• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kaidee20

#10516
เช่ารถถูกสะอาดปลอดภัย 600ต่อวัน นนทบุรี โทร 083-7124115
#10517


นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์วันที่ 1 ก.ย. ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2563 แนวโน้มการทำงานที่บ้านยาวนานขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและเริ่มมองหาชีวิตที่ยืดหยุ่นได้ มีพื้นที่พักผ่อนและทำงาน รวมถึงการจำกัดพื้นที่จากการประกาศล็อกดาวน์แต่ละครั้ง ทำให้ผู้คนมองหาทางเลือกบ้านพักตากอากาศ

ส่งผลดีต่อบ้านพักตากอากาศเมืองพัทยามีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ได้รับความสนใจและยอดซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด โดยกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศ ที่มองว่าพัทยายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการพักผ่อน มี กิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำร่วมกัน ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง 2-3 ชั่วโมง

"กำลังซื้อระดับบนยังคงมองหาคอนโดมิเนียมหรูที่มองเห็นวิวทะเล มีห้องขนาดใหญ่ 80-133 ตร.ม. เป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สอง หรือต้องการเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน หากห้องมีขนาดเล็กเกินไป อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะการซื้อจะมองถึงประโยชน์การใช้พื้นที่ของสมาชิกในครอบครัวได้มากกว่า"

ขณะเดียวกันมีกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเข้ามามากขึ้น จากศักยภาพของทำเลที่ตั้งนาจอมเทียนมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต จากการก่อสร้างเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ที่มีจุดทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จะไม่พบว่ามีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยา แต่ยังคงมีความคืบหน้าของดีเวลลอปเปอร์หลายรายที่มองเห็นโอกาสการลงทุนและศักยภาพของพัทยาได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ โดยรอจังหวะที่เหมาะสมเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้จำนวนหน่วยที่เปิดขายในตลาดปัจจุบันไม่ล้นเกินกว่าความต้องการซื้อที่แท้จริง


"1 ปีครึ่งที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด กำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนหายไปเหลือเพียงกำลังซื้อในประเทศ"

นอกจากซัพพลายที่มีอยู่ไม่มากจะเป็นโอกาสสร้างยอดขายให้คนไทยที่มองหาบ้านหลังที่สองในแหล่งท่องเที่ยวแล้ว "ขนาด" พื้นที่ของคอนโดมิเนียม ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย โดยพบว่า ห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตร.ม. ขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียง 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายหรือราว 610 ยูนิต เพราะยูนิตเปิดขายใหม่ในโครงการต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดเล็ก

ภาพรวมตลาดอสังหาฯ พัทยา ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีอีซี หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวได้จะทำให้พัทยากลับมาคึกคัก ทั้งมีกำลังซื้อจากแรงงานนอกพื้นที่เข้ามาในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญมีเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้เกิดดีมานด์ซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนเพิ่มขึ้น
#10518


บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด ผู้พัฒนาร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น "LAWSON 108" (ลอว์สัน108) เปิดสาขาใหม่ในสถานีบริการน้ำมัน "สาขาปั๊มน้ำมันบางจาก วังน้อย กม.71" ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยพื้นที่ให้บริการขนาด 116 ตารางเมตร จำหน่ายสินค้าออริจินัล อาทิ โอเด้ง ของทอด เบนโตะ เบเกอรี่ และสินค้าอื่นๆ มากมาย โดยรองรับผู้ใช้บริการเติมน้ำมัน และผู้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ 

ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนการเปิดสาขาใหม่ของ LAWSON 108 ต้องมีการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการเริ่มก่อสร้างออกไป แต่ LAWSON 108 จะยังเดินหน้าต่อไปและวางแผนการเปิดแต่ละสาขาอย่างเหมาะสมต่อไป เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบัน LAWSON 108 ให้บริการในพื้นที่ปั๊มน้ำมันซัสโก้, สถานีรถไฟฟ้า BTS, สถานีรถไฟใต้ดิน MRT, แอร์พอร์ต เรล ลิงก์, สนามบินสุวรรณภูมิ, โรงพยาบาล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และพื้นที่ที่เหมาะสม

จากภาพ: คิมิฮิโกะ ชินากาว่า (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ และทาคาฮิโระ นิชิวากิ (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท สห ลอว์สัน จำกัด ร่วมพิธีเปิดสาขาใหม่ ร่วมด้วย วีระ ลีลาสุขสวัสดิ์ (ที่ 4 จากขวา) และ ศรีวรรณา ลีลาสุขสวัสดิ์ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการบริษัท เอสเอสซี ปิโตรเลียม จำกัด และ วรากร โกศลพิศิษฐ์กุล (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการตลาด และ ยศธร อรัญนารถ (ซ้ายสุด) รักษาการผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและพันธมิตรค้าปลีก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี
#10519
ชื่อดีเสริมมงคล เกื้อหนุนให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองดังใจหวัง

รับวิเคราะห์ชื่อให้ฟรี !!!!

รับตั้งชื่อ ตั้งชื่อเด็ก เปลี่ยนชื่อ หาชื่อมงคล
ใช้ทั้ง 3 ศาสตร์ คือตามหลักทักษา เลขศาสตร์ อายตนะ

ตามความเชื่อแบบไทย "ชื่อ" เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงจะเป็นคำที่ใช้แทนตัวเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คุณให้โทษแก่เราอีกด้วย ดังนั้นการ "ตั้งชื่อ" ให้แก่เด็กหรือแม้แต่เปลี่ยนชื่อให้ตัวท่านเอง ต้องทำตามตำราจึงจะเป็นมงคล

การตั้งชื่อมงคลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ตามเงื่อนไขของทุกศาสตร์ทุกตำรา เพื่อจะได้ชื่อดี ๆ สักชื่อนึงไม่ง่ายเลย ต้องมีการวิเคราะห์ชื่อแยกแยะอักขระ คำนวณวิเคราะห์ร้อยชื่อพันชื่อหากโชคดีอาจได้มาสักชื่อนึงก็เป็นได้ ได้ชื่อแล้วจะต้องดูผลคำทำนายรวมกับนามสกุลอีก ใช้แต่ละศาสตร์กลั่นกรองชื่อ แต่ละชื่อใช้เวลาในการคำนวณพอสมควร

ค่าครูในการตั้งชื่อ 299 บาท (จากปกติ 599 บาท) ท่านจะได้รับ

รับชื่อมงคล 2-3 ชื่อ มีคำอ่านและคำแปลของชื่อ
วิเคราะห์ชื่อใหม่ให้ทั้ง 3 ศาสตร์ ไม่ว่าหลักทักษา หลักเลขศาสตร์ หลักอายตนะ
ชื่อที่ได้รับจะผ่านการทำพิธีเสริมดวง เสริมมงคลให้ด้วย
ฤกษ์ในการเปลี่ยนชื่อ
พิธีกรรมที่ส่งเสริมการใช้ชื่อใหม่ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะห์ชื่อฟรี ตั้งชื่อ เปลี่ยนชื่อ ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662
id line : teerapat999

เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/3
  
#10522
เช่ารถถูกสะอาดปลอดภัย 600ต่อวัน นนทบุรี โทร 083-7124115
#10523


การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่หดตัวลงทุกประเทศ โดยอาเซียนมีแผนที่จะผลักดันการลงทุนเพื่อผลักดันเป้าหมายการเป็น "ซัพพลายเชน" สำคัญของโลก

รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อเร็วๆนี้ เห็นชอบร่างกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนอาเซียน (ASEAN Investment Facilitation Framework : AIFF) ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอ โดย ครม.มอบหมายให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย คือ "สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์" รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนไทยรับรองกรอบ AIFF ในที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและคณะมนตรีเขตการลงทุนอาเซียนครั้งที่ 24 (ASEAN Economics Ministers-24th ASEAN Investment Area Council Meeting : AEM-24tAA Counail Meeting) วันที่ 8 ก.ย.2564

สำหรับกรอบ AIFF ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกการลงทุน ในฐานะเสาหลักสำคัญของการลงทุนที่นำไปสู่การรักษาและการเติบโตของการลงทุนในประเทศ ผ่านการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตั้งธุรกิจ การดำเนินและขยายธุรกิจ โดยเฉพาะช่วงที่อาเชียนกำลังก้าวสู่สภาพแวดล้อมหลังวิกฤติโรคโควิด-19 โดยมุ่งให้อาเซียนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 โดยเน้นที่การลงทุนเพื่อผลักดันให้อาเซียนเป็นฐานการผลิต (ซัพพลายเชน) ที่สำคัญของโลก

ทั้งนี้ สาระสำคัญในการอำนวยความสะดวกการลงทุนมี 11 ด้าน ได้แก่

1.ความโปร่งใสของมาตรการและข้อมูล เช่น การเข้าถึงได้ของมาตรการบังคับใช้ทั่วไปความสะดวก และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในรัฐสมาชิกที่เกี่ยวข้อง

2.การปรับปรุงด้านการลงทุน และเร่งรัดขั้นตอนการปฏิบัติและข้อกำหนด เช่น มาตรการบังคับใช้ทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนที่นำไปบังคับใช้อย่างสมเหตุสมผล ตรงตามวัตถุประสงค์และเป็นธรรมครอบคลุม ขั้นตอนด้านการลงทุนไม่เป็นอุปสรรคต่อความสามารถของผู้ลงทุนในการลงทุนด้านเอกสารไม่ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

3.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต เช่น ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนากระบวนการรับคำขอการลงทุน การอนุมัติต่ออายุ และการดูแลหลังการลงทุน สนับสนุนการใช้สำเนาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายแทนเอกสารต้นฉบับ ส่งเสริมชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายโดยหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการลงทุน



4.แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จ เช่น สนับสนุนให้ลดข้อกำหนดสำหรับผู้ยื่นคำขอในการประสานติดต่อหน่วยงานที่มีอำนาจเกี่ยวข้องมากกว่า 1 หน่วยงานสำหรับการขออนุญาตลงทุน รวมทั้งสนับสนุนให้มีแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเบ็ดเสร็จให้ผู้ลงทุนเพื่อชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตลงทุน จัดตั้ง ควบรวมและขยายการลงทุน

5.บริการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ลงทุน เช่น การจัดให้มีบริการช่วยเหลือผู้ลงทุนในขอบเขตที่ทำได้เพื่อแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน พิจารณาตั้งกลไกให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่มีอำนาจเพื่อแก้ปัญหาที่พบบ่อยและกระทบผู้ลงทุน

6.ความเป็นอิสระของหน่วยงานที่มีอำนาจ เช่น เมื่อจำเป็นต้องขออนุญาตในการลงทุน หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการและตัดสินใจอย่างเป็นอิสระจากองค์กรใดสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการขออนุญาตในการลงทุนนั้นได้

7.การเข้าเมืองและการพำนักชั่วคราวของนักธุรกิจเพื่อลงทุน เช่น สนับสนุนให้อำนวยความสะดวกโดยเร่งดำเนินการเกี่ยวกับคำขอเข้าเมืองและการพำนักชั่วคราวของนักธุรกิจ เพื่อการลงทุนในระยะเวลาอันสมควร

8.การอำนวยความสะดวกด้านปัจจัยสนับสนุนการลงทุน โดยช่วยเหลือผู้ลงทุนในการบ่งชี้ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนเช่น แรงงาน แหล่งเงินทุน ผู้ผลิตภายในประเทศและโอกาสจับคู่ทางธุรกิจ

9.กลไกการให้คำปรึกษาสำหรับนโยบายการลงทุน เช่น การสนับสนุนให้มีกลไกการปรึกษาและสนทนาอย่างสม่ำเสมอกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สนใจ โดยรวมถึงผู้ลงทุนและหน่วยงานภาคเอกชน

10.ความร่วมมือ เช่น อำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารและร่วมมือกับรัฐสมาชิกอาเซียนในประเด็นการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน

11.การดำเนินการตามกรอบ AIFF ฉบับนี้ และแจ้งให้ที่ประชุมคณะกรรมการฯทราบอย่างสม่ำเสมอ


นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การผลักดันให้อาเซียนเป็นซัพพลายเชนสำคัญของโลกถือว่าเป็นไปได้ โดยระยะกลางอาเซียนจะเป็นพื้นที่มีศักยภาพมาก เพราะประชากรเยอะและเศรษฐกิจเติบโตเป็นกลุ่ม โดยสิงค์โปร์เติบโตเร็วกว่าประเทศอื่น และตามด้วยมาเลเซีย ไทย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และต่อด้วยกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งชนชั้นกลางจะเติบโตเป็นกำลังแรงงานและกำลังซื้อ

"เป็นไปได้ที่อาเซียนจะเป็นซัพพลายเชนสำคัญ เพราะประชากรเยอะและเศรษฐกิจเติบโตเป็นกลุ่ม" นณริฏ กล่าว 

สำหรับเส้นทางขนส่งภายในอาเซียนมีทั้งแบบเก่าและส่วนที่เป็น Belt and Road Initiative (BRI) หรือเส้นทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศที่จีนผลักดัน โดยอาเซียนมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจพอสมควร ซึ่งหลากหลายและตอบโจทย์ความร่วมมือในกลุ่มและนอกกลุ่ม เช่น RCEP, CPTPP, GMS และที่เหลือเป็นการร่วมมือในภาคปฏิบัติให้เกิดผล

รวมทั้งมีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาแทนแรงงาน ซึ่งเป็นภัยคุกคามทุกฝ่ายและถ้าเทคโนโลยีนี้พัฒนาเร็วจจะทำให้แรงงานมีความจำเป็นน้อยลง และอาจเกิดกระบวนการ Reshoring หรือกระบวนการส่งกลับการผลิตและการผลิตสินค้ากลับไปยังประเทศของตัวเอง ซึ่งบางครั้งจะมีความกังวลเกี่ยวกับการกระจายชิ้นส่วนไปหลายประเทศ และเมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 อีกจะทำให้ชิ้นส่วนในประเทศหนึ่งผลิตไม่ได้และกระทบกันหมด
#10525


หลังจาก airasia food เริ่มให้บริการนำร่อง 4 เขต ได้แก่ ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว และห้วยขวาง ในช่วง 2 สัปดาห์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุดขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มเติมในเขต พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน และวัฒนา ก่อนครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ ภายในปีนี้ และขยายสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศไทย

โดย airasia food ถือเป็นหนึ่งในบริการจาก "แอร์เอเชีย ดิจิทัล" หน่วยธุรกิจด้านดิจิทัลภายใต้กลุ่มแอร์เอเชีย เพื่อยกระดับ airasia super app (แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ) ให้เป็นซูเปอร์แอพชั้นนำของภูมิภาคอาเซียน ชูจุดเด่นเรื่องราคาที่เข้าถึงได้ บริการที่สะดวก ปลอดภัย และส่วนลดต่างๆ

ในช่วงเปิดให้บริการ airasia food ได้ทำแคมเปญฟรี 30,000 มื้อเป็นเวลา 30 วัน วันละ 1,000 มื้อ โดยร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำ อาทิ แฟลช คอฟฟี่ แบล็คแคนยอน คาเฟ่ อเมซอน กูร์กูร์ ชิกเก้น และแบรนด์อื่นๆ เพื่อจัดเมนูยอดนิยมมามอบให้ฟรีวันละ 1 เมนู หมุนเวียนมาให้ลูกค้าได้สั่ง เพียงใส่โค้ด FREEMEALS จะได้รับเมนูประจำวันฟรีทุกวัน (จำกัด 1 ออเดอร์ต่อ 1 ผู้ใช้ตลอดแคมเปญ) ตั้งแต่วันนี้ - 16 กันยายน 2564

ระหว่าง 1-7 กันยายน 64 เอาใจคอกาแฟกับแฟลช คอฟฟี่ พร้อมแจก Americano ขนาด Upsize 2 แก้ว และ Latte ขนาด Upsize 1 แก้ว รับเลยรวม 3 แก้วต่อสิทธิ์ ฟรีทุกวัน   จัดส่งฟรีสำหรับทุกออเดอร์ภายใน 6 กิโลเมตรแรก ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2564

รวมถึง ส่วนลด 80 บาทสำหรับผู้ใช้ใหม่เมื่อสั่งขั้นต่ำ 100 บาท เพียงใส่โค้ด HELLO80 ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2564 และมอบ BigPoint จำนวน 2,000 แต้มสำหรับสมาชิก 20,000 รายแรกที่ได้ลงทะเบียนใช้งานครั้งแรก ตั้งแต่วันนี้ - 16 กันยายน 2564 
สำหรับร้านอาหารในพื้นที่ให้บริการ ที่สนใจสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ airasia food รับโปรโมชัน ค่าคอมมิชชั่นพิเศษเพียง 5% ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ตุลาคม 2564 เพื่อช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มฐานลูกค้า และสร้างรายได้เสริมให้กับธุรกิจ

ทั้งนี้ airasia food พร้อมให้บริการสำหรับทุกความต้องการ และเพื่อส่งมอบมื้ออร่อยในราคาที่คุ้มค่าที่สุดให้กับคนไทย โดยบริการ airasia food พร้อมให้บริการตั้งแต่ 7.00 น. ถึง 19.30 น. ของทุกวัน สมัครและดาวน์โหลดใช้บริการได้แล้ววันนี้ทางแอพพลิเคชั่นได้ทั้งในระบบ iOS และ Android 
#10526
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#10527


นายธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า "การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน และการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งยังเร่งให้ทุกคนต้องปรับตัวทรานฟอร์มสู่ชีวิตวิถีใหม่ที่มีเทคโนโลยีสื่อสารและดิจิทัลเข้ามาช่วยลดช่องว่างและเชื่อมโยงทุกรูปแบบการใช้ชีวิต กลุ่มทรู เห็นถึงแนวโน้มการใช้งานดาต้าของผู้บริโภคชาวไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่จำกัดเฉพาะย่านใจกลางเมืองเท่านั้น แต่ยังกระจายในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

อีกทั้ง ยังมีความหลากหลายมากขึ้นในการใช้งานแอปพลิเคชัน และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ กล่าวได้ว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่แห่งการสื่อสารที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ที่มีอัจฉริยภาพยกระดับการใช้ชีวิตในทุกมิติ โดยเครือข่ายทรู 5G มอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า ด้วยศักยภาพผู้ให้บริการรายเดียวในไทยที่มีคลื่นมากสุดถึง 7 ย่านความถี่ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ สอดรับกับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทยในยุคนิวนอร์มัล ที่ต้องอยู่บ้านทำงานและเรียนออนไลน์ รวมทั้งต้องการความบันเทิงออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา 


นอกจากนี้ เครื่องสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ยังมีความหลากหลายเลือกได้ในราคาที่เหมาะสม ตลอดจนแพ็กเกจบริการที่ให้ความคุ้มค่ามากขึ้น คนไทยจึงเปลี่ยนมาใช้ 5G เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฐานลูกค้าทรู 5G เพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านราย (ณ ไตรมาส 2 ปี 2564) และวันนี้กลุ่มทรูพร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าให้ใช้งาน 5G ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น เปิดตัวแคมเปญ "ยุคนี้ต้องทรู 5G" ชวนคนไทยทั่วประเทศก้าวสู่ยุคใหม่แห่งโลกการสื่อสารไปด้วยกัน

ซึ่งจะมีพรีเซนเตอร์ทรู 5G คนล่าสุด 'กันต์ กันตถาวร' พิธีกรเบอร์ 1 ของไทย สู่ครอบครัวทรู เพื่อนำเสนอความพิเศษของการใช้ทรู 5G ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ ในราคาที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด กับแคมเปญ 5G VIP เพื่อรับมือถือ 5G รุ่น Mid Tier ฟรี! หรือรับส่วนลดเพิ่ม 3,000 บาท จากโปรโมชั่นที่ลดแล้ว สำหรับซื้อมือถือ 5G รุ่น High Tier สิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้เฉพาะลูกค้าทรู และลูกค้ากลุ่มพันธมิตรเท่านั้น พร้อมรับฟรี! แพ็กเกจ "ทรู พรีเมียร์ ฟุต. ไลท์" เพื่อรับชมฟุต.พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021/22 ซึ่งลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าถึงช่องทางการขายของกลุ่มทรูได้อย่างสะดวก ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ รวมทั้งบริการจัดส่งถึงบ้าน"
#10528


การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตของผู้คน ซึ่งการรับมือกับวิกฤตสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีทิศทางที่ชัดเจนและเชื่อมโยงการทำงานในทุกมิติ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระดับต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ข้อมูลจากงานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย" สะท้อนข้อมูลการดำเนินงานของประเทศที่ผ่านมา พบจุดแข็งสำคัญหลายประการซึ่งปรากฏแก่สังคมอย่างชัดเจน อาทิเช่น มีการจัดตั้งหน่วยงานกลาง รวมทั้งการออกและปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการทางสังคมในระดับประเทศ รวมถึงมาตรการระหว่างประเทศ เช่น งดการเดินทางระหว่างประเทศ งดดำเนินกิจการในกลุ่มเสี่ยง มีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับการระบาดเป็นวงกว้าง มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรค เป็นต้น โดยอีกด้านที่ยังคงเป็นจุดอ่อนและช่องว่างของการดำเนินงาน เช่น ยังขาดศักยภาพการผลิตทรัพยากรภายในประเทศ เช่น ชุด PPE N95 ขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อวางแนวทางการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ขาดการเฝ้าระวังการปฏิบัติตามมาตรการเชิงสังคมในระดับบุคคลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนยังมีช่องว่างของระบบข้อมูลทรัพยากรสุขภาพคงคลัง และยังขาดฐานข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น

ทั้งนี้ งานวิจัย "การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ของประเทศไทย" ดังกล่าว เป็นการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยทีมนักวิจัยจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ได้นำเสนอประเด็นเพื่อการพัฒนาในเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีเป้าหมายให้การจัดทำยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศมีความชัดเจนและรอบด้านมากขึ้น ที่จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้และอนาคตได้

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) กล่าวว่า การรับมือกับโรคระบาดต้องดำเนินการอย่างบูรณาการและเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง และมีการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนเชื่อมโยงกับหลายปัจจัยทั้งด้านสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยงานวิจัยนี้ มีเป้าหมายสำคัญของการพัฒนากรอบยุทธศาสตร์สาธารณสุขของประเทศ ที่จะลดการติดเชื้อ ลดการป่วยและการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 โดยทีมวิจัยได้วิเคราะห์การดำเนินงานของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน ตลอดจน ช่องว่างต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเสนอกรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของประเทศที่ตอบสนองต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ครอบคลุมทั้งหมดไว้ 7 ด้าน ได้แก่ การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาด, การกำหนดมาตรการทางสังคมและมาตรการสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด, การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ, การส่งเสริมจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา, การสื่อสารกับหน่วยงานและประชาชน รวมถึงการบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อจัดการกับการระบาดของโรค

ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)
ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล นักวิจัยเครือข่าย สวรส. สังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)

ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์ฯ นับเป็นงานวิจัยเชิงระบบที่เปรียบเหมือนการพัฒนาเข็มทิศการดำเนินงานให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้เห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนครอบคลุมไปจนถึงผลกระทบของเรื่องต่างๆ โดยกรอบยุทธศาสตร์ทั้ง 7 ด้านดังกล่าว เป็นภาพระดับประเทศที่สามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินงานระดับเขตและระดับจังหวัด รวมทั้งจะทำให้มีข้อมูลการดำเนินงานที่สามารถนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ และเรียนรู้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าว สามารถเชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา คมนาคม แรงงาน การท่องเที่ยว ฯลฯ ได้ต่อไป 



สำหรับข้อเสนองานวิจัย : กรอบยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย 7 ด้าน

1) การติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการระบาดของโรค ทั้งการรายงานสถานการณ์การระบาด การจัดกลุ่มความเสี่ยง การสำรวจสถานการณ์สุขภาพและพฤติกรรมของประชาชน การพยากรณ์โรคทั้งระดับประเทศและพื้นที่

2) การกำหนดมาตรการทางสังคมตามสถานการณ์ปัจจุบัน และหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่เน้นการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันตัวในระดับบุคคลอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ความเสี่ยงและความจำเป็นของแต่ละสถานที่ เพื่อสื่อสารคำแนะนำในรูปแบบคู่มือต่างๆ พัฒนาระบบการติดตามการปฏิบัติตามมาตรการ ตลอดจนสร้างกลไกกำหนดมาตรการทางสังคมแบบมีส่วนร่วม

3) การกำหนดมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค พัฒนาระบบการตรวจทางห้องปฏิบัติการ/ระบบติดตามเฝ้าระวัง สอบสวนโรค/การกักตัว ควบคู่กับการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเฝ้าระวัง พัฒนาเครือข่ายและระบบข้อมูล ทบทวนแผนและพัฒนาความร่วมมือระหว่างจังหวัดหรือเขต และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงจัดทำรายละเอียดการปฏิบัติการเฉพาะกลุ่ม

4) การเตรียมความพร้อม ศักยภาพและทรัพยากรของระบบบริการสุขภาพ พัฒนาศักยภาพในการรักษาโรค พัฒนาระบบสุขภาพ รวมทั้งระบบข้อมูลและติดตามประเมินผลการรักษา ทั้งโรคโควิด-19 และโรคอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติใหม่ ตลอดจนการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขอย่างเพียงพอ ทั่วถึง เป็นธรรมและต่อเนื่อง เพิ่มศักยภาพการผลิตเวชภัณฑ์ที่จำเป็นภายในประเทศ และนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบบริการสุขภาพมากขึ้น

5) การส่งเสริมการจัดการความรู้ การวิจัยและพัฒนา อาทิ พัฒนาให้มีฐานข้อมูลที่เชื่อมองค์ความรู้ระหว่างแหล่งทุนและนักวิจัย ทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน และลดความกังวลต่อการระบาดของโรค เชื่อมโยงเครือข่ายวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับการประเมินผลกระทบระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนบูรณาการการบริหารจัดการงานวิจัยในระยะยาว

6) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน อาทิ ควรมีการจัดทำแผนปฏิบัติการสื่อสารความเสี่ยง การบริหารจัดการสื่อสารและกำหนดแผนการกระจายข้อมูลให้ทั่วถึงทั้งระดับส่วนกลางและพื้นที่ พัฒนาความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถสอบถามข้อมูลได้

7) การบริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อการจัดการกับการระบาดของโรค มีระบบติดตามประเมินผลการทำงานตามหลักธรรมาภิบาลในทุก

ระดับ ศึกษาทบทวนกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการเงินการคลัง การจัดซื้อจัดจ้าง การปฏิบัติงานของบุคลากร จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและมีการกระจายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสำหรับระบบการเฝ้าระวัง และการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เช่น การพัฒนาวัคซีน รวมทั้งการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก
#10529


ฮ่องกงปฏิเสธไม่ล้มเลิกยุทธศาสตร์ "ซีโร่-โควิด" ตามกระแสเรียกร้องของประคมธุรกิจ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของคู่แข่งสำคัญอย่างสิงคโปร์ ที่หันมา "อยู่กับโควิด" โดยผู้บริหารสูงสุดของเกาะเน้นย้ำเป้าหมายสำคัญอันดับแรกในการเปิดประตูคือการฟื้นการเดินทางติดต่อกับจีน ส่วนทางญี่ปุ่นเผยมีแนวโน้มสูงที่ปัญหาวัคซีนโมเดอร์นาปนเปื้อนที่โอกินาวา จากการแทงเข็มฉีดยาลงในขวดผิดวิธี ด้าน WHO เตือนปลายปีนี้ยุโรปอาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิดกว่า 230,000 คน

ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หอการค้ายุโรปในฮ่องกงส่งจดหมายเปิดผนึกถึงแคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เตือนว่า ชื่อเสียงการเป็นฮับธุรกิจของฮ่องกงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และประชาชนกำลัง "ติดอยู่ในกับดักไม่รู้จบ"

แต่ในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคาร (31 ส.ค.) ลัมยังคงยืนยันว่า ไม่มีแผนยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางจากต่างแดน โดยระบุว่า การปกป้องที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันการนำเข้าผู้ติดเชื้อโควิด ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผู้นำฮ่องกงสำทับว่า การฟื้นการเดินทางติดต่ออย่างเป็นปกติกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเป้าหมายที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าการเดินทางติดต่อกับทั่วโลก ถึงแม้คู่แข่งสำคัญในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์ เตรียมปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้กับโควิดมาเป็นการยอมรับที่จะต้องอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสโคโรนานี้ และดำเนินการเปิดประเทศต่อโลก ก็ตามที

ลัมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ยิ่งผ่อนคลายกฎเปิดรับชาวต่างชาติมากเท่าไร ฮ่องกงยิ่งมีโอกาสน้อยลงที่จะฟื้นการเดินทางติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่ และเธอยังเชื่อว่า ธุรกิจระหว่างประเทศส่วนใหญ่ต้องการเปิดการเดินทางกับจีนเป็นอันดับแรก ซึ่งฮ่องกงถือว่า มีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นเกตเวย์สู่แดนมังกรที่เป็นตลาดขนาดใหญ่มหึมา

คำแถลงของลัมถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่มีธุรกิจในจีน แต่ไม่ค่อยดีนักสำหรับบริษัทระหว่างประเทศที่เลือกฮ่องกงเป็นฐานเพื่อการเข้าถึงภูมิภาคนี้

จีนนั้นไม่กระตือรือร้นผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง ซึ่งรวมถึงการเดินทางติดต่อกับฮ่องกงด้วย โดยสื่อฮ่องกงรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนจะคงมาตรการจำกัดต่อไปอย่างน้อยจนถึงภายหลังกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่ปักกิ่ง

เท่าที่ผ่านมา ฮ่องกงสามารถสยบไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ค่อนข้างอยู่หมัด ซึ่งต้องขอบคุณมาตรการอย่างเรื่องการสวมหน้ากากป้องกัน, การรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด, รวมทั้งการใช้มาตรการกักกันโรคซึ่งบางอย่างจัดว่าเข้มงวดที่สุดในโลก ทว่าอัตราการฉีดวัคซีนของดินแดนบริหารพิเศษของจีนแห่งนี้กลับยังคงล้าหลังสิงคโปร์มาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ขาดแคลนวัคซีนแต่อย่างใด

เวลานี้สิงคโปร์อยู่ในฐานะเป็นหนึ่งในประเทศและดินแดนซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกในการรณรงค์ให้ผู้คนมาฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยมีประชากรมากกว่า 80% แล้วที่ได้รับวัคซีนครบโดส แถมในหมู่ผู้สูงวัยอายุ 70 ปีขึ้นไป อัตราส่วนผู้ฉีดครบอยู่ที่ 84% ทีเดียว

ตรงกันข้าม มีชาวฮ่องกงที่อยู่ในเกณฑ์เข้าฉีดวัคซีนได้เพียงแค่ 46% เท่านั้นซึ่งได้วัคซีนครบโดสแล้ว โดยผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนครบแล้วเพียงแค่ 25%

สันนิษฐานสาเหตุวัคซีนโมเดอร์นาจำนวนมากปนเปื้อนในญี่ปุ่น

ทางด้านญี่ปุ่น โนริฮิสะ ทามูระ รัฐมนตรีสาธารณสุข แถลงเมื่อวันอังคารว่า มีความเป็นไปได้สูงที่การปนเปื้อนในวัคซีนโมเดอร์นาที่พบที่โอกินาวะเมื่อวันอาทิตย์ (29 ส.ค.) อาจมีสาเหตุจากการแทงเข็มฉีดยาลงในขวดผิดวิธี ทำให้ชิ้นส่วนยางปิดปากขวดแตกเป็นชิ้นเล็กๆ และปนเปื้อนในขวดวัคซีน

อย่างไรก็ดี ทามูระสำทับว่า ไม่พบปัญหาความปลอดภัยหรือปัญหาอื่นๆ และทางกระทรวงจะรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ข่าวการปนเปื้อนของวัคซีนโมเดอร์นาจนต้องระงับการฉีดถึง 1.63 ล้านโดสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดขึ้นขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุดจากสายพันธุ์เดลตา ซึ่งทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นวันละเกิน 25,000 คนเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ขณะที่แผนการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้า

เตือนยุโรปจำนวนคนตายจะพุ่งแรงสิ้นปีนี้

ขณะเดียวกัน จากการที่ยุโรปก็ประสบปัญหาความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเช่นกัน รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อก็พุ่งขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ทำให้หน่วยงานในยุโรปขององค์การอนามัยโลก แถลงเตือนเมื่อวันจันทร์ (30) ว่า ภายในเดือนธันวาคม อาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในภูมิภาคนี้ถึง 236,000 คน

คำเตือนนี้ออกมาขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกทะลุ 4.5 ล้านคน ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักข่าวเอเอฟพี

ฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการ WHO ประจำยุโรปยังระบุว่า เวลานี้ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนเสียชีวิตเพราะโควิดกลับเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศยากจนแถบ.ข่าน คอเคซัส ไปจนถึงเอเชียกลาง เฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 11% และจากการคาดการณ์ที่เชื่อถือได้ ภูมิภาคนี้จะมีผู้เสียชีวิต 236,000 คนภายในวันที่ 1 ธันวาคม

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิดในยุโรปขณะนี้อยู่ที่ราว 1.3 ล้านคน

(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)