• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#11941
ครัวบ้านยาย วัดถ้ำสนุก บ้านนา ชุมพร อาหารตามสั่งและเครื่องดื่มชา-กาแฟ-กาแฟสด  โทร/ไลน์ 0867348650
#11943
สมัครตัวแทนจำหน่ายไม่สต๊อก ทัก
---------------------------------------------------------
Line:@collagen
http://line.me/ti/p/@collagen
FB. https://www.facebook.com/manacollagedipeptide
www.manaok.com
www.manaextra.com
www.manathailand.com
#11947
สนใจติตต่อสอบถามได้ครับ ยินดีให้บริการครับ ช่างกุญแจ 085-108-8797  ช่างปาน ครับ
#11951
KWI เปิดกองทุนใหม่ SENERGY ลงทุนแบบ Smart เพื่อโลกสะอาด IPO 21-29 มี.ค.

บลจ.คิง ไว (เอเชีย) จำกัด (KWI) เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดเคดับบลิวไอ สมาร์ท เอนเนอร์จี้ อิควิตี้ เอฟไอเอฟ (KWI SENERGY) เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Smart Energy ทั่วโลก ผ่านกองทุนหลัก Robeco Capital Growth Funds-RobecoSAM Smart Energy Equities Class I USD ที่ได้รับการจัดอันดับกองทุน 5 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ม.ค.65) และ EU SFDR Article 9

กองทุน KWI SENERGY มี 2 ชนิดหน่วยลงทุนให้เลือก ได้แก่ KWI SENERGY-A (ชนิดสะสมมูลค่า) และ KWI SENERGY-SSF (ชนิดเพื่อการออม) สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนพร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษี โดยจะเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 21-29 มีนาคม 2565

นายสุเมธา ลิ่วเฉลิมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน กล่าวว่า KWI เห็นว่าการลงทุนในกลุ่ม Smart Energy มีโอกาสเติบโตอย่างมากจากวิกฤติภาวะโลกร้อน ที่ทำให้ทั่วโลกร่วมมือกันและมีการลงทุนรวมกันกว่าปีละ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยใช้นวัตกรรมอัจฉริยะทางเทคโนโลยีในการสร้าง Smart Energy ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน จะส่งผลทำให้ยุโรปและอีกหลายประเทศลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงจากรัสเซียและหันมาเร่งการลงทุนใน Smart Energy และพลังงานทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีความน่าสนใจในเวลานี้ และในอนาคต

KWI จึงเปิดตัวกองทุนแรกด้วย กองทุนเปิด เคดับบลิวไอ สมาร์ท เอนเนอร์จี้ อิควิตี้ เอฟไอเอฟ (KWI SENERGY) ที่มีนโยบายการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) โดยเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Robeco Capital Growth Funds ? RobecoSAM Smart Energy Equities Class I USD (กองทุนหลัก) ซึ่งผ่านการเฟ้นหาอย่างพิถีพิถันจากหลากหลายกองทุน Clean & Smart Energy ของบริษัทจัดการลงทุนชั้นนำทั่วโลก ด้วยการพิจารณาปัจจัยสำคัญที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านความเชี่ยวชาญของทีมผู้จัดการกองทุนในการลงทุน Smart Energy ผลการดำเนินงานกองทุนที่แข็งแกร่งและโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง กระบวนการลงทุนที่ชัดเจนและมีคุณภาพ โดยคำนึงหลักความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลที่ดี (ESG) ในทุกขั้นตอนการลงทุน เพื่อการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างยั่งยืน"

RobecoSAM Smart Energy Equities บริหารจัดการโดย Robeco Institutional Asset Management B.V. เป็นกองทุนที่จดทะเบียนจัดตั้งที่ประเทศลักเซมเบิร์กตามกฎเกณฑ์ของ UCITS ซึ่งได้รับการจัดอันดับ Morningstar Rating 5 ดาว และ EU?s Sustainable Finance Disclosure Regulation (SFDR) Article 9 ที่แสดงให้เห็นถึงการลงทุนอย่างยั่งยืน เน้นลงทุนในบริษัทที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและมีมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ 40-80 บริษัท ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากหุ้นกว่า 250 บริษัทที่เข้าเกณฑ์การลงทุนในหลากหลายธุรกิจเกี่ยวกับ Smart Energy ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย โดยกระจายลงทุนใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การผลิตพลังงานทดแทน (Renewable Energies) การกระจายพลังงาน (Energy Distribution) การบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) ที่จะนำไปสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อโลกสะอาดในอนาคต

นายสุเมธา กล่าวเพิ่มเติมว่า "ครั้งแรกที่กองทุน RobecoSAM Smart Energy Equities จะเสนอขายในไทย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Smart Energy ทั่วโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงแบบครบวงจรผ่านกองทุน KWI SENERGY โดย Robeco เป็นบริษัทจัดการลงทุนที่จัดตั้งขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี 2472 และเป็นผู้บุกเบิกด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งให้ความสำคัญด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพในทุกกลยุทธ์การลงทุน

รวมทั้งนำเอาหลัก ESG มาใช้เป็นปัจจัยสำคัญประกอบการพิจารณาของทุกขั้นตอนการตัดสินใจลงทุน ตลอดจนยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการลงทุนอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ทำให้ Robeco มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนแห่งหนึ่งของโลก ทั้งนี้ พิสูจน์ได้ด้วยผลการดำเนินงานของกองทุนที่ยาวนานกว่า 18 ปี ผ่านหลากหลายสถานการณ์วิกฤติและภาวะตลาดที่ผันผวน แต่สามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น"

RobecoSAM Smart Energy Equities Class I USD (กองทุนหลัก) มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2562-2564) เฉลี่ย 39.05% ต่อปี เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 21.70% และย้อนหลัง 5 ปี (2560-2564) เฉลี่ย 25.11% ต่อปี เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ 15.03% ต่อปี
#11952
ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ 8 พันลบ.CPALL ที่ A+ แนวโน้ม Stable
 
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) ที่ระดับ "A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A+" ด้วยเช่นกัน โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนหนี้เดิมและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการรวมงบการเงินของ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) และผลการดำเนินงานของ Lotus?s ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการรวมงบการเงินดังกล่าว หนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.9 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 จากระดับ 2.8 แสนล้านบาทในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8.1 เท่าในปี 2564 จากระดับ 5.7 เท่าในปี 2563

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งปรับประมาณการเพื่อสะท้อนถึงการรวมงบการเงินของ CPRD และแผนการลงทุนของ Lotus?s ภายใต้ประมาณการใหม่ รายได้จากการดำเนินงานรวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 36.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 8 แสนล้านบาทในปี 2565 และ8.4-8.9 แสนล้านบาทในปี 2566-2567 กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 18.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.1-6.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566-2567

ในขณะที่อัตราส่วนส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.7 เท่าในปี 2565 และจะค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6 เท่าในปี 2567

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 9.2 หมื่นล้านบาทและคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งประเมินว่าเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีเพียงพอสำหรับใช้ในการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวนประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมถึงใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามแผนลงทุนประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท

ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.9 เท่าซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการมีเงินสดในระดับที่สูงและกระแสเงินสดที่มั่นคงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินในการลงทุนในอนาคตตามแผนของบริษัทได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด หรือบริษัทมีการก่อหนี้เพื่อขยายการลงทุนจำนวนมากจนคาดว่าจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน
#11953
ดาวโจนส์พุ่งกว่า 300 จุด ทะลุ 33,000 คลายกังวลเงินเฟ้อ หลังราคาน้ำมันร่วง

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด ทะลุแนว 33,000 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล และสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ต่ำกว่าคาด

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าการเจรจาสันติภาพรอบที่ 4 ระหว่างรัสเซียและยูเครนจะมีความคืบหน้าในวันนี้

ณ เวลา 22.09 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,247.20 จุด บวก 301.96 จุด หรือ 0.92%

หุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้นในวันนี้ สวนทางหุ้นพลังงานที่ดิ่งลง

ราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุด สัญญาล่วงหน้า WTI หลุดระดับ 95 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์หลุดระดับ 99 ดอลลาร์

นักลงทุนคาดหวังว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนจะประสบความคืบหน้าในวันนี้ โดยจะเป็นการเจรจาต่อเนื่องจากวานนี้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องให้รัสเซียทำการหยุดยิง และถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากยูเครน

อย่างไรก็ดี คาดว่าการซื้อขายจะเบาบางในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 มี.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนนี้ ซึ่งไม่รุนแรงเหมือนกับที่นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าจะปรับขึ้น 0.50%

หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดนับตั้งแต่ปี 2561

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.9% หลังจากดีดตัวขึ้น 1.2% ในเดือนม.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI ดีดตัวขึ้น 10% ในเดือนก.พ. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากพุ่งขึ้น 10% เช่นกันในเดือนม.ค.

ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.8% ในเดือนม.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 6.6% ในเดือนก.พ. หลังจากดีดตัวขึ้น 6.8% ในเดือนม.ค.
#11954
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 8 พันล้านบาท "บ. ซีพี ออลล์" ที่ "A+" แนวโน้ม "Stable"
 


ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A+? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ที่ระดับ ?A-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 8 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?A+? ด้วยเช่นกัน โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนหนี้เดิมและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการรวมงบการเงินของ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) และผลการดำเนินงานของ Lotus?s ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการรวมงบการเงินดังกล่าว หนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.9 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 จากระดับ 2.8 แสนล้านบาทในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8.1 เท่าในปี 2564 จากระดับ 5.7 เท่าในปี 2563

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งปรับประมาณการเพื่อสะท้อนถึงการรวมงบการเงินของ CPRD และแผนการลงทุนของ Lotus?s ภายใต้ประมาณการใหม่ รายได้จากการดำเนินงานรวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 36.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 8 แสนล้านบาทในปี 2565 และ8.4-8.9 แสนล้านบาทในปี 2566-2567 กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 18.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 5.7 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.1-6.4 หมื่นล้านบาทในปี 2566-2567 ในขณะที่อัตราส่วนส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6.7 เท่าในปี 2565 และจะค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6 เท่าในปี 2567

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 9.2 หมื่นล้านบาทและคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งประเมินว่าเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีเพียงพอสำหรับใช้ในการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวนประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมถึงใช้เป็นค่าใช้จ่ายตามแผนลงทุนประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท

ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.9 เท่าซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนยังคงมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการมีเงินสดในระดับที่สูงและกระแสเงินสดที่มั่นคงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินในการลงทุนในอนาคตตามแผนของบริษัทได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากโครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด หรือบริษัทมีการก่อหนี้เพื่อขยายการลงทุนจำนวนมากจนคาดว่าจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL)

อันดับเครดิตองค์กร: A+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

CPALL22NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+

CPALL233B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+

CPALL236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+

CPALL246A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A+

CPALL256B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 13,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+

CPALL256C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A+

CPALL263B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+

CPALL266A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 17,773 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A+

CPALL271A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,466 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,698.7 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 9,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A+

CPALL283B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+

CPALL286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,376 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A+

CPALL291A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,920 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A+

CPALL305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,169.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A+

CPALL305B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 A+

CPALL311A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,614 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+

CPALL313A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+

CPALL316A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 21,351 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A+

CPALL325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,632 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A+

CPALL336A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 A+

CPALL359A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,450 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2578 A+

CPALL363A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2579 A+

CPALL21PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 10,000 ล้านบาท A-

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี A+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว 
#11955
TWPC เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Bioplastic หวังสร้างรายได้ 1 พันลบ.ภายใน 3-5 ปี

นาย โฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยวา (TWPC) เปิดเผยว่า ในเดือน มี.ค.นี้บริษัทมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ Bioplastic ภายใต้แบรนด์ "ROSECO" ซึ่งเป็นการนำแป้งมันสำปะหลังมาพัฒนาเป็นบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว และพลาสติกคลุมดินที่ย่อยสลายได้ภายใน 4-6 เดือนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร สอดคล้องกับ core value หลักของ TWPC และตอบสนอง Global Issue ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดการใช้ขยะพลาสติก รวมถึงปัญหาโลกร้อน (Climate Change) เพื่อให้มีการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรของห่วงโซ่อุปทานอาหาร ซึ่งบริษัทถือเป็นผู้บุกเบิกพลาสติกชีวภาพจากแป้งมันสำปะหลังเชิงพาณิชย์รายแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้ากำลังการผลิตเฟสแรก 3,000 ตันต่อปี และคาดว่าธุรกิจนี้จะช่วยสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาทในอีก 3-5 ปีข้างหน้า

สำหรับแนวโน้มธุรกิจปีนี้ของกลุ่มบริษัท ประเมินว่ายังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง เพราะความต้องการผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบต่างๆ ขณะที่ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ตามความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังของตลาดชั้นนำอย่างประเทศจีน

ส่วนปริมาณหัวมันสำปะหลังในฤดูการผลิตในปี 64/65 คาดว่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 33.0 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง พร้อมกันนี้บริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ Bioplastic ซึ่งทำให้บริษัทคาดการณ์ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 65 จะสามารถเติบโตได้ Double digit หรือยอดขายแตะระดับ 10,000 ล้านบาท

ขณะที่แนวโน้มการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถขยายฐานลูกค้าส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกจากจีนและไต้หวันได้ เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม กัมพูชา และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ลงทุนในเรื่องการพัฒนาความสามารถของบุคคลากรในจีน เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป้าหมายของบริษัทคือการก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"บริษัทยังมุ่งที่จะขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตและการส่งออก รวมถึงการขยายฐานผู้บริโภคให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ผ่านนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงทางอาหารและความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการสร้างคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน"