• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#9347


ชวนเด็กๆ พูดคุยกับนัก "จิตวิทยา" ใน "CLUB WELLNESS" กลุ่มไพรเวทในเฟซบุ๊ค เพื่อคลายความเครียดช่วง "เรียนออนไลน์" โดยเฉพาะเด็กอายุ 15-19 ปี พบว่ามีแนวโน้มเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

ปัญหาที่มาควบคู่กับการ "เรียนออนไลน์" ของเด็กๆ ยุคโควิด-19 คงหนีไม่พ้นปัญหา "ความเครียด" โดยพบว่าการเรียนออนไลน์ในยุคนี้ทำให้เด็กไทยมีการบ้านเยอะขึ้น ขาดออกกำลังกาย เคลื่อนไหวน้อยลง ทำการบ้านไม่ทัน เรียนไม่ทันเพื่อน ฯลฯ ส่งผลให้เด็กไทยเกิด "ความเครียด" สะสมมากเกินไป หนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เด็กๆ คลายเครียดได้ ก็คือการพูดคุยกับนักจิตวิทยา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนรู้จักวิธีฝึกคลายเครียดให้วัยรุ่นวัยเรียน โดยเป็นคำแนะนำจากนักจิตวิทยาการปรึกษา เพื่อให้เด็กๆ สามารถนำไปปรับใช้ในยุคโควิดที่น่าจะกินเวลาอีกยาว

1. ผลสำรวจ ชี้ เด็กไทยเครียดจาก "เรียนออนไลน์" 

มีข้อมูลจาก เบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เคยกล่าวไว้ว่า "ความเครียด เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องเร่งแก้ไข การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจจึงสำคัญ" พร้อมเผยผลสำรวจว่า

จากผลสำรวจในช่วงโควิด-19 พบว่า เด็กและเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน เกิดความเครียด วิตกกังวล จากการเข้าสังคมกับเพื่อนและครู รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว สสส. มุ่งสร้างเสริมสุขภาวะด้านจิตใจของคนไทยอย่างต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 15-19 ปี ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

'เรียนออนไลน์' กับ 7 ปัญหาสุขภาพที่เด็กไทยต้องเจอ แก้ยังไงดี?
วิจัยเผยเด็กเครียด 'เรียนออนไลน์' ศธ.สั่งลดเวลาเรียน ลดการบ้าน
'เรียนออนไลน์' WFH เสี่ยงภาวะ Computer Vision Syndrome มากขึ้น

2. CLUB WELLNESS ช่องทางพูดคุยกับ "นักจิตวิทยา"

เมื่อเร็วๆ นี้ สสส. และภาคีเครือข่าย ที่ทำงานด้านจิตวิทยาเด็กและเยาวชน ได้เปิดตัวไพรเวทกรุ๊ปในเฟซบุ๊ค ที่ชื่อว่า "CLUB WELLNESS : กลุ่มแบ่งปันพลังใจ" เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะให้คำปรึกษาแก่วัยรุ่นวัยเรียน ที่เกิดภาวะความเครียดสะสม วิตกกังวล จากการเรียนออนไลน์ 

โดยมีคำอธิบายของกลุ่มว่า

"คลับนี้ขอเป็นที่พักใจสำหรับคนที่เผชิญกับความเครียด ความเศร้า ความเหงา คนที่เจอวันแย่ๆ หรือกำลังท้อแท้ หมดกำลังใจ มาร่วมโพสต์ คอมเมนต์ อ่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ตัวเอง และส่งต่อกำลังใจให้แก่สมาชิกกลุ่ม หรือใครที่มีพลังบวกก็ขอเชิญมาส่งพลังต่อภายในกลุ่มนี้ ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส."

163092017826


3. นักจิตวิทยาแนะวิธีคลายเครียด เริ่มจากตัวเอง!

ดร.สุววุฒิ วงศ์ทางสวัสดิ์ นักจิตวิทยาการปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาประจำเฟซบุ๊กแฟนเพจ CLUB WELLNESS กลุ่มแบ่งปันพลังใจ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ง่ายสำหรับใครเลย การประคองตัวเองให้ยืนระยะได้นานที่สุด เป็นวิธีที่จะพาเราผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ และสำคัญไม่อยากให้คาดหวังว่า การเรียนการสอน เกรดเฉลี่ย จะเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา

"การศึกษาเป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิต จุดที่ดีที่สุดไม่ใช่การแข่งขันเพื่อให้เกรดเฉลี่ยต้องดีทุกวิชา จนทำให้เกิดความเครียด กดดันตัวเอง สำคัญที่ว่า.. สุดท้ายแล้วการรู้ตัวเองว่า ชอบอะไร อยากทำอะไร และสิ่งไหนที่เหมาะกับเรา อาจโฟกัสกับวิชาที่สอดคล้องกับชีวิตและคิดว่าได้ใช้ในอนาคต" ดร.สุววุฒิ กล่าว

อีกทั้ง ดร.สุววุฒิ ยังได้แนะนำวิธีคลายเครียดให้แก่วัยรุ่นวัยเรียน ดังนี้

1. สังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง หากรู้สึกอึดอัด ควรหาที่มาของปัญหา

2. อย่าบังคับตัวเองให้เป็นในแบบที่คนอื่นต้องการ จนเสียความเป็นตัวเอง

3. หาว่าตัวเองชอบอะไร เมื่อรู้แล้วให้โฟกัสกับสิ่งนั้น ไม่กดดันตัวเองเกินไป

4. เมื่อเห็นปัญหา ให้มองหาทางเลือกที่ทำให้รู้สึกสบายใจในการใช้ชีวิต

5. รักตัวเองให้มากขึ้น 

6. เมื่อเกิดความเครียด ต้องหยุดพักเพื่อสร้างความสมดุล

7. ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ช่วยให้ผ่อนคลาย

-------------------------

อ้างอิง : 

thaihealth.or.th

clubwellnessthailand

springnews
#9350


เราจะเห็นได้ว่าในยุคปัจจุบันข่าวสารที่เราพบในแต่ละวัน มีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอมมากมาย และมีการแชร์ความเชื่อผิดๆ ในกลุ่มไลน์ของผู้สูงวัยด้วยกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำให้ผู้สูงวัยเท่าทันเทคโนโลยี ไม่เชื่อในข่าว "Fake News"

ประเทศไทยมี "ผู้สูงวัย" ที่ติดเชื้อโควิดเพียง 85,000 คน แต่หากมาดูจำนวนของผู้เสียชีวิตแล้วจะพบว่าเสียชีวิตยอดที่ทะลุกว่า 10,000 คนนั้น มีถึงกว่า 60% ที่เป็นผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง และมีโรคประจำตัว ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และยังป่วยรุนแรงถึงชีวิต

หากค้นหาถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดเสียชีวิตเป็นกลุ่มผู้สูงวัยมากกว่าครึ่งนั้น เกิดจากผู้สูงอายุไม่น้อย ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค "โควิด 19" เนื่องจากมีความเข้าใจผิด เชื่อว่าการฉีดวัคซีนส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ

ความเชื่อทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีสาเหตุมาจากการได้รับข่าวสารข้อมูลที่บิดเบือนทั้งสิ้น! ข่าวปลอม ข่าวลวง หรือที่เรียกว่า "Fake News" หรือ เฟคนิวส์ กำลังส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

ความไม่เท่าทันสื่อในโลกโซเชียล ซึ่งมีทั้งการให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง บิดเบือน หรืออ้างสรรพคุณเกินจริง กำลังกลายเป็นต้นตอที่ทำให้ "ผู้สูงวัย" กำลังหลงเชื่อด้วยความไม่รู้ตัว

เมื่อ "เฟคนิวส์ กำลังเป็นปัญหาหลัก" สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และภาคี "สูงวัยรู้ทันสื่อ" จึงมาจัดเวทีแลกเปลี่ยนผ่านงานเสวนาออนไลน์ "สูงวัยจะรับมือกับข่าวลวงอย่างไรในช่วงโควิด" เพื่อหาทางออกร่วมกันในการสร้างภูมิคุ้มกันแก่ผู้สูงวัยกับภัยข่าวลวง

ข้อมูลบิดเบือน = ข่าวลวง

"เราเคยได้รับข้อมูลจาก LINE กลุ่ม ซึ่งอ้างว่าเป็นผลวิจัยของนักเคมีวิทยาต่างประเทศ บอกว่าคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วจะมีอายุอยู่ได้เพียงสองปี เพราะวัคซีนจะทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมลง" คุณยายโกศลวัยเจ็ดสิบกว่าปี เผยถึงข้อมูลที่ตนเองได้รับ

"ที่ร่มเก้า ระยะแรกเกือบจะกลายเป็นคลัสเตอร์ เพราะเริ่มติดมาจากตลาดแล้วขยายเป็นคลัสเตอร์ครอบครัว ปรากฎว่าคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ในชุมชนคือผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ซึ่งก็คือผู้สูงอายุ สิ่งที่เราพบคือ ส่วนหนึ่งเกิดจากการรับข่าวสารทางสื่อออนไลน์ที่ผิดๆ จนไม่ยอมไปฉีด" อีกเสียงบอกเล่าเสริมจากป้าอุ้ม ปราณี รัตนาไกรศรี สูงวัยรู้ทันสื่อ ชุมชนเคหะร่มเกล้า แกนนำชุมชนที่ต้องเผชิญและรับมือ "ข่าวลวง" ที่กำลังแพร่ระบาดแข่งกับการระบาดของโควิด 19 ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมานี้

ป้าอุ้มเล่าว่า ประชาชนไม่น้อยยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคโควิด 19 การรักษา การฉีดวัคซีน ไปจนถึงความเข้าใจผิดต่อคนที่ป่วย ความกลัวโรคกลัวผู้ติดเชื้อกลายเป็นความรังเกียจ ไม่กล้าเข้าใกล้

"ความจริงแล้ว เชื้อโควิด 19 ไม่ได้ติดง่ายมากขนาดนั้น หากไม่ได้สัมผัสหรือโดนน้ำลายเสมหะ สารคัดหลั่งโดยตรง แต่เขาก็รังเกียจ ตีตรากันแล้ว" ป้าอุ้มกล่าวด้วยความหนักใจ 

วัยรุ่น (ใหญ่) มือไว ใจร้อน

ป้าอุ้มเล่าต่อถึงพฤติกรรมของการใช้สื่อในกลุ่มผู้สูงอายุว่า ส่วนใหญ่มักชอบรับข่าวสารแล้วแชร์ส่งต่อในทันที โดยแต่ละคนจะมีกลุ่มก้อนของตัวเองและใช้แอปพลิเคชัน อาทิ ไลน์กลุ่มในการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งมีสมาชิกหลักสิบหรือหลักร้อยคนแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญคือ แทบทุกคนนั้นจะมีไลน์กรุ๊ปกันหลายกลุ่มก้อน เป็นที่มาว่าทำไมการส่งต่อข่าวลวงจึงแพร่ไปเร็วไวนัก
 

"ในช่วงโควิดเรื่องข่าวลวงยิ่งเห็นผลชัดเจน จากการเกิดปรากฏการณ์ผู้สูงอายุไม่ยอมฉีดวัคซีน คือพอเขาได้รับข้อมูล มาเห็นข่าวทีวีว่ามีผู้เสียชีวิตก็เกิดความกลัว ตัวลูกหลานเองก็รับข้อมูลข่าวสารเยอะไม่ให้พ่อแม่ฉีดก็มี ซึ่งที่ชุมชนเราต้องแก้ปัญหาด้วยแนวคิดที่ว่าต้องมีการสื่อสารข้อมูลที่มากขึ้น เราจัดให้อาสาสมัครลงพื้นที่สำรวจผู้สูงอายุในชุมชน เข้าไปจัดการชักชวนเพื่อให้มาฉีด มีการให้ข้อมูลความที่ถูกต้องว่า การฉีดวัคซีนไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด และผลเสียของการไม่ฉีดวัคซีนเป็นอย่างไร"

พฤติกรรมผู้สูงอายุยังเป็นกลุ่มสำคัญที่มีบทบาทต่อการ "ส่งต่อ" หรือแชร์ข่าวลวงเหล่านี้ โดยไม่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล ส่งผลให้ข่าวลวงเหล่านี้ยิ่งกระพือแพร่กระจาย และกลายเป็น "ข่าวลวงวนซ้ำ" อย่างไม่รู้จบ

ข่าวลวงวนซ้ำ

"สาเหตุหลักที่ทำให้ข่าวลวงวนซ้ำในประเทศไทยมีอยู่สามสี่เรื่อง หนึ่งคือการสื่อสารในระบบแอปพลิเคชันที่เป็นระบบปิด หรือในกลุ่มปิด ซึ่งทำให้ยากหรือไม่มีการตรวจสอบข่าว ทำให้เขาหลวงวันซ้ำถึง 28% นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากการมีอคติต่อประเด็นเนื้อหาข่าวทำให้เชื่อถือหรือไม่เชื่อถือ โดยขาดการตรวจสอบหรือไม่เปิดให้มีการโต้แย้งข้อมูลได้ 27% และการขาดความร่วมมือบางแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ในการแก้ปัญหา เช่นการขึ้นคำเตือนหรือลบเนื้อหา และความเกรงใจเมื่อผู้ส่งข่าวที่สงสัยว่าจะเป็นข่าวลวง มีความอาวุโสและมีฐานะทางสังคมสูงกว่าทำให้ไม่กล้าเตือนหรือตรวจสอบข้อมูล" ญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก11) สสส.  อธิบาย

พร้อมเอ่ยถึงรายงานจากการสำรวจโดย สำนักงานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับโคแฟค สำรวจประชากรออนไลน์ 670 คน พบ 94.7% เคยพบเห็นข่าวปลอมบนโลกออนไลน์ และมองว่าข้อมูลที่ปรากฏบนออนไลน์ไม่มั่นใจว่าจะเชื่อถือได้และเป็นปัญหาที่พบมากสุดในปีนี้โดยเพิ่มขึ้น 13.1% จากปี 2562 ที่สำคัญ ทุกคนมีโอกาสเป็นคนส่งต่อ Fake News กันหมด จากการแชร์โดยไม่ทันคิด

ญาณีเอ่ยว่า ผู้สูงอายุเปรียบเสมือน "ผู้อพยพทางดิจิทัล" คือเกิดมาก่อนแต่ยังต้องอยู่ในยุคของคนเจนอื่น ในโลกดิจิทัล ซึ่งโลกเปลี่ยน ทำให้สื่อเปลี่ยน คนมีทักษะที่จะสร้างข่าวบิดเบือนเก่งขึ้น หลากหลายขึ้น

"ผู้สูงอายุถือเป็นน้องใหม่ในวงการโลกดิจิทัล ซึ่งจากการสำรวจ อินไซท์เบบี้บูมเมอร์ 2021 (Insight Baby Boomer 2021) พบว่า คนกลุ่มนี้ คือคนที่กำลังเป็นผู้สูงอายุในปัจจุบัน มีพฤติกรรมติด Facebook หนักมากมองหาสมาร์ทโฟนจอใหญ่ไปถึง iPad แถมยังลามไปถึงอีสปอร์ต บางคนว่างก็ใช้เวลาดูหนังเก่าได้ทั้งวัน และเป็นลูกค้าหลักของสินค้าเพื่อสุขภาพแนว wearable อย่างพวกสมาร์ทวอช เป็นต้น ที่สำคัญ กลุ่มผู้สูงวัยที่มีพฤติกรรม มือลั่น ยังมีอยู่ไม่น้อย"
  Fake News ญาณีอธิบายต่อว่า ปัญหา Fake News ยังเป็นปัญหาที่กระทบทั่วโลก ปีที่แล้วองค์การยูเนสโกจึงมีการประกาศว่า สิ่งที่จะช่วยชีวิตเราทุกคนได้ปลอดภัยจากภัยสุขภาพในครั้งนี้ คือ หมอ พยาบาล และข้อมูลสุขภาพที่เป็นข้อเท็จจริง

ส่วนปีนี้ ในการจัดงาน World press freedom day 2021 ยังตอกย้ำถึงการให้ความสำคัญกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ โดยได้ประกาศสโลแกนว่า Information as a public good โดยการสนับสนุนให้คนเราเชื่อข้อมูลได้รับการตรวจสอบแล้ว และส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีหน้าที่ตรวจสอบและส่งต่อข้อมูลไปยังประชาชน

รับมือปัญหาข่าวลวงยังไงให้ยั่งยืน?

เมื่อมองถึงทางออกของการแก้ปัญหาข่าวลวงแบบยั่งยืน เธอเอ่ยว่า อาจต้องทำในหลายประเด็นและหลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การมีแพลตฟอร์มเฉพาะเพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลในการตรวจสอบเพรารวม เช่น โคแฟค ให้ตรวจสอบข่าวลวงได้ ควรมีการสร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบข่าวลงไปในชุมชนออนไลน์ทุกระดับเพื่อให้เป็นวิถีชีวิตใหม่ รวมถึงการเพิ่มทักษะการใช้สื่อดิจิทัลในหลักสูตรการเรียนรู้ทุกระดับ เพื่อสร้างความเท่าทันสื่อ หรือ Digital literacy และอีกทางหนึ่งคือการเพิ่มอิสระเสรีภาพในการโต้แย้งข้อมูลข่าวสารในแบบในประเทศเสรีประชาธิปไตย ส่วนบทบาทของแพลตฟอร์มคือควรมีการเพิ่มฟังชั่นลบข่าว การเตือนเมื่อเจอข่าวที่พิสูจน์ว่าเป็นข่าวเท็จ

"สิ่งสำคัญคือผู้ใช้สื่อออนไลน์จะเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองในเบื้องต้นได้ดีที่สุด ไม่ควรพึ่งพารัฐเพียงอย่างเดียว ขณะที่สื่อมวลชนเองควรจะช่วยตรวจสอบข่าวลือและข่าวลวงอย่างทันท่วงที รวมถึงไม่ผลิตซ้ำข่าวลวง รัฐเองควรทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนข้อมูลเปิดในการตรวจสอบได้ง่าย" ญาณีเอ่ย

สสส. จึงเน้นย้ำในเรื่องการส่งเสริมให้ประชากรทุกช่วงวัย รวมถึงผู้สูงวัยเป็นแอคทีฟซิติเซ่น นั่นคือ การพัฒนาพลเมืองให้เท่าทันสื่อรอบรู้สุขภาวะ มีจิตสำนึกเพื่อการเป็นนักสื่อสารสุขภาพที่ยืดหยุ่นและปรับตัว ซึ่งเขาจะทำหน้าที่บอกต่อข้อมูลข้อมูลดีๆ แก่ผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง รวมถึงการพัฒนากระบวนการสื่อสารสุขภาวะและสุขภาวะทางปัญญา เพื่อสร้างพลังความเข้มแข็งสังคมในช่วงวิกฤต โควิด 19 ทำให้ปีที่ผ่านมา สสส. จึงเน้นย้ำเรื่องการพัฒนานักสื่อสารสุขภาวะ ซึ่งมีถึง 3,880 คน ที่สามารถสื่อสารส่งต่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับเครือข่ายของตนเอง

"นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากลไกตรวจสอบข่าวลวงด้วยระบบดิจิทัลด้านสุขภาพ ที่ทำร่วมกับโคแฟค เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถใช้ตรวจสอบค้นหาข้อมูลข่าวร่วงและข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการเน้นพัฒนาให้เกิดทักษะการตรวจสอบข่าวในกลุ่มภาคประชาชนด้วยตัวเอง รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาทักษะเท่าทันสื่อของกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อเป็นนักสื่อสารสุขภาวะที่เท่าทันสื่อ เท่าทันชีวิตและเท่าทันโลก" ญาณีกล่าว

ปล่อยคาถารู้ทันข่าวลวง

จิราณีย์ พันมูล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวถึงพฤติกรรมผู้สูงวัยใช้สื่อดิจิตอล เธอบอกว่า ข่าวลวงนับเป็นภัยคุกคามแต่ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในยามเกิดวิกฤตสุขภาพ อย่างโควิด 19 เฟคนิวส์ หรือข้อมูลที่บิดเบือนสามารถที่จะทำลายสุขภาพและทำลายชีวิตผู้คนได้เช่นเดียวกัน

ผลเสียของข่าวลวงที่เกิดกับสุขภาพก็คือ ทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับข่าวสารมีความกังวลความตื่นตระหนกกลัวเครียด หวาดระแวง และส่งผลไปยังสุขภาพร่างกาย คือนอนไม่หลับ ไม่กล้าทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่กล้าออกกำลังกาย ขาดวิถีสังคมเพราะไม่กล้าออกจากบ้าน หรือไปเจอใคร แล้วไม่กล้าออกไปประกอบอาชีพจนมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ

"แต่จากประสบการณ์ทำงานพบว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับการศึกษาหรือพื้นฐาน กลุ่มมีการศึกษาเองก็ส่งข้อมูลผิดๆ มาเช่นกัน"
 
ทางโครงการจึงได้พัฒนาโครงการสูงวัยรู้ทันโควิด โดยมีคาถาสูงวัยรู้ทันโควิดเพื่อให้ผู้สูงอายุนำไปใช้ ได้แก่ หนึ่ง การรู้จักตั้งคำถามกับตัวเอง สอง การไปหาข้อมูลก่อนคือการหาข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ สาม หากเราแชร์จะเดือดร้อนใครหรือไม่

โดยจากการประเมินผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโครงการมีความยังคิดมากขึ้นตามหลักการสามข้อ จากเมื่อก่อนเจออ่านแค่หัวข้อข่าวก็ส่งต่อเลยทันที แต่เมื่อเข้าโครงการนี้เริ่มทำความเข้าใจมากขึ้น เข้าไปอ่านเนื้อหาก่อนที่จะส่งต่อ รวมถึงวิเคราะห์ว่าที่ส่งต่อมานี้มันใช้เรื่องจริงหรือไม่จริง

ด้าน วันชัย บุญประชา กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า คาถาสามข้อเป็นเครื่องมือและสร้างภูมิต้านทานกับผู้สูงอายุ แต่ขณะเดียวกันยังจำเป็นต้องการพัฒนาอาสาสมัครสูงวัยรู้ทันสื่อที่จะคอยตั้งคำถามต่างๆ เวลาเจอข่าวที่แชร์กันมา แล้วจะมีทักษะคัดข่าวและสื่อสารแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงวัยว่าข่าวนั้นเป็นข่าวปลอมได้อย่างไร

"อย่างไรก็ดี ในระดับภาพรวมทั้งประเทศ เราคงต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้มีประสิทธิภาพ เช่นการสร้างความฉลาดในวิธีคิดของผู้สูงอายุในเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่เฉพาะแต่เรื่องสื่อ" วันชัยเอ่ยทิ้งท้าย
#9352
เครื่องทำน้ำแข็ง Cleanicethailand
เครื่องทำน้ำแข็ง Clean ice หมดปัญหาสักที กับความสกปรก ของน้ำแข็ง หรือน้ำแข็งละลายเร็ว อีกทั้งยังประหยัดกว่าเดิมถึง 5 เท่า
ไม่ว่าจะใส่เมนูน้ำชนิดไหนๆ เครื่องทำน้ำแข็ง cleanice ก็เอาอยู่ไปซะทุกอย่าง
เครื่องทำน้ำแข็ง ของเรารับประกันความประหยัดคุ้มค่าน่าลงทุน น้ำแข็งที่เย็น ละลายช้า สะอาด ไร้สารเคมีตกค้าง ราคาถูก สามารถทำให้เมนูน้ำของคุณน่ากินได้อีกกกด้วย ! 
เพราะว่าเราใส่ใจในความสะอาด และ ความสะดวกสบาย ด้วยดีไซน์เครื่องที่ออกแบบมา สวยทันสมัยตั้งในคาเฟ่ ก็เชิญชวนลูกค้าได้ดีอีกด้วย!!!! มีคุณภาพ เเละเอื้อต่อการใช้งานจริง
เมนูน้ำไหนๆ ใคร ๆ ก็อยากซื้อ น่าดื่มไปซะทุกอย่างเเบบนี้สิ รักเลย  ต้องลองแล้วค่ะถึงจะรู้ว่าของเราดีจริง
 Made in JAPAN 
สนใจสินค้า ปรึกษา สอบถามได้ที่
Tel: 02-024-9152-3 Mobile: 061-2780-780
ไลน์ไอดี: valaiporn25
website:https://www.cleanicethailand.com
facebook:https://www.facebook.com/cleanicethailand
#เครื่องทำน้ำแข็ง #เครื่องทำน้ำแข็งหยอดเหรียญ #ตู้กดน้ำแข็ง #ตู้กดน้ำแข็งหยอดเหรียญ #cleanice #cleanicethailand
 

 

 

#9355


บอร์ดบีโอไอ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กับนักลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ได้บีโอไอสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา พร้อมวางมาตรการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย


น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสำคัญ 3 เรื่อง 1.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศและการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ซึ่งประกอบด้วย 2 เรื่อง ดังนี้

1) ผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสามารถนำเงินสนับสนุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานภาครัฐมาขอสิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Huay Incentives) ได้ กรณีที่เงินสนับสนุนมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 1 ของยอดขายของโครงการใน 3 ปีแรกรวมกัน หรืออย่างน้อย 200 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-3 ปี และเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ จะเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่ายเท่านั้น

2) ผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายเวลาการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้สิทธิบีโอไอได้แก่ การผ่อนผันขยายเวลาการดำเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น ISO 9002, CMMI เป็นต้น แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจประเมินที่ล่าช้า หรือไม่สามารถตรวจประเมินในสถานประกอบการได้ โดยขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันครบกำหนดการดำเนินการระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 และการผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ สามารถกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจากบีโอไอ

2.กระตุ้นไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยขยายขอบข่ายของประเภทกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ให้ครอบคลุมการผลิตแพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Platform) ที่สามารถนำไปใช้งานร่วมกันได้ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์และรุ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนวัตถุดิบที่ต้องใช้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) โดยแพลตฟอร์มต้องประกอบด้วย Energy Storage System, Charging Module และ Front & Rear Axle Module พร้อมกันนี้ ยังเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (Electric Bicycle หรือ E-BIKE) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากมีการผลิต Traction Motor และ/หรือการผลิตโครงรถจักรยานไฟฟ้าจากวัสดุน้ำหนักเบาภายใน 3 ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกกรณีละ 1 ปี นอกจากนี้ ยังขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหากมีการวิจัยพัฒนาได้ด้วย

3.ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ดังนี้



1) ขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากออกไปอีก 1 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในปี 2564 เป็นภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2565

2) เพิ่มขอบข่ายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการย่อยด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดปริมาณ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบทำความเย็นของโรงงานและห้องแช่แข็ง เป็นต้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี สัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน

3) การปรับปรุงประเภทกิจการ สิทธิและประโยชน์ใน 2 กิจการคือ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Storage and Utilization: CCSU) โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และกิจการห้องเย็นหรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น ในกรณีใช้สารทำความเย็นธรรมชาติ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี

4) เปิดให้ส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี
#9357


วันนี้ (5 ก.ย.) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังการประชุมหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) เรื่องการสนับสนุนกำลังคนทักษะสูงตามความต้องการของอุตสาหกรรมระดับสูงจากต่างประเทศ โดยกล่าวว่า อว. พร้อมสนับสนุนบีโอไอ ในการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนักลงทุนเก่าและนักลงทุนใหม่ ที่จะลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับสูงในประเทศไทย ซึ่งต้องการแรงงานคุณภาพสูง มีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในโรงงานที่มีเทคโนโลยีระดับสูง โดย สอวช. และ สวทช. มีประสบการณ์ในการจัดหา ดูแล ประสานงาน และฝึกอบรมแรงงาน ภายใต้โครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work-integrated Learning: WiL) ในรูปแบบ โรงเรียนในโรงงาน โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน

รมว.อว.กล่าวต่อว่า ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในวันนี้ คือบริษัทแคล-คอมพ์จากไต้หวัน เป็นผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ ลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทยมากว่า 30 ปี มีความต้องการขยายฐานการผลิตร่วมกับบริษัทที่ย้านฐานการผลิตจากประเทศจีนเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา โดยต้องการแรงงานทักษะสูงประมาณ 400 ตำแหน่งภายในปีนี้ แรงงานดังกล่าวจะได้รับการฝึกฝนทักษะไปพร้อม ๆ กับการทำงานจริง ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท โดยมีนักศึกษาระดับปริญญาโทเป็นพี่เลี้ยง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายโรงงานและรับแรงงานเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2,000 ตำแหน่งในอนาคต

"นี่เป็นเพียงตัวอย่างของหนึ่งบริษัทจากต่างประเทศที่เลือกลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับสูงในประเทศไทย เมื่อมีการประชาสัมพันธ์ถึงความพร้อมของประเทศไทยโดยบีโอไอ ประกอบกับการดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนการลงทุน โดย อว. จะทำให้มั่นใจได้ว่า ประเทศไทยจะมีแรงงานทักษะสูงที่พร้อมป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมไฮเทค สร้างงานและรายได้ให้แก่คนไทย เพิ่มจีดีพีให้แก่ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวหรือ Resiliency ของประเทศไทย ที่จะผ่านพ้นวิกฤตและมุ่งสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอนาคต" ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว
#9358
เครื่องทำน้ำแข็ง Cleanicethailand
เครื่องทำน้ำแข็ง Clean ice หมดปัญหาสักที กับความสกปรก ของน้ำแข็ง หรือน้ำแข็งละลายเร็ว อีกทั้งยังประหยัดกว่าเดิมถึง 5 เท่า
ไม่ว่าจะใส่เมนูน้ำชนิดไหนๆ เครื่องทำน้ำแข็ง cleanice ก็เอาอยู่ไปซะทุกอย่าง
เครื่องทำน้ำแข็ง ของเรารับประกันความประหยัดคุ้มค่าน่าลงทุน น้ำแข็งที่เย็น ละลายช้า สะอาด ไร้สารเคมีตกค้าง ราคาถูก สามารถทำให้เมนูน้ำของคุณน่ากินได้อีกกกด้วย ! 
เพราะว่าเราใส่ใจในความสะอาด และ ความสะดวกสบาย ด้วยดีไซน์เครื่องที่ออกแบบมา สวยทันสมัยตั้งในคาเฟ่ ก็เชิญชวนลูกค้าได้ดีอีกด้วย!!!! มีคุณภาพ เเละเอื้อต่อการใช้งานจริง
เมนูน้ำไหนๆ ใคร ๆ ก็อยากซื้อ น่าดื่มไปซะทุกอย่างเเบบนี้สิ รักเลย  ต้องลองแล้วค่ะถึงจะรู้ว่าของเราดีจริง
 Made in JAPAN 
สนใจสินค้า ปรึกษา สอบถามได้ที่
Tel: 02-024-9152-3 Mobile: 061-2780-780
ไลน์ไอดี: valaiporn25
website:https://www.cleanicethailand.com
facebook:https://www.facebook.com/cleanicethailand
#เครื่องทำน้ำแข็ง #เครื่องทำน้ำแข็งหยอดเหรียญ #ตู้กดน้ำแข็ง #ตู้กดน้ำแข็งหยอดเหรียญ #cleanice #cleanicethailand
 

 

 

#9359


นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติปี 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นโอกาสที่สังคมจะร่วมตระหนักถึงศักยภาพของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในปีนี้ สสส. ร่วมมือกับ School of Changemakers จัดกิจกรรม ThaiHealth Youth Solutions ครั้งที่ 2 สำหรับเยาวชนอายุ 14 – 20 ปี ที่สนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสังคม โดยเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศได้สมัครเข้าร่วมเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเสวนา 8 ครั้ง อบรมเชิงปฏิบัติการ 15 ครั้ง และกิจกรรมทดลองแนวคิดหรือทดสอบไอเดียใหม่ในการแก้ปัญหาอีก 5 กิจกรรม ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตามได้ความสนใจโดยทุกกิจกรรมจะนำเสนอตลอดเดือนกันยายนผ่านโปรแกรมซูม (Zoom) โดยปีนี้มีเยาวชนอายุ 14-20 ปีสมัครเข้าร่วมโครงการรวม 354 คน เป็นเยาวชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 83 คน ที่เหลือกระจายอยู่ในทั่วทุกภูมิภาค

นางสาวณัฐยา กล่าวต่อว่า กิจกรรม ThaiHealth Youth Solutions เกิดจากเจตนารมณ์ที่ต้องการพลิกมุมมองต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มักถูกนำเสนอในมุมของปัญหา ให้เห็นถึงความตั้งใจที่ดีและความกระตือรือล้นที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงดีๆให้เกิดกับสังคมรอบตัว ในการจัดงานปีแรก เป็นงานแบบออนไซต์ 2 วัน มีเยาวชนเข้าร่วมงานเกือบ 150 คน แต่ในปีนี้สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องเปลี่ยนมาจัดแบบออนไลน์แต่พบว่าสามารถเข้าถึงเยาวชนจำนวนมากจากทั่วทุกภาคของประเทศ เห็นได้จากการเปิดรับสมัครเพียง 5 วัน ผ่านหน้าเพจแต่กลับมีเยาวชนสนใจสมัครเข้าร่วมหลายร้อยคน ซึ่ง สสส. มีความตั้งใจที่จะเปิดพื้นที่แห่งโอกาสและการเรียนรู้เช่นนี้ให้แก่วัยรุ่นและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการที่หลากหลายตลอดทั้งปีสามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กของ สสส.



นางสาวพรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร School of Changemakers กล่าวว่า อยากจะเชิญชวน เยาวชนที่สนใจ เข้าร่วมหรือต้องการติดตามผลงานของผู้เข้าร่วมงานสามารถติดตามได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก School of Changemakers น้องๆ จะได้พบปะ พูดคุยกัน เรียนรู้การทำโปรเจกต์เพื่อสังคมของเพื่อนๆ เยาวชน เวิร์คชอปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และกิจกรรมเพื่อสังคมที่เริ่มต้นได้ทันทีจากพี่ๆ ที่กำลังทำกิจการเพื่อสังคมต่างๆ กิจกรรมภายในงานจะจัดขึ้นทุกเสาร์-อาทิตย์ ผ่าน Zoom ตลอดเดือนกันยายน 2564 เวลา 13.00-21.00 น. ภายในงานมีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย เช่น ชวนตามหาไลฟ์สไตล์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม, คิดไอเดียเที่ยวทิพย์ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว, แชร์ปัญหาผู้สูงอายุ สถานการณ์และโอกาสการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ เป็นต้น โดยสามารถติดตามตารางกิจกรรมแต่ละสัปดาห์ได้ที่ www.Schoolofchangemakers.com