคูปองหมด แต่ปัจจุบันในการจัดโปรโมชั่นแต่ละครั้งสามารถจำหน่ายในระยะเวลาที่สั้นลงเพียง 7 วินาทีเท่านั้น

สำหรับโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่มีมาตรการของภาครัฐที่ป้องกันการแพร่ระบาดนั้น ทางร้านต้องปรับเปลี่ยนการจำหน่ายอาหาร จากหน้าร้านที่ไม่สามารถเปิดขายได้ หันมาจำหน่ายอาหารผ่านช่องทางเดลิเวอรี่แทน แม้ช่องทางนี้จะไม่สามารถชดเชยยอดขายจากการเปิดร้านก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ร้านค้ายังมีรายได้เข้ามาบ้าง ส่วนเมนูอาหารแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ ข้าวถัง ที่มีเมนูมากกว่า 20-30 รายการ เช่น ข้าวผัดกุ้ง ข้าวกระเพราหมู หรือเนื้อ ข้าวคลุกกะปิ หรือสปาเก็ตตี้ คาโบนาร่า เป็นต้น ราคาเริ่มต้น 59 บาท หรือบาบีคิว พรีเมียม มีทั้งแบบย่างให้ หรือย่างเอง ราคาเริ่มต้นที่ 99 บาท



นอกจากนั้น "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ยังเลือกใช้บริการด้านการเงินจากภาครัฐ ใน"โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย" ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ที่มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจร้านอาหาร มีเงินทุนหมุนเวียน มีสภาพคล่อง นำมาปรับปรุง หรือเดินหน้ากิจการได้อีกครั้ง



"ถือเป็นความโชคดีของบริษัทที่เคยลงทะเบียนเป็นสมาชิก สสว. ควบคู่กับการทำงานของเจ้าหน้าที่ SME D Bank ที่มาเชิญชวน และให้คำแนะนำเตรียมเอกสารอย่างใกล้ชิด ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อครั้งนี้เกิดความคล่องตัวอย่างมาก ทำให้เราได้เงินทุนมาเสริมสภาพคล่อง เพื่อรอธุรกิจกลับมาเดินหน้าได้เต็มตัวอีกครั้งในเร็ววัน สำหรับเพื่อนผู้ประกอบการร้านอาหารที่กำลังต้องการเงินทุน ขอเชิญชวนให้มาใช้บริการในโครงการนี้"





แผนงานในอนาคตของ "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" คือการต่อยอดธุรกิจให้กว้างขวางมากขึ้น เบื้องต้นอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายแฟรนไชส์ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นที่สนใจนำแบรนด์ "เอเชีย บุฟเฟ่ต์" ไปเปิดให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ สอดคล้องกับสถิติที่เราเก็บไว้ หากสามารถขยายสาขาตามพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น ถือเป็นการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในระยะยาว ควบคู่กับการปรับตัวเรียนรู้กับสถานการณ์โควิดที่ยังคงอยู่ ด้วยการสร้างมาตรฐานร้านค้าให้มีความปลอดภัยสูงสุด เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้หรือบริการเกิดความเชื่อมั่น

สนใจติดต่อ โทร.096-7297799 / 034-473603 , เฟซบุ๊ก : เอเชีย บุฟเฟ่ต์ , ไลน์ : @asiabuffet
#9920
vายโฮมออฟฟิสพร้อมอยู่ ซอยมิสทีน 21 ตรว สนใจติดต่อ 0863754112
#9921
น้ำมันว่านเครือเขาหลง ใส่ตะกรุดนะมหานิยม ทุกขวด
สายพุทธคุณ คุณพระ คุณว่าน ไม่เข้าตัว ไม่มีข้อห้าม ใช้ด้วยศรัทธา สำเร็จทุกราย


 
เครือเขาหลงจัดอยู่ในของขลังธรรมชาติ เป็นของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ หมอเสน่ห์เขมร หมอเสน่ห์ไทยนิยมใช้กันมาก และจัดได้ว่าเป็นของเสน่ห์ที่แรงที่สุด
 
คุณของน้ำมัน
เพิ่มเสน่ห์ เพิ่มเมตตา นำพาโชคลาภ เรียกจิต เรียกใจ ประสานสัมพันธ์ ค้าขายร่ำรวย
 
คาถามหาหลง
โอม หลง หลง มหาหลง สารพัดที่จะหลง หลงทั้งต้น หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งราก หลงทั้งใบ หลงทั้งดอก คนเห็นน้ำตาตก นกเห็นน้ำตาไหล ไผผู้ใดเห็นหน้ากู อยู่มิได้ร้องไห้หากู หลงทั้งหน้า หลงทั้งหลัง หลงทั้งซ้าย หลงทั้งขวา หลงทั้งต่ำ หลงทั้งสูง หลงทั้งกลางวัน หลงทั้งกลางคืน หลงทั้ง


 
วิธีใช้
เพิ่มเสน่ห์ เมตตา โชคลาภ ค้าขาย ประสานสัมพันธ์ สวดคาถาแล้วนำน้ำมันว่านแตะที่หน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ต้องการด้วยใจมุ่งมั่น แน่วแน่ศรัทธา เป็นไปดังว่า สมปรารถนา
 
เรียกจิต เรียกใจ ให้ท่องคาถา ใช้แต้มแตะทา ลงบนวัตถุ รูปภาพหามา ของคนต้องการ เพ่งพลังจิต ลงไปแน่วแน่ ให้เกิดเป็นภาพ เคียงคู่กายา ทำได้ดังนี้นั้นหนา บอกคำว่า ได้ตามนั้นเลย
สนใจติดต่อโทร. 0846623662
id line : teerapat999

เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/12

lazada  https://www.lazada.co.th/products/-i1863368460-s5737984707.html?spm=a2o4m.seller.list.19.751ebb9eN8X8vA&mp=1&freeshipping=1  
#9922
ต้องการถมดิน ถมที่ นึกถึงเรา เริ่มที่เราจบที่เรา ไม่ใช่นายหน้า ติดต่อ 080-022-3804
รับทุกขนาดพื้นที่ ฟรีตรวจสอบพื้นที่ประมาณ ราคา
#9923
สนใจเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม Line "บ้านที่ดิน HouseLand" เพื่อรับการอัพเดทที่ดิน
https://bit.ly/3xFTxOS

ติดต่อคุณชัย
โทร. 0918849203
LINE ID : @614skoug
เว็บบ้านที่ดิน  https://housetheland.com/index.php?topic=44
กดไลค์กดแชร์ กดติดตาม คือ
https://www.youtube.com/channel/UCIz5DVj6igFVHKPUqY-Z4RA
https://www.facebook.com/HouseTheLand
#9924


ได้เวลาคลายล็อคดาวน์กันแล้ว แต่การหาอะไรมาเติมแต่งบ้านเพิ่มเอนเนอร์จีให้ชีวิต ก็ยังเป็นแอคทิวิตี้ที่หลายคนเริ่มคุ้นชิน กลับมาเปิดให้บริการคราวนี้ "อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์" พร้อมชวนทุกคนมาเติมฟิวส์เฟรซให้บ้าน และเพิ่มพลังบวกให้กับตัวเอง ด้วยไอเทมใหม่ๆ มาจัดบ้าน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ และของตกแต่งบ้าน หลากดีไซน์ที่ช่วยให้สดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง แถมมีกลิ่นอายความโคซี่ๆ ให้ในวันพักผ่อน ด้วยสีโทนเย็นlสบายตาผสานกับวัสดุจากไม้และผ้า กับดีไซน์ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน รับรองว่าจะช่วยให้ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคุณเต็มไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน



โซฟาผ้า2/S+สตูล รุ่น Lottovip FREDDIE ราคา 7,990 บาท โซฟาผ้า 2 ที่นั่ง ให้ดูอบอุ่น เรียบง่าย อย่างเป็นธรรมชาติ วัสดุผ้าและหนัง PVC คุณภาพสูง โครงจากไม้เนื้อแข็งแรงทนทาน ขาไม้ยางพารา สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี มาพร้อมหมอน 2ใบ, สตูลเก็บของได้



โต๊ะทำงานพร้อมลิ้นชัก รุ่น SCANDIE ราคา 6,990 บาท โต๊ะทำงานวัสดุจากไม้ยางพารา แข็งแรง สวยงามจากลวดลาย ไม้ให้สัมผัสถึงธรรมชาติ เพิ่มลิ้นชักไว้เก็บอุปกรณ์เครื่องเขียน



เก้าอี้ รุ่น RUSIA สีขาว / สีโอวัลติน ราคา 1,490 บาท เก้าอี้ดีไซน์ที่เรียบง่าย เข้ากับบ้านทุกสไตล์ โครงสร้างวัสดุจากพลาสติกคุณภาพดี แข็งแรงทนทาน กันน้ำ ส่วนขาจากไม้บีช ทำให้ลุคซ์ของบ้านโคซี่ขึ้น รองรับน้ำหนักได้ถึง 80 กก.



หมอนอิง รุ่น FLOSSY-HOME / รุ่น FLOSSY-JOY ราคา 395 บาท/ชิ้น เพิ่มความอบอุ่นให้โซฟา ด้วยหมอนอิงปักอักษรบนผ้านุ่มพิเศษ พร้อมไส้หมอน วัสดุจากโพลีเอสเตอร์ 100% ถอดปลอกซักได้



นาฬิกาติดผนัง รุ่น NORLIND ราคา 1,290 บาท นาฬิกาติดผนังดีไซน์เก๋ โดดเด่นงานฉลุตัวเลขให้ดูง่ายสบายตา วัสดุไม้ MDF



ชามถนอมอาหาร รุ่น WOODDY 6 ชิ้น/ชุด ราคา 595 บาท วัสดุจากแก้วโบโรซิลิเกตและไม้ไผ่



โคมไฟตั้งโต๊ะรุ่น MALVINAR ราคา 595 บาท วัสดุจากกระดาษเคลือบด้วยพลาสติก PP ดีไซน์ให้ดูมีมิติและทนทาน ฐานจากโลหะและไม้ เหมาะสำหรับใช้งานและตกแต่งบ้าน ตามมุมห้อ หรือหัวเตียงนอน



รูปปั้นหน้าคน รุ่น FACENT ราคา 195 บาท รูปปั้นดีไซน์หน้าคนเรียบเก๋ วัสดุจากเซรามิก สามารถมิกซ์ฟังก์ชันทั้งการตั้งโชว์หรือใส่ดอกไม้หรือต้นไม้ตกแต่ง สร้างบรรยากาศภายในบ้าน



รูปปั้นผู้หญิง รุ่น MERANIE ราคา 495 บาท รูปปั้นดีไซน์เรียบง่ายเท่ แต่มีสเน่ห์ เหมาะสำหรับตกแต่งบ้าน



กระถางแขวน รุ่น HOLAN ราคา 125 บาท กระถางแขวนใช้ใส่ต้นไม้ตกแต่งในบ้าน หรือเอ้าท์ดอร์



กระถาง+ขาตั้ง รุ่น DOTIO ขนาด W24.5xD24.5xH34 cm. ราคา1,290 บาท / ขนาด W30.5XD30.5XH46 cm. ราคา 1,590 บาท กระถางวัสดุจากใยสังเคราะห์ (Fiber clay) เคลือบตกแต่งลายสวยงามพร้อมขาตั้งไม้ แข็งแรงทนต่อแดด-ฝนดีไซน์ทันสมัยสามารถตกแต่งเข้ากับบ้านทุกสไตล์



ชั้นวางของ 3 ชั้น รุ่น NORA ราคา 1,190 บาท วัสดุจากไม้ไผ่และMDF ดีไซน์ชั้นวางมีขอบกั้นกันของตกหล่น ออกแบบโทนสีขาวและไม้ธรรมชาติให้ดูอบอุ่นสบายตา รับน้ำหนักได้สูงสุด 7 กก./ชั้น



ชั้นวางในห้องน้ำพร้อมตะกร้า รุ่น KIRIN ราคา 1,990 บาท ชั้นวางของในห้องน้ำ วัสดุจากไม้ไผ่-MDF และผ้า มาพร้อมชั้นวางและตะกร้าผ้ามีหูจับ

เลือกช้อปสินค้านี้ได้ที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทุกสาขาใกล้บ้าน หรือ ช้อปออนไลน์ที่ www.indexlivingmall.com หรือช้อปผ่านผู้ช่วยส่วนตัว Chat To SHOP ที่ LINE @indexlivingmall สอบถามโทร. 1379
#9925
น้ำมันว่านดอกทองมหาลาภหัวใจเศรษฐี ใส่ตะกรุดนะเมตตามหานิยมและหัวใจเศรษฐี ขวดละ 399 บาท
ส่งเสริมในเรื่องเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ คนเห็นคนรัก คนเห็นคนหลง ทั้งยังช่วยเรื่องโชคลาภ ทำมาค้าขายอีกด้วย
ว่านดอกทอง
ตามตำราโบราณระบุว่าว่านดอกทองมีอำนาจทางเพศรุนแรง คนสมัยก่อนจึงนิยมเก็บดอกของว่านดอกทองไว้หุงกับน้ำมันจันทน์ ใช้น้ำมันว่านทาที่ตัว หรือใช้สีผึ้งทาปาก เมื่อถึงคราวจะต้องไปพบปะผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้คนต่างๆ หรือหนุ่มสาว พอได้กลิ่นว่านในน้ำมันหรือสีผึ้ง มักจะมีอาการใจอ่อนเคลิบเคลิ้มคล้อยตามได้ง่าย ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ สะกดจิตสะกดใจต่อผู้เจรจาด้วยยิ่งนัก ใครเห็นใครรักใครหลง ว่านดอกทองหรือว่านราคะ เป็นเมตามหาเสน่ห์ มหานิยม มหาละลวย ลุ่มหลงงวยงง ทำให้คนรักคนหลง ทั้งยังช่วยให้มีโชคลาภ
ว่านมหาลาภ
ความเชื่อ ว่านมหาลาภ หรือ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกวักนางพญาหงสาวดี เป็น มีคุณประโยชน์ด้านเมตตามหานิยม ชักนำให้เกิดลาภผลทวีคูณหลาย ส่งเสริมลาภจากการเสี่ยงโชค
คาถากำกับ
อุ อา กะ สะ
อา กะ สะ อุ
กะ สะ อุ อา
สะ อุ อา กะ
(ท่องเก้าจบ แล้วอธิษฐาน)
ใช้เจิมตามซอกคอ ตามตัว ทาที่คิ้ว เจิมที่หน้าผาก พกติดตัว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สั่งซื้อบูชา ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่
โทร. 0846623662
id line : teerapat999

ลาซาด้า
https://www.lazada.co.th/.../-i1140634945-s2648460701...
#9926
MEE SK FiR **นวัตกรรมอาหารผิว-เซลล์ ดูดซึม100%เข้าสู่เซลล์ใน5นาทีล่าสุดจากเกาหลี


อยากมีผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใส่ฟังทางนี้ วิตามินบูสผิว สารสกัดเข้มข้น 18 ชนิด นวัตกรรมอาหารผิว อาหารเซลล์ ลิขสิทธิ์ระดับโลก 'หนึ่งเดียว'

ด้วยนวัตกรรม FiR FAR INFRARED...



อาหารผิวมาแรงที่สุด โมเลกุลเล็ก ดูดซึมไวเข้าสู่เซลล์ 'ภายใน 5 นาที

5 ประโยชน์ทำไม ต้องทาน ?

เสริมสร้างภูมิต้านทาน

ลดการเกิดสิวอักเสบ

ผิวเด็กกระจ่างใส

ช่วยบำรุงสายตา

ลดรอยดำ รอยแดง ริ้วรอย ฝ้า กระ

ดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอก

วิตามินสูงกว่า ทั่วไป 80 เท่า



โปรโมชั่นเปิดตัว   # เปิดบิล 2,699฿ เป็นตัวแทนติดบริษัท  ได้รับ 2 กล่อง



ไม่ต้องมีสต๊อกสินค้าเอง

ไม่ต้องแพ็คและส่งสินค้าเอง

ไม่มีความรู้ ก็เริ่มทำธุระกิจได้

กำไร 50-75%

มีทีมงานการตลาดสอนเทคนิคการขายฟรี

มีกลุ่มและทีมงานคอยดูแลให้คำปรึกษาตลอด

สามารถเริ่มทำงานได้ทันที

  

เติมอาหารผิวเพียงวันละ 1-2 ม็ด (30 แคปซูล )

ปลอดภัย อย. 13-1-14959-5-1478



สนใจสั่งซื้อหรือสมัครตัวแทน

ไลน์ไอดี teerapat999

โทร 0846623662

ข้อมูลเพิ่มเติม  http://porntaywa99.lnwshop.com/p/1230

 กดเข้าลิ้งค์นี้  ลงทะเบียนฟรี !!! เพื่อเข้าศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมการสร้างรายได้

https://www.metang-solution.com/member/register.php...







#9927


ชื่อของ "ซิงเกอร์" เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 อยู่เคียงคู่สังคมไทยมายาวนาน!! เป็นองค์กรข้ามศตวรรษ หากนับจากการขายสินค้าตัวแรก คือ จักรเย็บผ้า ถือเป็นจุดตั้งต้นอย่างจริงจังในปี 2432  บริษัท ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่วเฮง จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในประเทศไทย ในรอบปี 2562 นี้ กิจการซิงเกอร์อายุครบ 130 ปี

เส้นทางซิงเกอร์หลังก่อกำเนิด ต่อมาในปี 2448 บริษัท ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งสาขาขึ้นในไทย ใช้ชื่อว่า บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด เพื่อจำหน่ายจักรเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรเย็บผ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พร้อมๆ กับริเริ่ม "บริการซื้อหวยออนไลน์เช่าซื้อ" โดย "ผ่อนชำระเป็นงวด" มาใช้ครั้งแรกในปี 2468 บริการดังกล่าวนี้เอง ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของ "ซิงเกอร์" ทั้งในไทย และประเทศต่างๆ ในเอเชียนับแต่นั้นมา

ในช่วงต้น หรือกว่า 50 ปีของธุรกิจซิงเกอร์จำหน่ายเฉพาะจักรเย็บผ้าและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับจักรเย็บผ้าเท่านั้น กระทั่งปี 2500 ขยับเข้าสู่การจำหน่าย "เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน" เริ่มจากตู้เย็น ก่อนปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2512  ได้จดทะเบียนก่อตั้ง "บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด" เป็นบริษัทจำกัดภายใต้กฎหมายไทย เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ "บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด" ซึ่งหยุดดำเนินกิจการในระยะเวลาต่อมา โดยมีทุนจดทะเบียนแรกเริ่ม 60 ล้านบาท 

ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 270 ล้านบาท เป็นทุนที่เรียกชำระเต็มมูลค่าหุ้นแล้ว 270 ล้านบาท และบริษัทได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2527 ในวันที่ 4 ม.ค.2537 ซิงเกอร์ แปรสภาพเป็น "บริษัทมหาชน" และนับเป็นเกียรติประวัติและเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่บริษัทและพนักงานทุกคน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราตั้ง (พระครุฑพ่าห์) ให้ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 24 พ.ค.2547

 การยืนหยัดของซิงเกอร์ท่ามกลางวิกฤติการณ์และการเปลี่ยนแปลงทุกๆ มิติรอบด้านในหลายยุคหลายสมัยเป็นเพราะ "ซิงเกอร์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งนับจากก่อตั้งบริษัท!! ทำให้ดำรงกิจการมาได้เป็นร้อยปี"  เป็นประโยคเริ่มต้นของ กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะแม่ทัพ กล่าวย้ำว่า 

การขับเคลื่อนธุรกิจจากนี้ ยังคงยึด "การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา" เรียกว่า ทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ก้าวทันยุคสมัย!! เป็นหัวใจหลักของซิงเกอร์ในการสร้างการเติบโตมั่นคงและยั่งยืนต่อเนื่องในรอบศตวรรษหน้า

"หากนับจากสินค้าซิงเกอร์เริ่มเข้าสู่ประเทศไทย ปีนี้เป็นปีที่ 168 เราเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4  แต่ละช่วงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในยุค 130 ปีที่แล้ว เริ่มเข้ามาทำกิจการเอง จากขายจักรเย็บผ้า ขยับมาขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และผันตัวเองมาขายอุปกรณ์หยอดเหรียญ หรือสินค้าเพื่อเชิงพาณิชย์ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของการขาย"

โดยระหว่างการขายสินค้าแต่ละรูปแบบ ซิงเกอร์เปลี่ยนแปลงจาก "เงินสด" ริเริ่มการขาย "เงินผ่อน" กระทั่งการเปลี่ยนใหญ่สุดช่วงปี 2558 มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ภายใต้ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)  ได้เพิ่มสินค้ากลุ่มอื่นเข้ามามากขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน!! 

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นแต่ "แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์" ยังคงอยู่!!  อย่างที่รับทราบกันว่า ซิงเกอร์กับคนไทยผูกพันกันมาช้านานด้วยรูปแบบการขาย เป็นการขายตรงให้บริการถึงบ้าน ภายใต้ระบบเช่าซื้อ และเงินผ่อน ขณะที่การเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้น เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจทันสมัยขึ้น 

"ภาพลักษณ์องค์กร 100 ปี หากยืนอยู่บนรูปแบบธุรกิจเดิมๆ อาจเติบโตได้ยากลำบาก ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน ระบบนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ พร้อมกระจายธุรกิจไปสู่ประเภทอื่นเพื่อให้องค์กรมั่นคงมากขึ้น"

จากสินค้าตัวแรกจักรเย็บผ้า สู่สินค้าเงินผ่อน การขายทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน ขยับมาสู่กลุ่มลูกค้ารายย่อย ยุคแห่งอนาคตคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจมั่นคงแข็งแรง 

กิตติพงศ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงคือหัวใจสำคัญทำให้ธุรกิจซิงเกอร์ดำรงอยู่ได้มาจนทุกวันนี้ ซิงเกอร์ไม่เคยกลัวการเปลี่ยนแปลงว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา!!เป็นบริษัทไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เคยยึดติดว่า ซิงเกอร์แกนจริงๆ คือ จักรเย็บผ้า

หากย้อนพิจารณาธุรกิจในรอบกว่า100 ปีที่ผ่านมา ซิงเกอร์เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา และการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเป็นผู้นำตลาด!! ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การขายสินค้าเงินผ่อน ซิงเกอร์เป็นรายแรกที่ทำ เมื่อ 94 ปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี  ใช้ "คนไปเก็บเงินที่บ้าน"นี่คือการเปลี่ยนแปลง ณ วันนั้น และกระบวนนั้น ในวันนี้ถูกทำให้ทันสมัยด้วยการใส่เทคโนโลยีเข้าไป   

"บุคลากร" ยังเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของซิงเกอร์มาตลอด 100 กว่าปีเช่นกัน ด้วยจุดยืนธุรกิจขายตรงแบบเดินไป "น็อคดอร์เซล" ควบคู่บริการ เรานำคนกลุ่มนี้ขยายและต่อยอดธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง

"หากมองย้อนกลับไปเราโชคดี เมื่อ 3 ปีก่อน หลังเปลี่ยนผู้ถือหุ้น ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง นำเทคโนโลยีเข้ามาในองค์กรพอสมควร และขยายไลน์ กระจายธุรกิจหลากหลายยิ่งขึ้น กระบวนการ หรือสเต็ปต่อไป เราสามารถเปลี่ยนช่องทางการขายสินค้าให้มีความหลากหลายในการตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้น กลับมาที่คีย์ซัคเซสของซิงเกอร์คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและคน ที่วันนี้เรามีความพร้อมมากๆ"

วิสัยทัศน์ของซิงเกอร์มุ่งเป็นผู้นำการขายพร้อมบริการด้านสินเชื่อและเช่าซื้อสำหรับผู้บริโภคในประเทศ โดยได้ปรับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจใหม่จากเดิมเน้นกลุ่มลูกค้าครัวเรือนเป็นหลัก ขยายฐานกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น ด้วยการขายสินค้าให้ลูกค้านำไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าครัวเรือนเพียงกลุ่มเดียว 

ในรอบ 3-5 ปีที่ผ่านมา ซิงเกอร์เปลี่ยนกระบวนการทำงาน นำระบบเทคโนโลยี  ไดเวอร์ซิไฟด์จากธุรกิจเช่าซื้ออย่างเดียว  เริ่มขยายเข้าสู่ "ไฟแนนเชียลเซอร์วิส" ประเภทอื่นเข้ามา พร้อมวางโครงสร้างธุรกิจ 3 ขาหลัก ภายใต้ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (SGC) ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จักรเย็บผ้า สินค้าเชิงพาณิชย์และสินค้าอื่นๆ ธุรกิจสินเชื่อรถทำเงิน  ธุรกิจเช่าซื้อเครื่องจักร บริษัท เอสจี เซอร์วิสพลัส จำกัด (SGS) บริการหลังการขายถึงบ้าน และ บริษัท เอสจี โบรคเกอร์ จำกัด (SGB) ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต

"จากนี้จะเป็นการปรับหลอมองค์กรเข้าด้วยกันให้มีความเหมาะสมระหว่างธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่เตรียมพร้อมต่อยอดไปยังช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป  ไปสู่จุดที่เราต้องการได้"

โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ "เจมาร์ท" ในการนำพาสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ นำมา "ซินเนอร์ยี" สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะความสะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่  

ซิงเกอร์ยังเร่งเตรียมความพร้อมบุคลากรในด้านเทคโนโลยีเพื่อรับมือ "ดิจิทัล ดิสรัปชัน" ที่ในเชิงผลกระทบและสร้างโอกาสจากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการดำเนินงาน การเข้าถึงลูกค้า

ในอนาคตโครงสร้างระบบการกระจายสินค้า การจัดส่งสินค้า รวมทั้งรูปแบบการอนุมัติสินเชื่อจะเปลี่ยนไป  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรจะรับมือการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคของ ซิงเกอร์ไซเบอร์

"ซิงเกอร์โชคดีที่เราอยู่ในกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ ฐานลูกค้าค่อนข้างกว้าง จึงไม่จำกัดอยู่เฉพาะคนที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อกลุ่มเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะโดนดิสรัปก่อนเพื่อน เรายังมีเวลาให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนได้"

วันนี้คนขายของซิงเกอร์เริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเข้าถึง เชื่อมโยงระหว่างคนขายและคู่ค้า ซึ่ง "เทคโนโลยี" ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเช่นกัน เพราะมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ การใช้ช่องทางชำระเงิน ระบบการเก็บเงิน หรือโมบายแบงกิ้ง ใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งซิงเกอร์มีทีมงามอบรมสร้างหลักสูตรใหม่ๆ เดินสายพบพนักงานทั่วประเทศทุกเดือน

ในปี 2562  ซิงเกอร์มีการเพิ่มทุน ส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งพร้อมในการขยายธุรกิจ โดยนำเงินเพิ่มทุนที่ได้มามุ่งลงทุนธุรกิจ "ไฟแนนเชียลเซอร์วิส" โดยมีสินเชื่อทะเบียนรถ หรือ รถทำเงิน!! และสินเชื่อเช่าซื้อเพื่อธุรกิจรายย่อย ซึ่งอยู่ในช่วงการเจริญเติบโตอย่างดีเป็นเรือธงที่จะขยายธุรกิจมากขึ้นนับจากนี้!! 

โดยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจะโฟกัสกลุ่มกิจการรถขนส่งอย่างรถบรรทุกสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำเพราะต้องใช้รถทำงานและมีความต้องการเงินทุนขยายกิจการ 

นอกจากนี้ จะมีสินค้าใหม่ที่มี "มาร์จิ้นดี" เข้ามาจำหน่ายเพิ่ม เช่น เครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์ รวมทั้งเสริมแกร่งการเข้าถึงฐานลูกค้าระดับ "ตำบล-หมู่บ้าน" ด้วยการขยายสาขาย่อยในโมเดลแฟรนไชส์ การผนึก "พันธมิตรสินค้า-บริการ" ในการขยายตลาด

++++++++++++++++

ซิงเกอร์ใต้เงา"เจมาร์ท"

"ทรานส์ฟอร์ม"ธุรกิจ130ปี

จักรเย็บผ้าซิงเกอร์ตัวแรกสนนราคาตัวละ 100 กว่าบาทในยุค 100 กว่าปีที่แล้ว จัดได้ว่าแพงอักโข!! เทียบที่ดินขณะนั้นตารางวา "หลักสตางค์" และจักรเย็บผ้าน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สมัยใหม่และนำสมัยที่สุดเวลานั้นทีเดียว หรือหากเทียบยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยก็ว่าได้ 

จากจุดตั้งต้นการขายเมื่อปี 2432 จากนั้น ปี 2468 เริ่มให้มีการ "ผ่อนจ่ายสินค้า" เรียกว่าเปิดฉากธุรกิจเงินผ่อนเมื่อ 90 ปีที่แล้ว พร้อมๆ จากยุคแรกในการขายจักรเย็บผ้าของซิงเกอร์ สู่ยุคที่ 2 เริ่มนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาขาย ช่วงปี 2500 ประเทศไทยเริ่มมีการกระจายเสาไฟฟ้าออกนอกเมืองหลวง มุ่งสู่เมืองใหญ่ นั่นเป็นโอกาสของ "ซิงเกอร์" และชื่อของซิงเกอร์ที่ขยายวงกว้างออกไปเรียวก่า มีเสาไฟฟ้าที่ไหน มีซิงเกอร์ที่นั่น!! 

เป็นยุคแรกๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านไหนมี "ทีวี" ถือว่าเรื่องใหญ่ในชุมชน เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ใหญ่มาก "กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์" 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย เล่าว่า ตอนนั้นซิงเกอร์เติบโตแข็งแรงมาก ทีวีขาวดำ และตู้เย็นเป็นของใหม่สำหรับครัวเรือนไทย พร้อมๆ กับการไต่ระดับสถานะสินค้าหลักในบ้านที่ต้องมี จากนั้นจึงตามมาด้วยเครื่องซักผ้า ส่วนเครื่องปรับอากาศอยู่ในยุคหลังๆ 

จากสินค้าครัวเรือนซิงเกอร์ขยับสู่สินค้าเชิงพาณิชย์ในปี 2524 จากการมองเห็นโอกาสร้านขายของชำ หรือร้านค้าที่ต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปประกอบธุรกิจ ทั้งตู้แช่ ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ตู้เติมเงิน กระทั่งการขยายไลน์โปรดักท์อีกระลอกใหญ่ในกลุ่มสินเชื่อ 

ในเชิงองค์กรจาก ปี 2432 ที่ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาแต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่งเฮง จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในไทย ตั้งสาขาขึ้นใช้ชื่อ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ในปี 2512 ได้จดทะเบียนก่อตั้ง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ซึ่งหยุดดำเนินกิจการ จากนั้นแปลงสภาพเป็น "บริษัทมหาชน" ในปี 2527 เรียกว่าเป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้าเทรดในกระดานหุ้น ซึ่งเวลานั้นเคาะกระดานขาย!! 

เส้นทางอันยาวนานไม่แปลกที่ชาวไทยคุ้นชินว่า "ซิงเกอร์" เป็นบริษัทคนไทย หากแต่ความจริงแล้วซิงเกอร์เป็นบริษัทต่างชาติมาตลอด!!  เพิ่งเปลี่ยนแปลงส่วนผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2558 เมื่อ เจมาร์ท  ยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ก้าวเข้ามาถือหุ้นใหญ่ 

วันนี้เรียกได้ว่าวันนี้ซิงเกอร์เป็นบริษัทคนไทย 100% !!

ซิงเกอร์ เป็น1ใน6พอร์ตธุรกิจของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้การกุมบังเหียนของ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ เอกชัย สุขุมวิทยา บุตรชายผู้รับไม้ต่อในยุคที่ 2 นำทัพขับเคลื่อนเจมาร์ทขยายอาณาจักรกว้างไกล จากธุรกิจห้องแถวขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน และโทรศัพท์มือถือ ในอดีต วันนี้ไม่ได้ขายแค่โทรศัพท์มือถืออีกต่อไป!!  

สถานะกลุ่มเจมาร์ทในทศวรรษที่ 4 ก้าวสู่บริษัทโฮลดิ้งค้าปลีกและการเงิน ขยายเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย  "Jaymart mobile" จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ "JMT Network Service" ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการติดตามหนี้ "Jas Asset" บริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือและศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ "J Fintech" ธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อลิสซิ่งและสินเชื่อรายย่อย "SINGER" จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายสินค้า ซิงเกอร์ และอื่นๆ สุดท้าย "J Venture"  บริษัทที่ลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพเป็นหลัก

ธุรกิจอายุ 100 กว่าปีพิสูจน์ศักยภาพ!!  และสะท้อนแนวคิดหลัก  "การเปลี่ยนแปลง" ที่่ใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจให้ก้าวไปสู่ข้างหน้าตลอดเวลานั้นถูกต้อง!! ซึ่ง "การเปลี่ยนแปลงตัวเอง"  ไม่ต่างจากการ "ทรานส์ฟอร์ม" ธุรกิจศัพท์ฮิตที่นิยมเรียกกันในยุคนี้นั่นเอง 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาดรอบด้านทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซิงเกอร์มั่นใจในความได้เปรียบของ "แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์" มีความแข็งแรงด้วยความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน

"สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอยู่แล้ว เป็นข้อจำกัดของกำลังซื้อ แต่กลยุทธ์ของซิงเกอร์เน้นสินค้าที่มีราคาหรือค่างวดการผ่อนต่ำ ผ่อนยาว เข้าถึงการอนุมัติง่าย เป็นจุดแข็งที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรลูกค้ายังสามารถจ่ายค่างวดได้ไม่สูงสำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้า"

ธุรกิจซิงเกอร์ยังกระจายความเสี่ยงรอบทิศเช่นกัน ด้วยการไดเวอร์วิไฟด์ธุรกิจหลากหลาย ยกตัวอย่าง ในสภาพเศรษฐกิจไม่ดี อาจควบคุมการขาย หรือปล่อยสินเชื่อชนิดหนึ่งแล้วมาต่อยอดสินค้าชนิดอื่นๆ เพื่อไปใช้ในการจับจ่ายใช้สอย จะเห็นว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่ได้ล็อคอยู่ที่ขาใดขาหนึ่ง เป็นการสร้างการตลาด และ กระจายความเสี่ยงไปตามสภาพเศรษฐกิจแต่ละช่วง 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่น่ากังวลมากกว่าสำหรับซิงเกอร์ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้คนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคู่ค้า พนักงาน ทีมงาน จะทำอย่างไรให้ "คนขาย" ซึ่งเป็น "ด่านหน้า" ที่จะทำให้แบรนด์ซิงเกอร์ไปถึงลูกค้าเดินหน้าไปขายได้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ หรือการเมืองเป็นอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญต้องหล่อหลอมคนกลุ่มนี้เพื่อออกไปขายสินค้า ไปดูคุณภาพของลูกค้า ดังนั้น กระบวนการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยี จะช่วยให้พนักงาน หรือทีมขาย คัดกรองลูกค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ ยอดขาย และความมั่นคงของธุรกิจร่วมกัน 

ผู้นำทัพขับเคลื่อนซิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นซิงเกอร์เติบโตไปเรื่อยๆ ยาวๆ เป็นบริษัทที่อยู่คู่สังคมไทยไปอีก 100 ปี ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นสภาวะแบบไหน  หรือพลิกโฉมเป็น ซิงเกอร์ ไซเบอร์ เต็มตัว!! ไม่ได้ขายของเหมือนวันนี้  แต่การเตรียมพร้อมทั้งด้าน คน เทคโนโลยี และตลาดที่เข้าถึง!!  จะทำให้ซิงเกอร์ปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ดำรงกิจการอยู่ได้อย่างยั่งยืน   

 --------------

ซิงเกอร์ใต้เงา"เจมาร์ท"

"ทรานส์ฟอร์ม"ธุรกิจ130ปี

จักรเย็บผ้าซิงเกอร์ตัวแรกสนนราคาตัวละ 100 กว่าบาทในยุค 100 กว่าปีที่แล้ว จัดได้ว่าแพงอักโข!! เทียบที่ดินขณะนั้นตารางวา "หลักสตางค์" และจักรเย็บผ้าน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สมัยใหม่และนำสมัยที่สุดเวลานั้นทีเดียว หรือหากเทียบยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยก็ว่าได้ 

จากจุดตั้งต้นการขายเมื่อปี 2432 จากนั้น ปี 2468 เริ่มให้มีการ "ผ่อนจ่ายสินค้า" เรียกว่าเปิดฉากธุรกิจเงินผ่อนเมื่อ 90 ปีที่แล้ว พร้อมๆ จากยุคแรกในการขายจักรเย็บผ้าของซิงเกอร์ สู่ยุคที่ 2 เริ่มนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาขาย ช่วงปี 2500 ประเทศไทยเริ่มมีการกระจายเสาไฟฟ้าออกนอกเมืองหลวง มุ่งสู่เมืองใหญ่ นั่นเป็นโอกาสของ "ซิงเกอร์" และชื่อของซิงเกอร์ที่ขยายวงกว้างออกไปเรียวก่า มีเสาไฟฟ้าที่ไหน มีซิงเกอร์ที่นั่น!! 

เป็นยุคแรกๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า บ้านไหนมี "ทีวี" ถือว่าเรื่องใหญ่ในชุมชน เป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ใหญ่มาก "กิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์" 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย เล่าว่า ตอนนั้นซิงเกอร์เติบโตแข็งแรงมาก ทีวีขาวดำ และตู้เย็นเป็นของใหม่สำหรับครัวเรือนไทย พร้อมๆ กับการไต่ระดับสถานะสินค้าหลักในบ้านที่ต้องมี จากนั้นจึงตามมาด้วยเครื่องซักผ้า ส่วนเครื่องปรับอากาศอยู่ในยุคหลังๆ 

จากสินค้าครัวเรือนซิงเกอร์ขยับสู่สินค้าเชิงพาณิชย์ในปี 2524 จากการมองเห็นโอกาสร้านขายของชำ หรือร้านค้าที่ต้องการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปประกอบธุรกิจ ทั้งตู้แช่ ตู้น้ำมันหยอดเหรียญ ตู้เติมเงิน กระทั่งการขยายไลน์โปรดักท์อีกระลอกใหญ่ในกลุ่มสินเชื่อ 

ในเชิงองค์กรจาก ปี 2432 ที่ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาแต่งตั้ง บริษัท เคียมฮั่งเฮง จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ในไทย ตั้งสาขาขึ้นใช้ชื่อ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ในปี 2512 ได้จดทะเบียนก่อตั้ง บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด เพื่อเข้ารับช่วงธุรกิจของ บริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด ซึ่งหยุดดำเนินกิจการ จากนั้นแปลงสภาพเป็น "บริษัทมหาชน" ในปี 2527 เรียกว่าเป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้าเทรดในกระดานหุ้น ซึ่งเวลานั้นเคาะกระดานขาย!! 

เส้นทางอันยาวนานไม่แปลกที่ชาวไทยคุ้นชินว่า "ซิงเกอร์" เป็นบริษัทคนไทย หากแต่ความจริงแล้วซิงเกอร์เป็นบริษัทต่างชาติมาตลอด!!  เพิ่งเปลี่ยนแปลงส่วนผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2558 เมื่อ เจมาร์ท  ยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีช่องทางการจำหน่ายทั่วประเทศ ก้าวเข้ามาถือหุ้นใหญ่ 

วันนี้เรียกได้ว่าวันนี้ซิงเกอร์เป็นบริษัทคนไทย 100% !!

ซิงเกอร์ เป็น1ใน6พอร์ตธุรกิจของกลุ่มเจมาร์ท ภายใต้การกุมบังเหียนของ อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ เอกชัย สุขุมวิทยา บุตรชายผู้รับไม้ต่อในยุคที่ 2 นำทัพขับเคลื่อนเจมาร์ทขยายอาณาจักรกว้างไกล จากธุรกิจห้องแถวขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน และโทรศัพท์มือถือ ในอดีต วันนี้ไม่ได้ขายแค่โทรศัพท์มือถืออีกต่อไป!!  

สถานะกลุ่มเจมาร์ทในทศวรรษที่ 4 ก้าวสู่บริษัทโฮลดิ้งค้าปลีกและการเงิน ขยายเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย  "Jaymart mobile" จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ "JMT Network Service" ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการติดตามหนี้ "Jas Asset" บริหารพื้นที่เช่าในส่วนของธุรกิจมือถือและศูนย์การค้าแบบคอมมูนิตี้มอลล์ "J Fintech" ธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อลิสซิ่งและสินเชื่อรายย่อย "SINGER" จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายสินค้า ซิงเกอร์ และอื่นๆ สุดท้าย "J Venture"  บริษัทที่ลงทุนในฟินเทคและสตาร์ทอัพเป็นหลัก

ธุรกิจอายุ 100 กว่าปีพิสูจน์ศักยภาพ!!  และสะท้อนแนวคิดหลัก  "การเปลี่ยนแปลง" ที่่ใช้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจให้ก้าวไปสู่ข้างหน้าตลอดเวลานั้นถูกต้อง!! ซึ่ง "การเปลี่ยนแปลงตัวเอง"  ไม่ต่างจากการ "ทรานส์ฟอร์ม" ธุรกิจศัพท์ฮิตที่นิยมเรียกกันในยุคนี้นั่นเอง 

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาดรอบด้านทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซิงเกอร์มั่นใจในความได้เปรียบของ "แบรนด์ดิ้งซิงเกอร์" มีความแข็งแรงด้วยความผูกพันกับคนไทยมายาวนาน

"สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอยู่แล้ว เป็นข้อจำกัดของกำลังซื้อ แต่กลยุทธ์ของซิงเกอร์เน้นสินค้าที่มีราคาหรือค่างวดการผ่อนต่ำ ผ่อนยาว เข้าถึงการอนุมัติง่าย เป็นจุดแข็งที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรลูกค้ายังสามารถจ่ายค่างวดได้ไม่สูงสำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้า"

ธุรกิจซิงเกอร์ยังกระจายความเสี่ยงรอบทิศเช่นกัน ด้วยการไดเวอร์วิไฟด์ธุรกิจหลากหลาย ยกตัวอย่าง ในสภาพเศรษฐกิจไม่ดี อาจควบคุมการขาย หรือปล่อยสินเชื่อชนิดหนึ่งแล้วมาต่อยอดสินค้าชนิดอื่นๆ เพื่อไปใช้ในการจับจ่ายใช้สอย จะเห็นว่ารูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่ได้ล็อคอยู่ที่ขาใดขาหนึ่ง เป็นการสร้างการตลาด และ กระจายความเสี่ยงไปตามสภาพเศรษฐกิจแต่ละช่วง 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่น่ากังวลมากกว่าสำหรับซิงเกอร์ซึ่งเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้คนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคู่ค้า พนักงาน ทีมงาน จะทำอย่างไรให้ "คนขาย" ซึ่งเป็น "ด่านหน้า" ที่จะทำให้แบรนด์ซิงเกอร์ไปถึงลูกค้าเดินหน้าไปขายได้ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจ หรือการเมืองเป็นอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญต้องหล่อหลอมคนกลุ่มนี้เพื่อออกไปขายสินค้า ไปดูคุณภาพของลูกค้า ดังนั้น กระบวนการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยี จะช่วยให้พนักงาน หรือทีมขาย คัดกรองลูกค้า เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ ยอดขาย และความมั่นคงของธุรกิจร่วมกัน 

ผู้นำทัพขับเคลื่อนซิงเกอร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเห็นซิงเกอร์เติบโตไปเรื่อยๆ ยาวๆ เป็นบริษัทที่อยู่คู่สังคมไทยไปอีก 100 ปี ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นสภาวะแบบไหน  หรือพลิกโฉมเป็น ซิงเกอร์ ไซเบอร์ เต็มตัว!! ไม่ได้ขายของเหมือนวันนี้  แต่การเตรียมพร้อมทั้งด้าน คน เทคโนโลยี และตลาดที่เข้าถึง!!  จะทำให้ซิงเกอร์ปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ดำรงกิจการอยู่ได้อย่างยั่งยืน   
#9929


มาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย หรือ THA กล่าวว่า จากวิกฤติโควิด 19 มีเจ้าของโรงแรมตัดสินใจขายโรงแรมมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่ประสบปัญหาทางการเงิน สมาคมฯประเมินว่าน่าจะมีโรงแรมหลายแห่งที่ไม่สามารถชำระหรือรับผิดชอบเงินกู้ได้ ทำให้เกิดหนี้เสียตามมา จึงต้องการขายโรงแรมเพื่อลดภาระทางการเงินและนำเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ โดยมีนักลงทุนที่สนใจซื้อสอบถามผ่านทางธนาคารหรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ว่าเจ้าของรายใดสนใจขายโรงแรมบ้าง

และจากการประชุมอัพเดตสถานการณ์ซื้อขายโรงแรมร่วมกับบริษัท JLL ที่ปรึกษาให้บริการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยตลอดปี 2564 ประมาณ 17 แห่ง ด้วยมูลค่า 1-1.2 หมื่นล้านบาท เป็นโรงแรมในกรุงเทพฯ 3 แห่ง ภูเก็ต 4 แห่ง เกาะสมุย 5 แห่ง และจังหวัดอื่นๆ อีก 5 แห่ง โดยเป็นโรงแรมที่มีมูลค่าซื้อขายต่ำกว่า 500 ล้านบาท จำนวน 7 แห่ง มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท จำนวน 9 แห่ง และมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 แห่ง

ส่วนในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ มีโรงแรมที่ปิดดีลการซื้อขายแล้วมูลค่าประมาณ 2.7 พันล้านบาท และอยู่ระหว่างทำสัญญาอีกประมาณ 3 พันล้านบาท โดยยังถือว่าเป็นมูลค่าการซื้อขายที่น้อย เนื่องจากราคาขายไม่ได้ตกมากเท่าไร ผู้ขายส่วนใหญ่ยังต้องการขายในราคาตลาด แต่ถ้าผู้ขายยอมลดราคาโรงแรม คาดว่ามูลค่าการซื้อขายก็น่าจะมากกว่านี้

ทั้งนี้รายงานของ JLL ยังระบุด้วยว่า จุดหมายของการลงทุนโรงแรมในไทย 3 อันดับแรก คือกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย โดยราคาซื้อขายโรงแรมในกรุงเทพฯทั้งหมด 100% แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือมีส่วนลดราคาที่ระดับ 0-5% ต่างจากโรงแรมในภูเก็ตส่วนใหญ่ 59% จะมีส่วนลดราคาซื้อขายให้มากกว่า 30% ส่วนโรงแรมที่เหลืออีก 41% ในภูเก็ตมีส่วนลดราคาซื้อขายให้ที่ระดับ 0-5% ฟากเกาะสมุยส่วนใหญ่ 57% จะมีส่วนลดราคาซื้อขายอยู่ที่ระดับ 15-20% รองลงมาคือกลุ่มที่มีส่วนลดมากกว่า 30% และมีกลุ่มที่มีส่วนลด 0-5% ตามลำดับ

"ภาพรวมจำนวนและมูลค่าของการเปลี่ยนมือซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยน่าจะมีมากกว่านี้ เพราะไม่ได้มีแค่การซื้อขายผ่านบริษัทนายหน้าอสังหาฯเท่านั้น แต่นักลงทุนอาจจะติดต่อซื้อด้วยตัวเอง ซื้อผ่านคนรู้จัก หรือซื้อผ่านธนาคาร"

ขณะที่โรงแรมส่วนหนึ่งเลือกเข้าร่วมมาตรการ "พักทรัพย์ พักหนี้" หรือ "โกดังพักหนี้" (Asset Warehousing) ซึ่งสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ ซึ่งผู้ประกอบการมีสิทธิซื้อทรัพย์สินคืนในภายหลัง เพราะยังอยากรักษาโอกาสความเป็นเจ้าของโรงแรมนั้นๆ อยู่ โดยปัจจุบันมีผู้นำโรงแรมเข้าร่วมมาตรการนี้แล้วประมาณ 60-80 ราย
 
นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวด้วยว่า สำหรับภาพรวมการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ปัจจุบันแม้แต่ธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ยังต้องพิจารณาอีกรอบว่าจะลดต้นทุนอย่างไร เช่น ปิดให้บริการโรงแรมอีกครั้งหรือไม่ ชี้ให้เห็นว่าการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดเริ่มมีผลกระทบต่อบริษัทที่มีสายป่านยาว 

ส่วนธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กสามารถควบคุมต้นทุนได้ง่ายกว่า เปิดหรือปิดให้บริการได้อย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์ โดยขณะนี้มีโรงแรมเล็กบางแห่งเตรียมกลับมาเปิดรับลูกค้าคนไทยอีกครั้งเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนกิจการหลังรัฐบาลเริ่มคลายล็อกการเดินทางภายในประเทศ

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากคือธุรกิจโรงแรมขนาดกลางที่บริหารแบบอิสระ มีเจ้าของคนเดียวหรือเป็นธุรกิจครอบครัว ตรงที่เมื่อกลับมาเปิดให้บริการรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง จะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ เนื่องจากแนวโน้มการแข่งขันสูงมาก เห็นภาพการตัดราคาห้องพักกันแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าโรงแรมนั้นๆ มีหนี้สินมากแค่ไหนด้วย ถ้ามีหนี้มาก ก็อยู่กันยาก ถ้ามีหนี้น้อย ก็อาจจะหดตัวแล้วอยู่นิ่งๆ รอสถานการณ์ดีขึ้น หรือมีการเจรจารีไฟแนนซ์กับธนาคาร

"แต่เนื่องจากธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่มีรายได้เป็นศูนย์นับตั้งแต่เกิดการระบาดระลอก 3 เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากอยู่กันไม่ไหวมานานกว่า 1 ปีนับตั้งแต่เจอการระบาดของโรคโควิด-19 เหมือนถูกตีซ้ำให้จมน้ำในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายแม้กระทั่งจ่ายดอกเบี้ย ธุรกิจโรงแรมก็กู้เงินกันมาระยะยาวแบบนี้ หนี้ก็ทับถมไปเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้ธุรกิจโรงแรมก็ไม่ค่อยอยากจะกู้ เพราะไม่เห็นแสงสว่าง และไม่รู้ว่าเมื่อไรลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาเป็นปกติ"

แม้แต่โรงแรมใน จ.ภูเก็ต ซึ่งมีการเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะยังได้ประโยชน์แบบไม่ทั่วถึงนัก ที่สำคัญประเทศต้นทางที่เป็นตลาดเป้าหมายของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เช่น สหราชอาณาจักร ได้ประกาศปรับสถานะให้ประเทศไทยอยู่กลุ่มสีแดง (Red List) ทำให้นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรซึ่งมีจำนวนคนเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มากเป็นอันดับ 2 ในช่วง 2 เดือนแรกของโครงการ ได้ยกเลิกการจองห้องพักและรีบเช็กเอาต์เดินทางกลับก่อนกำหนด เพราะไม่ต้องการเข้ากักตัวในโรงแรมที่รัฐบาลกำหนดเป็นระยะเวลา 10 วัน และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง 2,230 ปอนด์ หรือประมาณ 100,000 บาท เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลไทยเร่งพิจารณาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย แบบไม่ต้องกักตัว ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนในประเทศไทยก็ตาม โดยมีการใช้แอพพลิเคชั่นติดตามตัว เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม เพราะภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็ได้เป็นตัวอย่างแล้วว่านักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้นำเชื้อมาปล่อยให้คนไทย ส่วนใหญ่ที่ตรวจคัดกรองพบมีเพียง 0.3% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และส่วนมากจะคัดกรองพบในการตรวจหาเชื้อครั้งแรกที่สนามบิน

"เรียกได้ว่าสภาพคล่องของธุรกิจโรงแรมตอนนี้หมดหน้าตักแล้ว การแก้ปัญหาอย่างตรงจุดก็วนกลับมาเรื่องเดิมคือการเร่งฉีดวัคซีนแก่คนไทยมากกว่านี้ เพราะเมื่อพูดกันตรงๆ แล้วประเทศไทยอาจจะช้าเรื่องนี้ไปสักนิด หากเร่งฉีดได้เร็วกว่านี้ ก็น่าจะเปิดให้คนมาท่องเที่ยวได้เร็วกว่านี้ ภาคธุรกิจโรงแรมจะได้ไม่ต้องปิดนาน และไม่เจ็บตัวจนมาถึงจุดนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเจ็บปวดที่สุดของที่สุดแล้ว ขณะที่ความหวังก็ค่อยๆ หายไป เพราะต่างคาดการณ์ว่าแม้ปี 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มกลับมา แต่ก็ไม่ได้กลับมาจำนวนมากแบบทีเดียว เป็นการทยอยกลับมามากกว่า ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องปรับตัวเร็วมากเพื่อรับกับสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไรก็ได้"
#9930
สนใจเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม Line "บ้านที่ดิน HouseLand" เพื่อรับการอัพเดทที่ดิน
https://bit.ly/3xFTxOS

ติดต่อคุณชัย
โทร. 0918849203
LINE ID : @614skoug
เว็บบ้านที่ดิน  https://housetheland.com/index.php?topic=44
กดไลค์กดแชร์ กดติดตาม คือ
https://www.youtube.com/channel/UCIz5DVj6igFVHKPUqY-Z4RA
https://www.facebook.com/HouseTheLand