• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Jenny937

#3121


โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อประชาชนที่มีฐานะยากจน "ปทุมธานีโมเดล" เป็นโครงการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่เคยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณริมคลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ในอดีตคลองรังสิตเป็นคลองสายหลักในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี มีการขุดคลองนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2433 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ให้คลองรังสิตนี้ ทำหน้าที่ระบายน้ำจากแม่น้ำนครนายกกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆเพื่อเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของทุ่งรังสิต การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาริมคลองนี้มีชุมชนเกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่เป็นรูปแบบบ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนที่บุกรุก โดยพบว่าชุมชนบุกรุกมีการก่อตั้งบ้านเรือนรุกล้ำเข้าไปในคลองต่างๆจำนวนมาก ทำให้ปัญหาเรื่องการระบายน้ำ การแก้ไขปัญหาการระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนในการรักษาความสะอาด รวมทั้งการรื้อถอนบ้านเรือนประชาชนที่รุกล้ำลำคลอง

ในปีพ.ศ.2559รัฐบาลได้มี นโยบายแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อคนยากจนที่บุกรุกที่สาธารณะริมคลอง สร้างโอกาสให้มีที่พักอย่างอาศัยที่มั่นคง ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่สาธารณะริมคลองหนึ่ง ใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้รับการจัดสรรพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงในด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการปทุมธานีโมเดล

นาย ธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการปทุมธานีโมเดล ว่า " ปทุมธานีโมเดล มุ่งแก้ไขพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่อยู่บริเวณริมคลองในเขตปทุมธานี ในบริเวณ คลอง 1 ซึ่งมีชุมชนที่บุกรุก 16 ชุมชน 1000 กว่าครัวเรือน กระทรวงการพัฒนาชุมชน ร่วมกับผู้ว่าจังหวัดปทุมธานี ร่วมมือกัน จัดทำโครงการ "ปทุมธานีโมเดล" แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและพัฒนาชุมชนไปพร้อมกัน โครงการปทุมธานีโมเดล มีการแก้ปัญหา 3รูปแบบ



รูปแบบที่ 1เป็นการร่วมมือของ 3 หน่วยงานคือ จังหวัดปทุมธานี กรมธนารักษ์ และ พ.อ.ช. กรมธนารักษ์จัดหาที่ราชพัสดุ ประมาณ 30 ไร่ ใกล้กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัย โดยวางแผนจัดสร้างเป็นที่พักแบบอาคารชุด 6 อาคาร โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้ว 4 อาคาร และเริ่มมีเข้าผู้พักอาศัยแล้ว

รูปแบบที่ 2 ชุมชนรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ รวมกันซื้อที่ดินเองในการปลูกสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัย ได้ซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่เศษ ประชาชนประมาณ 100 กว่าครัวเรือน รื้อบ้านที่อยู่ริมคลอง มาอยู่ในที่ดินแห่งใหม่ โครงการก็เริ่มมาตั้งแต่ 2559 เหมือนกับโครงการรูปแบบที่ 1 และดำเนินการสร้างพักเสร็จปลายปี 2560 ประชาชนเข้ามาอยู่อาศัยได้ประมาณ 3 ปี แล้ว โครงการรูปแบบที่ 2 นี้ สำเร็จไปแล้วทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์

รูปแบบที่ 3 คืออยู่บริเวณเดียวกับรูปแบบที่ 1 ในพื้นที่ 30 ไร่ ของราชพัสดุ โดยเป็นชุมชนที่บุกรุกเดิมในพื้นที่ เปลี่ยนจากการบุกรุกมาสู่การสร้างที่พักอาศัยในบริเวณเดิมที่บุกรุกของจำนวน 34 ครัวเรือน

การคืบหน้าของโครงการทั้ง 3 รูปแบบ มีประชาชนที่เข้ามาพักอาศัยแล้ว 300 ครัวเรือน จากเป้าหมาย 1084ครัวเรือน เป็นพื้นที่รวม 16 กิโลเมตร ตั้งกระจายอยู่ตามเส้นทางตั้งแต่ ชุมชนริมคลอง 1 ถึงวัดคุณหญิงส้มจีน อีก 700 กว่าครัวเรือนจะเป็นระยะต่อไป ที่จะต้องพูดคุยกับชุมชน และหาที่ดินรองรับ ให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อเข้าสู่โครงการระยะต่อไป


จากความสำเร็จของโครงการที่คลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร และปทุมธานีโมเดลระยะที่ 1 ได้สร้างความสั่นคงในที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน นับเป็นความสำเร็จที่ ทำให้เกิดความเข้าใจและการตอบรับที่ดีจากชุมชน ในโครงการปทุมธานีโมเดล ระยะ ที่ 2

บ้านที่อยู่อาศัย นับเป็นปัจจัย 1 ใน 4 ในการดำเนินชีวิต เริ่มจากการมีบ้านที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี และมีชุมชนที่เข็มแข็ง จะทำให้การเดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาน ทำได้อย่างเต็มที่และมรประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาต่างๆก็ดีขึ้น เช่นปัญหาการป้องกันแพร่กระจายของโควิด – 19 ในชุมชนที่ได้รับการพัฒนาแล้ว จะทำได้ดีกว่าชุมชนเดิม ที่เป็นชุมชนแออัด เพราะในชุมชนมีพื้นที่ส่วนกลางของสหกรณ์ที่สามารถนำมาปรับให้เป็นพื้นที่พักคอยรอการส่งต่อ และในบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น มีห้องพักที่สามารถให้ผู้ป่วยในระบบ Homeisolate ผู้ป่วยสามารถแยกกักตัวได้ การมีผู้นำชุมชนแบบเป็นทางการจากชุมชนใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความแข็งแรงของชุมชน สามารถดูแลสมาชิกในชุมชนได้ดีขึ้นเป็นระบบมากขึ้น การจัดทำโครงการบ้านมั่นคงในรูปแบบสหกรณ์เป็นกลไกลในการบริหารโครงการกรรมการสหกรณ์ก็สามารถเป็นกลไกลที่ช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนได้ การดำเนินโครงการต้องมีอุปสรรคบ้างจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยปัญหาเหล่านี้ทาง พ.อ.ช เน้นเรื่องการพูดคุย สร้างความเข้าใจให้กับคนในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่ เข้าใจและให้ความร่วมมือทำให้โครงการดำเนินต่อไปได้อย่างดี การพัฒนาที่อยู่อาศัยอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ ชาติ 20 ปี เป็นนโยบายที่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดำเนินการ โดยมีจุดมุ่งหมายว่าประชาชนทุกคนต้องมีบ้านที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีชุมชนที่เข็มแข็ง ทุกคนภายในปี 2579 พ.อ.ช.มุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายตามแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม มีสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างชุมชนที่ดี สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนทั่วประเทศ

นอกจากที่อยู่อาศัยที่มั่นคงอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว การมีอาชีพที่มั่นคงถือเป็นความสำคัญ ประชาชนมีรายได้เลี้ยงตนเอง สร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจให้ตนเองและชุมชน ตัวอย่างเช่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ ต.จอเบาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส

อรุณี ยะโย ประธานวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ กล่าวถึงการรวมกลุ่มว่า "วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เกิดจากการรวมกลุ่มของแม่บ้าน ที่มองเห็นถึงโอกาสในการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรแปรรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เมื่อเกิดการรวมกลุ่มแม่บ้าน ก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหลายหน่วยงาน เช่น พช.เข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนด้านเทคนิคการผลิต การให้ความรู้ สนับสนุนอุปกรณ์ ทำให้กลุ่มเข็มแข็งมากขึ้น การดำเนินของกลุ่มจะรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรเช่นลูกหยีและผลผลิตตามฤดูกาลเช่น ส้มแขก ทุเรียน แต่ผลผลิตหลักคือลูกหยี เพราะสามารถเก็บไปได้นาน การแปรรูปลูกหยีมีหลากหลายรสชาติ สามารถจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ และยังต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวชุมชน ทำให้กลุ่มและชุมชน มีรายได้จากการท่องเที่ยวและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้"

วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประสานกับการนำนวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทางกลุ่ม ให้มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลูกหยีกวน ลูกหยีทรงเครื่อง หรือส้มแขกแช่อิ่ม โดยที่ผ่านมาทาง วิสาหกิจชุมชนแปรรูปทางการเกษตรบ้านนากอก็ได้รับการสนับสนุน จากหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ และมอบอุปกรณ์และพัฒนาระบบการผลิตให้มาตราฐาน

น.อ.วิชชา พรหมคีรี รอง ผอ.รมน.จังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า " กอ.รมน.มีบทบาทในการประสานงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่และดูแลความสงบเรียบร้อย ช่วยเหลือประชาชน มีการส่งเสริมในการประกอบอาชีพต่าง วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เป็นชุมชนที่มีความเข็มแข็ง ทั้งด้านการท่องเที่ยว และมีความสามารถ มีความคิดริเริ่มในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในท้องถิ่นให้เป็นสินค้า สามารถจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับกลุ่มและชุมชน และได้รับการส่งเสริมจากหลากหลายหน่วยงานในจังหวัดทำให้ชุมชนมีความเข็มแข็งมากขึ้น "

ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านนากอ เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่นคงและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสมาชิกได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทางกลุ่มมีแนวคิดสร้างเครือข่ายชุมชนสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน โดยมีการหารือแนวทางในการร่วมกันบริหารจัดการและสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการขึ้นทะเบียน GMP เพื่อที่ช่วยยกระดับมาตรฐาน และสร้างความมั่นใจ

การสร้างโอกาสให้กับประชาชนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะคนทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่อย่างเท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสทางอาชีพที่เหมาะสมให้ผู้มีความบกพร่องทางร่างกายทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีอาชีพ สามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง พร้อมเปิดโอกาสให้เขาได้ทำประโยชน์แก่สังคม

โครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพและสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการ มูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เป็นมูลนิธิที่ทำงานอยู่กับคนที่มีความผิดปกติหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งอยู่ในชุมชนบัวใหญ่มาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยงานหลักของมูลนิธิ นั่นคือการช่วยเหลือและสนับสนุนคนพิการให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและความครัวได้ ผลจากข้อนี้ก็จะช่วยให้คนพิการเกิดการยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้น เกิดเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองและมีสุขภาพจิตที่ดี ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้เห็นความสำเร็จพร้อมๆ กับปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน จึงเกิดแนวคิดสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพ และสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการเพื่อให้พวกเค้าเกิดเป็นองค์ความรู้สำหรับการต่อยอด และนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาร่วมกับคนพิการต่อไปในอนาคต

นางพัชราภรณ์ ชนภัณฑารักษ์ กล่าวถึงความเป็นมาของมูลนิธิว่า "จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปัญหาของกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องการเข้าถึงสิทธิ์ แต่เป็นปัญหาเรื่องการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสม ทางมูลนิธิได้นำงานวิจัยมาทอดบทเรียนได้ต้นแบบ 4 ต้นแบบ นำต้นแบบมาขยายผลสู่เยาวชน 40 คน เยาวชนกลุ่มนี้ได้เข้ารับการฝึกอบรมด้านอาชีพ และกลับมาเป็นแกนนำ ต่อจากนั้นทางมูลนิธิได้ขอทุนสนับสนุน จาก กศศ เพื่อใช้ในการพัฒนาและยกระดับ กลุ่มคนพิการ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนผู้มีบกพร่องทางร่างกาย ให้เข้าถึงสิทธิ์ต่างๆของทางภาครัฐและได้รับอุปกรณ์ ส่งเสริมให้มีอาชีพ มีรายได้ และสามารถพึ่งพิงตัวเองได้ครับ ทั้งนี้มูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ได้จัดโครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพของเครือข่ายกลุ่มคนพิการขึ้น เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ ด้านภูมิปัญญางานหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่ใช้สมองและงานฝีมือ ให้พวกเขามีอาชีพและสร้างรายได้ตามศักยภาพของตนเอง และวางแผนขยายช่องทางการตลาดผ่านระบบออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากการฝึกอบรมการขายแบบออนไลน์ให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ผลปรากฏว่ามียอดการสั่งจองสินค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้พิการมีรายได้มากขึ้น"

นอกจากการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมแล้ว ยังมีการส่งเสริมอาชีพการทำการเกษตรให้กับคนพิการบางกลุ่มที่ไม่มีความถนัดในงานหัตกรรม การส่งเสริม การประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประกอบด้วยการเลี้ยงไก่ การปลูกผักอินทรีย์ โดยเน้นปลูกผักใช้น้ำน้อย สามารถดูแลได้ง่าย เพื่อให้รายได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และมูลนิธิยังคอยติดตามช่วยเหลือแนะนำ รวมทั้งรับซื้อผลผลิตของกลุ่มผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายด้วย โครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพและสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการของมูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างพลังให้กลุ่มคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย สร้างความภาคภูมิใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
#3122


บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ  BEC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า  บริษัทมีผลกำไรสุทธิในส่วนที่เป็นของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2/2564 อยู่ที่ 184.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 169.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  โดยผลประกอบการของบริษัทฯ พลิกกลับเป็นกำไรมาสี่ไตรมาสติดต่อกัน ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2563 จนถึงไตรมาสนี้  ถึงแม้การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในระลอกที่ 3 จะยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้เม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในไตรมาสที่ 2/2564 มีการขยายตัวจากการปรับตัวของผู้ซื้อโฆษณา


BEC ได้มีการปรับปรุงคอนเทนต์รายการข่าวทั้งผัง และมีผู้ประกาศข่าวที่มีความนิยมสูง เช่น คุณสรยุทธ ทัศนจินดา มาดำเนินรายการ รวมถึงการนำเสนอละครใหม่ที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่นในการการปรับผังรายการต่างๆ ตามเม็ดเงินโฆษณา ทำให้รายได้รวมของกลุ่ม BEC เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสที่ 2/2563 และจากไตรมาสที่ 1/2564 อย่างต่อเนื่อง

จากกลยุทธ์"Single Content Multiple Platform" ของกลุ่ม BEC ธุรกิจการจัดจำหน่ายลิขสิทธ์ละครไปต่างประเทศ (Global Content Licensing) และธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม (Digital Platform) มีการขยายตัวอย่างมาก ซึ่งไตรมาสนี้มีรายได้รวม 225.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.0% รายได้รวมของกลุ่ม BEC 

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในงบแสดงฐานะการเงินเพิ่มขึ้น 1,099.4 ล้านบาทหรือ 39.9% จาก ณ สิ้นปี2563 มาอยู่ที่ 3,587.7 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2564 โดยมีกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน 1,844.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2563
#3123


บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า  ในไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ จำนวน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% จากไตรมาส 2 ปี 2563 หรือคิดเป็นอัตรากำไรที่ 19.4% ใกล้เคียงกับ 19.6% ในไตรมาส 2 ปี 2563

ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายการพิเศษ กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากไตรมาส 2 ปี 2563 นับว่าเป็นกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทฯ ก่อตั้งมา โดยปัจจัยหลักของกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสินค้าที่บริษัทส่งออกไปขายยังต่างประเทศจนทำให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกขึ้นมาอยู่ที่ระดับ50% 

ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2564มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากไตรมาส 2 ปี2563 โดยมีสาเหตุจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากไตรมาส 2 ปี 2563 สาเหตุหลักจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ดำเนินการผลิตด้วยตนเอง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนรายได้คิดเป็นสัดส่วน 79% ของรายได้จากการขายรวม

ฐานะการเงินรวมของบริษัทฯ สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เมื่อเทียบกับสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 สินทรัพย์ ดังนี้ 

สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 18,220 ล้านบาทและ 17,087 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 1.134 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น 898 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 379 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาเมื่อเดือนมิถุนายน

หนี้สิน บริษัทฯ มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 8,412 ล้านบาทและ 6,929 ล้านบาท ตามลำดับเพิ่มขึ้น 1,482 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 7.074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,419 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียนจำนวน 1.338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64 ล้านบาท สาเหตุหลักที่หนี้สินเพิ่มขึ้นมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น 2,345ล้านบาท ในขณะที่หุ้นกู้ครบกำหนดชำระจึงลดลงไป 1,090 ล้านบาท

ส่วนของผู้ถือหุ้นชวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 9,809 ล้านบาทและ 10, 157 ล้านบาท ตามลำดับลดลง 349 ล้านบาท เนื่องจากทางบริษัทฯ มีจ่ายปันผลรวมมูลค่า 1,500 ล้านบาทให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 967 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2564
#3124


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันศุกร์ (13ส.ค.)พุ่งขึ้น 1.4% ปิดเหนือระดับ 1,770 ดอลลาร์โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ดีดตัวขึ้น 1.4% ปิดที่ราคา 1,775.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย


อย่างไรก็ดี ราคาทองมีแนวโน้มร่วงลงในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดคิวอีในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงินคิวอีเดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำคิวอีวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลดคิวอีจนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
#3125


รอยเตอร์ - รัฐบาลเวียดนามระบุว่าประเทศกำลังเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดจากจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นและการขาดแคลนวัคซีน ในขณะที่ประเทศได้เห็นจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เกือบทำนิวไฮอีกครั้งจากการระบาดครั้งที่รุนแรงและยาวนานที่สุด

กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 9,667 คน ส่วนใหญ่พบในนครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางการระบาด และจังหวัดอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียง คือ จ.บิ่งเซวือง และ จ.ด่งนาย ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายใหม่มีทั้งหมด 326 คน ในวันพฤหัสฯ (12) ทำให้ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 4,813 คน

"สถานการณ์โรคตึงเครียดมาก และเรากำลังเผชิญกับการขาดแคลนวัคซีนทั่วประเทศ" รองนายกรัฐมนตรี หวู ดึ๊ก ดาม ที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้านโควิด-19 ของประเทศ กล่าว

หวู ดึ๊ก ดาม กล่าวว่า เวียดนามมีข้อตกลงจัดหาวัคซีนหลายร้อยล้านโดสแต่การส่งมอบล่าช้า และในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้นำเวียดนามได้โทรศัพท์ติดต่อคู่เจรจาต่างชาติราว 20 ครั้ง ในความพยายามที่จะจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม

เวียดนามเคยเป็นประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย แต่สถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวันสูงกว่าจำนวนที่บันทึกไว้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา

ข้อมูลของทางการระบุว่า มีประชากรไม่ถึง 1.1 ล้านคน จากทั้งหมด 98 ล้านคนของประเทศ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็ม ซึ่งนับเป็นอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และจนถึงตอนนี้เวียดนามได้รับวัคซีนแล้วประมาณ 18 ล้านโดส

ปัจจุบันประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมมากกว่า 246,500 คน โดยผู้ป่วยติดเชื้อส่วนใหญ่พบตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.เป็นต้นมา.
 
#3126


คุณกำลังเป็นที่ต้องการ I need YOU
ถ้าคุณเป็น "ผู้ชาย" ที่สามารถให้บริการ แบบพบหน้า
❌ไม่ใช่บริการออนไลน์ ❌ไม่ใช่ขายบริการทางเพศ


เช่น

  • ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์
  • ช่างล้างแอร์
  • พนักงานขับรถ
  • รับสอนหนังสือ
  • รับสอนดนตรี คอร์สเรียนต่างๆ
  • ตัดหญ้า ดูแลสวน
  • ตัดผม ตัดแต่งทรงผม โกนหนวด โกนขน
  • พนักงานนวดไทย นวดแก้อาการ
  • ไปทำอาหาร ทำขนม ชงกาแฟ(โดยเฉพาะกาแฟสเปเชียลตี้)
  • ไกด์ทัวร์ หรือ เพื่อนพาเที่ยว
  • ให้คำปรึกษาหรือดูแลสภาพจิตใจ
  • รับแก้ปัญหา
  • เพื่อนพาเที่ยว เพื่อนพากิน
  • ฟิตเนสเทรนเนอร์ Personal Trainer
หรืออื่นๆสามารถแจ้งรายละเอียดกับแอดมินได้

==============
สร้างโปรไฟล์ฟรี https://zmartdigit.com/nolonely/add-listing/
============


ทำไมต้องสมัครกับเรา
:)ปลอดภัยเพราะ ช่องทางการติดต่อของคุณ จะถูก เวอริฟายแล้ว ว่าเป็นผู้ให้บริการตัวจริงหรือเป็นลูกค้าตัวจริงเท่านั้น

:)คุณสามารถ รับค่าบริการ จากลูกค้าในราคาที่คุณกำหนดได้โดยตรง ทางเว็บไซต์ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย กับค่าบริการของคุณ

:)เพิ่มยอดขายเพิ่มรายได้ฟรี ทางเว็บไซต์ไม่เก็บค่าบริการในการสร้างโปรไฟล์ของคุณ


เงื่อนไข
Quoteเพศชาย ไม่ว่าคุณจะเป็นชายแท้ เกย์ ไบ ได้หมด
พร้อมให้บริการกับลูกค้าที่เป็นผู้ชาย ชายแท้ เกย์ ไบ ตุ๊ด กระเทย โดยไม่รังเกียจ
*** ห้ามเสนอ หรือ รับข้อเสนอ เพื่อนำไปสู่การขายบริการทางเพศ ***
เป็นบริการแบบที่ต้องพบหน้ากันไม่ใช่บริการออนไลน์
คุณสามารถกำหนดเงื่อนไขได้ว่าไปบริการที่บ้านลูกค้าหรือให้ลูกค้ามารับบริการที่สถานที่ของคุณ
ถ้าได้รับการฉีดวัคซีน covid แล้ว โปรดแสดงใบฉีดวัคซีนด้วย


==============
สร้างโปรไฟล์ฟรี https://zmartdigit.com/nolonely/add-listing/
============


เว็บนี้เหมาะสำหรับ
งานบริการต่างๆ ที่คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง หรือ รายครั้ง เช่น เพื่อนพาเที่ยว เพื่อนพากิน ฟิตเนสเทรนเนอร์
Personal Trainer พนักงานนวด Training ต่างๆ คอร์สเรียนต่างๆ แบบที่ต้องพบหน้ากัน

จุดประสงค์ในการสร้างเว็บไซต์
เพื่อให้คุณได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่มีความต้องการแบบเดียวกัน แล้วไปเที่ยวด้วยกัน หรือทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เช่น ไปดูหนัง ไปทานข้าว ไปตกปลา ไปเดินเที่ยวห้าง


ข้อห้าม/ข้อกำหนด
‼️กฎเหล็ก‼️ อายุต้องเกิน 19 ปีเท่านั้น
❌ห้ามลงประกาศโฆษณาหรือโปรโมทในเชิง ธุรกิจใดๆยกเว้นสปอนเซอร์
❌ห้ามใช้เว็บนี้ เพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ค้าประเวณี หรือทำกิจกรรมทางเพศ
❌ ทางเว็บไซต์ต่อต้าน การคุกคามทางเพศ การค้าประเวณีทุกชนิด การ.และสิ่งผิดศีลธรรม
❌ห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือดูหมิ่นต่อสถาบัน ที่เป็นเคารพรักของประเทศไทย
❌ห้ามโพสต์รูปที่เห็นอวัยวะเพศ/โป๊/เปลือย / สื่อไปทางลามกอนาจาร
*รูปภาพและข้อความที่ผู้โพสต์เป็นความรับผิดชอบของผู้โพสต์โดยตรง ทางเว็บไซต์เป็นเพียงพื้นที่สำหรับการนำเสนอเท่านั้น
#3127


รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (11) ว่าผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรัฐบาลไทย รัชดา ธนาดิเรก กล่าวผ่านแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (11) ว่า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (National Center for Genetic Engineering and Biotechnology) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบสเปรย์พ่นจมูกนั้นเตรียมที่จะเริ่มต้นการศึกษาวิจัยในคนได้ภายในสิ้นปีหลังจากที่ผลการวิจัยเบื้องต้นกับหนูก่อนหน้าชี้ไปให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพ

โดยในแถลงการณ์ระบุว่า สเปรย์พ่นจมูกต้านโควิด-19 นี้ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาจากองค์การอาหารและยาเพื่อขออนุญาตต่อไป

โฆษกรัฐบาลชี้ว่า การศึกษาจะรวมไปถึงการใช้เพื่อดูประสิทธิภาพในการปกป้องจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยเฟสที่ 2 จะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2022 และเป้าหมายของการผลิตสำหรับการใช้เป็นวงกว้างภายในช่วงกลางปีหน้าได้หากผลการวิจัยสัมฤทธิ

รอยเตอร์รายงานว่า ในเวลานี้นักวิจัยทั่วโลกต่างเริ่มพัฒนาสเปรย์พ่นจมูกเพื่อป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 โดยชี้ไปว่าจมูกถือเป็นช่องทางสำคัญของไวรัส

นอกเหนือจากนี้วัคซีนโควิด-19 เทคโนโลยี mRNA ของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์และวัคซีนเชื้อตายของมหาวิทยาลัยมหิดลกำลังจะเริ่มเฟส 2 ของการศึกษาในคนภายในเดือนสิงหาคมนี้

ที่ผ่านมาไทยนั้นพึ่งพาวัคซีนซิโนแวคและวัคซีนซิโนฟาร์มของจีน วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่มีโรงงานผลิตในประเทศและวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคที่ได้รับการบริจาคจากสหรัฐฯ ใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ซึ่งเป็นด่านหน้า

รัฐมนตรีสาธารณสุขไทยแถลงในวันพุธ (11) ว่า วัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคจำนวน 32.5 ล้านโดสจะส่งมอบมาไทยภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลทำให้มีจำนวนการสั่งซื้อทั้งสิ้น 30 ล้านโดส และรวมกับจำนวนที่ได้รับการบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ

ไทยแจกจ่ายวัคซีนไปแล้ว 6.8% ของประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน
#3128


กลุ่มบางจากฯ โดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมจัด โครงการปันกันอิ่ม เฟสพิเศษ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ สนับสนุนภารกิจกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มอบอาหารกล่องแก่ชุมชนรวม 57 แห่ง ในพื้นที่ 9 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผู้ด้อยโอกาส

และสนับสนุนอาหารจากผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 20,000 อิ่ม ระหว่างวันที่  12-15 สิงหาคม 2564

ก่อนหน้านี้ บริษัท บางจากฯ ได้จัดโครงการบางจากฯ ปันกันอิ่มเฟสที่ 1 และขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการเฟสที่ 2 และยังมีโครงการปันกันอิ่มในพื้นที่พระโขนง – บางนา ปันกันอิ่มให้แคมป์คนงานก่อสร้าง และปันกันอิ่มรอบโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ช่วยอุดหนุนเจ้าของธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระแก่ผู้รับที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดยระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม ได้สนับสนุนร้านอาหารในพื้นที่รอบโรงกลั่น ในพื้นที่เขตพระโขนง-บางนา รวมถึงร้านอาหารและผู้ประกอบการรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากในกทม. ปริมณฑล รวมเกือบ 100 ร้าน และส่งมอบอาหารรวมกว่า 40,000 อิ่ม ผ่านทุกโครงการ
#3129


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการเราชนะในส่วนของกรอบวงเงินในโครงการจากเดิมที่ได้รับจัดสรรวงเงินประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาท โดยปรับลดลงประมาณ 6.76 พันล้านบาท

ทั้งนี้วงเงินที่ปรับลดลงเหลือ 2.73 แสนล้านบาทดังกล่าวได้รวมวงเงินที่อยู่ระหว่างดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเราชนะวงเงินประมาณ1.42 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯซึ่งหกาตรวจสอบแล้วไม่พบการทุจริตจะดำเนินการยกเลิกการระงับสิทธิ์แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน"และจ่ายเงินให้กับร้านค้าต่อไป


สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการเราชนะกระทรวงการคลังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม.รับทราบว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 มีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯจำนวนทั้งสิ้นกว่า 33.22 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.6 ล้านคน กลุ่มผู้มีแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์จำนวน 8.3 ล้านคน

กลุ่มผู้ลงทะเบียนฯจำนวน 8.71 ล้านคน และกลุ่มต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.4 ล้านคน โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ตามโครงการฯที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์จำนวนกว่า 2.72 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้รวมวงเงินที่ต้องมีการดำเนินการโอนเงินซ้ำให้แก่ผู้ประกอบการที่โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 645,533.77 บาท

กระทรวงการคลังโดย สศค. ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างเข้มงวด โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ โดยคณะทำงานฯ ในการติดตามตรวจสอบผู้ประกอบการและประชาชนที่กระทำการเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบธุรกรรมที่มีความผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ เช่น การรับ แลกวงเงินสิทธิ์เป็นเงินสด เป็นต้น จะดำเนินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวการเข้าร่วมโครงการฯ และร่วมมือกับ หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป 

โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีธุรกรรมผิดปกติและเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯจำนวน 3,000 ราย โดยมีวงเงินการระงับสิทธิ์ชั่วคราวของผู้ประกอบการที่กระทำการเข้าข่ายผิดหบักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ประมาณ 1.42 หมื่นล้านบาท
#3130


ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่เพียงแต่ได้สุดยอดนักเตะเบอร์ 1 ของโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี แบบไม่เสียค่าตัว แต่ชื่อเสียงของเจ้าตัวก็ส่งผลดีให้ยักษ์ใหญ่แห่ง ลีก เอิง ได้แฟนคลับเพิ่มขึ้นแบบอักโขทาง โซเชียล มีเดีย

เพียงแค่วันแรกที่ชูเสื้อเปิดตัว เสื้อหมายเลข 30 ของ เมสซี ในชุดของ เปแอสเช ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนขาดตลาดภายใน 30 นาที แม้จะไม่ใช่เบอร์ 10 อันเป็นเอกลักษณ์ แต่แฟนๆ ก็อยากครอบครองเสื้อซูเปอร์สตาร์คนนี้ล้นหลาม

ไม่เพียงแค่เสื้อแข่ง มีการเปิดเผยด้วยว่ายอดติดตามทางอินสตาแกรมของ เปแอสเช เดิมทีเคยมีผู้ติดตามอยู่ 19.8 ล้านยูเซอร์ แต่พอแข้งวัย 34 ปี ย้ายสู่ ปาร์ค เดอ แปรงส์ ตัวเลขก็พุ่งขึ้นอีก 20.2 ล้านยูเซอร์ ทำให้ตอนนี้ IG ของทีม มียอดติดตามเกิน 40 ล้านยูเซอร์ไปเรียบร้อย
#3131


นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงรายได้ของธุรกิจและประชาชน ส่งผลให้ ธปท.จำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี สถานการณ์การระบาดในปัจจุบันที่ยืดเยื้อกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้มาตรการที่เดิมเน้นช่วยเหลือระยะสั้นต้องปรับให้เหมาะสมมากขึ้น

โดย ธปท.มองว่ามาตรการช่วยเหลือผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะสามารถตอบโจทย์ช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวได้มากกว่ามาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ยังเดินต่อในช่วงที่พักชำระ อย่างไรก็ดี การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมาในรายละเอียดเป็นการยืดระยะเวลาสินเชื่อ หรือพักชำระหนี้ให้ในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ในระยะถัดไป ธปท.อยากเห็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การแฮร์คัทหนี้ หรือการลดดอกเบี้ย เป็นต้น


อย่างไรก็ดี การจัดทำมาตรการในดังกล่าว ไม่สามารถทำในลักษณะที่เหมือนกันได้ในทุกกรณี (One Size Fits All) เช่น กลุ่มเอสเอ็มอี หรือกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ในการปรับโครงสร้างหนี้อาจกินระยะเวลานานกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เบื้องต้นคาดว่าบางวงจรธุรกิจอาจใช้ระยะเวลาไม่นานเพียง 3-6 เดือน แต่บางวงจรธุรกิจอาจกินระยะเวลานานถึง 10 ปี เป็นต้น แต่หากระหว่างทางธุรกิจมีทิศทางที่ดีขึ้นก็สามารถกลับมาชำระเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ในลักษณะนี้จะช่วยลดความยุ่งยากและระยะเวลาการดำเนินการแต่ละครั้ง จากเดิมที่ลูกหนี้ต้องติดต่อสถาบันการเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการเป็นครั้งไป

"อย่าลืมว่ากลุ่มนี้คือลูกหนี้ชั้นดี หากมีแผลเป็นจากภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้และลูกหนี้ไม่สามารถอยู่รอดได้ ธนาคารก็ไม่สามารถอยู่รอดได้เช่นเดียวกัน ขณะที่การประคับประคองสั้นๆ คงช่วยลูกหนี้กลุ่มนี้ต่อไปไม่อยู่ ดังนั้น การทำมาตรการช่วยเหลือเรามองว่าควรส่งผ่านไปในระยะยาวมากขึ้น แต่นอกจากมิติด้านเวลาแล้ว จะต้องมีการช่วยเหลือผ่านการแฮร์คัทหนี้ ตัดต้น-ตัดดอกบ้าง และให้ผ่อนจ่ายเบาๆ ก่อนค่อยเพิ่มจำนวนขึ้นไปเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา"

ในการนี้ ธปท.ขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินต่างๆ โดยสามารถดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ได้ทันที รวมถึงอยู่ระหว่างหารือร่วมกันเกี่ยวกับการออกมาตรการสร้างแรงจูงใจ (Incentive) เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างเต็มที่ หนึ่งในนั้นคือการที่สถาบันการเงินไม่ต้องจัดชั้นลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการช่วยเหลือเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพราะหากเป็น NPL แล้วจะส่งผลให้สถาบันการเงินมีภาระตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ตามมา เช่น การตั้งสำรองหนี้ เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะครบกำหนดอายุในสิ้นปี 2564

ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการจูงใจดังกล่าวจะเห็นความชัดเจนภายในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่คณะกรรมที่เกี่ยวข้องสามารถดูแลจัดทำได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#3132


การแข่งขันฟุต.เคลีก เกาหลีใต้ เมื่อวันพุธที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ระหว่าง ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ลงสนามนัดที่ 21 ของฤดูกาล เปิดบ้านรับการมาเยือนของ กวางจู เอฟซี

โดยเกมนี้ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไล่ต้อนเอาชนะผู้มาเยือน 3-0 ขณะที่ "เจ้าพี" ศศลักษณ์ ไหประโคน ถูกส่งลงสนามมาเล่นตำแหน่งกองกลางในนาทีที่ 80 แทนที่ของ พัค ซึง-โฮ

จากชัยชนะในเกมนี้ส่งผลให้ ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส มีเพิ่มเป็น 39 แต้ม ตามหลังจ่าฝูง อย่าง วุลซาน ฮุนได อยู่ 5 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่า 2 นัด

ซึ่งในเฟซบุ็กของ ศศลักษณ์ ไหประโคน มีการเผยภาพของพ่อและญาติพี่น้องของดาวเตะชาวไทย ที่ล้วนสวมเสื้อแข่งของทีม ชนบุค ออกมานั่งดูจอโทรศัพท์ให้กำลังใจอยู่กลางทุ่ง โดยมีแฟนคลับ และเพื่อนๆ ของ "เจ้าพี" มาคอมเม้นท์ให้กำลังใจอย่างล้นหลาม

สำหรับโปรแกรมต่อไป ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ เอฟซี โซล ในวันที่ 15 สิงหาคม 2564 เวลา 16.00น. ตามเวลาประเทศไทย
#3133


นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์ ตลอดเวลา (Speed to Market) ส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมาบริษัทสามาถทำยอดขายรวมได้ถึง 20,600 ล้านบาท หรือเกือบ 70% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 13,700 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 6,900 ล้านบาท สัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบเพิ่มเป็น 67% โดยบ้านเดี่ยวแบรนด์ เศรษฐสิริได้รับการตอบรับที่ดี อาทิ โครงการ เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา2, เศรษฐสิริ พระราม 5 และเศรษฐสิริ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า2 เป็นต้น รวมทั้งทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์"สิริ เพลส" ซีรี่ย์ล่าสุด Dream Destination ทั้ง สิริ เพลส บางนา - เทพารักษ์ และ สิริ เพลส วงแหวน - ลำลูกกา ที่ทำยอดขายกว่า 80% ของยูนิตที่เปิดขาย


ขณะที่คอนโดมิเนียม แบรนด์เดอะ มูฟ หนึ่งในโปรดักส์ไฮไลท์ในปีนี้ ที่รองรับเซกเมนต์ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเดอะ มูฟ เกษตรเดอะ มูฟ ราม 22 ขายหมดทุกยูนิตที่เปิดขายในทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะส่งต่อความสำเร็จไปสู่ "เดอะ มูฟ บางนา" เป็นโครงการที่ 3 ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ที่เตรียมพรีเซลล์เป็นโครงการต่อไป

นายอุทัย ระบุว่า ช่วง 7 เดือน ที่ผ่านมาบริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 18,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 60% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 : 45 โดยครึ่งปีหลัง บริษัทยังเตรียมโอนคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิตรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามเป้าหมายรายได้จากการขายที่วางไว้ 27,600 ล้านบาท โดยล่าสุด แสนสิริมี รายได้ในมือที่รองรับแล้ว(Secured Revenue)ถึง 22,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% เหลืออีกเพียง 17% เท่านั้น ก็จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้ารายได้ที่วางไว้อย่างแน่นอน

สำหรับคอนโดมิเนียม เอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา คอนโดไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา จำนวน 603 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท พร้อมสระว่ายน้ำสีทองแชมเปญบนชั้นดาดฟ้า พร้อมวิวอ่าวไทย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 70% พร้อมเข้าอยู่ในเดือนก.ย. เริ่มโอนวันที่ 4 – 5 ก.ย.นี้

โครงการดีคอนโด ไฮด์อเวย์ คอนโดมิเนียมโลว์ไลส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 800 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขนาดพื้นที่โครงการ 10 ไร่ แบ่งออกเป็น พื้นที่ส่วนกลาง 8 ไร่ พร้อมพื้นที่สีเขียว 2.5 ไร่ ครบทั้งสระว่ายน้ำ สวนผักออแกนิกส์ Jogging Track คลับเฮาส์พร้อมฟิตเนส Co-working space และจัดสรรพื้นที่สำหรับจอดรถไว้ถึง 40% บนทำเลศักยภาพ โซนรังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รองรับกลุ่มนักศึกษา คนทำงาน และนักลงทุน ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท โดยอัตราค่าเช่าในทำเลนี้ยังมีผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน โดยมีอัตราค่าเช่าที่ 8,500 - 10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Yield) ประมาณ 5.5% ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 60% พร้อมโอนในเดือนต.ค.นี้
#3134


แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม "ไมซ์" (MICE : การจัดประชุม ท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) ในปัจจุบัน แต่สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ "ทีเส็บ" ยังคงเดินหน้าผลักดันโครงการ "MICE Winnovation" ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการไมซ์นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ ยกระดับการจัดงานไมซ์ในภาวะวิกฤติ

จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence และนวัตกรรม ทีเส็บ กล่าวว่า นวัตกรรมและเทคโนโลยีได้กลายเป็นเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยผู้ประกอบการไมซ์ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น! เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และได้คิดค้นเทคโนโลยีรองรับงานไมซ์ในยุควิถีปกติใหม่แล้ว ยังช่วยขยายการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกอีกด้วย

"ประเทศไทยมีแหล่งจัดงานไมซ์หรือศูนย์แสดงสินค้าอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้าง S-Curve ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ด้วย ซึ่งสอดรับกับการจัดงานอีเวนท์ในช่วงที่โควิด-19 ยังระบาด เทรนด์การจัดงานในปีนี้จะเป็นแบบเสมือนจริงหรือไฮบริด (Virtual and Hybrid Event) มากขึ้น ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย การปฏิบัติการเพื่อลดการสัมผัส การบริหารจัดการฝูงชนผู้เข้าร่วมงานเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม และหันมาจัดงานนอกสถานที่ (Outdoor Activities) มากขึ้น"

โดยในช่วงที่ผ่านมาทีเส็บได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น "BizConnect" สำหรับการจัดงานอีเวนท์และงานแสดงสินค้าเพื่อตอบโจทย์งานไมซ์ในยุคดิจิทัล รวบรวมงานไมซ์ 78 งาน มีผู้ใช้งาน 24,571 ราย และสร้างการรับรู้กว่า 48,300 ราย นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม "Thai MICE Connect.com" มาร์เก็ตเพลสธุรกิจไมซ์เชื่อมโยงผู้ซื้อผู้ขายทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก โดยจากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2563-14 พ.ค.2564 ซึ่งโควิด-19 ยังระบาด พบว่ามีธุรกิจไมซ์กว่า 10,201 ราย มีผู้เข้าชมแพลตฟอร์ม 603,656 ราย, เกิดปฏิสัมพันธ์ (Engagements) 112,930 ครั้ง และมีผู้ใช้งานใหม่ 129,851 ราย

"เมื่อมีการนำแพลตฟอร์มมาใช้เพื่อตอบโจทย์การเจรจาธุรกิจแบบ B2B ยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของผู้เข้าร่วมงานไมซ์ทั้งก่อน-ระหว่าง-หลังเข้าชมงานได้ โดยเฉพาะระหว่างเข้าชมงานแสดงสินค้าว่าผู้เข้าร่วมงานสนใจดูข้อมูลสินค้าตัวไหนแบบซ้ำๆ บนแพลตฟอร์ม เพื่อนำไปสู่การปิดดีลซื้อสินค้าให้ได้ภายใน 3-6 เดือนหลังการจัดงาน เมื่อขายของได้ คนขายก็กลับมาใช้งานแพลตฟอร์มมากขึ้น นับเป็นการสร้างประสบการณ์มากกว่าการจับคู่เจรจาธุรกิจทั่วไป"

จารุวรรณ เล่าเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการ "MICE Winnovation" เป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สนับสนุนให้การจัดงานไมซ์เดินหน้าต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และเตรียมความพร้อมรองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต!

ผลการดำเนินโครงการฯระหว่างเดือน มี.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไมซ์และผู้ให้บริการนวัตกรรมด้านไมซ์มากถึง 152 คู่ นำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ รองรับการจัดงานไมซ์ร่วมกัน มีการจับคู่ขอรับการสนับสนุนจากทีเส็บจำนวน 35 งาน โดยมีงานที่ผ่านการพิจารณาได้รับการสนับสนุนแล้วทั้งสิ้น 18 งาน แบ่งเป็นการสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดงานแบบเสมือนจริงหรือไฮบริด จำนวน 15 งาน และเป็นการสนับสนุนเทคโนโลยีบริหารจัดการผู้เข้าร่วมงาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จำนวน 3 งาน

ปัจจุบันมีงานที่จัดไปแล้ว 2 งาน คือ งานประชุมใหญ่ "ไลออนส์สากลภาครวม 310 ประเทศไทย" ครั้งที่ 55 ระหว่างวันที่ 7-9 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานออนไลน์จากทั่วประเทศ 2,318 คน และงาน "Bangkok Projection Mapping Competition 2021" (BPMC 2021) ซึ่งเป็นงานประกวดออกแบบสื่อภาพเคลื่อนไหว ระหว่างวันที่ 12-20 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ชมงานผ่านไลฟ์สตรีมมิ่งบนเฟซบุ๊กร่วม 20,000 ราย ส่วนงานที่เหลือมีกำหนดทยอยจัดในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564

"ผลตอบรับโครงการนี้ถือว่าดีมาก เป็นไปตามที่ทีเส็บต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไมซ์นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้จัดงานได้จริง ตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้ตรงใจ และเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการไมซ์แล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจแก่กลุ่มผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทย ทั้งยังเป็นการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วยเสริมสร้างศักยภาพยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในระดับนานาชาติอีกด้วย"

ขณะเดียวกันโครงการ MICE Winnovation ยังได้มีการพัฒนา "MICE Innovation Catalog" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลผู้ให้บริการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมไมซ์ และเป็นพื้นที่ทางการตลาดให้ผู้ประกอบการไมซ์เฟ้นหาคู่ค้า มีการจัดแบ่งหมวดหมู่นวัตกรรมไมซ์ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจนจบงาน ซึ่งทีเส็บและพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและสมาคมในอุตสาหกรรมไมซ์ได้ร่วมพิจารณาคัดเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เหมาะสมนำมาบรรจุไว้ใน MICE Innovation Catalog เป็นประจำทุกเดือน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ผู้ประกอบการไมซ์สามารถเลือกใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันบนแพลตฟอร์มมีนวัตกรรมด้านไมซ์ที่พร้อมให้บริการกว่า 70 นวัตกรรม จาก 50 บริษัท
#3135


นีรนุช กนกวิไลรัตน์ ผู้จัดการด้านงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท เอ็ดมันด์ ไต แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิดระลอกแรกผู้ประกอบการ "ปิดสำนักงานขาย" พร้อมกับชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่! หลังจากนั้นไตรมาสสามปี 2563 เมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ดีเวลลอปเปอร์ปรับกลยุทธ์การตลาดรุกผ่านช่องทางออนไลน์ หรือโซเชียลคอมเมิร์ซมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไทยชอปปิงออนไลน์สูงถึง 83% และทำการซื้อสินค้าผ่านมือถือถึง 71% และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย


"ปัจจุบันลูกค้าสามารถจองคอนโดผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทำให้ผู้ซื้อต่างชาติสามารถเข้าถึงอสังหาฯ ในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ไม่เฉพาะคนไทย เท่ากับว่าผู้ประกอบการสามารถขยายช่องทางขายไปต่างประเทศไทยง่ายขึ้น ทำให้ไตรมาสสามปี 2563 เริ่มมีการเปิดตัวโครงการใหม่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 10,302 ยูนิต"

อย่างไรก็ตาม ไตรมาสแรกปี 2564 กลับปรับลดลงเหลือ 1,963 ยูนิต เนื่องจากเริ่มมีการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่ แต่ในไตรมาสสอง จำนวนยูนิตที่เปิดตัวขยับขึ้นมา4,214 ยูนิต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสแรกปีนี้เป็นโครงการที่มีจำนวนห้องหลายยูนิต บางโครงการ 1,000 ยูนิต ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดเกรดซี ส่วนคอนโดเกรดเอมีเพียง 1 โครงการที่เปิดตัวในไตรมาสที่สองคือ "ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค" เป็นคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชื่อเดิม "อิมเพรสชั่น เจริญนคร" ผู้พัฒนาโครงการ ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ สูง 22 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต ราคา 180,000 ต่อตร.ม. เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยแบบครอบครัว ด้วยจุดขายยูนิตละ 2 ห้องนอน

"จำนวนโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสสองปีนี้ ส่วนใหญ่จับกลุ่มคนทำงาน และนักลงทุนคนไทยที่ซื้อเพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น และจากตลาดคอนโดที่เริ่มชะลอตัวตั้งแต่ปี 2562-2563 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่โฟกัสบ้านจัดสรร และลดจำนวนการเปิดตัวโครงการคอนโดในปีนี้ หันจับตลาดที่มีกำลังซื้อน้อย และปานกลาง ด้วยการเปิดตัวเซกเมนต์ราคาไม่แพง (affordable price) กลุ่มกำลังซื้อน้อยสามารถซื้อได้"

สำหรับอัตราการจองคอนเปิดตัวใหม่ในไตรมาสสองที่ผ่านมา เฉลี่ย 33.1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกอัตราการจอง 31.7% เพราะโครงการที่เปิดตัวในไตรมาสสอง ส่วนหนึ่งขายได้ถึง 80-90% จากการลงสนามเซกเมนต์ราคาไม่แพงของรายใหญ่ อาทิ แสนสิริ โนเบิล พฤกษา ออริจิ้น ราคาที่เข้าถึงทำให้เกิดยอดจองเร็ว (Presale) อาทิ เดอะมูฟ คอนโด ของแสนสิริ


"การจองคอนโดปัจจุบันไม่จำเป็นใช้เงินเยอะเหมือนสมัยก่อน ทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย ยิ่งเป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ โลเกชั่นดี และราคาไม่แพง ตร.ม.ไม่ถึงแสน ลูกค้าจับต้องได้ ยอดจองจึงเร็วกว่าปกติ "

ส่วนราคาขายคอนโดนเกรดเอ ระดับลักชัวรี และซูเปอร์ลักชัวรี ที่มีราคาตั้งแต่ 150,000 ต่อตร.ม.ขึ้นไป ในไตรมาสสองมีแค่ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค ที่มีราคาเฉลี่ย 180,000 บาท ต่อตร.ม. โครงการเดียว จากไตรมาสแรกมีการเปิดตัวหลายโครงการทำให้ราคาคอนโดไตรมาสแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 240,000 บาทต่อตรม. ทั้งนี้เนื่องจากบรรยากาศของตลาดไม่เอื้อกับการเปิดตัวโครงใหม่ ที่เป็นโครงการหรูที่อยู่ใจกลางเมืองทำให้ราคาปรับตัวลดลง

"แนวโน้มของตลาดคอนโดในปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และคำสั่งปิดแคมป์ก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้การสร้างคอนโดไม่เสร็จได้ทันตามเวลาที่กำหนด หรือแม้ว่าจะสร้างเสร็จตรงเวลาได้แต่ผู้ประกอบการจะเลื่อนเปิดตัวโครงการในไตรมาสสามและสี่ออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการเกรดเอหรือระดับแมส ที่มีราคาตร.ม.ละ 70,000-80,000 บาท ในพื้นที่รอบนอก คาดว่าโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่ในปีนี้เทียบปี 2563 ลดลง 25-30%"

เวลานี้ตลาดเต็มไปด้วยปัจจัยลบ!! ไม่ว่าจะจำนวนสต็อกที่ค้างอยู่จำนวนหนึ่ง บรรยากาศไม่เอื้อต่อการซื้อและลงทุน ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจ จาก "วิกฤติโควิด" ที่ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน? แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกวัน สถานการณ์นี้ยิ่งนานก็ยิ่งมีผลกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ิอ่อนแอลง กระทบเป็นลูกโซ่ต่อธุรกิจ และการใช้ชีวิต
#3136


วันนี้ (9 ส.ค.2564) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล กำหนดให้การ ฉีดวัคซีน เป็นวาระแห่งชาตินั้น ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1 เดือน

โดยมีเป้าหมายดำเนินการฉีด 3,500 คนต่อวัน จาก แคมป์คนงาน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 611 แคมป์ คนงาน 83,082 คน เป็นคนไทย 32,471 คน ต่างด้าว 50,611 คน

'ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน' เปิดให้ฉีดรองรับ 3,500 คนต่อวัน
นายสุชาติ กล่าวต่อว่าวันนี้เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงาน โดยโรงพยาบาลในเครือประกันสังคม
กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ได้เปิด ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน

โดยแห่งแรกที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวันละ 2,000 คน มีทีมแพทย์พยาบาลจากโรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาครให้การดูแลการฉีด


แห่งที่ 2 ที่ ศูนย์ ณ อาคารลุมพินีทาวเวอร์ ถนนวิภาวดี แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีด 1,500 คนต่อวัน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์ สนับสนุนในการฉีดวัคซีนโควิด-19


พร้อมเปิดให้บริการ 9-31 ส.ค.นี้เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
สำหรับ ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ทั้ง 2 แห่งจะให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 - 31 สิงหาคมนี้ เว้นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์

"การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแคมป์คนงาน เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงาน ให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่คนงานในแคมป์ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มคนงาน เป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนทั่วไปที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนรายรอบแคมป์คนงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคแรงงาน ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้"นายสุชาติ กล่าว
#3137


จากมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 ได้กำหนดการใหม่สำหรับการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

หลังจาก สำนักงาน กสทช.ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ามายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ ในวันที่ 5 ก.ค.2564 มี บริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ถือหุ้น 100% เข้ามายื่นเอกสารเข้าร่วมการคัดเลือกเพียงรายเดียว

ทำให้หลังจากนั้นสำนักงาน กสทช.จึงเปิดให้ผู้สนใจรับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.-6 ส.ค.2564 ผลปรากฏว่า มีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามารับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ในวันที่ 6 ส.ค.2564 เวลา 16.20 น.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้ผู้ที่สนใจขอรับเอกสารการคัดเพิ่มเติม อีกเพียงรายเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไป จะมีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงกระบวนการประมูลและกรอกแบบคำขอรับอนุญาต(public information session) วันนี้ (9 ส.ค.2564) จากนั้นผู้ประสงค์ขอรับอนุญาตยื่นคำขอรับอนุญาตและวางหลักประกันการขอรับอนุญาต วันที่ 11 ส.ค.2564 โดยในขั้นตอนนี้ บริษัท มิวสเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัดสามารถเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ ได้ หลังจากมาขอรับเอกสารการคัดเลือกในรอบแรก และต้องรอดูว่า NT จะเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ หรือไม่ ก่อนที่ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการคัดเลือก วันที่ 18 ส.ค.2564
จากนั้นประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกที่ผ่านเกณฑ์ข้อเสนอด้านประสบการณ์และความสามารถด้านการเงินเพื่อเป็นผู้เข้าร่วมการประมูล วันที่ 24 ส.ค.2564, จัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงขั้นตอนการประมูล (bidder information session) และการประมูลรอบสาธิต (mock auction) วันที่ 25 ส.ค.2564 และประมูล วันที่ 28 ส.ค.2564

สำหรับชุดข่ายงานดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ ได้แก่ ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงานC1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท, ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท

ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ392.950 ล้านบาท และชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และN5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กสทช.ยืนยันว่า แม้ว่าในวันที่ 11 ส.ค. 2564 จะไม่มีใครมายื่นเอกสารประมูลดาวเทียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีเพียงไทยคมรายเดียวที่ได้ยื่นประมูลก่อนหน้านี้ กสทช.ก็ต้องเดินหน้าประมูลในวันที่ 28 ส.ค.2564 โดยยึดมาตรฐานเหมือนการประมูลคลื่นโทรคมนาคมที่มีการขยายเวลาและเดินหน้าประมูลต่อ

อีกทั้ง กสทช.มีหน้าที่ ต้องรักษาวงโคจรของประเทศซึ่งวงโคจรต้องมีดาวเทียมใช้งาน หากประเทศไทยถูก ITU ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่ได้รับจริงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือไม่ได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง (ไม่มีการใช้คลื่นความถี่บนดาวเทียมจริง) ย่อมมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกยกเลิกสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่ที่ไม่มีการใช้งานจริง ออกจากทะเบียนความถี่หลักระหว่างประเทศได้ (Master International Frequency Register) และส่งผลให้ประเทศไทยสิ้นสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมนั้น
จากมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 ได้กำหนดการใหม่สำหรับการประมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (Package)

หลังจาก สำนักงาน กสทช.ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ามายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกฯ ในวันที่ 5 ก.ค.2564 มี บริษัท ทีซี สเปซ คอนเน็ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ถือหุ้น 100% เข้ามายื่นเอกสารเข้าร่วมการคัดเลือกเพียงรายเดียว


ทำให้หลังจากนั้นสำนักงาน กสทช.จึงเปิดให้ผู้สนใจรับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค.-6 ส.ค.2564 ผลปรากฏว่า มีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ามารับเอกสารการคัดเลือกเพิ่มเติม ในวันที่ 6 ส.ค.2564 เวลา 16.20 น.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เปิดให้ผู้ที่สนใจขอรับเอกสารการคัดเพิ่มเติม อีกเพียงรายเดียวเท่านั้น

ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไป จะมีการจัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงกระบวนการประมูลและกรอกแบบคำขอรับอนุญาต(public information session) วันนี้ (9 ส.ค.2564) จากนั้นผู้ประสงค์ขอรับอนุญาตยื่นคำขอรับอนุญาตและวางหลักประกันการขอรับอนุญาต วันที่ 11 ส.ค.2564 โดยในขั้นตอนนี้ บริษัท มิวสเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัดสามารถเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ ได้ หลังจากมาขอรับเอกสารการคัดเลือกในรอบแรก และต้องรอดูว่า NT จะเข้ามายื่นขอรับใบอนุญาตฯ หรือไม่ ก่อนที่ประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการคัดเลือก วันที่ 18 ส.ค.2564

จากนั้นประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมการคัดเลือกที่ผ่านเกณฑ์ข้อเสนอด้านประสบการณ์และความสามารถด้านการเงินเพื่อเป็นผู้เข้าร่วมการประมูล วันที่ 24 ส.ค.2564, จัดการประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงขั้นตอนการประมูล (bidder information session) และการประมูลรอบสาธิต (mock auction) วันที่ 25 ส.ค.2564 และประมูล วันที่ 28 ส.ค.2564
สำหรับชุดข่ายงานดาวเทียมทั้ง 4 ชุด ที่จะนำมาประมูลในครั้งนี้ ได้แก่ ชุดที่ 1 ประกอบด้วย วงโคจร 50.5E (ข่ายงานC1, N1 และ P1R) และ วงโคจร 51E (ข่ายงาน 51) ราคาขั้นต่ำ 676.914 ล้านบาท, ชุดที่ 2 ประกอบด้วย วงโคจร 78.5E (ข่ายงาน A2B และ 78.5E) ราคาขั้นต่ำ 366.488 ล้านบาท
ชุดที่ 3 ประกอบด้วย วงโคจร 119.5E (ข่ายงาน IP1, P3 และ 119.5E) และ วงโคจร 120E (ข่ายงาน 120E) ราคาขั้นต่ำ392.950 ล้านบาท และชุดที่ 4 ประกอบด้วย วงโคจร 126E (ข่ายงาน 126E) และ วงโคจร 142E (ข่ายงาน G3K และN5) ราคาขั้นต่ำ 364.687 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กสทช.ยืนยันว่า แม้ว่าในวันที่ 11 ส.ค. 2564 จะไม่มีใครมายื่นเอกสารประมูลดาวเทียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีเพียงไทยคมรายเดียวที่ได้ยื่นประมูลก่อนหน้านี้ กสทช.ก็ต้องเดินหน้าประมูลในวันที่ 28 ส.ค.2564 โดยยึดมาตรฐานเหมือนการประมูลคลื่นโทรคมนาคมที่มีการขยายเวลาและเดินหน้าประมูลต่อ

อีกทั้ง กสทช.มีหน้าที่ ต้องรักษาวงโคจรของประเทศซึ่งวงโคจรต้องมีดาวเทียมใช้งาน หากประเทศไทยถูก ITU ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมที่ได้รับจริงภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือไม่ได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง (ไม่มีการใช้คลื่นความถี่บนดาวเทียมจริง) ย่อมมีโอกาสเกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกยกเลิกสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมและคลื่นความถี่ที่ไม่มีการใช้งานจริง ออกจากทะเบียนความถี่หลักระหว่างประเทศได้ (Master International Frequency Register) และส่งผลให้ประเทศไทยสิ้นสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมนั้น
#3138


แอนโทนี เฟาซี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ เร่งเร้าฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นอย่างสมเหตุสมผลโดยเร็วแก่บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พร้อมยอมรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกำลังจับตาอย่างจริงจังเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อและแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ ได้

"เราจำเป็นต้องมองพวกเขาต่างออกไป" เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ "Fareed Zakaria GPS" ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) "แน่นอนว่าเราจะมีการฉีดเข็มกระตุ้นให้คนกลุ่มนี้ก่อนฉีดเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ฉีดวัคซีนแล้ว เราควรทำมันอย่างสมเหตุสมผล"

เฟาซี ยังได้พูดถึงประเด็นถกเถียงที่ขยายวงกว้างมากขึ้น เกี่ยวกับเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ "breakthrough" ในบรรดาคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว และควรเห็นชอบฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือไม่ ในขณะที่วันอาทิตย์ (8 ส.ค.) อิสราเอล ซึ่งเป็นชาติแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในวงกว้าง เผยว่า ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนเข็ม 3 แก่ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป แล้วมากกว่า 420,000 ราย

เฟาซี ชี้ว่า คนส่วนใหญ่ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในนั้นรวมถึงบุคคลที่ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะหรือบุคคลที่ทำเคมีบำบัด "ไม่ได้รับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเพียงพอ" จากวัคซีนโควิด-19

เมื่อถามว่ากลุ่มคนอื่นๆ ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยหรือไม่ เฟาซี ระบุว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) พร้อมออกคำแนะนำดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด หากพวกเขาพบเห็นหลักฐานที่ชัดเจนจากข้อมูลที่ได้รับ

เวลานี้ทางซีดีซีกำลังติดตามระดับความคงทนของภูมิคุ้มกันในหมู่คนสูงวัย กลุ่มสูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชราและคนหนุ่มสาว แบบเดือนต่อเดือน และทางเฟาซี ระบุว่า "ทันทีที่พวกเขามีระดับความทนทานของภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อนั้นคุณอาจได้เห็นคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่คนกลุ่มนี้"

นอกจากนี้แล้ว ทางเฟาซี ยืนยันด้วยว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังจริงจังกับประเด็นเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ และเขายอมรับว่าตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายมากและกำลังโหมกระพือเคสผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มากกว่า 100,000 คนต่อวันในเวลานี้จะก่อให้เกิดเคสฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน เฟาซี ยอมรับด้วยว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาได้ก่อปัญหาเพิ่มเติม ซึ่งก็คือบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่คนอื่นๆ สถานการณ์ที่ทำให้ทางซีดีซีเปลี่ยนแปลงคำแนะนำด้านการสวมหน้ากากเมื่อไม่นานที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เฟาซี เน้นย้ำว่า "วัคซีนกำลังทำงานได้อย่างดีในสิ่งที่คุณต้องการให้พวกมันทำในเบื้องต้น นั่นคือป้องกันคุณไม่ให้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไปจนถึงปกป้องคุณจากการล้มป่วยอาการสาหัส"

ก่อนหน้านี้ เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ "Meet the Press." ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี คาดหวังว่าสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ จะอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 โดยสมบูรณ์ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ "ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม"

ปัจจุบันวัคซีนต่างๆ ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในขั้นอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เหุผลที่ประชาชนบางคนใช้ปฏิเสธฉีดวัคซีน

(ที่มา : บลูมเบิร์ก)
#3139


โครงการ "ครัวปันอิ่ม"ซีพีผนึกกำลังทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กร มูลนิธิ กลุ่มจิตอาสา ภาคประชาสังคมและองค์กรเอกชน แจกอาหาร 2 ล้านกล่อง กระจายสู่ชุมชนใน 40 จุดทั่วกรุงเทพฯ ฝ่าวิกฤตโควิด-19

วันนี้ (9 ส.ค.) จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการดำรงชีพและปากท้องของประชาชน ที่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องเร่งด่วนในภาวะอันยากลำบากนี้ โครงการครัวปันอิ่ม แจกข้าวฟรี 2 ล้านกล่อง ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนกว่า 100 องค์กรพันธมิตร เพื่อหวังเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องในชุมชนต่างๆและผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรายย่อยให้สามารถฝ่าวิกฤตโควิดไปได้ โดยอาหารจำนวน 2 ล้านกล่องนี้ ประกอบด้วย ส่วนแรกเป็นการช่วยเหลือร้านอาหารรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมการแพร่ระบาด โดยโครงการครัวปันอิ่มจะจัดซื้ออาหารที่ปรุงใหม่สุกสะอาดตามหลักโภชนาการบรรจุกล่องถูกสุขอนามัยจากร้านอาหารขนาดเล็กและขนาดกลางในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1 ล้านกล่อง และอีก 1 ล้านกล่องเป็นการสมทบอาหารจากเครือซีพีที่เป็นอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน รวมเป็น 2 ล้านกล่อง ซึ่งประกอบไปด้วยเมนูอาหารแตกต่างกันในแต่ละวัน นอกจากนี้ ยังมีผู้มีจิตกุศลนำอาหารมาร่วมสมทบและมีจิตอาสา มูลนิธิ และภาคประชาสังคมมาช่วยดำเนินการแจกจ่าย เพื่อให้เข้าถึงชุมชนและลดการแออัด โดยประชาชนไม่ต้องมาต่อคิวรอรับ ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

สำหรับการแจกจ่ายในสัปดาห์แรก นอกจากอาหารแล้ว ยังมีการแจกหน้ากากอนามัยซีพี และสมทบด้วยมังคุดของดีจากสุคิริน จ.นราธิวาส ที่เครือซีพีช่วยเหลือเกษตรกรภาคใต้ที่ประสบปัญหาด้านราคา ทั้งนี้โครงการครัวปันอิ่มพร้อมเปิดรับผู้มีจิตกุศลที่จะเข้าร่วมนำอาหารมาสมทบ หรือร่วมเป็นจิตอาสาแจกจ่ายให้แก่ชุมชน ซึ่งความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีวิกฤตแต่สังคมไทยทุกภาคส่วนต่างไม่ทอดทิ้งกันและพร้อมร่วมฝ่าฟันต่อสู้วิกฤตนี้ไปด้วยกันจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย 

นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ หรือ 'ครูประทีป' ผู้ก่อตั้งและเลขาธิการมูลนิธิดวงประทีป กล่าวว่า โครงการครัวปันอิ่มฯ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต ผู้คนหิวโหย ติดโควิดกันจำนวนมาก ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ หลายบ้านที่ติดโควิดออกไปไหนไม่ได้ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โครงการนี้ยังสนับสนุนร้านค้าที่หมดทางทำมาหากิน ช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้เข้าร่วม นับเป็นการกู้วิกฤตในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี

นางปิยาภรณ์ วงษ์บัณฑูรย์ ประธานกลุ่มอาสาดุสิต (ประเทศไทยกลับมาสดใสดีกว่าเดิม) กล่าวว่า โครงการครัวปันอิ่มเป็นเสมือนกำลังใจที่ส่งให้พวกเราผ่านสถานการณ์วิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน ซึ่งข้าวทุกกล่องที่แจกในโครงการครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในชุมชนที่ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต โควิด-19 ได้เป็นอย่างดี โดยทางมูลนิธิสยามนนทบุรี และกลุ่มอาสาดุสิต ยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเราได้จัดทีมประสานงานในชุมชน สำรวจความต้องการ พร้อมจัดเตรียมรถส่งอาหาร รวมทั้งนำจิตอาสาไปกระจายอาหารให้ทั่วถึงในชุมชนมากที่สุดตลอดทั้ง 2 เดือน

ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์โดยนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ได้ประกาศความตั้งใจที่จะผนึกกำลังธุรกิจในเครือร่วมแรงร่วมใจคนละไม้คนละมือกับพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วนเพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน จัดตั้งโครงการ "ครัวปันอิ่มร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19"เพื่อช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน 40 ชุมชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยระดมสรรพกำลังของกลุ่มธุรกิจในเครือประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทเอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้ดูแลธุรกิจโลตัส และบริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด ตลอดจนได้รับความร่วมมือร่วมใจจากพันธมิตรต่างๆในสังคมที่ได้เข้ามาร่วมกันช่วยเหลือชุมชนที่เดือดร้อน ซึ่งมีทั้งผู้ที่ขาดรายได้ ว่างงาน กลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่กักตัวดูอาการ และผู้ที่รักษาตัวที่บ้านหรือ Home Isolation ซึ่งโครงการครัวปันอิ่มเริ่มดีเดย์แจกจ่ายอาหารพร้อมรับประทานจำนวน 2 ล้านกล่อง ให้แก่ชุมชมต่างๆทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2564 นี้เป็นต้นไป
#3140


แม้การใกล้ชิดผู้ป่วย "โควิด-19" นับเป็นความเสี่ยงสูง ที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้มาก แต่สำหรับผู้ที่มีญาติติดโควิด-19 หรือตัวเองติดเชื้อแล้วจำเป็นต้องเดินทางไปเข้ารับการรักษายังสถานที่ได้ติดต่อไว้ด้วยรถยนต์ส่วนตัว สามารถทำได้ แต่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าจากผู้ติดเชื้อมายังผู้ขับรถหรือผู้ที่โดยสารไปด้วย 

โดยเพจกรุงเทพมหานคร โดยสำนักประชาสัมพันธ์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนในการปฏิบัติก่อนและระหว่างเดินทางร่วมกับผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารับการรักษาไว้ ดังนี้

ทันทีที่ตรวจพบว่าติดโควิด-19 และต้องการเดินทางไปรับรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือสถานที่รับรักษาสำหรับผู้ป่วยโควิด เริ่มต้นจากการ

1. แจ้งไปยังสายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ กทม. 

2. เตรียมเอกสารผล LAB ยืนยันการติดเชื้อโควิด-19

3. เดินไปรักษาตัวตามสถานที่ที่ได้รับนัดหมาย 

โดยระหว่างเดินทางแนะนำให้ปฏิบัติตนดังต่อไปนี้ 

- ทำฉากกั้นระหว่างคนขับและผู้ติดเชื้อ เว้นระยะห่างระหว่างกันให้ได้มากที่สุดระหว่างเดินทาง 

- คนขับและผู้ติดเชื้อจะต้องนั่งทแยงมุมคนละฝั่งของรถ เพื่อรักษาระยะห่างในรถให้ได้มากที่สุด

- เปิดกระจก และปิดเครื่องปรับอากาศ 

- ใส่หน้ากาก 2 ชั้น ทั้งคนขับและผู้ติดเชื้อ โดยจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี คือ ใส่หน้ากากอนามัยไว้ด้านใน สวมทับด้วยหน้ากากผ้าไว้ด้านนอก ดังนี้


- สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทาง เพื่อเลือกใช้เส้นทางที่ใช้เวลาสั้นที่สุด ไม่ควรใช้เวลาเกิน 30 นาที ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ

- เมื่อเดินทางไปถึงจุดหมาย นั่งคอยในรถ โทรประสานเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป 

อย่างไรก็ตามการเดินทางเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยรถยนต์ส่วนตัวมีความจำเป็นสำหรับบางกรณี ซึ่งแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ ระดับอาการของผู้ป่วยด้วย

ซึ่งการนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาพยายาลจำเป็นต้องพิจารณาความเหมาะสมตามกรณี ที่เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักเข้าสู่ระบบการรักษาได้เร็ว และผู้ป่วยที่มีอาการน้อยได้รับการรักษาที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยเบื้องต้นมีการพิจาณานำเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

1. ประชาชนที่ตรวจที่ รพ. 

2. ประชาชนที่ได้รับการตรวจเชิงรุก

3. ประชาชนที่ตรวจด้วยตัวเอง (Antigen Test Kit) หรือยืนยันการติดเชื้อ PCR

4. ประชาชนที่มีอาการหนักฉุกเฉิน เร่งด่วน โทร.1669