• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Beer625

#6677
จำหน่าย จักรยานออกกำลังกาย และ จักรยานฟิตเนส

จักรยานออกกำลังกาย มีทั้งที่แบบใช้ในฟิตเนสและในบ้าน ใช้สำหรับการคาดิโอและการบริหารกล้ามเนื้อส่วนขา เป็นอุปกรณ์ที่มีคุณภาพและนำเข้ามาจากต่างประเทศ จักรยานราคาถูก ถูกผลิตด้วยวัสดุเกรดอย่างดี

สนใจสอบถามข้อมูล ทางนี้เลย
Facebook : CCT Fitness นำเข้าเครื่องออกกำลังกาย
Tel: 089-750-7380
สนใจชมตัวอย่างสินค้า >> https://goo.gl/maps/RBNaNTLmk8LD3T2A8 
#6678
ฟิทช์คงอันดับเครดิตโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ 'AAA(tha)'
 
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันระยะกลาง (Guaranteed Medium Term Note Programme) ของบริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MBTh โครงการที่ 2 (MTN-2) มูลค่าไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท และโครงการ ที่ 3 (MTN-3) มูลค่าไม่เกิน 2.0 หมื่นล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้มูลค่า 7.4 พันล้านบาท ที่อยู่ภายใต้โครงการหุ้นกู้ดังกล่าว ซึ่ง ได้รับการค้ำประกันจากบริษัทแม่ ได้แก่ Mercedes-Benz Group AG (MBG, 'A-/Stable') ที่ระดับ 'AAA(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
ค้ำประกันโดย MBG: อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันดังกล่าวสะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะเต็มจำนวน ไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก MBG (เดิมชื่อ บริษัท เดมเลอร์ เอจี) โดยหนี้จากการค้ำประกันมีสถานะทางกฏหมายเท่าเทียมกับหนี้ที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของ MBG อันดับเครดิตของ MBG อยู่ในระดับที่สูงกว่าอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (Long-Term Local Currency IDR) ของประเทศไทย ซึ่งอยู่ในระดับ 'BBB+' ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันดังกล่าวจึงถูกจำกัดอยู่ที่อันดับเครดิตระยะยาวภายในประเทศสูงสุดที่ระดับ 'AAA(tha)'

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันของ MBTh สะท้อนถึงการได้รับการค้ำประกันในลักษณะเต็มจำนวน ไม่มีเงื่อนไข และไม่สามารถยกเลิกได้จาก MBG

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:

อันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันนี้ ที่ระดับ 'AAA(tha)' เป็นอันดับเครดิตภายในประเทศที่สูงที่สุดแล้ว
ปัจจัยลบ:
อันดับเครดิตภายในประเทศของโครงการหุ้นค้ำประกันอาจถูกปรับลดได้ ถ้าอันดับเครดิตสากลระยะยาวของ MBG ลดลงต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศของประเทศไทย
ส่วนปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตสากลระยะยาวในอนาคตของ MBG ตามที่แสดงใน Rating Action Commentary ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่
ปัจจัยบวก:

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ของกลุ่ม (Group Operating Margin) ที่สูงกว่าร้อยละ 8 (ปี 2563: ร้อยละ 4.7, คาดการณ์ปี 2564 ร้อยละ 10.6, คาดการณ์ปี 2565 ร้อยละ 10.1)
อัตราส่วนกระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free cash flow margin) ที่สูงกว่าร้อยละ 3 (ปี 2563: ร้อยละ 5.5, คาดการณ์ปี 2564 ร้อยละ 7.6, คาดการณ์ปี 2565 ร้อยละ 3.6)
ปัจจัยลบ:

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ของกลุ่ม (Group Operating Margin) ที่ต่ำกว่าร้อยละ 5
อัตราส่วนกระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free cash flow margin) ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5
อัตราส่วนหนี้สิน FFO leverage ที่สูงกว่า 1.5 เท่า (สิ้นปี 2563: 1.3 เท่า, คาดการณ์สิ้นปี 2564: 0.7 เท่า, คาดการณ์สิ้นปี 2565: 0.7 เท่า) และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ FFO net leverage ที่สูงกว่า 0.5 เท่า (สิ้นปี 2563: -0.4 เท่า, คาดการณ์สิ้นปี 2564: -0.6 เท่า, คาดการณ์สิ้นปี 2565: -0.8 เท่า)
สภาพคล่อง
บริษัทแม่มีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง: สภาพคล่องของ MBG ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 2.2 หมื่นล้านยูโร และหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงจำนวน 5.3 พันล้านยูโร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ซึ่งไม่นับรวมเงินสดที่มีภาระผูกพัน จำนวน 3.2 พันล้านยูโร และรายการปรับปรุงสำหรับธุรกิจให้บริการทางการเงินจำนวน 1.1 หมื่นล้านยูโร ตามหลักเกณฑ์ของฟิทช์ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินหลายแห่ง (ครบกำหนดปี 2568) จำนวนรวมทั้งหมด 1.1 หมื่นล้านยูโร ซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564

MBG มีประวัติการถือครองเงินสดที่มากกว่าหนี้สินตลอดวัฏจักรของธุรกิจ และมีโครงสร้างหนี้สินและการกระจายแหล่งเงินทุนที่ดี ได้แก่ ตราสารหนี้ เงินกู้ธนาคาร ตราสารประเภท Securitisation ตราสารหนี้ระยะสั้น และเงินฝาก MBG ยังมีความสามารถในการเข้าถึงตลาดพันธบัตรยูโรในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรจำนวน 1.5 พันล้านยูโร อายุ 5 ปี เมื่อเดือนเมษายน 2563

ในประเทศไทย MBTh มีหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2565 จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสดในมือจำนวน 2.9 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อแบบ uncommitted ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ จำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ MBTh ยังมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดทุน โดยมีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่งให้การสนับสนุน ภาระหนี้ต่อเจ้าหนี้ภายนอก ณ สิ้นปี 2564 ประกอบด้วย หนี้เงินกู้ธนาคารสัดส่วนร้อยละ 72 และหุ้นกู้สกุลเงินบาทสัดส่วนร้อยละ 28 โดยหนี้ทั้งหมดได้รับการค้ำประกันโดย MBG หนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ใช้สำหรับการขยายธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ของบริษัทในกลุ่ม

ข้อมูลบริษัท
MBTh เป็นบริษัทที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทแม่ในประเทศเยอรมัน คือ MBG ซึ่งเป็นผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำระดับโลกในกลุ่มตลาดรถหรู MBTh เป็นบริษัทย่อยของ MBG ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในการจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ การประกอบรถยนต์ภายในประเทศผ่านบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ผ่านบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ลีสซิ่ง ประเทศไทย จำกัด

อันดับเครดิตที่เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตของโครงการหุ้นกู้ค้ำประกันของ MBTh เกี่ยวโยงกับอันดับเครดิตสากลระยะยาวของ MBG
#6679
SCM เผย สมพงษ์ ศิลป์สมบูรณ์ เข้าถือหุ้น 10.1333% เป็นผถห.ใหญ่อันดับ 3

บมจ.ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ (SCM) เปิดเผยว่า ตามสรุปแบบ 246-2 ของวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งว่า นายสมพงษ์ ศิลป์สมบูรณ์ ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 258 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ได้เข้าซื้อหุ้น SCM เมื่อวันที่ 31 มี.ค.65 จำนวน 10.1333% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 รองจากนายสิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ถือหุ้น 30.77% และนายนพกฤษฎิ์ นิธิเลิศวิจิตร ถือหุ้น 23.06%

ขณะที่นายชินพงศ์ เยาว์วรรณศิริ ถือหุ้นลดลงจาก 3.15% เป็น 2.31% และนางเพ็ญนิติ์ เยาว์วรรณศิริ ถือหุ้นลดลงจาก 2.34% เป็น 1.50%

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารงาน การจัดการ ตลอดจนนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด
#6680
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่า สงครามยูเครนหนุนแรงซื้อสกุลเงินปลอดภัย

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (4 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธตามเวลาสหรัฐ

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.37% แตะที่ 99.000 เมื่อคืนนี้

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 122.82 เยน จากระดับ 122.61 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9262 ฟรังก์ จากระดับ 0.9254 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2485 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2510 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0975 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1042 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3116 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3105 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7550 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7497 ดอลลาร์สหรัฐ

นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มบานปลาย โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ทางการยูเครนพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเมืองบูชา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ

นางลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ กล่าวเรียกร้องให้มีการระงับสมาชิกภาพของรัสเซียในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หลังมีการพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากในยูเครน

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำตัวประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงคราม และกล่าวว่าสหรัฐเตรียมคว่ำบาตรรัสเซียมากขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยูเครน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 0.5% ในเดือนก.พ. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยคำสั่งซื้อภาคโรงงานได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบ และการที่ภาคธุรกิจเพิ่มการใช้จ่ายในภาคบริการ

นักลงทุนจับตารายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนมี.ค.ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธตามเวลาสหรัฐ พร้อมกับจับตาข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดุลการค้าเดือนก.พ., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนมี.ค.จากเอสแอนด์พี โกบลอล, ดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
#6681
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 21.02 จุด กลุ่มอุตสาหกรรม-สันทนาการหนุนตลาด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันจันทร์ (4 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและสันทนาการ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์เกี่ยวกับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,558.92 จุด เพิ่มขึ้น 21.02 จุด หรือ +0.28%

หุ้นกลุ่มโลหะมีค่า และกลุ่มก่อสร้างบ้าน เพิ่มขึ้น 1.4% และ 2.8% ตามลำดับ และหุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการปรับตัวขึ้นด้วย 1.5%

ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้น อาทิ หุ้น 888 โฮลดิ้งส์ ซึ่งทำธุรกิจการ. พุ่งขึ้น 6.7%, หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า เพิ่มขึ้น 0.7%, หุ้นเท็ด เบเคอร์ พุ่งขึ้น 14.4% หลังเสนอขายหุ้น และหุ้นจัสต์ กรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจประกัน พุ่งขึ้น 5.8% หลังบาร์เคลย์ส ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นดังกล่าว รวมทั้งปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น

บรรดานักลงทุนยังคงจับตาวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่ชาติตะวันตกเตรียมคว่ำบาตรรัสเซียมากขึ้นเพื่อตอบโต้ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยูเครน หลังสื่อรายงานการพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากในเมืองบูชา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเคียฟ โดยนายกเทศมนตรีเมืองบูชาระบุว่า ผู้เสียชีวิต 280 รายถูกฝังในสุสานของเมือง ขณะที่ภายในเมืองเกลื่อนไปด้วยร่างผู้เสียชีวิต

ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนในวันนี้ ซึ่งการสังหารโหดที่เกิดขึ้นถือเป็นการก่อคดีอาชญากรรมสงคราม และถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
#6682
ผถห.DTAC - TRUE อนุมัติแผนควบรวมกิจการ กลุ่มซีพี-เทเลนอร์ถือหุ้นใกล้เคียงกัน

ที่ประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) วันนี้มีมติอนุมัติแผนการควบรวมบริษัทระหว่าง DTAC และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ด้วยคะแนนเสียง 89.0787% ของผู้ที่มีสิทธิออกเสียง ซึ่งถือว่าไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง ขณะที่มีผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย 10.9210%

ขณะที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น TRUE มีมติเป็นเอกฉันท์ 99.3713% อนุมัติการควบบริษัทระหว่าง TRUE กับ DTAC ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย 0.6283%

ทั้งนี้ ในการควบรวมกิจการจะได้มีการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบริษัท (บริษัทใหม่) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ DTAC และผู้ถือหุ้น TRUE ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมใน DTAC ต่อ 6.13444 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน TRUE ต่อ 0.60018 หุ้นในบริษัทใหม่

และที่ประชุมผู้ถือหุ้น DTAC อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจำนวน 8,539,260 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,744,161,260 บาท แบ่งเป็น 2,372,080,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 4,735,622,000 บาท โดยการตัดหุ้นที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายจำนวน 4,269,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท

ในส่วน TRUE ผู้ถือหุ้นอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจำนวน 1,840,652 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 133,474,621,856 บาท แบ่งเป็น 33,368,655,464 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 133,472,781,204 บาท แบ่งเป็น 33,368,195,301 หุ้น มูลค่าทีตราไว้หุ้นละ 4 บาท โดยการตัดหุ้นทียังมิได้นำออกจำหน่าย จำนวน 460,163 หุ้น มูลค่าทีตราไว้หุ้นละ 4 บาท

ทั้งนี้ บริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 138,208,403,204 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 34,552,100,801 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTAC กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TRUE จะมีการจัดตั้งบริษัทโทรคมนาคมที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทำให้บริษัทมีขีดความสามารถแข่งขันสูงขึ้น โดยการควบรวมครั้งนี้จะทำให้บริษัทใหม่สามารถลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนำคลื่นความถี่ของผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่านมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีการบริหารเงินลงทุนได้อย่างรวดเร็วขึ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อมีการควบรวมกิจการแล้ว คาดว่าบริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดมากกว่า 40% โดยเมื่อรวมกิจการเข้าด้วยกัน หากคิดจากปี 64 ที่เป็นงบเสมือนจะมีรายได้รวม 224,100 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 9.54 หมื่นล้านบาท และมี EBITDA Margin ที่ระดับ 40% กำไรสุทธิ 7,000 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 3.12%

ส่วนสินทรัพย์รวมมีอยู่ 8.09 แสนล้านบาท หนี้สินรวม 6.91 แสนล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้น 1.18 แสนล้านบาท

"บริษัทใหม่จะมีธรรมาภิบาลระดับสากล จะมีกำกับดูแลโดยกรรมการชุดใหม่ โครงสร้างของบริษัทจะดึงเอาทั้งจุดแข็งของ TRUE และ DTAC บวกกับแรงสนับสนุนของผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองบริษัท" นายชารัด ตอบในการประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้

ทั้งนี้ TRUE มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วน DTAC มีกลุ่มเทเลนอร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ด้านนางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน TRUE กล่าวว่า หลังจากควบรวมกิจการและจดัตั้งบริษัทใหม่แล้ว กลุ่มบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จะถือหุ้น 28.98%, กลุ่มเทเลนอร์ 27.35% China Mobile International 10.43% และผู้ถือหุ้นรายอื่น 33.24% ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ด้วย

หลังจากวันนี้ที่ผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทได้อนุมัติการควบรวมกิจการแล้ว ก็ไปสู่ขั้นตอนให้หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณา รวมถึงเจ้าหนี้ที่จะยินยอมให้มีการควบรวมกิจการ ต่อจากนั้นประมาณปลายเดือน มิ.ย.-ส.ค. 65 จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยความสมัครใจ โดย TRUE ราคาเสนอซื้อที่หุ้นละ 5.09 บาท ส่วน DTAC หุ้นละ 47.76 บาท

ส่วนผู้ถือหุ้นที่ลงมติคัดค้านการควบรวมกิจการในวันนี้ บริษัทจะต้องรับซื้อในภายหลังจากการทำเทนเดอร์ฯครั้งแรก ในราคาปิดของ TRUE และ DTAC วันที่ 1 เม.ย.65 ซึ่งเป็นวันซื้อขายครั้งสุดท้ายก่อนเริ่มกระบวนการควบรวมกิจการ โดย TRUE จะรับซื้อหุ้นละ 5.15 บาท ส่วน DTAC หุ้นละ 50.50 บาท

นางสาวยุภา กล่าวว่า กระบวนการควบรวมกิจการจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย. 65 ซึ่งจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ และนำหุ้นของบริษัทใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) แทน TRUE และ DTAC ในปลายเดือน ก.ย.65

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ TRUE กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้สิ่งที่จับต้องได้ทันทีคือการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่ม มีนวัตกรรมการให้บริการ Digital Transformation , Smart Living

"ผมเชื่อว่าการควบรวมเกิดศักยภาพที่แข็งแกร่ง จะโฟกัสเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองให้เร็วขึ้น เพิ่มมูลค่าให้ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ทุกอุตสาหกรรม นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการควบรวมกิจการ"
นอกจากนี้ ยังนำไปสู่การให้บริการที่ดีขึ้นไปอีก จำนวนลูกค้ามากขึ้นเป็นที่หนึ่งในประเทศโดยปริยาย อีกทั้งจำนวนคลื่นความถี่ที่มีมากขึ้นจะทำให้มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูสีกับผู้ประกอบการรายอื่น หรืออาจจะมีมากกว่า และการควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำให้มีความพร้อมเข้าสู่ยุค 6G ยุค Space Technology ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) ที่จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ผสมผสานกับเสาโทรคมนาคมที่มีอยู่ทำให้เกิดการให้บริการที่ทั่วถึง

อย่างไรก็ตามการแข่งขันในระดับภูมิภาคก็คงไม่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่จะมุ่งเน้นดิจิทัลเทคโนโลยี คลาวด์ IoT นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้น AI ที่มาจากข้อมูลมหาศาล นำไปใช้ในประเทศต่างๆ ระดับภูมิภาค และอาจถึงระดับโลก

นายศุภชัย ยังกล่าวว่า จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทควรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลดการลงทุนทับซ้อน ลดต้นุทน และเสริมสร้างประสิทธิภาพให่ดีขึ้น
#6683
ภาวะตลาดหุ้นอินเดีย: ดัชนี Sensex พุ่งกว่า 1,000 จุด ขานรับซูเปอร์ดีล HDFC-HDFC Bank

ดัชนี Sensex ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นกว่า 1,000 จุด ทะลุแนว 60,000 จุด แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน ขานรับข่าวการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ระหว่าง HDFC Bank ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย และ Housing Development Finance Corp (HDFC) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อด้านการเคหะของอินเดีย

ทั้งนี้ ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดตลาดที่ 60,611.74 บวก 1,335.05 จุด หรือ 2.25%

HDFC Bank และ HDFC ประกาศการควบรวมกิจการในวันนี้ในข้อตกลงวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.34 ล้านล้านบาท

ราคาหุ้น HDFC Bank พุ่งขึ้น 9.3% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 ขณะที่ราคาหุ้น HDFC ทะยานขึ้น 10% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2564

"ตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้นขานรับการประกาศที่สร้างความประหลาดใจในวันนี้ ซึ่งถือเป็นข่าวดีมาก และจะทำให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติเข้าลงทุนในตลาดมากขึ้นหลังข่าวการควบรวมกิจการดังกล่าว" นายซอราบ เชน ผู้ช่วยรองประธานบล.เอสเอ็มซี กล่าว

นายดีแพค ปาเรค ประธาน HDFC กล่าวว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอินเดีย และคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากทางการอินเดียภายในเวลา 15-18 เดือน

"เราคาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่าย รวมทั้งธนาคารกลางอินเดีย, สำนักงานควบคุมและพัฒนาธุรกิจประกัน และคณะกรรมการควบคุมการแข่งขันของอินเดียภายในเวลา 15-18 เดือน" นายปาเรคกล่าว
#6684
โรโบเวลธ์ จับมือ Schroders เปิดพอร์ตใหม่ "Schroders Growth & Income" สร้างโอกาสการลงทุนระดับโลกเพื่อคนไทย
 
บริษัท โรโบเวลธ์กรุ๊ป จำกัด โดยคุณพสุ ลิปตพัลลภ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการ ร่วมกับ Ms. Lily Choh, CEO Schroders, Singapore ประกาศเปิดตัวพอร์ตลงทุนใหม่ล่าสุด "Schroders Growth & Income" ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่

สำหรับโรโบเวลธ์นั้นเป็นกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการด้านการเงินการลงทุนระดับแถวหน้าของไทย ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันลงทุนในกองทุนรวมอัตโนมัติภายใต้ชื่อว่า odini (โอดีนี่) ลงทุนง่ายได้ทุกคน ด้าน Schroders เป็นบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลกก่อตั้งในประเทศอังกฤษมาเป็นเวลา 200 ปี ปัจจุบัน Schroders ดำเนินการอยู่ใน 32 ประเทศทั่วโลกและบริหารสินทรัพย์ราวๆ 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (31 ธันวาคม 2564 ) หากพูดถึงผลการดำเนินการย้อนหลัง 81% ของสินทรัพย์ที่ Schroders บริหารได้ผลตอบแทนที่สูงกว่ากลุ่มดัชนีชี้วัด และกลุ่มกองทุนเทียบเคียง (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2563 ย้อนหลัง 5 ปี ) นอกจากนี้ทีม Multi-asset ของ Schroders เป็นหนึ่งในทีมงานที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน มากกว่า 100 คน ใน 6 ภูมิภาคทั่วโลก และยังได้รับรางวัลจากสถาบันการจัดอันดับด้านการลงทุนต่างๆ มากมาย และ Schroders ได้รับ Rating A+ จาก Rating UN PRI assessment หรือ หลักปฏิบัติการลงทุนที่มีความรับผิดชอบโดยองค์การสหประชาชาติ UN

คุณพสุ ลิปตพัลลภ เผยว่า "ผมคิดว่าความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทยเพราะเรายังขาดความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนอยู่และยังไม่สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างทั่วถึง โรโบเวลธ์จึงมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชันด้านการลงทุนเพื่อตอบโจทย์และบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งนี้ โดยพอร์ต Schroders Growth & Income เป็นอีกพอร์ตการลงทุนใหม่ในแอปพลิเคชัน odini แอปลงทุนในกองทุนรวมอัตโนมัติซึ่งจะช่วยกระจายโอกาสด้านการลงทุนให้คนไทยสามารถลงทุนในพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่มี Schroders ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสินทรัพย์ระดับสากลมาดูแลพอร์ตการลงทุนให้กับคนไทยผมจึงเชื่อว่าพอร์ตนี้จะเป็นพอร์ตการลงทุนที่ดีสำหรับพวกเราแน่นอนครับ"

นายอาทิตย์ ทองเจริญ Head of Thailand Business, Schroders กล่าวว่า "นับตั้งแต่ที่เราได้ประกาศความร่วมมือกันระหว่าง Schroders & Robowealth ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงแนวโน้มความนิยมของการลงทุนผ่านระบบดิจิทัล และความนิยมในการเข้าถึงการลงทุนผ่านระบบอัตโนมัติของนักลงทุนชาวไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เราเชื่อว่า พอร์ตการลงทุน Multi-asset ที่ร่วมมือพัฒนากับ Robowealth เพื่อนักลงทุนชาวไทยโดยเฉพาะจะทำให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนผ่านดิจิทัลได้ง่ายขึ้น และยังเป็นการเปิดทางเลือกในการลงทุนเพิ่มเติมอีกด้วย"

ด้าน Ms. Lily Choh, CEO, Schroders Singapore, ได้เสริมว่า "สำหรับ Schroders แล้ว กลยุทธ์ทางด้านดิจิทัล เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของบริษัท อันเป็นผลมาจากความต้องการของนักลงทุนในภูมิภาคนี้ ที่เริ่มหันไปหาช่องทางดิจิทัล หรือ Robo-advisor ที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นหัวใจสำคัญที่เราจะพัฒนาและส่งมอบนวัตกรรมในการลงทุนที่มีการออกแบบให้ตรงกับความต้องการ วัตถุประสงค์ และระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมของของผู้ลงทุน "

"พอร์ตการลงทุน Schroders Growth & Income จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงความชำนาญในการบริหารกองทุนระดับโลกของ Schroders ได้ง่ายขึ้น และเรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Robowealth ที่จะร่วมกันพัฒนา และส่งมอบโซลูชันในการลงทุนผ่านระบบดิจิทัลให้แก่นักลงทุนในประเทศไทยต่อไป" Ms. Lily Choh ปิดท้าย

Schroders Growth & Income เป็นพอร์ตที่จะจัดสรรสัดส่วนการลงทุนของกองทุนรวมในไทยภายใต้นโยบายการดำเนินของพอร์ตคือเน้นกระจายการลงทุนแบบยืดหยุ่น ไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะในภูมิภาคไหน หรือสินทรัพย์ใด สร้างผลตอบแทนในรูปแบบมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการลงทุนที่ยั่งยืนและสม่ำเสมอ ผสมผสานธีมการลงทุนและรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย กระจายกลุ่มเติบโตและกลุ่มสร้างกระแสเงินสด และช่วยจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนด้วยเทคนิคการบริหารของ Schroders ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อผู้ลงทุนชาวไทย โดยจัดสัดส่วนการลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม คาดหวังผลตอบแทนที่ 8% ต่อปี โดยนอกจากจะอาศัยข้อมูลเชิงคุณภาพและปริมาณ (Qualitative & Quantitative research) แล้ว Schroders ยังมีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า Schroders Multi Asset Risk Technology (SMART) เครื่องมือที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณหา asset allocation โดยคำนึงถึงผลตอบแทนทั้งในอดีต และการคาดการณ์ในอนาคตของแต่ละสินทรัพย์ที่จะลงทุน เพื่อนำมาคำนวณหาสัดส่วนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด (optimum) ทังในแง่ผลตอบแทน และความเสี่ยงในแต่ละสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเงินเริ่มต้นลงทุนเพียง 500,000 บาทโดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

ทั้งนี้พอร์ต Schroders Growth & Income จะเปิดให้ซื้อได้ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เป็นต้นไป สำหรับนักลงทุนท่านใดที่สนใจสามารถเข้าไปซื้อได้ผ่านแอปพลิเคชัน odini ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันลงทุนในกองทุนรวมอัตโนมัติและใช้เทคโนโลยี Robo-advisor เจ้าแรกในประเทศไทยในการแนะนำพอร์ตการลงทุน การจัดสัดส่วนทรัพย์สินและปรับสัดส่วนโดยอัตโนมัติเพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับเป้าหมายโดยสามารถดูผลการดำเนินงานและมุมมองการลงทุนผ่านแอปพลิเคชันได้

และ สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน Schroders Growth & Income ทุก 500,000 บาท รับฟรี กองทุนรวม T+1 (พอร์ตกองทุนรวมตลาดเงินที่เปรียบเสมือนเงินสด ) มูลค่า 1,000 บาท ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คเพจ odiniapp
#6685


โมดิ (Modi) สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • สารสกัดมะระขี้นก ซึ่งมีสารชาแรนติน (Charantin) ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเสริมสร้างการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
  • สารสกัดมะเขือเทศที่มีส่วนผสมของไลโคปีนโดยสารไลโคปีนในมะเขือเทศนี้จากงานวิจัยพบว่าจะทำหน้าที่ควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด ผช.ศ.ดร.สจวร์ต เวลส์ จากวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า เมื่อเกล็ดเลือดเกาะตัวกัน มันจะลอยไปอุดตันตามที่ต่างๆ อย่างเส้นเลือดเลี้ยงสมองเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ ซึ่งสภาวะเช่นนี้เป็นปัญหาที่พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคเบาหวานจากการให้อาสาสมัครผู้ป่วยเบาหวานชาย 14 คน หญิง 6 คน ช่วงอายุ 32-48 ปี แบ่งกลุ่มดื่มน้ำมะเขือเทศ และเครื่องดื่มแต่งกลิ่นน้ำมะเขือเทศ พบว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำมะเขือเทศแท้ มีภาวะอุดตันของเกล็ดเลือดลดลงในระดับต่ำมาก ส่วนกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มแต่งกลิ่นสังเคราะห์ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
  • สารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminiod) ที่ได้จากกระบวนการการสกัดขมิ้นชันที่มีประสิทธิภาพสารเคอร์คูมินอยด์สามารถกระตุ้นการทำงานของตับอ่อน ส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น และไนอะซิน (วิตามินบี 3) สามารถช่วยในการเผาผลาญไขมัน บรรเทาปัญหาต่างๆของระบบย่อยอาหารจากรายงานวิจัยที่ได้ศึกษาสารสกัดจากขมิ้นชันชนิดแคปซูลเพื่อลดน้ำหนักและลดระดับไขมันในเลือดพบว่า สารเคอร์คูมินอยด์สามารถลดไขมันในเลือดและเนื้อเยื่อไขมันในร่างกายเมื่อทดลองในหนู และยังช่วยเพิ่มการหลั่งของกรดน้ำดีและยังยั้งยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอเลสเตอรอล
จากงานวิจัยที่รวบรวมมานี้สรุปได้ว่า สารสกัดจากมะระขี้นก สารสกัดจากมะเขือเทศและสารสกัดจากขมิ้นชันช่วยทำให้
– สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
– ลดระดับน้ำตาลในเลือด
– ลดระดับไขมันในเลือด
– ป้องกันโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

✦นวัตกรรมใหม่ สกัดด้วยวิธีพิเศษ ทำให้ได้สารสำคัญเข้มข้น ออกฤทธิ์ ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
ลดน้ำตาลในเลือดได้ดี
ทดแทนอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน



ส่วนประกอบสำคัญ ใน MODI  (โมดิ)

  • สารสกัดมะระขี้นก มีสารชาเรนติน  ทำหน้าที่คล้ายอินซูลิน สามารถทดแทนอินซูลิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเสริมสร้างการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
  • สารสกัดมะเขือเทศ  มีสารไลโคปีน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • สารสกัดขมิ้นชัน  มีสารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminiod) ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับอ่อน ส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น
จากงานวิจัยที่รวบรวมมานี้สรุปได้ว่า  MODI ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ปลอดภัย เห็นผล สุขภาพดีขึ้นวิธีรับประทาน  ทานครั้งละ 1-2 แคปซูล ก่อนมื้ออาหารขนาดบรรจุ 30 แคปซูลเลขที่อย. 50-2-05159-0008

ปรึกษาหรือสั่งซื้อ โทร 080-955-3303
#6686
ผถห.DTAC สัดส่วน 89% อนุมัติแผนควบรวม TRUE

ที่ประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) วันนี้มีมติอนุมัติแผนการควบรวมบริษัทระหว่าง DTAC และ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ด้วยคะแนนเสียง 89.0787% ของผู้ที่มีสิทธิออกเสียง ซึ่งถือว่าไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง ขณะที่มีผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย 10.9210%

ทั้งนี้ ในการควบรวมกิจการจะได้มีการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบริษัท (บริษัทใหม่) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ DTAC และผู้ถือหุ้น TRUE ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมใน DTAC ต่อ 6.13444 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน TRUE ต่อ 0.60018 หุ้นในบริษัทใหม่

และที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจำนวน 8,539,260 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,744,161,260 บาท แบ่งเป็น 2,372,080,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 4,735,622,000 บาท โดยการตัดหุ้นที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายจำนวน 4,269,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท

ทั้งนี้ บริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 138,208,403,204 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 34,552,100,801 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท

ภาวะตลาดหุ้นออสเตรเลีย: S&P/ASX 200 ปิดบวก 19.90 จุด รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มวัสดุ

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดบวกในวันนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มวัสดุและกลุ่มเหมืองทองคำ อย่างไรก็ดี ตลาดลดช่วงบวกเนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ดัชนี S&P/ASX 200 ปิดที่ 7,513.70 จุด เพิ่มขึ้น 19.90 จุด หรือ +0.27% และดัชนี All Ordinaries ปิดที่ 7,818.90 จุด เพิ่มขึ้น 33 จุด หรือ +0.42%

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนเปิดเผยว่า ทางการยูเครนพบร่างผู้เสียชีวิตจำนวน 410 รายใกล้กับกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนเมื่อวานนี้ หลังจากที่รัสเซียถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ ปธน.เซเลนสกีเปิดเผยกับสำนักข่าวซีบีเอสของสหรัฐว่า การกระทำดังกล่าวของรัสเซียถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะที่-สหรัฐ สหภาพยุโรป (EU) และเยอรมนีต่างออกมาประกาศว่า จะมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรกับรัสเซียเพิ่มเติม หลังมีรายงานข่าวว่าทหารรัสเซียสังหารหมู่ประชาชนชาวยูเครนในเมืองบูกาใกล้กรุงเคียฟ
#6687
PIN รุกขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 รับเม็ดเงินลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve หนุนการเติบโต
 
PIN รุกขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6   รับเม็ดเงินลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve หนุนการเติบโต
บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN เดินหน้าขยายพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 เพิ่มอีก 137 ไร่ ด้วยแนวคิดการพัฒนาโครงการ อุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) และทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC รับความต้องการลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ปักธงตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยและแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว

นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN ผู้พัฒนาและบริหารนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Industrial Town) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 6 และเริ่มเปิดขายพื้นที่ให้แก่ลูกค้าภาคอุตสาหกรรมเข้ามาตั้งโรงงานตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีโดยเริ่มโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมแก่ลูกค้าไปแล้ว 10 ไร่ และปัจจุบันยังมีกลุ่มลูกค้าต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมโครงการและอยู่ระหว่างตัดสินใจซื้อที่ดินอีกหลายราย สะท้อนถึงศักยภาพโครงการที่โดดเด่น จากการออกแบบผังโครงการและบริการระบบสาธารณูปโภคสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วยแนวคิด Eco Industrial Town หรือ อุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่กันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้แก่แรงงานที่อยู่ภายในโครงการและชุมชนโดยรอบให้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เช่น การบำบัดน้ำเสียให้กลับมาใช้ใหม่ภายในโครงการ การใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดปัญหามลพิษและประหยัดพลังงาน เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายพื้นที่การพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่น 6 (PIN6) เพิ่มเติมอีก 137 ไร่ รวมเป็น 1,460 ไร่ โดย PIN จะมุ่งทำตลาดและสร้างการรับรู้ถึงจุดเด่นการออกแบบโครงการแล้ว ยังตอกย้ำถึงทำเลที่ตั้งโครงการอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ EEC ใกล้ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด และท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง รวมถึงใกล้กับสนามบินอู่ตะเภา เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ S-Curve ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในกระบวนการผลิต เข้ามาซื้อที่ดินลงทุนตั้งฐานการผลิตภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง6 เพิ่มขึ้น

"การขยายพื้นที่ในโครงการนิคม PIN6 จะเพิ่มโอกาสให้ PIN นำศักยภาพโครงการรองรับเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการจากไทยและต่างประเทศที่ต้องการตั้งโรงงาน เพื่อผลิตสินค้ารองรับความต้องการภายในประเทศและส่งออก ซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตของ PIN ในระยะยาวต่อไป" นายพีระ กล่าว
#6688
เทสลาเตรียมผลิตรถยนต์ในโรงงานเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง เริ่ม 4 เม.ย.นี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เทสลาเตรียมกลับมาผลิตรถยนต์ในโรงงานที่นครเซี่ยงไฮ้อีกครั้ง โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (4 เม.ย.) โดยเทสลาคาดว่าคนงานชุดแรกจะพ้นจากมาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 ของเซี่ยงไฮ้

โรงงานเทสลาในเซี่ยงไฮ้ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองผู่ตง ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ ได้ระงับการผลิตตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. หลังจากที่เซี่ยงไฮ้ประกาศมาตรการล็อกดาวน์โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี แผนของเทสลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากนโยบายด้านโควิด-19 ของเซี่ยงไฮ้เปลี่ยนไป

เดิมทีนั้น เทสลาคาดว่าจะระงับการผลิตเพียงแค่ 4 วัน แต่ในที่สุดก็ประกาศยกเลิกแผนการผลิตในวันที่ 1-2 เม.ย. เนื่องจากทางการจีนขยายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเซี่ยงไฮ้ โดยปัจจุบันชาวเซี่ยงไฮ้เกือบทุกคนอยู่ภายใต้มาตรล็อกดาวน์

นับตั้งแต่ที่โรงงานเทสลาเริ่มผลิตในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นมา การหยุดผลิต 7 วันครั้งนี้ นับเป็นการหยุดผลิตครั้งหนึ่งที่ยาวนานที่สุดของเทสลา โดยโรงงานสาขาเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ผลิตรถรุ่น Model 3 จำนวน 6,000 คัน และ Model Y จำนวน 10,000 คันต่อสัปดาห์ เพื่อส่งขายในตลาดจีนและเป็นศูนย์ส่งออกที่สำคัญของบริษัท

นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัทเทสลาโพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (2 เม.ย.)ว่า "นี่เป็นไตรมาสที่ยากลำบากเป็นพิเศษ เนื่องจากซัพพลายเชนหยุดชะงักและนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน"