• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3181


นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างดำเนินการเชื่อมระบบแพลตฟอร์มดิลิเวอร์รี่การส่งสินค้า อาหารและบริการต่างๆเข้ากับระบบโครงการคนละครึ่งของรัฐบาล คาดว่า จะเริ่มนำมาใช้ได้ภายในเดือนต.ค.นี้ ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งของรัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ในเฟสที่ 3


สำหรับผู้ประกอบการดิลิเวอร์รี่ที่คาดว่า จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 3 มีจำนวนประมาณ 6 ราย ประกอบด้วย ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า โรบินฮู้ด แกร็บฟู้ด โกเจ๊ก และช้อปปี้ฟู้ด ทั้งนี้ เมื่อสามารถเชื่อมโยงระบบด้วยกันได้แล้ว ทางกระทรวงการคลังจะเปิดให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ได้สมัครเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง

"เมื่อเราสามารถจัดการเชื่อมระบบของผู้ประกอบการดิลิเวอร์รี่กับคนละครึ่งได้แล้ว คาดว่า เราจะเปิดให้ใช้บริการได้ราวต้นเดือนต.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เราจะทำการเติมเงินคนละครึ่งในรอบที่สอง"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

ผู้อำนวยการสศค.กล่าวว่า การดำเนินการเชื่อมระบบดังกล่าว จะเป็นช่องทางการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ร่วมโคงการคนละครึ่ง ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวก เนื่องจาก สถานการณ์โควิด-19 ทำให้การจับจ่ายใช้สอยแบบเฟสทูเฟสมีความยากลำบาก เมื่อนำแพลตฟอร์มดิลิเวอร์รี่มาใช้ ก็จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยมีความคล่องตัวมากขึ้น ก็จะทำให้ยอดการใช้จ่ายในโครงการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ ยอดการใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งอยู่ที่จำนวน 5.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การใช้จ่ายผู้ร่วมโครงการ 2.92 หมื่นล้านบาท และ การเติมเงินของรัฐบาล 2.84 หมื่นล้านบาท


ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้นั้น มียอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 1.25 พันล้านบาท ซึ่งถือว่า ยังมีจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งเราก็เตรียมที่จะเชื่อมแพลตฟอร์มผู้ให้บริการดิลิเวอร์รี่สินค้าประเภทอาหารที่จดทะเบียนนิติบุคคลเข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ด้วย เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้จ่ายของผู้ร่วมโครงการด้วย

สำหรับจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ ล่าสุด โครงการคนละครึ่งอยู่ที่ 26.7 ล้านราย ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้อยู่ที่ 4.67 แสนราย
#3182


สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์ (16ส.ค.)ปรับตัวร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ ถือเป็นการปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 3 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของความต้องการใช้น้ำมันในจีน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ลดลง 1.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.29 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.51 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทั้งนี้ จีนเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ขยายตัวเพียง 8.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.5% และต่ำกว่าระดับ 12.1% ของเดือนมิ.ย.

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ

นอกจากนี้ การกลั่นน้ำมันดิบของจีนในเดือนก.ค.ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเมื่อเทียบรายวันนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 ขณะที่โรงกลั่นอิสระพากันลดการผลิตน้ำมัน อันเนื่องจากกำไรที่ลดต่ำลง

สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ออกรายงานเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะฉุดความต้องการใช้น้ำมันลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ไออีเอ ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2564 ลงสู่ระดับ 5.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ไออีเอได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2565 สู่ระดับ 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 3 ล้านบาร์เรล/วัน
#3183


นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิดส่งผลกระทบภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ (แอลทีวี) กำลังซื้อที่ถดถอยของลูกค้า ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมครึ่งปีแรกตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายโต 16% คิดเป็นมูลค่า 149,481 ล้านบาท มาจากทาวน์เฮ้าส์ 34,972 ล้านบาท เติบโต 7% บ้านเดี่ยว 62,719 ล้านบาท เติบโต 36% และคอนโดมิเนียม 49,682 ล้านบาท เติบโต 4% เป็นผลมาจากการที่คนหันมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะระดับกลางและบน
ทิศทางดังกล่าวทำให้บริษัททดลองโมเดลเทิร์นคีย์ ด้วยการร่วมเจ้าของที่มาร่วมพัฒนาโครงการแนวราบในรูปแบบของทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์ "เดอะ คอนเน็กซ์" บนทำเลย่านรามอินทรา ซึ่งเป็นไพรม์ไทม์เพื่อลดเสี่ยงความเสี่ยงช่วงวิกฤติโควิดที่มีความไม่แน่นอนสูง เพื่อความต้องการลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ต้นปีหน้า ขณะเดียวกันบริษัทชะลอแผนการร่วมทุนกับกลุ่มทุนญี่ปุ่น ที่ต้องการลงทุนคอนโดมิเนียมออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ไม่เอื้อต่องการลงทุน

สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง เตรียมเปิด 15 โครงการ มูลค่า 17,838 ล้านบาทตามเป้าหมายเดิม ซึ่งหลังจากมีการปลดล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้าง บริษัทกลับมาเร่งงานก่อสร้างภายใต้มาตรการ "บับเบิล แอนด์ ซีล" ซึ่งในครึ่งปีหลังมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 7 โครงการ จะทยอยส่งมอบในปีนี้ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ที่วางไว้ 32,000 ล้านบาท โดยเน้นเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านทางออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ควบคู่กับการออกแคมเปญให้ตรงกับความต้องการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดจัดแคมเปญ "โปรแรงขั้นสุด ชีวิตสนุกกว่า" ให้ลูกค้าอยู่ฟรีสูงสุด 36 เดือน ฟรีค่าส่วนกลางสูดสุด 36 เดือน ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และส่วนลดต่าง ๆ พร้อมรับแพ็กเกจสัญญาณอินเทอร์เน็ตบ้านเอไอเอส ไฟเบอร์ และ AIS PLAY ส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตในบ้าน

"ครึ่งปีหลังเรายังคงเปิดตัวโครงการใหม่ตามเป้าหมาย โดยเลือกเซ็กเมนต์และระดับราคาที่คาดว่ายังมีความต้องการซื้อ และลูกค้ามีกำลังซื้อ 2 กลุ่มหลัก ระดับราคา 1-3 ล้านบาทส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม และแนวราบ ราคา 5-20 ล้านบาท"

แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวจากวิกฤติโควิด-19 แต่ที่อยู่อาศัยยังคงเป็น 1 ในปัจจัย 4 พื้นฐานสำคัญ และตลาดยังมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาพฤกษามีการปรับตัวเน้นการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเพิ่มมากขึ้น พร้อมจัดแคมเปญส่งเสริมตลาดให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ทำให้ยังคงรักษาการเติบโตได้ดี

โดยผลประกอบการไตรมาส 2 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำยอดขาย 7,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% ทำรายได้ 6,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% มีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% สามารถลดสินค้าคงค้าง (Inventory) ลงไปได้ถึง 58% พร้อมทั้งเปิดตัว 9 โครงการใหม่ ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มียอดขายรวม 14,165 ล้านบาท เติบโต 48% มีรายได้ใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ 13,222 ล้านบาท มีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,034 ล้านบาท โดยเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีแรกไปแล้ว 14 โครงการ มูลค่า 8,792 ล้านบาท สูงว่าตลาดที่โต 16% คาดว่าภาพรวมปี 2564 ตลาดอสังหาฯ ปีนี้โต 5%
#3184


เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ชวนคุณเที่ยวทิพย์ ลิ้มลองความอร่อยของเสน่ห์อาหารไทยสูตรต้นตำรับ ครบเครื่องครบรส ที่รวบรวมของดีของดังประจำจังหวัดจากทั่วประเทศไทย เต็มอิ่มกับ 7 เมนูเด็ดพิเศษ ที่ทีมเชฟคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากแหล่งท้องถิ่นขึ้นชื่อ นำมารังสรรค์เป็นเมนูความอร่อยให้ได้ลิ้มลอง

สำหรับ 7 เมนูเด็ดพิเศษ ได้แก่

- แกงส้มปูไข่ใบชะคราม จังหวัดสมุทรสงคราม (1,100 บาท)
- กุ้งแม่น้ำทอดเกลือ จังหวัดสิงห์บุรี (990 บาท)
- เห็ดโคนดองน้ำปลา จังหวัดกาญจนบุรี (320 บาท)
- แกงหมูใบชะมวง จังหวัดจันทบุรี (280 บาท)
- ขนมจีนน้ำย้อย ต้มหมู จังหวัดแพร่ (250 บาท)
- น้ำพริกปลาร้าเห็นโคน จังหวัดอุบลราชธานี (220 บาท)
- โอ้เอ๋ว ลิ้นจี่ ฮันนี่เลมอน จังหวัดภูเก็ต (85 บาท)

เราพร้อมเสิร์ฟของอร่อยส่งตรงถึงหน้าบ้านหรือออฟฟิศ ไลน์สั่งอาหารล่วงหน้าได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2564


เที่ยวทิพย์ ไปกับ เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ เปิดรับออเดอร์ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30 - 18.30 น. สั่งอาหารเดลิเวอรีได้แล้วที่ LINE ID: @no43bistro หรือคลิกลิงค์ https://lin.ee/gzbCwQI

* เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า *
 
#3185


อีกหนึ่งศิษย์เก่า จิตอาสา ที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับศูนย์วัคซีนเพื่อประชาชน มหาวิทยาลัยรังสิต ในการเป็นจิตอาสาให้บริการ ฉีดวัคซีนโควิด-19 นั่นคือ ทันตแพทย์รตน รัตนติกุล หรือ เตี๊ยบ ศิษย์เก่าคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต รุ่นที่ 7 ซึ่งปัจจุบันทำธุรกิจขายเครื่องมือทันตแพทย์ที่เป็นธุรกิจต่อจากครอบครัว และเข้าร่วมเป็น ทันตแพทย์จิตอาสา ในวิกฤติครั้งนี้ด้วย


ทันตแพทย์รตน เล่าว่า ก่อนหน้านี้ผมได้เห็นข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊กของ มหาวิทยาลัยรังสิต มีการจัดตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนฯ ขึ้นมาประกอบกับอาจารย์ได้ตามหาจิตอาสาทางกลุ่มไลน์ จึงได้มีโอกาสมาเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ ส่วนตัวรู้สึกประทับใจและดีใจมากที่ได้กลับมาช่วยมหาวิทยาลัย


"ต้องขอขอบคุณทางมหาวิทยาลัยที่ได้จัดตั้ง ศูนย์ฉีดวัคซีนฯ แห่งนี้ขึ้นมา ทำให้เราได้ช่วยเหลือประชาชนด้วย สำหรับสิ่งที่ประทับใจมากๆ คือการจัดการของศูนย์ให้บริการวัคซีนที่นี่ ตั้งแต่จุดแรกที่คนไข้เริ่มลงทะเบียนจนมาถึงจุดที่หมอได้ฉีดวัคซีนให้กับคนไข้นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาที ซึ่งแต่ละจุดจะมีการเว้นระยะห่างและมีเจลแอลกอฮอล์ให้บริการ"


"นอกจากนี้ การเปิดให้บริการของศูนย์วัคซีนฯ ยังมีนักศึกษาจากหลากหลายคณะที่มาร่วมเป็นจิตอาสา  ในฐานะศิษย์เก่าก็อยากจะฝากถึงน้องๆ ด้วยว่า ประสบการณ์นอกห้องเรียนนั้นเยอะมาก แต่สิ่งเราจะได้จริงคือประสบการณ์ในห้องเรียนที่อาจารย์ท่านได้สอนเรา อยากให้น้องๆ ตั้งใจเรียนเพราะว่าบทเรียนที่อาจารย์สอนเรา สามารถนำไปใช้กับประสบการณ์นอกห้องเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิตต่างๆ

"สุดท้ายอยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฉีดวัคซีน ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยลดการติดเชื้อ เพราะหากเราติดเชื้อแล้วจะต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์มาดูแลเราอีกหลายท่านครับ แต่ถ้าเรารักษาสุขภาพดี หมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย รวมถึงฉีดวัคซีน เมื่อเราแข็งแรงก็จะช่วยลดจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องช่วยเหลือเรา ไปช่วยเหลือคนที่ติดโควิด ก็อยากจะให้ทุกคนช่วยมาฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันและแข็งแรงมากขึ้นครับ" ทันตแพทย์รตน กล่าว
#3186


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ พาไปส่อง "รายได้" และ "กำไร" ของกลุ่มแบงก์ ที่เป็น "แบงก์พาณิชย์" หรือธนาคารพาณิชย์ของไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2564 ที่มีการรายงานผลกำไรตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2564 ว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

    

 ธนาคารกสิกรไทย 
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "KBANK" แจ้งผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 มีกำไรสุทธิ 19,520.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.40 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,550.22 ล้านบาท

ส่วนรายได้จากการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2564 อยู่ที่ 80,882 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.09% หรือ 79,227 ล้านบาท

โดยในงวดครึ่งปีแรกปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ลดลง 39.32% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนธนาคารและบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองฯ ในระดับที่สูงเป็นจำนวนถึง 32,064 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อันเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน


 ธนาคารไทยพาณิชย์ 
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ "SCB" และบริษัทยย่อยรายงาน ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธนาคารมีกําไรสุทธิจํานวน 18,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17,610 ล้านบาท 

ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานครึ่งปี 2564 อยู่ที่ 74,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73,917

ทั้งนี้ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไทยพาณิชย์ได้ตั้งเงินสํารองจํานวน 10,028 ล้านบาท สําหรับไตรมาส 2 ของปี 2564 และจํานวน 20,036 ล้านบาทสําหรับครึ่งปีแรกไว้ด้วย ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพณสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ 3.79%


 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ "BAY" และบริษัทในเครือเผยผลประกอบการ ครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิจำนวน 21,048 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 13,540 ล้านบาท หลังออกมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินแก่ลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่รายได้ช่วงครึ่งปี 2564 อยู่ที่ 66,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 13.15% หรือ 58,629 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาสสองของปี 2564


 ธนาคารกรุงไทย 
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "KTB" รายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 11,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.4% ที่ 10,221 ล้านบาท ขณะที่รายได้ครึ่งปี 2564 อยู่ที่ 57,523 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีก่อนหน้า 9.27% ที่ 63,403 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับรองรับรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าซึ่งรวมถึงการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ด้วย

 ธนาคารกรุงเทพ 
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ "BBL" รายงานรายได้ครึ่งปีแรก 2564 มีกำไรสุทธิ 13,279.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,765.49 ล้านบาท

ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานในครั้งปี 2564 อยู่ที่ 64,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.25% ที่ 58,679 ล้านบาท

ทั้งนี้ หลักๆ มีส่วนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 4.8% จากผลของการรวมธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 ด้วย


 ธนาคารทหารไทยธนชาต 
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ "ttb" รายงานกำไรครึ่งปีแรกของปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 5,316 ล้านบาท ลดลง 26.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,258 ล้านบาท

ส่วนรายได้จากการดำเนินกิจการหลังควบรวม ธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต เป็น ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) มีรายได้ครึ่งแรกปี 2564 อยู่ที่ 32,743 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.08% หรือ 58,679 ล้านบาท

 ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ "CIMBT" รายงานกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 954.76 ล้านบาท ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,385.87 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลง 8% และมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 

สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 7,284.1 ล้านบาทลดลง 644.2 ล้านบาท หรือ 8.1% จากรายได้ครึ่งแรกปี 2563 ที่ 7,928 ล้านบาท

สาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.1 อยู่ที่ 1,956.10 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ตั้งสำรอง 1,642.15 ล้านบาท เป็นผลจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและโอกาสที่คุณภาพสินเชื่อของลูกค้าที่จะแย่ลงจากผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19

 ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ​
ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รายงานกำไรสุทธิช่วงครึ่งแรกของ ปี 2564 อยู่ที่ 3,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.95% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,738 ล้านบาท

ขณะที่รายได้จากการขายเท่ากับ 15,605.26 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน (2563) มีรายได้จากการขายเท่ากับ 12,278.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,326.75 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 27.09%

 ธนาคารทิสโก้ 
ธนาคารทิสโก้ รายงานผลการดำเนินงานรวมงวดครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 มีจำนวน 3,430.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ขณะที่รายได้โดยรวมของทิสโก้ ในช่วงครึ่งแรกปี 2564 อยู่ที่ 9,816 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 9,274 ล้านบาท

ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทหารไทยธนชาต 
#3187


เอรียา จุฑานุกาล โปรกอล์ฟสาวขวัญใจชาวไทย พลาดเสีย 2 โบกีติดๆ ในหลุม 17 และ 18 ทำสกอร์อีเวนต์พาร์ รวมสามวันมี 9 อันเดอร์พาร์ ยังเป็นผู้นำ แต่มี 2 ก้านเหล็กทำสกอร์ขึ้นมาทาบ ด้าน อาฒยา ฐิติกุล รั้งที่ 4 ร่วม ตามแค่ 1 สโตรก ศึกสกอตติช โอเพ่น 

ศึกกอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการ "ทรัสต์ กอล์ฟ วีเมนส์ สกอตติช โอเพ่น" ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50 ล้านบาท ที่สนามดุมบาร์นีย์ ลิงค์ส ประเทศสก็อตแลนด์ ระยะ 6,584 หลา พาร์ 72 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการชิงชัยในวันที่สาม

ปรากฎว่า "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล ก้านเหล็กสาวขวัญใจชาวไทย อดีตแชมป์รายการนี้เมื่อปี 2018 ที่ขึ้นมาเป็นผู้นำเดี่ยวในวันที่สอง วันนี้มาพลาดเสีย 2 โบกีติดๆ ในหลุม 17 และ 18 จบที่อีเวนต์พาร์ รวมสกอร์สามวันมี 9 อันเดอร์พาร์ ยังคงเป็นผู้นำ แต่มีอีก 2 โปรกอล์ฟ ที่ขึ้นมาทาบนำร่วม ได้แก่ ไรอันน์ โอ ทูเล่ จากสหรัฐอเมริกา และชาร์ลีย์ ฮัลล์ จากอังกฤษ

ขณะที่ "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล ดาวรุ่งสาววัย 18 ปี วันนี้ทำไป 2 อันเดอร์ รวมสกอร์สามวันมี 8 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 4 ร่วมกับ แอชเลจ์ บูไฮ ก้านเหล็กจากแอฟริกาใต้

ส่วนผลงานของโปรกอล์ฟสาวไทยคนอื่นๆ "โปรจูเนียร์" จัสมิน สุวัณณะปุระ เก็บเพิ่ม 1 อันเดอร์พาร์ รวมสามวัน 4 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 12 ร่วม, "โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ วันนี้เก็บเพิ่ม 3 อันเดอร์พาร์ รวมสามวัน 3 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 15 ร่วม, "โปรพริม" พริมา ธรรมรักษ์ วันนี้จบอีเวนต์พาร์ รวมสามวัน 2 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 25 ร่วม ด้าน "โปรเหมียว" ปภังกร ธวัชธนกิจ สกอร์รวมสามวันมีอีเวนต์พาร์ รั้งอันดับ 37 ร่วม
#3188


ริมถนนนักลงทุน เสิร์ฟความเคลื่อนไหวแวดวงตลาดหุ้น หนึ่งความเคลื่อนไหวน่าสนใจ ยกให้ 'หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล' ที่หลายตัวประกาศงบไตรมาส 2 ปี 64 ออกมา 'โดดเด่น' หลังได้รับผลกระทบเชิงบวกจากโควิด-19 ตัวเลขติดเชื้อพุ่ง

๐ หากดูงบไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ทยอยออกมา หนึ่งในธุรกิจที่มีผลดำเนินงานเติบโต 'โดดเด่น' ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 คงต้องยกให้ 'ธุรกิจโรงพยาบาล' สะท้อนผ่านกำไรสุทธิสองโรงพยาบาลขนาดใหญ่ อย่าง บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BDMS โชว์กำไรสุทธิ 1,452.16 ล้านบาท เติบโต 217% จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 457.82 ล้านบาท 

๐ ขณะที่ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล หรือ BCH คาดมีโอกาสกำไรไตรมาส 2 ปี 2564 จะออกมาดีกว่าคาด 180% จากไตรมาสก่อน และ 225% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังหลายโรงพยาบาลที่ประกาศออกมาแล้วดีกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญจากรายได้เกี่ยวเนื่องกับ COVID-19 ที่พุ่งขึ้น ฟาก 'กูรู' เชื่อว่ากลุ่มโรงพยาบาลยังคงได้รับผลกระทบเชิงบวกจากภาวะ COVID-19 ที่ยังคงรุนแรง และยังคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ทุกบริษัท 

๐ หุ้น ไซแมท เทคโนโลยี หรือ SIMAT มีเสน่ห์อะไร ? ถึงดึงดูด 'นักธุรกิจ-นักลงทุน' อย่าง 'สุระ คณิตทวีกุล' ครอบครองหุ้น SIMAT จำนวน 15,466,000 หุ้น คิดเป็น 2.38% แต่ที่ชัวร์คือธุรกิจของ SIMAT กำลังเทิร์นอะราวด์อย่างสวยงาม สะท้อนผ่านผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 17.08 ล้านบาท !! ส่วนรายได้อยู่ที่ 257.40 ล้านบาท

๐ และล่าสุดคว้า 'ธีรวุฒิ กานต์นิภากุล' อดีตรองผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Equity Derivative บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เข้ามารับตำแหน่ง 'ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน' ของ SIMAT เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรแห่งนี้ใหม่และแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve เหมือนอย่างที่ 3 ปีก่อน ที่บริษัทซื้อกิจการ บริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) หรือ HST ถือหุ้น 70% ซึ่งในปัจจุบันกำลังสร้างกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ !!




๐ ผลดำเนินงานเติบโตยังไม่แผ่ว 'ตัน ภาสกรนที' นายใหญ่ บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI หลังแจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 กำไรสุทธิ 164.3 ล้านบาท และรายได้ 1,492.7ล้านบาท งานนี้ 'เฮียตัน' บอกว่า รายได้-กำไรสุทธิเติบโตจากการปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 ส่งผลิตภัณฑ์เจาะตลาดค้าปลีกรายย่อย และกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเจาะตลาดต่อเนื่อง มุ่งขยายฐานลูกค้า พร้อมจัดทัพสินค้าสุขภาพบุกตลาดในครึ่งปีหลัง เตรียมรับข่าวดีจาก 'ธุรกิจรับจ้างผลิต' (OEM) ที่จะปิดดีลเพิ่มภายในปีนี้

๐ ผลงานไตรมาส 2 ปี 2564 ยังสวยงามต่อเนื่อง ล่าสุด 'กลุ่มเจมาร์ท' โชว์กำไรสุทธิ 232.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,648.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% งานนี้ 'อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา' เจ้าของอาณาจักร บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART การันตีการเติบโตนั้นมาจากธุรกิจด้านการเงินที่เป็นหัวหอกในการส่ง "กำไร" เข้ามาต่อเนื่อง พร้อมมองผลงานครึ่งปีหลังยัง 'ร้อนแรง' ต่อเนื่องอีก 



๐ แม้สถานการณ์โควิด-19 รุนแรง แต่ 'อดิศักดิ์' ณ กลุ่มเจมาร์ท ไม่หวั่น !! หลังบริษัทปรับกลยุทธ์ใหม่ นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นขับเคลื่อนในธุรกิจยุคดิสรัปฯ หนุนโอกาสโตกระโดดจากความพร้อมในการ Synergy การพัฒนาเทคโนโลยีและฟินเทคที่เริ่มเห็นภาพชัดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะที่แผนจับมือพันธมิตรจะเริ่มเห็นความคืบหน้าในเร็วๆ นี้แล้ว 

๐ ข่าวร้ายของคนรัก 'ทองคำ' หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุด 2 แนวรับสำคัญ 1,790 และ 1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด ส่งผลดอลลาร์สหรัฐเริ่มแข็งค่าสวนทางทองคำ คาดอาจเป็นสัญญาณให้เฟดลดการทำ QE ภายในสิ้นปีนี้ และนี่อาจจะกำลังส่งสัญญาณราคาทองคำเข้าสู่ 'ขาลง' ชัดเจนหรือเปล่า... 'ฐิภา นววัฒนทรัพย์' หญิงเก่ง บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) แนะนำสำหรับคนที่ต้องการขายเพื่อลดความเสี่ยง มองว่าสามารถขายได้ที่แนวต้าน 1,751-1,755 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 27,700 บาท จุดนี้ถือเป็นแนวต้านระยะสั้นสำคัญ
#3189


กลายเป็น TALK OF THE TOWN ในทันที่ สำหรับ "ฟ้าทะลายโจร" หลังจากมีข่าว "การถอนผลวิจัย" ที่ชื่อว่า "Efficacy and safety of Andrographis paniculata extract in patients with mild COVID-19: A randomized controlled trial" ของคณะวิจัยจากประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ และเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ "เมดอาซีฟ" (www.medrxiv.org) เว็บไซต์คลังงานวิจัยที่เป็นต้นฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์เกี่ยวกับการแพทย์ การทดลองทางคลินิก และวิทยาศาสตร์สุขภาพอื่น ๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นผลงานของนักวิจัย 7 คน โดย 5 คนมาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข อีก 2 คนมาจากโรงพยาบาลสมุทรปราการ และสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อเรื่องปรากฏต่อสาธารณชน ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้นไปทั่วประเทศ เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา "คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ" ได้เพิ่มยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และยาจากผงฟ้าทะลายโจร เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ให้เป็นยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงน้อย และประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาต่างก็พากันไปซื้อฟ้าทะลายโจรมาใช้เป็นจำนวนมาก

กระทั่ง "พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ว่า การขอถอนข้อมูลงานวิจัยชิ้นดังกล่าวไม่ได้เป็นการถูกปฏิเสธจากวารสารวิชาการ แต่นักวิจัยไทยได้ขอถอนงานวิจัยกลับมาชั่วคราว เนื่องจากพบ "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" และระบุว่าผลลัพธ์การทดลองที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติดังกล่าวไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการกินยาหรือจ่ายยาฟ้าทะลายโจรในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ ยังสามารถใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี ถ้าหากสังคมพินิจพิเคราะห์ "ปรากฏการณ์ถอนงานวิจัยฟ้าทะลายโจร" ที่เกิดขึ้นก็จะพบ "ความผิดปกติ" โดยเฉพาะกรณี "ความผิดพลาดของสถิติจุดหนึ่ง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับ "งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ที่ต้องมีความแม่นยำก่อนที่จะเผยแพร่ผลงานออกไปสู่สาธารณชน ยิ่งเป็นการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำ "มั่วซั่ว" ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือ "งานวิจัยทางการแพทย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์" ซึ่งไม่ใช่ "งานวิจัยทางสังคมศาสตร์" ที่สามารถมีข้อโต้แย้งในภายหลังหากพบ "หลักฐานใหม่"

หลายคนตั้งคำถามว่า หรือจะเป็นเพราะ "คณะวิจัย" ทำด้วย "ความเร่งรีบ" หรือทำงานภายใต้ "ภาวะกดดันบางประการ" จนทำให้เกิด "ความผิดพลาดของสถิติหนึ่งจุด" ซึ่งก็มีความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

ขณะที่อีกหลายคนก็อาจตั้งคำถามว่ามี "อะไรในกอไผ่" หรือไม่ดังสมมติฐานและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนดังที่ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งคำถามเอาไว้ว่า "มีคำถามอยู่ว่างานระดับที่ป้อนข้อมูลและใช้การคำนวณโดยโปรแกรมเช่นนี้ เกิดความผิดได้อย่างไร? จนถึงขั้นแปลผลผิดจากแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ กลายเป็นแตกต่างกันแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมหน้า 48)

ทีนี้ มาดูรายละเอียดในงานวิจัยชิ้นนี้กันว่า เป็นอย่างไร

พญ.อัมพร อธิบายรายละเอียดเอาไว้ว่า งานวิจัยนี้นี้เริ่มต้นในช่วงที่ยังไม่มียาตัวใดเลยที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าสามารถฆ่าไวรัสโคโรนาหรือรักษาโรคโควิด-19 ได้โดยตรง จึงมีการทดลองและเก็บข้อมูลการใช้ยาชนิดต่าง ๆ ที่คาดว่าจะใช้รักษาโควิดได้ เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ และสมุนไพรฟ้าทะลายโจร โดยเป็นการทดลองแบบสุ่มโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบ ใช้ผู้ป่วยโควิดอาการเล็กน้อยอายุตั้งแต่ 18-60 ปี จำนวน 57 คน ที่ยืนยันการตรวจพบเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร อีกกลุ่มกินยาหลอก หรือเม็ดยาเปล่า ๆ ที่ไม่ได้มีฟ้าทะลายโจร

"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
"พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์" อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

จากผู้ป่วย 57 ราย ในกลุ่มผู้ได้รับสารสกัดฟ้าทะลายโจร 29 ราย ไม่พบอาการปอดอักเสบ แต่ในกลุุ่มที่ได้ยาหลอก 28 ราย พบอาการปอดอักเสบ 3 ราย คิดเป็น 10.7%

สำหรับเรื่องความคงอยู่ของตัวไวรัสในวันที่ 5 พบผู้ป่วยกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร ใน 29 ราย ไวรัสอยู่แค่ 10 ราย (34.5%) ส่วนผู้ป่วยกลุ่มกินยาหลอก 28 ราย เจอว่าไวรัสยังอยู่ 16 ราย (57.1%)

ขณะที่ในเรื่องความคลาดเคลื่อนนั้นอยู่ที่ค่านัยสำคัญทางสถิติในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาหลอกในการทดลอง โดยค่านัยสำคัญทางสถิติที่คำนวณได้ครั้งแรกมีความคลาดเคลื่อน กล่าวคือตอนแรกคำนวณได้ว่าเป็น 0.03 และได้นำเสนอไป แต่เมื่อได้กลับพิจารณาอีกครั้ง จึงค้นพบว่ามีจุดอ่อนอยู่จุดหนึ่งแทนที่จะเป็น 0.03 ก็เป็น 0.112 หรือหมายความว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง การค้นพบว่าผลลัพธ์คงเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 97 ครั้ง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก แต่ตัวเลขที่คำนวณถูกต้อง หรือ 0.112 จะหมายความได้ว่า หากมีการทดลอง 100 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เจอว่าเหมือนเดิมจะอยู่ที่ 90 ครั้ง ความคงที่จะลดลงมาในระดับหนึ่ง

วิญญูชนก็น่าจะ "คิด วิเคราะห์ แยกแยะ" พร้อมตั้งคำถามได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

เอาเป็นว่า หลังจากที่ถอนผลวิจัยออกมาแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการปรับปรุง "ความผิดพลาดทางสถิติหนึ่งจุด" ดังกล่าว การวิจัยจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่และจะมีการนำเสนอเพื่อกลับไปตีพิมพ์เหมือนเดิมด้วยข้อมูลที่ออกมาในลักษณะไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ "ไม่อาจกระพริบตา" ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องฟ้าทะลายโจรมาอย่างต่อเนื่อง คงต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" จาก "แพทย์แผนปัจจุบัน" ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ "นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์" ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งออกมาโพสต์เรื่องการถอนผลวิจัยฟ้าทะลายโจรเป็นรายแรกๆ จนต้องออกมาโพสต์แก้ไขซ้ำอีกครั้ง

นพ.สันต์โพสต์เอาไว้ว่า "คณะผู้วิจัยชาวไทยที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของตนครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้ ซึ่งเป็นการตัดบทความเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผล ทั้งนี้ ตนขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนยังมีไม่มากพอ เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา คือการเกิดปอดบวม ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ได้บ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ"

"แต่ฟ้าทะลายโจรมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่า ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจรก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้"

หรือแม้กระทั่ง "กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" เอง โดยเฉพาะตัว "อธิบดี" เองที่ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวเรื่องการถอนผลงานวิจัยเอาไว้ว่า "เราไม่ได้ต้องการให้เชื่อมั่นในฟ้าทะลายโจรจนเกินความพอดี ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อโดยไม่ระมัดระวัง อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" ซึ่งฟังดูแล้วต้องใช้คำว่า "แปลกๆ" ทั้งๆ ที่ "คณะทำงานหลัก" ของการวิจัยชิ้นนี้ก็มีถึง 5 คนที่มาจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเอง

คำว่า "อันนี้ถือเป็นแรงกระตุกที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม" หมายความว่า ดีแล้วที่มีการถอนการวิจัยออกมาเช่นนั้นหรือ?

แล้วที่เป็น "ดรามา" ไม่แพ้กันคือ "หมอแล็บคนดัง" ที่ไปแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของแพทย์คนหนึ่ง พร้อมระบุว่า งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ผู้วิจัยขอถอนออกไปแล้ว เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ "ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ซึ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดอย่างที่ "หมอสันต์" ว่า จนเกิดปรากฏการณ์ "ทัวร์ลง" ทว่า "หมอแล็บคนดัง" ก็ออกมาโพสต์ข้อความในเพจว่า "เสียใจ หาฟ้าทะลายโจรมาให้ผู้ป่วยเยอะมาก ล่าสุดแชร์งานวิจัยที่ถูกถอนแค่งานวิจัยเดียว โดนหาว่าด้อยค่าฟ้าทะลายโจรไปอีกครับ ชีวิตอดสูมาก นอนแพ้บ"

แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ เพราะความจริงก็คือ ในเฟซบุ๊กหมอแล็บคนดังได้ลบข้อความที่ระบุว่า "งานวิจัยฟ้าทะลายโจรชิ้นนี้ถูกถอดออกไปแล้วครับ เพราะคำนวณสถิติผิดพลาด สรุปที่ถูกต้องสำหรับงานวิจัยนี้คือ ฟ้าทะลายโจรไม่แตกต่างจากยาหลอก" ออกจากเพจไป ซึ่งมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด ด้วยมีผู้ "แคปข้อความ" เอาไว้ได้เป็นหลักฐานชัดเจน

ความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากนักสำหรับ "หมอแล็บคนดัง" ถ้าหากจะยอมรับความผิดพลาดอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่การที่แถไถและลบข้อความออกไป ทำให้นักเทคนิคการแพทย์ผู้นี้ถูกมองว่า "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" อย่างที่เจ้าตัวบ่นพึมพำในเพจเฟซบุ๊กของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่สำคัญคือ การใช้คำว่า "ฟ้าทะลายโจรไม่ต่างจากยาหลอก" ถือเป็นคำที่นัยสำคัญมาก

ในทางการแพทย์ "ยาหลอก" (Placebo) ก็คือยาที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่าง ๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ มีส่วนประกอบหลักที่ทำมาจาก แป้งหรือน้ำตาล จากนั้นก็นำไปให้ผู้ป่วยรับประทานเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่คนไข้มีอาการต่างๆ ดีขึ้น จากการให้ยาที่ไม่ได้มีตัวยาอยู่จริง โดยมีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1785

ที่สำคัญคือ ในการทดลองพบว่า ยาหลอกก็มีผลต่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นกันแม้ไม่มีสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์

แต่ในความเข้าใจของประชาชนคนทั่วไป เมื่อเห็นคำว่า "ยาหลอก" มักเข้าใจว่าคือ "ยาปลอม" ซึ่งไม่ถูกต้อง

ดังนั้น การที่ใช้คำว่า "ไม่ต่างจากยาหลอก" จึงเสมือนเป็นการ "ด้อยค่าฟ้าทะลายโจร" ทั้งในทางการแพทย์คือมองว่าเป็นยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์กับโควิด-19 ทั้งในความรู้สึกของประชาชนที่อาจเข้าใจว่าเป็น "ยาปลอม" ไปเลยก็ได้

ทั้งๆ ที่มีผลวิจัยและผลการศึกษามากมายที่ยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจร หนึ่งในนั้นก็คือสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "ฟ้าทะลายโจร" เอาไว้ดังนี้

"สืบเนื่องจากมีผู้เผยแพร่ข้อมูลว่าใช้ฟ้าทะลายโจรแล้วทำให้ตับพัง จากงานวิจัยฟ้าทะลายโจรในต่างประเทศที่ใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งชนิดผงและสารสกัด ในการรักษาอาการหวัด หลอดลมอักเสบ ไม่มีรายงานว่าฟ้าทะลายโจรก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ นอกจากนั้นในการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของการใช้ผงฟ้าทะลายโจรปริมาณ 12 แคปซูล (4.2 กรัม) ต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน (มีปริมาณสาร Andrographolide 97 มิลลิกรัมต่อวัน) ไม่พบว่าการทำงานของเอนไซม์ตับ AST (Aspartate Aminotransferase) และ ALT (Alanine Aminotransferase) ผิดปกติ (Suriyo et al., 2017) สำหรับการศึกษาความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพยาของสารสกัดฟ้าทะลายโจรปริมาณ 9 แคปซูล ต่อวัน (มีปริมาณสาร Andrographolide ขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน) [อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษา] ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นการเพิ่มทั้งขนาดและระยะวันการได้รับฟ้าทะลายโจร ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ตับเช่นกัน

"แต่หากใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีปริมาณสาร Andrographolide ในขนาดสูงถึง 360 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 7 วัน จะพบการเปลี่ยนแปลงของ AST เล็กน้อย ในอาสาสมัคร 1 คนใน 12 คน ซึ่งค่าเอนไซม์ตับที่สูงขึ้นนี้จะกลับเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนค่าเอนไซม์ ALT จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอาสาสมัคร 4 คน ซึ่งคิดเป็น 33.33% แต่การทำงานของเอนไซม์ก็จะกลับเป็นปกติภายใน 1-3 สัปดาห์ ดังนั้นขนาดของสาร Andrographolide ที่เหมาะสม คือ 180 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน จึงไม่ควรใช้ในขนาดและระยะเวลานานเกินกว่านี้

"เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมากที่ต้องการยารักษาโรคโควิด-19 และยาฟ้าทะลายโจรก็เป็นสมุนไพรที่ได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ทั้งกลไกการออกฤทธิ์ อาการข้างเคียง และการศึกษาในทางคลินิกในผู้ติดเชื้อจริง ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน ซึ่งได้มีการใช้ในรูปแบบผง สารสกัด และการพัฒนาสารอนุพันธ์ Andrographolide ให้อยู่ในรูปแบบยาฉีด ดังนั้นหากมีการพบการติดเชื้อโควิด-19 จึงควรใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรทั้งรูปแบบผงและสารสกัดทันที ในขนาดและระยะเวลาที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นยาที่มีประโยชน์มากและมีความปลอดภัยในระดับที่รับได้ เป็นการช่วยลดภาระของรัฐบาลและช่วยระบบสาธารณสุขของชาติได้"

จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับ "ฟ้าทะลายโจร" ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ฟันธงแบบไม่กลัว "ธงหัก" ได้เลยว่า สงครามโควิด-19 ซีซั่นใหม่นี้ ไม่อาจกระพริบตาด้วยมีความลึกลับซับซ้อนและปริศนาในทุกมิติเลยทีเดียว.
#3190


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุม กกร.ได้มีการดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายยาฟ้าทะลายโจรผ่านออนไลน์ที่เข้าข่ายการค้ากำไรเกินควร และดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตัวเอง (ATK) ที่เข้าข่ายการค้ากำไรเกินควร


โดยกรณีแรก การดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายฟ้าทะลายโจร ผ่านระบบออนไลน์หรือผ่านแพลตฟอร์มที่เข้าข่ายการค้ากำไรเกินควร โดยกรมการค้าภายในได้ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีผู้ที่ขายฟ้าทะลายโจรผ่าน 2 แพลตฟอร์ม คือ Lazada และ Shopee จำนวน 10 ราย 3 ยี่ห้อ 1.ยี่ห้ออภัยภูเบศร โดยพฤติการณ์เป็นนำฟ้าทะลายโจรยี่ห้ออภัยภูเบศรไปค้ากำไรเกินควร 8 ราย เป็นฟ้าทะลายโจรขนาดบรรจุ 60 แคปซูล ซึ่งราคาแนะนำที่ผู้ผลิตแจ้งกับกรมการค้าภายในจำหน่ายในราคา 80 บาท มีผู้นำไปขายผ่านแพลตฟอร์มในราคาขวดละ 349-450 บาท แพงกว่าราคาที่แจ้งไว้ถึง 336-463% 2.ยี่ห้อใบห่อ ขนาดบรรจุ 70 แคปซูล ราคาแนะนำ 25 บาท ขายบนแพลตฟอร์ม Lazada 119 บาท สูงกว่าราคาที่แจ้งไว้ 376% จำนวน 1 ราย 3.ยี่ห้อไฟโตแคร์ ขายบนแพลตฟอร์ม Shopee ขนาดบรรจุ 100 เม็ด ราคาที่กำหนดไว้ 180 บาท ขายผ่าน Shopee 490 บาท สูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น 172% รวม 10 ราย

โดยการกระทำดังกล่าว เป็นการเข้าข่ายค้ากำไรเกินควร ผิดมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เจ้าหน้าที่ของกรมการค้าภายใน ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จะร่วมกันดำเนินคดีทั้งการดำเนินคดีกับผู้จำหน่าย และดำเนินคดีกับผู้มีอำนาจตามกฎหมายของแพลตฟอร์ม Lazada และ Shopee ด้วย

ส่วนกรณีที่สอง การดำเนินคดีกรณีนำชุดตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตนเอง (ATK) ที่กระทรวงสาธารณสุขให้จำหน่ายได้ในร้านขายยาที่มีเภสัชชกรควบคุมนั้น ไปจำหน่ายในร้านขายยาแห่งหนึ่งที่เข้าข่ายการค้ากำไรเกินควรที่ราคาแนะนำ 350 บาท ที่เป็นราคาที่ผู้นำเข้าแจ้งกับกรมการค้าภายในไว้ โดยนำไปขายในราคา 450 บาท สูงกว่าที่ควรจะเป็น 29% ถือว่าผิดตามมาตรา 29 จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งพบว่าเป็นร้านขายยาแถวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และได้มีการแจ้งความดำเนินคดีไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ส.ค.64

ทั้งนี้ที่ประชุม กกร. มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นรองประธาน เลขาธิการสำนักงาสคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) และผู้บังคับการตำรวจ ปคบ. เป็นกรรมการ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามสถานการณ์ วิเคราะห์แนวทาง และมาตรการในการกำกับดูแลการจำหน่าย ATK ที่ใช้กับตนเองหรือแบบ Home use ให้เป็นทำตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการต่อไป

นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า ในการจำหน่ายยาฟ้าทะลายโจร และ ATK ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบราคาราคาแนะนำหรืออ้างอิงการจำหน่ายปลีกแต่ละชนิดได้จากการประกาศที่เว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน www.dit.go.th โดยกองจัดระบบราคาและปริมาณสินค้า กรมการค้าภายใน ได้ลงประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.64


รายงานกรมการค้าภายในระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องโดยใช้กฎหมาย หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ที่มีอยู่นั่นคือมาตรา 28 เกี่ยวกับการแสดงหรือปิดป้ายราคาสินค้า และมาตรา 29 เกี่ยวกับการขายเกินราคา ขายเกินราคาที่สมควร และเกิดความปั่นป่วนทางราคา ซึ่งการดูแลความเป็นธรรมการจำหน่ายชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ Covid-19 นั้น ก่อนหน้านี้กรมการค้าภายใน ได้ทำความเข้าใจและขอความร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ให้มีการจำหน่ายที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากชุดตรวจที่ใช้กับตนเอง หรือ Home use นั้น จะต้องได้รับคำปรึกษาจากเภสัชกรเท่านั้น ซึ่งจะมีการจำหน่ายได้ 3 ช่องทางคือ สถานพยาบาล,หน่วยงานของรัฐ และร้านขายยาที่มีเภสัชกรให้คำแนะนำ ดังนั้น การจำหน่ายออนไลน์ถือว่าผิดกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.และเป็นชนิดที่แตกต่างจากแบบ Professional use และกระทรวงสาธารณสุขให้ความเห็นว่า ATK เป็นเวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรคตามประกาศ กกร.ฉบับที่ 8 พ.ศ.2564 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564

รายงานระบุด้วยว่า ด้านคุณสมบัติและเทคนิค ATK ชุดตรวจแบบใช้กับตนเองนั้น แต่ละผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกัน ทั้งเทคนิค วัสดุ ประสิทธิภาพของน้ำยา รวมถึงระยะเวลาการแสดงผลการตรวจ ส่วนการขึ้นทะเบียนชุดตรวจกับนั้นขึ้นกับ อย. กระทรวงสาธารณสุข โดยพิจารณาจากการผ่านมาตรฐานการตรวจสอบความแม่นยำเท่านั้น สำหรับด้านปริมาณชุดตรวจแบบใช้กับตนเองนี้เป็นสินค้าต้องนำเข้าเกือบ 100% สำหรับการคิดต้นทุนและราคาจะพิจารณาจากปริมาณการสั่งซื้อ แหล่งที่มา ยี่ห้อผลิตภัณฑ์ ค่าบริหารจัดการค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเป็นต้น

ทั้งนี้กรมการค้าภายในได้ให้ทางผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้าส่งแจ้งรายละเอียดทั้งกำลังการผลิต จำนวน ปริมาณ ราคาต้นทุน รายละเอียดตามกฎหมาย ทั้งนี้เมื่อมีประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องเรียนมา ก็จะได้มีการสืบสวนสอบสวนราคา เพื่อปฏิบัติตามกฏหมายมาตรา 28 และ 29 ของ พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ต่อไป
#3191


บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นที่รู้จักกันดีจากธุรกิจค้าปลีกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม เช่น ปลาหมึกแผ่นแบรนด์เบนโตะ, โลตัสขาไก่, ขนมเวเฟอร์ช็อกกี้ และเครื่องดื่มอย่างแบรนด์เจเล่ เช่น เจเล่ไลท์, เจเล่บิวตี้

แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 แต่ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จ ในการผลักดันรายได้ทั้งจากการขายในประเทศและต่างประเทศ และมีอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากฐานธุรกิจที่พัฒนาขึ้นมาตลอดช่วง 5 ปีหลัง ส่งให้บริษัทมีความเข้มแข็ง

ชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบัญชีและการเงิน (CFO) บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง กล่าวว่า ผลการเงินรวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2564 บริษัททำรายได้รวม 2,312.1 ล้านบาท มีรายได้จากการขาย 2,170.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิตลอดครึ่งปีที่ 254.7 ล้านบาท และในด้านการเงินได้ปรับเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีโดยไม่ได้รวมรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนของบริษัทฯ ในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศอีกต่อไป ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง

ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 เป็นผลการดำเนินงานที่สะท้อนให้เห็นศักยภาพในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าที่มีฐานธุรกิจในประเทศที่เข้มแข็งพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในต่างประเทศในอนาคต ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว มีคุณภาพและแบรนด์เป็นหนึ่งในใจของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

"ในช่วงโควิด-19 เราก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกับธุรกิจอื่นๆ แต่เราได้เตรียมพื้นฐานรองรับไว้คลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ทั้งการออกกลุ่มสินค้าแบบใหม่ พัฒนาช่องทางในการกระจายสินค้า การเปิดตลาดที่ประเทศอื่น โฟกัสทั้ง Modern trade และTraditional Trade ซึ่งการเตรียมตัวมานานทำให้เราไปได้ มีเครื่องมือ เพื่อที่จะฝ่าฟัน ให้มันเกิดขึ้นไปได้"

ชยุตม์ กล่าวว่า แม้จะยังไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขผลกำไรในไตรมาส 3 ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่ดำเนินอยู่มีปัจจัยให้พิจารณาแตกต่างกันไปแต่ละช่วงสถานการณ์ แต่ฐานรากของศรีนาพรฯ ค่อนข้างเข้มแข็ง และคิดว่าช่วงปลายปีก็น่าจะกลับมาดีขึ้นได้และจะดีขึ้นกว่าปี 2019 -2020 พร้อมกันนี้บริษัทยังมองตลาดต่างประเทศ เช่น ตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV โดยจะขยายฐานการผลิตจากในไทย ไปกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่ง 2 ประเทศนี้นอกจากมีตลาดขนาดใหญ่แล้ว ส่วนสำคัญมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพและตรงกับที่ศรีนานาพรฯ ต้องการ ซึ่งคาดว่าโรงงานผลิตจะทยอยเปิดในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ บริษัทยังได้หาพาร์ทเนอร์และได้ร่วมทุนกับแบรนด์ใหญ่ เช่น การร่วมลงทุนกับ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ในบริษัท สิริ โปร จำกัด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการกระจายสินค้าเข้าถึงร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งดั้งเดิมได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น มุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
#3192
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3193


นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ออกสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เรื่อง จะขีดชื่อห้างหุ้นส่วนบริษัทออกจากทะเบียนจำนวน 10,810 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นนิติบุคคลที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 10,810 ราย เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แยกเป็นนิติบุคคลที่ไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2560-2562 จำนวน 5,795 ราย ซึ่งเป็นเหตุให้เชื่อว่าไม่ได้ทำการค้าขายหรือดำเนินธุรกิจแล้ว และกรณีจดทะเบียนเลิกแล้วแต่ไม่มีตัวผู้ชำระบัญชีทำการอยู่หรือไม่ได้จัดทำรายงานการชำระบัญชี หรือไม่ได้ยื่นจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียนภายในระยะเวลา 3 ปี จำนวน 5,015 ราย โดยจะขีดชื่อนิติบุคคลจำนวนนี้ ให้เป็นสถานะร้างสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ออกประกาศ (16 ก.ค.2564) เว้นแต่จะแสดงเหตุให้เห็นเป็นอย่างอื่น เพื่อเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลนิติบุคคลให้เป็นปัจจุบัน และปิดช่องว่างของมิจฉาชีพที่จะนำความน่าเชื่อถือของนิติบุคคลไปหลอกลวงประชาชน

ส่วนนิติบุคคลที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัด กรมฯ ได้ประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้ดำเนินการตรวจสอบ และขีดชื่อออกเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้มีแนวทางปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ หากพ้นกำหนดเวลา 90 วันนับแต่วันที่ออกประกาศ นิติบุคคลดังกล่าวจะถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนและสิ้นสภาพนิติบุคคล เว้นแต่จะแสดงเหตุให้เห็นเป็นอย่างอื่น แต่แม้นิติบุคคลจะมีสถานะร้างและสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคลไปแล้ว ความรับผิดชอบยังคงไม่ได้สิ้นสภาพตามไปด้วย และอาจคืนสู่ทะเบียนได้โดยการร้องขอต่อศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อออกจากทะเบียน

นายทศพลกล่าวว่า การปรับปรุงฐานข้อมูลสถานะของนิติบุคคล ถือเป็นภารกิจสำคัญที่กรมฯ ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลนิติบุคคลอันจะส่งผลต่อการวิเคราะห์การเจริญเติบโตในภาคธุรกิจและตัดโอกาสการถูกหลอกลวงของประชาชน จึงขอฝากไปยังนิติบุคคลจะต้องดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการจัดทำงบการเงินประจำปีและยื่นต่อกรมฯ ถือเป็นหน้าที่สำคัญของนิติบุคคล รวมไปถึงกรณีที่ธุรกิจมีความจำเป็นจะต้องยุติลง แต่ก็ยังคงมีหน้าที่ในการจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นเช่นกัน

สำหรับประชาชน และผู้ประกอบการ จะต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาคู่ค้าหรือการเลือกลงทุนกับธุรกิจใด จำเป็นจะต้องตรวจสอบข้อมูลหรือสถานะให้ดีเพื่อป้องกันความผิดพลาด โดยประชาชนและธุรกิจที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อนิติบุคคลที่เข้าข่ายจะถูกขีดชื่อ สามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th หัวข้อ คู่มือทำธุรกิจ เลือกจดทะเบียนธุรกิจ และประกาศถอนทะเบียนร้างและคืนสู่ทะเบียน และสามารถตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง โดยตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ www.dbd.go.th เลือกหัวข้อ บริการออนไลน์ และ DBD Datawarehouse+ หรือแอปพลิเคชั่น DBD Service โดยไม่มีค่ามีค่าใช้จ่าย
 
#3194


นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทจะทำการเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Drama-Addict Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น

ภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้
#3195


ความพยายามหา ซื้อชุดตรวจโควิดAntigen Test Kit (ATK) มาใช้คัดกรองด้วยตัวเองในบ้านกำลังเป็นสิ่งจำเป็น ขณะเดียวกัน ATK ก็กำลังกลายเป็นสินค้าที่ถูกตั้งคำถามถึงราคาจำหน่ายที่สูงเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ

โดยราคาจำหน่ายATKในประเทศไทย เฉลี่ยชุดละ(ใช้1ครั้ง) 350-400 บาท  ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา(อย.) จำนวน 29 ราย ในหลากหลายรูปแบบและวิธีการใช้ จากแหล่งนำเข้าต่างๆ เช่น จีน เกาหลีใต้ สวิสเซอร์แลนด์ สเปน เป็นต้น ทั้งนี้ราคาATKในไทยนับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก สำหรับประชาชนเพราะการตรวจที่ว่านี้ไม่ใช่ครั้งเดียวจบ บางรายอาจต้องทำทุกวัน 

จากการสำรวจราคา ATK จากเวบไซด์ออนไลน์ ในต่างประเทศ พบว่า มีราคาเฉลี่ยเพียง1 ชุด / ใช้ 1 ครั้ง เพียงชุดละ  100 บาท โดยเวบไซด์ออนไลน์ชื่อดังของจีน อย่าง Alibaba จำหน่ายเฉลี่ย ชุดละ 0.88-1.19 ดอลลาร์ หรือ ประมาณ 60-100 บาท รวมค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น ในการนำเข้า ขณะที่เวบไซด์eBay เฉลี่ยที่ 80-180 บาท และ Amazon เฉลี่ยที่ 165 บาท 

"ราคาจำหน่ายในไทยค่อนข้างสูงมากเพื่อเทียบกับราคาจำหน่ายในต่างประเทศ ที่แม้จะรวมค่าใช้จ่ายการขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นถ้ามี เพราะไทยประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องมือแพทย์มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังพบว่าราคา ATK ที่คนไทยจำเป็นต้องใช้นั้นยังมีราคาสูงกว่าราคาเฉลี่ยทั่วโลกกว่าเท่าตัว"

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยสัมภาษณ์เกี่ยวกับ ATK ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกับกรมการค้าภายใน ได้ติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิด และหากพบว่ารายใดที่ขายแพงเกินสมควร กรมการค้าภายในก็จะใช้กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มาตรา 29 เพื่อดำเนินคดีข้อหาค้ากำไรเกินควร ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

วัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงการกำหนดราคาชุดตรวจโควิดว่า ขณะนี้ได้ขอให้ผู้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้า ATK กับอย.ให้ทำการแจ้งต้นทุนและแจ้งราคาจำหน่ายปลีกที่กรมการค้าภายในด้วยใช้ในการตรวจสอบราคา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจติดตามรวมทั้งมีสายด่วน 1569 รับเรื่องหากพบว่ามีผู้จำหน่ายรายใดจำหน่ายในราคาแพงเกินสมควร เกิดความปั่นป่วน

ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าโดยรวม  จากผลกระทบโควิดที่ระบาดในภาคอุตสาหกรรมและแรงงานโดยทั่วไปนั้น สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ราคาสินค้ายังปกติแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด19 ยกเว้นอาหารสดบางชนิด เช่น เนื้อสุกร ไข่ไก่ ผลไม้สด ที่เพิ่มขึ้นในบางช่วงระยะเวลา ตามความต้องการในช่วงล็อคดาวน์ประกอบกับเกิดโรคระบาดในสุกรทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อยลง 

ส่วนสินค้าในหมวดอื่น ๆ จะยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ ตามปริมาณผลผลิตและความต้องการ ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรยังมีโอกาสผันผวนตามสภาพอากาศ และยังมีปัจจัยจากโควิด-19 ที่กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน

สำหรับสถานการณ์ตลาด ATK ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)กล่าวว่าเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2564 คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้มีมติให้ สปสช. ดำเนินการจัดหาชุดตรวจโควิด Antigen test kit (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด แจกให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ด้วยเอง ในช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. นี้

"หลังสิ้นสุดเดือน ก.ย. ก็จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง หากมีความจำเป็นจะต้องซื้อATKเพิ่ม สปสช. ก็จะดำเนินการ"

คาดว่าสถานการณ์โควิด-19 ในปีงบประมาณหน้าจะยังมีความรุนแรง ฉะนั้นชุดตรวจโควิดATK จำนวน 8.5 ล้านชุด จึงเป็นประเด็นสำคัญ โจทย์คือจะทำอย่างไรให้ชุดตรวจเหล่านั้นกระจายถึงมือประชาชนกลุ่มเสี่ยงได้รวดเร็วและกว้างขวางที่สุด เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการของประชาชน

นอกจากนี้ สปสช. ถือโอกาสขอความร่วมมือ ชักชวนร้านขายยาเป็นหน่วยกระจายชุดตรวจโควิดATK เนื่องจากร้านขายยาทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.1) นั้นมีจำนวนมาก และน่าจะมีบุคลากรที่คอยแนะนำการตรวจให้กับประชาชนได้

จากท่าทีของหน่วยงานภาครัฐด้านสาธารณสุข นี้จะช่วยลดปัญหาหากมีการคุมเข้มเรื่องราคาสินค้า่อาจเกิดปัญหาด้านปริมาณสินค้าหายไปจากตลาดได้  ทั้งนี้ การนำ ATKมาใช้เพื่อจำแนกคนติดเชื้อออกไปจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การยับยั่งการระบาดของโควิดบรรเทาลงในเร็ววันเพราะการระบาดไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพส่วนบุคคลแต่กำลังจะกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่โดยรวม ดังนั้นการทำให้ประชาชนเข้าถึง ATK ได้โดยง่ายและมีราคาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้ถือว่ารัฐมีเครื่องมือทั้งราคาเปรียบเทียบกับต่างประเทศซึ่งพอจะเป็นไกด์ไลน์ถึงราคาที่เหมาะสมและการรักษาปริมาณสินค้าไม่ให้หายไปจากตลาดด้วยการแจกATKของสปสช. 8.5 ล้านชุด ซึ่งจากนี้ก็เหลือแต่ภาคเอกชนผู้นำเข้าที่ต้องพิจารณาว่าธุรกิจนี้ควรมีกำไรในสัดส่วนที่เท่าไหร่ 
#3196


บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) หรือ PAP ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ประจำปี 2564 เติบโตต่อเนื่อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 257 ล้านบาท หรือร้อยละ 2,641 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

นางเอื้อมพร ปัญญาใส กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 4,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,102 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 กำไรสุทธิ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473 ล้านบาท หรือร้อยละ 876 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2564 ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจยังคงมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องรักษาการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและบริการ 2,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 568 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญยังคงมาจากทิศทางราคาเหล็กโลก และราคาเหล็กในประเทศที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแผนบริหารจัดการสินค้าคงเหลือ การลดต้นทุน และการจัดการภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมด้านแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงแผนการผลิตและขนส่งสินค้า เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าและบริการให้แก่คู่ค้า ลูกค้า ได้ทันต่อความต้องการ ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ในการทำงาน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การบริหารจัดการต้นทุน และเตรียมพร้อมบุคลากร อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

พร้อมทั้งเดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยของพนักงานขั้นสูงสุด มีการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่พนักงาน ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการให้พนักงานทุกคนได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 100% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า รวมทั้งสร้างความปลอดภัยในระดับสูงสุดให้ทั้งพนักงานและคู่ค้า นอกจากนี้บริษัทฯ มีนโยบาย Work From Home เพื่อให้พนักงานลดความเสี่ยง รวมทั้งการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ พร้อมจัดทำสถานที่กักตัว หรือโรงพยาบาลสนามในสถานประกอบการ (FAI) จัดเตรียมที่พักผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับพนักงานที่ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว

จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ สามารถดำเนินการส่งมอบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้า ลูกค้า ได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพ และจะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น
#3197


โดยปกติเราไม่ค่อยได้ยินข่าวประเทศจากเอเชียกลางอย่างอุซเบกิสถานมากนัก แต่เมื่อกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา กรุงทาชเคนต์ของอุซเบกิสถาน เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติหัวข้อ "เอเชียกลางและเอเชียใต้: การเชื่อมต่อ ความท้าทาย และโอกาสระดับภูมิภาค" ถือว่าจัดได้ถูกที่ถูกเวลา มีประเทศเข้าร่วมถึง 50 ประเทศ เช่น ตุรกี อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน รัสเซีย อินเดีย จีน และสหรัฐอเมริกา  รวมถึงตัวแทนจากองค์การระหว่างประเทศ กลุ่มคลังสมองเด่นๆ สถาบันการเงิน บริษัท ภาคธุรกิจอีกกว่า 30 องค์กร

ที่สำคัญคือผู้นำหลายคนมาพบกันในเวทีนี้ อาทิ ประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ของอัฟกานิสถาน นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน แห่งปากีสถาน เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียสุพรหมณยัม ชัยศังกระรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย และหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ในช่วงเวลาที่เกิดข้อพิพาททางภูมิรัฐศาสตร์โดยมีเอเชียเป็นศูนย์กลาง เวทีนี้จึงเป็นการแสดงถึงความวิตกกังวลร่วมกัน แล้วแสวงหาเจตจำนงร่วมบนเส้นทางเอเชียกลาง-ใต้ ที่จะเป็นพื้นที่สำคัญของระบบระหว่างประเทศในอนาคต ผ่านการประกาศ"ปฏิญญาทาชเคนต์แห่งเอเชียใหม่"

ประธานาธิบดีชาฟเคท เมอซิโยเยฟแห่งสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน แสดงสุนทรพจน์ครั้งประวัติศาสตร์ ขนานนามเอเชียกลางและเอเชียใต้ว่า "สะพานแห่งการสนทนา" ระหว่างผู้คนกับอารยธรรม เป็น "เส้นทางสายไหมอันยิ่งใหญ่" โดยได้เน้นย้ำถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ตอบโต้ข้อสรุปเรื่องการปะทะกันของอารยธรรมว่า เอเชียกลางและเอเชียใต้ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนยากจน ตรงกันข้ามที่นี่คือศูนย์กลางแห่งอารยธรรม วิทยาศาสตร์ ความมั่งคั่ง ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามนุษย์ ตัวชี้วัดพื้นฐานที่สุดดูได้จาก เมืองและถนนหนทาง (บนเส้นทางสายไหมในประวัติศาสตร์) ภูมิภาคนี้สามารถฟื้นคืนความมั่งคั่งและมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างอารยธรรม

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

เอเชียกลางและเอเชียใต้ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ของคนป่าฆาตกร หรือมีปัญหาความมั่นคงอย่างที่ถูกตีตรา ในทางกลับกันที่นี่เป็นศูนย์กลางของความมั่นคง เสถียรภาพ ความยุติธรรม อดทนอดกลั้น และอยู่ร่วมกันมาหลายร้อยปี

ทั้งยังเป็นภูมิภาคที่ยึดประชาชนและมนุษยธรรมเป็นศูนย์กลาง ผู้คนต่างศาสนา อิสลาม พุทธ ฮินดู และอื่นๆ จึงอยู่ร่วมกันมานานหลายศตวรรษ กลายเป็นหุ้นส่วนทางชาติพันธุ์อันยิ่งใหญ่ รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมหลากสีสัน โครงสร้างทางภูมิวัฒนธรรมเช่นนี้ที่กำลังถูกทำให้กลายเป็นความขัดแย้ง แท้จริงแล้วมีประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันมาก ทุกคนในพื้นที่สังเกตเห็นได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรตระหนักถึงศักยภาพด้านการท่องเท่ี่ยวระหว่างเอเชียกลางและเอเชียใต้ และควรขยายการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม

เอเชียกลางและเอเชียใต้เป็นที่ตั้งแห่งเอกภาพ ไม่ใช่การปะทะกันของอารยธรรมอย่างที่เคยมีคนว่าเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่เอเชียกลางและเอเชียใต้ต้องจับ "จิตวิญญาณเส้นทางสายไหม" ไว้ให้ได้เพื่อร่วมมือกัน และต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ที่เริ่มขาดหายกันไปซึ่งยังไม่สายเกินไป

ภายใต้บริบทนี้ อุซเบกิสถานยุคใหม่จึงดำเนินการภายใต้กรอบความรับผิดชอบของประเทศ ชี้วัดได้จากกระบวนการความร่วมมือใหม่ที่อุซเบกิสถานพัฒนากับเพื่อนบ้าน ด้วยเชื่อว่า ความเข้าใจและความร่วมมือนี้จะโดดเด่นไปทั่วภูมิภาคสะท้อนถึงความพยายามทั้งหมดที่ทำ

ประธานาธิบเมอร์ซิโยเยฟกล่าวด้วยว่า โครงการที่ตนเสนอต่อที่ประชุม เน้นความร่วมมือเป็นพื้นฐาน เป็นส่วนเสริมมิใช่แข่งขันกับโครงการที่ทำมาก่อน ทั้งยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการริเริ่มสายแถบและเส้นทางในแง่ของการเปิดศักยภาพความร่วมมือที่ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์อย่างกว้างขวางยิ่ง ตัวอย่างเช่น เส้นทางแคสเปียน-เอเชียกลาง-เอเชียใต้ที่เป็น "หัวใจแห่งเอเชีย" เส้นทางรถไฟสาย Tirmidhi-Mazar-i-Sharif-Kabil-Peshawar ที่ครอบคลุมอุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน และปากีสถาน เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่สุดเข้ากันได้กับโครงการสายแถบและเส้นทางซึ่งไม่ควรประเมินเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจ-พาณิชย์เท่านั้น โดยเฉพาะในประเด็นอัฟกานิสถาน

"เส้นทางการคมนาคมนี้จะมีประสิทธิภาพในความร่วมมือระหว่างภูมิภาค สร้างสันติภาพและเสถียรภาพและพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศนี้" ประธานาธิบดีอุซเบกิสถานย้ำโดยพิจารณาจากมิติของอัฟกานิสถาน

กล่าวโดยสรุป สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีชี้ให้เห็นว่า อุซเบกิสถานปรารถนาสร้างสันติภาพและเสถียรภาพ สถาปนาความสัมพันธ์อันกว้างขวางและลึกซึ้งระหว่างเอเชียกลางกับเอเชียใต้ การประชุม "เอเชียกลางและเอเชียใต้: การเชื่อมต่อระดับภูมิภาค ความท้าทายและโอกาส" ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าภาพเท่านั้น แต่เน้นย้ำผลประโยชน์ร่วมที่สำคัญในแง่การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในอัฟกานิสถาน

"อัฟกานิสถานไม่ได้มีความหมายแค่เอเชียกลางหรือเอเชียใต้เท่านั้น แต่เป็นประโยชน์สำหรับทวีปเอเชียโดยรวมและโครงการที่พัฒนาขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือนี้" ประธานาธิบดีอุซเบกิสถานกล่าวทิ้งท้าย
#3198


ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D​ Bank ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินงาน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้ "โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย" วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี วงเงินกู้ บุคคลธรรมดาสูงสุด 3 แสนบาท นิติบุคคลสูงสุด 5 แสนบาท ที่จะเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ ในวันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ในรูปแบบมาก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) จนกว่าจะเต็มวงเงิน และอนุมัติตามความพร้อมของเอกสาร จึงขอแนะนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ ตรวจสอบคุณสมบัติ และเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ และพิจารณาอนุมัติ เช่น ต้องเป็นสมาชิก สสว. อยู่ในกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว. ประกอบธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น


ส่วนเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อพิจารณาอนุมัติ เช่น ใบอนุญาตเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ , หลักฐานการชำระภาษีเงินได้ , ผลตรวจข้อมูลเครดิต เป็นต้น โดยสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมโดยละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของ SME D Bank ( https://www.smebank.co.th/ )

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจและมีคุณสมบัติตรงตามกำหนด สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด โดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka รวมถึง เว็บไซต์ของ SME D Bank , Line OA : SME Development Bank และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank
#3199


ความเคลื่อนไหว "ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (9 ส.ค.) ปิดตลาดดัชนี SET INDEX อยู่ที่ 1,540.19 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด หรือ 1.21% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 69,879.20 ล้านบาท ระหว่างวันเคลื่อนไหว "สูงสุด" แตะระดับ 1,543.71 จุด และต่ำสุด 1,525.29 จุด โดยเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นจาก แรงซื้อกลุ่มหุ้นเปิดเมือง (Reopening Play) นำโดยขนส่ง AOT บวก 4.48% ธนาคาร KBANK 3.83% และ SCB 2.90% จากความคาดหวังของนักลงทุนภายหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับลดลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี ไม่แนะนำลงทุนกลุ่ม Reopening ในระยะกลาง-ยาว โดยแนะนำซื้อขายทำกำไร (เทรดดิ้ง) เท่านั้น เพราะยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศที่ยังสูง รวมถึงยังต้องติดตามจำนวนผู้รักษาหายและจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนในระยะต่อจากนี้ ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2564 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นผันผวน

"มุมมองตลาดสัปดาห์นี้ เราคาดดัชนีแกว่งตัวที่แนวรับ 1,500-1,520 จุด และแนวต้าน 1,550-1,567 จุด โดยการลงทุนแนะนำกลุ่มที่มีความทนทาน-ปลอดภัย (Defensive Play) ได้แก่ สื่อสาร ADVANC โรงไฟฟ้า BCPG รวมถึงหุ้นงบดี INOX และ UV"
#3200


อว. เผย 10 สถิติในเวลาที่ไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว 20 ล้านโดส เร็วขึ้น 3.4 เท่า สูงสุดเกินวันละ 670,000 โดส

วันนี้ (10 ส.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว เป็นจำนวนถึง 20 ล้านโดส โดยใช้เวลาเพียง 36 วันในการฉีด 10 ล้านโดสหลังนี้

พร้อมเปิด 10 สถิติสำคัญ ดังนี้

1. ประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วมากกว่า 20 ล้านโดส โดย 10 ล้านโดสแรกใช้เวลา 124 วัน แต่สิบล้านโดสหลังใช้เวลาเพียง 36 วัน (เร็วขึ้นกว่า 3.4 เท่า) ขณะนี้มีประชากร 23.9% ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม และมี 6.7% ที่ฉีดครบสองเข็ม นอกจากนี้ 0.3% ได้รับวัคซีนเข็มสามแล้วโดยเป็นบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข

2. ใช้วัคซีนโควิด-19 จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ ซิโนแวค (48.77% ของจำนวนโดส), แอสตร้าเซนเนก้า (43.95%) ซิโนฟาร์ม (7.00%) และไฟเซอร์ (0.28%) แต่ในแง่จำนวนคนนั้น มีผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซนเนกามากกว่าซิโนแวก 1.5 ล้านคน

3. ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ในไทยแล้ว 6 ชนิด และอยู่ระหว่างดำเนินการขึ้นทะเบียนอีก 2 ชนิด

4. จำนวนการฉีดวัคซีนมากที่สุดเกิน 670,000 โดสต่อวัน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564

5. จังหวัดภูเก็ต ได้ฉีดวัคซีนโควืด-19 ครอบคลุมประชากรมากที่สุด โดย 75.9% ของคนภูเก็ตได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม และ 59.2% ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว ส่วนกรุงเทพมหานครได้รับวัคซีนแล้ว 70.2% ของประชากร โดย 14.9% ฉีดครบสองเข็มแล้ว ทั้งนี้ทั้งสองจังหวัดมีการฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 80% แล้ว สำหรับจังหวัดที่ฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเกิน 80% แล้วคือ จังหวัดสมุทรปราการ

6. ประเทศไทยมีจำนวนการฉีดวัคซีนจำนวนเป็นอันดับ 4 ในอาเซียน และร้อยละการครอบคลุมประชากรเป็นอันดับที่ 5

7. ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นอันดับที่ 27 ของโลกในแง่จำนวนโดส

8. ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด-19 แล้วมากกว่า 30 ล้านโดส ได้แก่ แอสตราเซนเนกา 12.8 ล้านโดส ซิโนแวก 12.5 ล้านโดส ซิโนฟาร์ม 5 ล้านโดส และ ไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส โดยได้รับบริจาควัคซีนจาก จีน 1 ล้านโดส (ซิโนแวก) ญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส (แอสตราเซนเนกา) สหราชอาณาจักร 0.42 ล้านโดส (แอสตราเซนเนกา) และสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส (ไฟเซอร์)

9. วัคซีนสามารถลดการเสียชีวิต โดยผลการวิเคราะห์ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวน 819 ราย มี 74.5% ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และมีเพียง 2 รายที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว

10. วัคซีนที่วิจัยและพัฒนาโดยคนไทยอย่างน้อย 4 ชนิดกำลังทดสอบในมนุษย์ ได้แก่ วัคซีน ChulaCov19 พัฒนาโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วัคซีน HXP-GPOVac พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดลและองค์การเภสัชกรรม, วัคซีน COVIGEN พัฒนาโดยบริษัทไบโอเนท-เอเชีย จำกัด และวัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax 1 พัฒนาโดยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัดและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย