• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Naprapats

#2441
OTO ส่ง 'อินโนฮับ' ใช้ 100 ลบ.เข้าถือหุ้น 49% 'ฟี จิตอล สเปซ' ลุย ESports

บมจ. วันทูวัน คอนแทคส์ (OTO) เปิดเผยว่า บริษัท อินโนฮับ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ได้เข้าทำบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นกับบริษัท ฟิ จิตอล สเปซ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจประกอบกิจการให้บริการด้านแพลตฟอร์มการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต หรือ กีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (Esports Platform) เป็นการทำการตลาด (Marketing) เกี่ยวกับเกมส์และการแข่งขันกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Sports) และกิจการเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Sports)อย่างครบวงจร รวมทั้งการทำคอนเทนต์(Content) ในสื่อต่าง ๆ

วัตถุประสงค์ในการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการทำคอนเทนต์(Content) การให้บริการด้านแพลตฟอร์มการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต โดยเป็นการทำตลาด (Marketing) เกี่ยวกับเกมส์และการแข่งขันกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Sports) และกิจการเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Sports) อย่างครบวงจร และเพื่อขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความหลากหลาย และมีฐานลูกค้าที่มากยิ่งขึ้น

อินโน ฮับ จะเข้าซื้อหุ้นซึ่งเป็นหุ้นที่ชำระเต็มจำนวนแล้วจากผู้ถือหุ้นของ ฟิ จิตอล จำนวนรวม 2,450,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 49% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดของ ฟิ จิตอล ในราคาซื้อขายรวมทั้งสิ้น 100,000,000 บาท ภายหลังจากที่ ฟิ จิตอล ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 10,000,000 บาท เป็น 50,000,000 บาท เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ในการนี้ อินโน ฮับ จะดำเนินการเพื่อเข้าศึกษาความเป็นไปได้ทางการเงินและตรวจสอบสถานะของ ฟิ จิตอล ก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน โดยหากผลการตรวจสอบสถานะของฟิ จิตอลเป็นที่พึงพอใจ อินโน ฮับ จะด เนินการเพื่อเจรจาเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องต่อไป ภายในเดือน เม.ย.65

อย่างไรก็ดี ในการลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นดังกล่าว อินโน ฮับ จะต้องชำระเงินมัดจำ จำนวน 20,000,000 บาท ภายใน 15 วัน นับแต่วันลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นดังกล่าวให้แก่ ผู้จะขาย โดยเงินมัดจำดังกล่าวจะถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย
#2442
ฉีดหัวหน่าวอาเซียนบิวตี้คลีนิคศัลยกรรมต้นๆของประเทศดูแลทุกปัญหาความงาม  
ผิวพรรณ ศัลยกรรมตกแต่ง และก็เวชศาสตร์ชะลอวัย พร้อมการดูแลความสวยสดงดงาม
ฉีดหัวหน่าวแบบองค์รวม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายตีน โดยหมอผู้เชี่ยวชาญ  
แล้วก็ ทีมงานมือโปร 
ฉีดหัวหน่าวอีกทั้งไทยรวมทั้งต่างถิ่น 


https://bit.ly/3Kb7niI
#2443
ดูดไขมันเอวเอสที่เดอะคลาสสถานพยาบาล เป็นสถานพยาบาลเวชกรรมเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง ที่ได้รับ 
ดูดไขมันเอวเอสการยืนยันคุณภาพให้เป็นสถานพยาบาลที่ตามมาตรฐานทางด้านการแพทย์  
 ดูดไขมันเอวเอสที่มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่เสมอกันโรงหมอโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยหมอ 
จบกระดานเฉพาะทาง และก็ เสริมความสวยสดงดงาม
ด้านผิวพรรณ ภายใต้การดูแลโดย พันตรีนายแพทย์ ธีรภัทร์ หัวใจประสาท อาจารย์แพทย์  
ดูดไขมันเอวเอสเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง มีความมุ่งมั่นให้บริการทุกคน


https://bit.ly/3tfAt9K
#2444
กกร.ขยับกรอบ GDP ปีนี้ 2.5-4.5% จากเดิม 3.0-4.5%,เงินเฟ้อขึ้นมาที่ 2.0-3.0%

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 65 มาอยู่ที่ 2.5-4.5% จากครั้งก่อนที่ คาดว่า GDP จะขยายตัว 3.0-4.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยับมาที่ 2.0-3.0% จากเดิม 1.5-2.5% ส่วนส่งออก คาดว่ายังมีแนว โน้มขยายตัว 3.0-5.0% ตามเดิม

กกร.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในหลายด้าน ทั้งเงินเฟ้อ การ ส่งออก รวมถึงการท่องเที่ยว โดยเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นมากตามทิศทางราคาพลังงาน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจสูงกว่าระดับ 3% ได้เป็นเวลานาน ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศและเป็นช่องทางหลักที่ความขัดแย้งรัสเซียยูเครนจะ กระทบเศรษฐกิจไทย

ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบทางตรงจากตลาดรัสเซียและยูเครนไม่มาก แต่อาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าอื่นที่ ชะลอลง โดยเฉพาะสหภาพยุโรป

ด้านการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่จะลดลงจากมาตรการที่จำกัดการเดินทางเช่นการปิดน่าน ฟ้า แต่กระทบการท่องเที่ยวโดยรวมไม่มากนัก

ทั้งนี้ กกร.เสนอขอให้ภาครัฐมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (รัฐ-เอกชน) ในการเป็น Focal Point ในการติดตามและ ประเมินสถานการณ์เพื่อให้เอกชนได้รับข้อมูลจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปิดน่านฟ้า การประกาศหยุดของสายเรือ รวมถึงผล กระทบหากเกิดกรณีการคว่ำบาตรโดยชาติตะวันตกและพันธมิตรด้วย เพื่อวางแผนในการขนส่งสินค้าไทยต่อไป

                              กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2565 ของ กกร.
%YoY             ปี 2565          ปี 2565          ปี 2565
                (ม.ค.65)        (ก.พ.65)        (มี.ค.65)
GDP            3.0 - 4.5         3.0 - 4.5      2.5 - 4.5
ส่งออก          3.0 - 5.0         3.0 - 5.0      3.0 - 5.0
เงินเฟ้อ         1.2 - 2.0         1.5 - 2.5      2.0 - 3.0
#2445
เสริมจมูกโอเพ่น ที่เดอะคลาสสถานพยาบาล เป็นคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ตกแต่ง ที่ได้รับ 
เสริมจมูกโอเพ่นการรับรองคุณภาพให้เป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานด้านการแพทย์  
 เสริมจมูกโอเพ่นที่มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่เสมอกันโรงพยาบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยแพทย์ 
จบบอร์ดเฉพาะทาง และ เสริมความสวยสดงดงาม
ด้านผิวพรรณ ภายใต้การดูแลโดย พันตรีนายแพทย์ ธีรภัทร์ จิตใจประสาท อาจารย์แพทย์  
เสริมจมูกโอเพ่นเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง มีความมุ่งมั่นให้บริการทุกท่าน


https://bit.ly/3pus6pO
#2446
ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดบวก 9.10 จุด รับ Sentiment เชิงบวกหลังยูเครน-รัสเซียตกลงเจรจา

ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,694.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.10 จุด (+0.54%) มูลค่าการซื้อขาย 91,815.23 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,701.69 จุด และลงไปลึกถึงระดับต่ำสุดที่ 1,690.82 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 1,089 หลักทรัพย์ ลดลง 741 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 534 หลักทรัพย์

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวแดนบวกตามดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆในต่างประเทศ โดยได้รับ Sentiment เชิงบวกหลังตัวแทนจากยูเครนกับรัสเซียตกลงที่จะจัดการเจรจาเพื่อหาทางออกต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างต่อเนื่อง ว่าจะมีพัฒนาการอย่างไรต่อไป ในขณะเดียวกันให้ติดตามท่าทีของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวถึงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในวันที่ 2-3 มี.ค.นี้

แนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่ง Sideway ต่อเนื่อง โดยยังคงติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน พร้อมให้แนวรับ 1,674-1,680 จุด และแนวต้าน 1,700-1,704 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 4,014.48 ล้านบาท ปิดที่ 163.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,379.30 ล้านบาท ปิดที่ 137.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

BANPU มูลค่าการซื้อขาย 3,196.43 ล้านบาท ปิดที่ 11.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท

BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,867.12 ล้านบาท ปิดที่ 137.00 บาท ลดลง 3.00 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,600.93 ล้านบาท ปิดที่ 68.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
#2447
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบตามดาวโจนส์ วิตกรัสเซียยังโจมตียูเครน

ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเกือบ 600 จุดในวันอังคาร (1 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน รวมทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังชาติมหาอำนาจพร้อมใจกันคว่ำบาตรรัสเซีย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงพุ่งทะยานขึ้น

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,532.20 จุด ร่วงลง 312.52 จุด หรือ -1.16%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 22,568.36 จุด ลดลง 193.35 จุด หรือ -0.85% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,478.29 จุด ลดลง 10.54 จุด หรือ -0.30%

นักลงทุนยังคงวิตกกังวลกับสถานการณ์ความไม่สงบในยูเครน แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเจรจาระหว่างคณะผู้แทนของรัสเซียและยูเครนเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัสเซียได้เตือนให้ประชาชนยูเครนอพยพออกจากบ้านเรือน ก่อนที่จะระดมยิงจรวดเข้าใส่เมืองคาร์คีฟซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของยูเครน ขณะที่นายเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียกล่าวว่า รัสเซียจะยังคงใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหลักในการปกป้องตนเองจากภัยคุกคามของชาติตะวันตก

นอกจากนี้ แคนาดายังประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่วนสหรัฐและชาติตะวันตกประกาศตัดธนาคารรัสเซียบางแห่งออกจากระบบ SWIFT ขณะเดียวกันสหรัฐได้ประกาศอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในสหรัฐ และห้ามชาวอเมริกันทำธุรกรรมกับธนาคารกลางรัสเซีย

ทางด้านบริษัทพลังงานเอกชนหลายแห่งยังได้คว่ำบาตรรัสเซียเช่นกัน ซึ่งรวมถึงบริษัทบีพีและเชลล์ซึ่งประกาศว่าจะถอนตัวออกจากการดำเนินงานในรัสเซีย ขณะที่บริษัทโททาล เอนเนอร์จีส์ ประกาศว่าจะไม่ลงทุนเพิ่มในรัสเซีย

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 7.69 ดอลลาร์ หรือ 8% ปิดที่ 103.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค. 2557 และเป็นการพุ่งขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 7 ดอลลาร์ หรือ 7.2% ปิดที่ 104.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2557

นักลงทุนยังจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันที่ 2 มี.ค. และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 3 มี.ค. โดยการแถลงทั้งสองวันจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 22.00 น.ตามเวลาไทย

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่น่าติดตามวันนี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค. ของเกาหลีใต้ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2564 ของออสเตรเลีย
#2449
บิตคอยน์พุ่งทะลุ 4.3 หมื่นดอลล์ คาดดีมานด์เพิ่มหลังสหรัฐคว่ำบาตรรัสเซีย

คริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น หลังจากสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อธนาคารกลางของรัสเซีย เพื่อตอบโต้กรณีรัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน

ณ เวลา 09.28 น.ตามเวลาไทย ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้น 1,524 ดอลลาร์ หรือ 3.66% แตะที่ 43,175 ดอลลาร์

รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อธนาคารกลางรัสเซียเมื่อวานนี้ ด้วยการอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียในสหรัฐ และห้ามชาวอเมริกันทำธุรกรรมกับธนาคารกลางรัสเซีย โดยมาตรการดังกล่าวยังรวมไปถึงกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัสเซียและกระทรวงการคลังรัสเซียด้วย

สเตฟาน โอเอลเลตเต้ ซีอีโอของบริษัท Frnt Financial Inc กล่าวว่า "สถานการณ์ด้านการธนาคารที่ไม่แน่นอนในภูมิภาค อาจทำให้เราได้เห็นบทบาทเพิ่มขึ้นของสกุลเงินคริปโทฯ ในฐานะสกุลเงินที่ใช้ในการทำธุรกรรมชำระเงิน"

ด้านนาธาน แบทเชเลอร์ นักวิเคราะห์ด้านบิตคอยน์จากบริษัท SIMETRI Research กล่าวว่า เมื่อบิตคอยน์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 41,000 ดอลลาร์ ก็อาจพุ่งทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 42,800 ดอลลาร์
#2450

เครื่องแกะสลัก CNC Rounter
 หรือ เครื่องแกะสลักขนาดใหญ่

CNC ย่อมาจาก Computer Numerical Control หมายถึง การควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ เมื่อระบบCNC ถูกนำมาใช้ในเครื่องจักรเราก็จะเรียกกันว่า เครื่องแกะสลัก CNC Rounter หรือ เครื่องแกะสลักขนาดใหญ่ โดยระบบ CNC จะควบคุมการทำงานต่างๆ ของในเครื่องจักรอัตโนมัติภายใต้คำสั่งภาษาเครื่องที่เราสร้างขึ้นมา.
ความเป็นมาของเครื่องแกะสลัก CNC Rounter
เครื่อง CNC เริ่มมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 โดยประมาณ โดยพัฒนามาจากระบบ NC (Numerical Control) หรือการควบคุมด้วยระบบตัวเลขซึ่งจะเป็นลักษณะกึ่งอัตโนมัติ คือ การเคลื่อนที่ในแกนต่างๆ จะเคลื่อนที่ไปตามระยะที่เราได้ป้อนไปในแต่ละครั้ง. หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาชุดคำสั่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นโปรแกรม ทำให้ให้การทำงานสะดวกขึ้นมากเพราะว่าเราไม่ต้องมาป้อนคำสั่งทุกๆ ครั้ง เพื่อสั่งให้เครื่องจักรเคลื่อนที่ แต่ชุดคำสั่งนี้จะทำงานตามคำสั่งตั้งแต่ต้นจนจบตามที่เราต้องการ โดยปัจจุบันชุดคำสั่งดังกล่าวจะมีการพัฒนาไปมาก นอกจากจะควบคุมการเคลื่อนไหวขอเครื่อง CNC แล้ว ยังมีหน้าที่ควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของเครื่อง CNC ได้ด้วย. ซึ่งชุดคำสั่งนี้เราเรียกกันว่า "G Code" และ "M Code".

Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th 
#2451
SRICHA โชว์งบปี 64 กำไร 341.52 ล้านบาท โต 140 % รุกเดินหน้าประมูลงานใหม่มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ชูแบ็คล็อคสูง 1,200 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวพร้อมจ่ายปันผลเพิ่ม 0.25 บาท/หุ้น

บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA เปิดงบปี 64 ทำรายได้รวม 2,563 ล้านบาท กำไรพุ่ง 341.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.09% ล่าสุดบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลเพิ่มอีก 0.25 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD ในวันที่ 3 พ.ค. 2565 พ.ค.65 และจ่ายปันผลในวันที่ 17 พ.ค.65 นี้

นางสุดจินดา เศรษฐกูลวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น หรือ SRICHA บริษัทฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานรับเหมาก่อสร้างโลหะ ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า " สำหรับผลประกอบการประจำปี 2564 มีรายได้จากการรับเหมาและให้บริการรวม 2,552 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้รวม 1,656 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 341,517 ล้านบาท เมื่อเทียบในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 142,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.09% โดยสาเหตุหลักเกิดจาก เนื่องจากปี 2564 บริษัทฯ มีงานเพิ่มจากโครงการเดิม และโครงการในต่างประเทศมีปริมาณเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเริ่มฟื้นตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ด้านพลังงาน ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้น และ ที่สำคัญบริษัทฯเน้นการเลือกรับงานโครงการที่มีอัตราผลตอบแทนที่ดีต่อผู้ถือหุ้น และมีความเสี่ยงน้อย มากกว่าที่จะรับงานโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าแ ละผลตอบแทนต่ำกว่า ทั้งนี้มีแผนที่จะประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะทยอยรับรู้รายได้ไปอีก3-4ปีข้างหน้า มีมูลค่ากว่า12,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีปริมาณงานในกว่า1,200 ล้านบาท

คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินรวมประมาณ 77,469,750 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 5 พ.ค. 2565 และจ่ายปันผลในวันที่ 17 พ.ค. 2565 ทั้งนี้ มีมติให้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 19 เมษายน 2565 เวลา 10.00 น. ผ่านระบบ Inventech Connect Streaming System

"สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2565 นี้ บริษัทฯ มั่นใจว่านับจากนี้เป็นต้นไปผลประกอบการบริษัทฯมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากบริษัทฯได้เซ็นสัญญารับงานโครงการก่อสร้างโรงงานหลายโครงการ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี อาทิ โครงการใหม่ PEXCELL จากบริษัท DYNATEC MADAGASCAR มูลค่างานรวมแล้ว กว่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1 ในลูกค้าหลักที่บริษัทฯรับงาน maintenance ติดต่อกันมากว่า 8 ปี โครงการ Project T3, T4, T5 ซึ่งเป็นงานก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีในประเทศ และ

โครงการ HARMONY ซึ่งเป็นโรงงานปิโตรเคมีในประเทศเช่นกัน นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับงานเพิ่มจากโครงการนั้นๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญารับงานโครงการใหม่เพิ่มเติมคือ โครงการของ บมจ.ไทยออยล์ จากกิจการร่วมค้า Petrofac-Samsung-Saipem มูลค่างานเริ่มต้น 828 ล้านบาท ระยะเวลา 15 มีนาคม 2564 -ธันวาคม 2565 และมี โอกาสจะได้รับงานเพิ่มเติมจากโครงการนี้เช่นกัน

อนึ่ง บริษัทฯยังอยู่ในช่วงการเตรียมการจะประมูล และ/หรือเจรจางานซึ่งจะเริ่มในปี 2565เป็นต้นไปอีก14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทโดยที่ 3 โครงการ มีมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาทและบริษัทมีความมั่นใจสูงว่าจะได้รับงานดังกล่าวอย่างต่อเนื่องรองรับการกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเริ่มต้นรอบใหม่ของการลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศโดย SRICHA ได้เตรียมความพร้อมด้านบุคคลากร และอุปกรณ์เครื่องจักรรองรับการขยายงานไว้ล่วงหน้าแล้ว"
#2452
สภาพัฒน์ แนะรัฐออกมาตรการเสริมสภาพคล่อง-เพิ่มทักษะเทคโนโลยีให้ SMEs ภาคท่องเที่ยว

น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่เฉพาะ GDP ของ SMEs สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงมากถึง 47% อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการบางกลุ่มสามารถปรับตัวดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งสะท้อนถึงความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ ดังนั้น การศึกษาการปรับตัวของผู้ประกอบการ และแรงงานจากผลกระทบ ตลอดจนเสียงสะท้อนต่อมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ จะเป็นบทเรียนและข้อเสนอแนวทางการฟื้นฟู SMEs ให้เกิดการจ้างงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป

ดังนั้น สศช. จึงร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (Research Centre for Social and Business Development Co., Ltd.) หรือ SAB ได้ทำการสำรวจการปรับตัวของแรงงานและผู้ประกอบการ SMEs จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภาคการท่องเที่ยวที่ยังเปิดดำเนินกิจการอยู่ใน 5 ประเภท คือ ที่พักแรม การบริการอาหาร ขนส่งทางบก ท่องเที่ยว และขายของที่ระลึก จำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น 1,534 ตัวอย่าง และแรงงาน 3,068 ตัวอย่างใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา ภูเก็ต ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ (ช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ย.64) โดยมีผลการสำรวจที่สำคัญ คือ

1. รายได้ผู้ประกอบการที่ลดลงในช่วงโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน และการมีหนี้สิ้นที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 64 มีรายได้ลดลงมากกว่าปี 63 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มที่พักแรม ท่องเที่ยว และบริการอาหาร และมากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ประกอบการมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ส่งผลให้จำนวนผู้ประกอบการที่เป็นหนี้ในปี 64 เพิ่มขึ้น ประมาณ 10% จากปี 62 รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ลดลงจากปกติที่ 93.4% เหลือ 63.3% ในปี 64

2. พื้นฐานทางการเงิน ต้นทุนคงที่ในการดำเนินธุรกิจ และความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ เป็นปัจจัยสำคัญต่อความอยู่รอดของธุรกิจ การมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี และเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่ที่ไม่สูงมากนัก ทำให้สามารถใช้แนวทางการปรับลดเวลาการทำงานหรือเงินเดือน เพื่อพยุงสถานะทางธุรกิจได้ นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถปรับแผนการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจะสามารถอยู่รอดได้

3. แรงงานมีรายได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อเงินออม หนี้สิน และความเครียด โดยแรงงานส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง จากการถูกลดชั่วโมงการทำงาน ลดเงินเดือน หรือให้พักงาน ส่งผลให้สัดส่วนผู้มีเงินเหลือเพื่อเก็บออมลดลง สำหรับด้านหนี้สินปี 63 สัดส่วนผู้ที่เป็นหนี้เพิ่มขึ้น 44.4% และเพิ่มเป็น 46.3% ในปี 64 ผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อความเครียดของแรงงาน โดยพบว่า แรงงาน 2 ใน 3 รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงของงาน และกลัวการติดโรค

4. เทคโนโลยีมีความจำเป็นต่อความอยู่รอดในการประกอบธุรกิจ แต่การนำมาปรับใช้กับธุรกิจ SMEs ยังเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 84.7% ขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ 77.5% ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และ 88.4% รับชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล อย่างไรก็ตาม มีเพียง 34.6% ที่มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดกรธุรกิจ ขณะที่แรงงานส่วนใหญ่ 83.7% เห็นว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีระดับปานกลางถึงมาก และ 97.4% ไม่รู้สึกกังวลหากนายจ้างจะนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานมากขึ้น

สำหรับเสียงสะท้อนต่อมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจของภาครัฐ พบว่า

1. ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เข้าร่วมโครงการกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล แต่ยังมองว่าประโยชน์ที่ได้รับอยู่ในระดับปานกลาง โดย 77.6% ของผู้ประกอบการหรือแรงงานเข้าร่วมโครงการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ ในจำนวนนี้ 63.1% เห็นว่าเป็นมาตรการที่ตรงกับความต้องการ โดยประโยชน์ที่ได้รับอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนมาตรการช่วยเหลือที่คิดว่าเป็นผลตีต่อธุรกิจ ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน, การสนับสนุนเงินชดเชยเยียวยา และการลดค่าน้ำ ไฟฟ้า สาธารณูปโภค

2. เพียง 1 ใน 3 ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่า จะสามารถอยู่รอดและกลับมาฟื้นฟูธุรกิจได้หลังผ่านวิกฤติโควิด-19 โดยผู้ประกอบการเพียง 36.4% มีความเชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด และ 70% ยังไม่มีแผนฟื้นฟูกิจการหลังการแพร่ระบาดยุติลง ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะต่อการช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการ อาทิ การสนับสนุนด้านการเงินให้กับภาคธุรกิจ การสนับสนุนเงิน ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายหรือฟื้นฟูเยียวยากิจการ การประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาการท่องเที่ยวให้น่าสนใจขึ้น

3. มาตรการประกันสังคมและการกระตุ้นกำลังซื้อผ่านโครงการคนละครึ่ง เป็นมาตรการที่กลุ่มแรงงานส่วนใหญ่เข้าถึงได้มากกว่ามาตรการอื่น โดยต้องการความช่วยเหลือในรูปแบบการแจกเงินชดเชยเยียวยามากที่สุด รองลงมา คือ สนับสนุนหรือช่วยเหลือค่าครองชีพ

4. มุมมองต่อนโยบายการจัดการปัญหาโควิดเกี่ยวกับการเปิดรับนักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ประเมินว่า การจัดการปัญหาของภาครัฐยังไม่ดีพอ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวในช่วงแรกไมได้ถูกให้ความสำคัญ โดยมีประเด็นที่ควรปรับปรุง คือ การกำหนดมาตรการและแนวทางการปฏิบัติให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเอกสาร ขั้นตอน และวิธีการที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ผลการสำรวจข้างต้นชี้ว่า ธุรกิจ SMEs ภาคการท่องเที่ยวที่สามารถรับมือกับสถานการณ์วิกฤตได้ จะมีปัจจัยที่สำคัญ คือ รากฐานการเงิน การปรับแผนทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การไม่พึ่งพิงกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดียว และความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จากผลกระทบต่อผู้ประกอบการ แรงงานที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ควรมีมาตรการรับมือ ดังนี้

1. การสนับสนุนด้านการเงิน เพื่อเสริมสภาพคล่อง และลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ แรงงาน โดยเน้นให้สามารถเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือได้ อาทิ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูกิจการ การลดหรือยกเว้นภาษี รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยาสำหรับแรงงานที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม

2. การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวตามช่วงฤดูกาล ที่เน้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก สนับสนุนการท่องเที่ยวให้กับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย จัดทำแพ็กเกจการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร ที่เน้นสำหรับสถานประกอบการ SMEs

3. การส่งเสริมทักษะและการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการท่องเที่ยว โดยพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตเสรีให้มีความครอบคลุมและทั่วถึง สนับสนุนการฝึกอบรมพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ที่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจของผู้ประกอบการ แรงงาน รวมทั้งสนับสนุน และฝึกอบรมทักษะแรงงานโดยเฉพาะในกลุ่มอาชีวะศึกษาที่อยู่ใน SME เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทันต่อการพัฒนา
#2453
     ชักโครกและโถสุขภัณฑ์คริสตินาได้รับการออกแบบให้รองรับกับทุกสรีระด้วยดีไชน์ทันสมัย เป็นชักโครกและโถเครื่องสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวไม่มีรอยต่อ ผลิตจากเซรามิคคุณภาพดีคงทน ง่ายต่อการทำความสะอาด ชักโครก



ดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์  ชักโครก https://www.cristina.co.th/shop/toilets/toilet-bowl

ชักโครก สามารถเลือกกดประหยัดน้ำด้านบนเพื่อชำระล้างตามการใช้แรงงาน ฝารองนั่งวัสดุ UF ปิดด้วยระบบ Soft-Closed แบบนุ่มนวล รูปทรงยาวนั่งสบาย มีระบบระเบียบ SIPHON-JET ACTION เพื่อการชำระล้างอย่างทั่วถึง ไร้ขอบ ไม่กักเก็บเชื้อโรค สะดวกต่อการใช้แรงงานแล้วก็ถูกสุขอนามัยกับทุกคน มีหลายทรงให้เลือกได้ตามความจำเป็น พอดีกับทุกเครื่องเรือนในห้องอาบน้ำของคุณ โถสุขภัณฑ์ หรือ ชักโครกของคริสตินา เป็นโถเครื่องสุขภัณฑ์ราคาถูกแต่ว่าคุณภาพเกินราคา ไม่แพงอย่างที่คิด ออกแบบให้สะดวกต่อการตำหนิดตั้ง มีอีกทั้งแบบท่อลงพื้น/

หลบซ่อนหม้อน้ำในฝาผนังแบบตั้งกับพื้นหรือแบบแขวนฝาผนัง ที่สำคัญเรามีช่างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญงานให้คำแนะนำก่อนที่จะมีการจัดตั้งแล้วก็บริการข้างหลังการขาย ให้ลูกค้ากลุ้มอกกลุ้มใจลดลงในเรื่องของอะไหล่และก็การดูแลซ่อมได้ตลอดอายุการใช้งาน มีให้เลือกมากยิ่งกว่า 20 แบบ ชักโครกของเราได้รับความเชื่อใจจากโครงงานบ้าน โรงแรม อพาร์เม้นท์และก็สปาชั้นหนึ่งของประเทศ ทำให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพรวมทั้งความคุ้มค่าที่หาตรงไหนไม่ได้อีกแล้ว



     ชักโครก   |   ชักโครกราคา   |   ชักโครกและโถสุขภัณฑ์

เครดิตบทความ บทความ ชักโครก https://www.cristina.co.th/shop/toilets/toilet-bowl
#2454
จากเมตาเสิร์ชสู่ไลฟ์สไตล์แอปชั้นนำ : หนึ่งทศวรรษของ Traveloka ที่เติบโตเคียงข้างผู้บริโภค

จากวันที่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 Traveloka (ทราเวลโลก้า) ไลฟ์สไตล์ซูเปอร์แอปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้ ทราเวลโลก้าฉลองครบรอบ 10 ปีที่ได้เดินทางและเติบโตเคียงข้างผู้บริโภค พร้อมมอบโปรโมชั่น Salebrat10n หนึ่งในความพิเศษของการฉลองครั้งนี้

ตลอดทศวรรษแห่งการเป็นฟันเฟืองหนึ่งในสังคม ทราเวลโลก้าได้พัฒนานวัตกรรมบนพื้นฐานของเทคโนโลยี เพื่อช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคด้านการเดินทางและไลฟ์สไตล์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากจุดเริ่มต้นแห่งการเป็นเครื่องมือเมตาเสิร์ช ต่อยอดและพัฒนาสู่แหล่งรวมข้อมูลออนไลน์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และในวันนี้ ทราเวลโลก้าได้ก้าวไปสู่การเป็นซูเปอร์แอปด้านไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบ ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการกว่า 20 รายการในสามกลุ่มหลัก ได้แก่ การเดินทาง บริการในประเทศ และบริการทางการเงิน

นายอัลเบิร์ต หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งทราเวลโลก้า กล่าวว่า "ในฐานะบริษัทเทคโนโลยี นวัตกรรมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับเราที่ช่วยให้เราเติบโต ปรับตัว และนำเสนอโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการและแรงบันดาลใจของผู้บริโภค ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เรานำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคมากกว่า 40 ล้านคน โดยร่วมมือกับพันธมิตรหลายล้านราย รวมถึงฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน เพื่อร่วมกันส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ"

ด้วยความมุ่งมั่นในที่จะสร้างเติบโตอย่างต่อเนื่องและนำความภาคภูมิใจของชาวอินโดนีเซียขยายออกไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก ส่งผลให้ทราเวลโลก้ากลายเป็นยูนิคอร์นแห่งแรกของประเทศอินโดนีเซีย ที่สามารถพัฒนาธุรกิจนอกประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดได้สำเร็จ นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ทราเวลโลก้าได้ขยายธุรกิจไปในหลายประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

บทบาทหนึ่งที่ทราเวลโลก้าได้แสดงให้เห็นเด่นชัด คือ การเป็นผู้นำนวัตกรรม ซึ่งได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งในงานเปิดตัว Traveloka PayLater ในปี 2561 ที่ทราเวลโลก้าถือเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดนี้ ปัจจุบันบริการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Buy Now Pay Later (BNPL) ที่อินโดนีเซีย บริษัทมีเป้าหมายหลักในการลดความยุ่งยากของการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้บริโภค ช่วยให้การจัดการกระแสเงินสดของทุกคนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยังไม่รวมถึงความสำเร็จของทราเวลโลก้า ในฐานะเจ้าแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการ PayLater Virtual Number ทำให้การผ่อนชำระโดยใช้เบอร์เสมือน (Virtual Number) เป็นไปได้

แม้ในช่วงการระบาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบต่อธุรกิจการเดินทางและท่องเที่ยว ทราเวลโลก้าก็ยังคงสร้างสรรค์ต่อเนื่อง เสริมบริการที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมมากขึ้น ทราเวลโลก้าริเริ่มและดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคในประเทศ ตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์วัคซีนทราเวลโลก้าที่ให้บริการตรวจโควิด-19 ไปจนถึงการเปิดตัว Traveloka Clean Partner รวมไปถึงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือพันธมิตรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ซูเปอร์แอปไลฟ์สไตล์นี้ได้จัดโปรแกรม EPIC Sale ครั้งยิ่งใหญ่ที่ช่วยดันยอดการทำธุรกรรมของพันธมิตรกว่า 1,800 รายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 4.5 เท่า

ตลอดการเดินทางในรอบปีที่ผ่านมา ทราเวลโลก้ามุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งของภาพลักษณ์บริษัทในฐานะซูเปอร์แอปด้านไลฟ์สไตล์ ได้เพิ่มและเสริมผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เข้ามาให้เป็นโซลูชั่นที่ครบวงจร ในส่วนของบริการที่เกี่ยวกับการเดินทาง ได้เพิ่มในส่วนของ Traveloka Holiday Stays แหล่งที่พักส่วนตัวที่ครบสมบูรณ์ และ Traveloka QuickRide ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเรียกแท็กซี่จากแอปพลิเคชันทราเวลโลก้าได้ นอกจากนี้ ยังมีบริการ Eats Delivery, Health และ Online Xperience ที่รวมอยู่ในหน่วยธุรกิจบริการในประเทศ ขณะที่ธุรกิจบริการทางการเงินก็เติบโตรุดหน้าหลังจากที่เปิดให้บริการ Traveloka Gold และ Traveloka PayLater Virtual Numbers ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ด้านการประกันภัยที่มีความคุ้มครองที่กว้างขวางและครอบคลุมยิ่งขึ้น

ฉลองการก้าวผ่านทศวรรษแรก

ในการก้าวสู่ปีที่ 10 ทราเวลโลก้าขอขอบคุณผู้บริโภคด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสุด Salebrat10n ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Traveloka Clean Partner ให้ผู้บริโภคได้เพลิดเพลินไปกับส่วนลดตั้งแต่ 15% ถึงสูงสุด 95% สำหรับทุกหมวดผลิตภัณฑ์และบริการที่มีในแอปพลิเคชันทราเวลโลก้า ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึง 3 มีนาคม 2565 และในช่วงเวลานี้ ผู้บริโภคยังมีโอกาสรับความพิเศษเพิ่มเติมจากการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึง Flash Sale Hour ที่จะมีขึ้นเวลา 11:00 - 12:00 น. ทุกวัน สำหรับข้อเสนอสุดพิเศษจากสายการบินต่าง ๆ และเวลา 10:00 - 22:00 น สำหรับคูปองสุดพิเศษจากโรงแรมที่พัก นอกจากนั้น ทราเวลโลก้ายังมอบรหัสส่วนลดมากมาย เพื่อใช้สำหรับการจองพร้อมส่วนลดในช่วง birthday sale อีกด้วย เช่น :

ส่วนลดพิเศษสำหรับตั๋วเครื่องบิน Flight Flash Sale Hour ทุกวัน ตั้งแต่ 11.00 น. - 12.00 น. เพื่อรับส่วนลดสูงสุด 40%
ส่วนลดพิเศษจากโรงแรม ตั้งแต่ 28 ก.พ. ไปจนถึง 3 มี.ค. 2565 พร้อมชั่วโมง flash sale รับส่วนลดสูงสุด 733 บาท
Xperience มอบส่วนลดสูงสุด 95% ดีลเริ่มต้นที่ 10 บาท
คูปองส่วนลดแพ็กเกจเที่ยวบิน + โรงแรม สูงสุด 300 บาท
นอกจากนี้ ยังขอแนะนำบริการ Traveloka Explore หนึ่งในนวัตกรรมล่าสุดของทราเวลโลก้าที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถอัปโหลดรูปภาพและวิดีโอสั้น ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางและไลฟ์สไตล์ เพื่อร่วมแชร์กับเพื่อน ๆ หรือคนทั่วไปทางแอปพลิเคชันทราเวลโลก้าได้อีกด้วย

"ทราเวลโลก้าขอขอบคุณในความสนับสนุนและไว้วางใจจากผู้บริโภค พันธมิตร รัฐบาล และฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ทราเวลโลก้าประสบความสำเร็จมากมายตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และการเดินทางของเราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะเราจะมุ่งมั่นต่อไปในการสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับประเทศ พร้อมกับพาร์ตเนอร์ที่เคียงข้างกันไป" นายอัลเบิร์ตกล่าวสรุป
#2455
ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลงในเดือนก.พ.
 
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 62.8 ในเดือนก.พ. จากระดับ 67.2 ในเดือนม.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 61.7

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 61.7 ในเดือนก.พ.

ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ สถานะการเงินส่วนบุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, การว่างงาน, อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล

สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนม.ค.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนธ.ค.

ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนม.ค.ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อเครื่องบิน

ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ พุ่งขึ้น 0.9% ในเดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค.
#2456
'ปูติน' สั่งกองกำลังนิวเคลียร์เตรียมความพร้อมสูงสุด รับมือนาโตคว่ำบาตร

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สั่งการให้กองกำลังป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent Forces) เตรียมพร้อมในระดับสูงสุด หลังจากบรรดาชาติพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ส่งสัญญาณอันแข็งกร้าวว่าจะตอบโต้รัสเซีย ซึ่งรวมถึงการตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หลังจากที่รัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน

ปธน.ปูตินได้ออกแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลรัสเซียวานนี้ว่า 'ท่านได้เห็นแล้วว่า ไม่เพียงแต่ชาติตะวันตกเท่านั้นที่ใช้มาตรการที่ไม่เป็นมิตรต่อรัสเซียโดยเฉพาะมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาโตยังได้ใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวทุกครั้งที่กล่าวถึงรัสเซีย'

นางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (UN) กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ 'Face the Nation' ของสำนักข่าวซีบีเอสว่า การกระทำของปธน.ปูตินถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และยังเป็นการเพิ่มความขัดแย้งให้ลุกลามบานปลาย นอกจากนี้ นางโธมัส-กรีนด์ฟิลด์กล่าวว่า สหรัฐอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซีย

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ก.พ.) กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียได้แก่ นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ, นายเซอร์เก ชอยกู รมว.กลาโหม และนายวาเลรี เจราซิมอฟ เสนาธิการทั่วไป เพื่อตอบโต้กรณีที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน

 
#2457
DPAINT เป้าปี 65 ทำนิวไฮอีกรอบมั่นใจเป้ารายได้โตสม่ำเสมอต่อเนื่องกว่า 20%

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สีเดลต้า (DPAINT) เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 65 เริ่มเดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มกำลัง แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ แต่มองว่าประชาชนเริ่มมีการปรับตัว และได้รับวัคซีนครอบคลุมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานก่อสร้างมีการเปิดประมูลหลายโปรเจกต์ อีกทั้ง การพัฒนาโครงการภาคเอกชน และการปรับปรุงอาคารที่อยู่อาศัยของผู้คน ส่งผลให้ความต้องการสีทาอาคารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

บริษัทวางเป้าหมายปี 65 จะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่อีกรอบ มั่นใจกับเป้าหมายรายได้เติบโตสม่ำเสมออย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมจัดทัพขยายองค์กร ดำเนินการพัฒนาด้านธุรกิจหลัก และรุกตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมเพิ่มเติม ขยายกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงมากกว่า 40% พร้อมวางแผนการลงทุนซื้อเครื่องผสมสีในปีนี้อีกประมาณ 150 เครื่อง สนับสนุนแผนการขยายตลาดเป็นวงกว้าง และพร้อมมุ่งเข้าสู่ตลาดชายแดน และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเห็นช่องว่างทางการตลาดที่สดใส

นอกจากนัน ยังได้เซ็น MOU ร่วมกับดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในตลาดของประเทศไทย เป็นจำนวน 2 ราย สานสัมพันธ์กันยาวถึง 3 ปี เพื่อขยายตลาดอาคารสูง และจะมีการเซ็น MOU ร่วมกับพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมอีกในปีนี้ ขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้า และคู่ค้าที่มีอย่างยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปี 64 DPAINT เติบโตตามเป้าหมายทั้งรายได้และกำไร แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบตลอดช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังคงยึดหลักบริหารแบบ Kaizen มุ่งเน้นการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ พร้อมชูผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรุกตลาดกลุ่มพรีเมียม มอบความคุ้มค่าที่มากกว่า ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ส่งผลให้ทิศทางธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ ถือว่ามีความสามารถในการทำกำไรอย่างโดดเด่นในอุตสาหกรรม

ผลการดำเนินงานปี 64 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 749.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อน 25.6% เป็นผลจากการเพิ่มไลน์สินค้าที่เปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สีดิสนีย์ สีเดลต้า เมจิก ชิลด์ เริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4/64 ผลตอบรับดีเกินคาด และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายตามแผนธุรกิจของบริษัท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 52.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อน 26.2% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 41.9% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 41.3% และสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิในระดับที่ดีที่ 7% แม้ท่ามกลางความขาดแคลนและความผันผวนของวัตถุดิบ เป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่คล่องตัว สัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มสีคุณภาพพิเศษ ซึ่งเป็นกลุ่มไฮมาร์จิ้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ควบคู่การควบคุมต้นทุนการผลิต และการได้เปรียบเชิงต้นทุน (Economies of Scale)

สัดส่วนผลิตภัณฑ์ในปี 64 DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 28.6% และสีคุณภาพคุ้มค่า 31.4% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ ผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 3,000 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) 1,000 สาขา ร้านค้าปลีก (Retail) 2,140 สาขา เพิ่มขึ้นถึง 18% จากปีก่อน และงานโครงการ (Project) รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ปัจจุบันมีจำนวน 353 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 133 เครื่อง
#2458
AIRA กลับมาท็อปฟอร์ม โชว์กำไรปี64 พุ่ง พลิกกำไร 117 ลบ.

บมจ.ไอร่า แคปปิตอล ("AIRA") ตอกย้ำผลการดำเนินงานเทิร์นอะราวด์ โชว์งบปี 2564 พลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 76 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม 1,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในเครือสร้างผลตอบแทนตามเป้าที่วางไว้ ระบุ หลังจากนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว พร้อมตอกย้ำ AIRA Group การเป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง

บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ว่า สำหรับปีที่ผ่านมาถือเป็น AIRA Group มีความโดดเด่นและมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯสามารถสร้างผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทสามารถปรับตัวดีขึ้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 1,160 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และพลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท อีกทั้งงบเฉพาะกิจการของบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวมเท่ากับ 138 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเนื่องจาก การรับรู้รายได้จากค่านายหน้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ โดยมีส่วนรายได้ 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการซื้อขายของลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการ จำนวน 191 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่าเช่าจากสัญญาเช่าดำเนินงานของธุรกิจลีสซิ่ง 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบจากปีก่อน และรายได้ค่าเช่าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยรายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอาคารสำนักงานให้เช่าที่ดำเนินการในนาม บจก.แอสไพเรชั่น วัน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการให้เช่าพื้นที่ได้ตั้งแต่ปี 2563 โดยมีอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

ส่วนผลการดำเนินของบริษัทร่วมที่ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับปี2564 มีรายได้รวม 1,665 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาท ซึ่ง AIRA รับรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุนร้อยละ 30 คิดเป็นกำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุน 90 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรงทำให้มีผลขาดทุนเล็กน้อย

พร้อมกันนี้ บริษัทฯมีการบันทึกกำไรจากเงินปันผลของบริษัทย่อย 2 บริษัท ที่ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ประจำปี 2564 เป็นเงินรวม จำนวน 108.92 ล้านบาท จาก บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.025 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 28.62 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.073 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 80.30 ล้านบาท โดยเงินปันผลดังกล่าวจะบันทึกรับรู้เป็นกำไรเข้ามาในไตรมาส4/2564 นี้

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น เป็นการตอกย้ำถึงความศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับทุกบริษัทในเครือ AIRA Group ได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญหลังจากที่ AIRA Group ได้มีการขยายการลงทุนในแต่ละธุรกิจในแต่ละช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่ปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตของธุรกิจในเครือ

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า AIRA Group เป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง ประกอบกับมีศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน โดย ณ สิ้นปี2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสด ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทเป็น Non-Bank บริษัทเดียวที่ได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านการร่วมลงทุนในแต่ละธุรกิจ โดยกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวอยู่ในระดับ TOP 3 ของ กลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละประเทศ อาทิ บริษัท AIFUL Corporation ประเทศญี่ปุ่น , บริษัท Eugene Investment &Securities ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทการเงินและวัสดุก่อสร้างชั้นนำจากประเทศเกาหลี , บริษัท Kenedix Asia Private Limited บริษัทจัดการกองทุนและบริหารสินทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น , NEC Capital Solutions Limited (NECAP) บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่ Travelex จากอังกฤษ ที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการให้บริการด้านการเงินที่ครอบครบในทุกมิติ
#2459
TKS เปิดแผนปี 65 รุกหนักธุรกิจดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น—ธุรกิจซีเคียวริตี้ลาเบลและแพคเกจจิ้ง ปี 64 บุ๊คกำไรก่อนรายการพิเศษ 414.2 ลบ. โตกว่า 80% หลังปรับโครงสร้าง

TKS วางหมากดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นเต็มสูบ ตั้งบริษัทย่อยลงทุนสตาร์ทอัพ "อีคอมเมิร์ซ-เอ็ดเทค-ฟูลฟิวเม้นท์" เตรียมความพร้อมที่จะเข้าไปลงทุนสตาร์ทอัพ ช่วยให้บริษัทเติบโตและต่อยอดธุรกิจเดิมในระยะยาว แย้มเจรจาอยู่ 4-5 บริษัท เผยไตรมาส 1/2565 ติดตั้งเครื่องจักรใหม่แล้วเสร็จลุยตลาดธุรกิจผลิตฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง เผยผลงานปี 2564 มีรายได้จากการขาย 1,717.4 ลบ. มีกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษ 414.2 ลบ. เติบโตร้อยละ 79.2 จากปีก่อน ผลจากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างกิจการ หนุนต้นทุนการผลิตลดลง อัตรากำไรดีขึ้น ด้านบอร์ดมีมตินำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล กรณีเศษหุ้นจ่ายเป็นเงินสด 0.10 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในงวดครึ่งปีหลังอีกหุ้นละ 0.30 บาท กำหนด Record Date วันที่ 15 มีนาคมนี้ กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบธุรกิจ Security Solutions ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวด ปี 2564 (1 ม.ค.-31 ธ.ค.2564) บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 1,717.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.2 จากปีก่อน โดยมีปัจจัยจากการชะลอตัวของความต้องการของลูกค้ากลุ่มธนาคารและภาคการส่งออก จากผลกระทบของสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และการลดลงของยอดขายกลุ่มธุรกิจบัตรพลาสติกจากการที่บริษัทฯได้ขายกลุ่มธุรกิจดังกล่าวออกไปในระหว่างปี 2564 อย่างไรก็ตาม ในแง่ผลกำไรจากการดำเนินงาน บริษัทฯมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างมากจากการบริหารต้นทุนการผลิตและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 490.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 15.6 และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ 311.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.4 โดยบริษัทฯ ยังคงปรับแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาฐานธุรกิจเดิม โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ ธุรกิจบริหารคลังสินค้าและการจัดการ ธุรกิจฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง และธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม เป็นต้น

บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประจำปี 1,198.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 967.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 418.7 เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231.1 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทฯได้ดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มสิ่งพิมพ์และรับรู้รายการกำไรจากการขายหุ้นสามัญของบริษัท ทีบีเอสพี จำกัด (มหาชน) หรือ TBSP จำนวน 784.5 ล้านบาท และได้ปรับประเภทการลงทุนจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมโดยคงเหลือการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TBSP โดยกำไรสุทธิปี 2564 (ก่อนรายการพิเศษ) อยู่ที่ 414.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.2 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงาน 100.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 977.7 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการร่วมการค้าเพิ่มขึ้น 82.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.1 โดยการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนมาจากบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX

นอกจากนี้ บริษัทฯได้เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ (Fintech Ecosystem) คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 984.5 ล้านบาท โดย TKS และ SABUY จะผนึกกำลังเพื่อปรับเปลี่ยนและต่อยอดรูปแบบธุรกิจบัตรพลาสติกของ TBSP ให้มีโอกาสเข้าถึงฐานลูกค้ารายใหม่ในตลาดการเงินอิเล็กทรอนิกส์และการบริหารจัดการศูนย์อาหารซึ่งเป็นคู่ค้าเดิมของ SABUY ในขณะเดียวกัน TKS และ TBSP ก็จะได้มีโอกาสร่วมลงทุนในธุรกิจการจำหน่ายตู้สินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เน้นการทำธุรกรรมผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในปัจจุบัน บริษัทฯเชื่อว่าการร่วมลงทุนระหว่าง TKS ,TBSP และ SABUY จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ของทุกฝ่ายร่วมกันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทฯจำนวนไม่เกิน 46,223,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 46.22 ล้านบาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลด้วยหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ในกรณีมีเศษบริษัทฯจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดแทนการจ่ายหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท

และจ่ายเป็นเงินสดจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 184.89 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท และสำหรับงวด 6 เดือนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ในการรับปันผล (Record Date) ในวันที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

นายจุติพันธุ์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 2565 ภาพธุรกิจของ TKS จะเปลี่ยนไปเป็น Tech Ecosystem Builder มากขึ้น และยังคงเดินหน้าในการลงทุนเทคโนโลยีต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท เน็กซ์ เวนเจอร์ส จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อดำเนินกิจกรรมการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพหรือธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล การลงทุนในบริษัทที่เป็นสตาร์ทอัพ ดำเนินธุรกิจสายเทคโนโลยี e-Commerce, EdTech, Fulfillment Platform เพื่อบรรลุกลยุทธ์ของบริษัทและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ปัจจุบันมีการเจรจาอยู่ 4-5 บริษัท

พร้อมกันนี้บริษัทฯจะมีการทำตลาดของธุรกิจผลิตฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง (Security Label & Packaging Solutions) ให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นเทรนด์ที่มีความต้องการใช้งานสูง ทั้งนี้บริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2565 นี้

ที่ผ่านมา TKS ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้ง บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ซึ่งมีอีโคซิสเต็มขนาดใหญ่ และเป็น Fintech หนุนโอกาสการเติบโตร่วมกัน รวมไปถึงการได้เข้าไปลงทุนในกองทุน SeaX Ventures กองทุนสัญชาติไทยบริหารโดย RISE ที่เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลกที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Technology) ใน 6 ด้าน ได้แก่ Blockchain, Foodtech, Biotech & Life Science, Artificial Intelligence, Robotics และ IoT & Hardware ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพลิกโฉมปรับรูปแบบธุรกิจใหม่ โดยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Security Solution ไปเป็น Tech Ecosystem Builder เพื่อเดินหน้าสู่โลกดิจิทัล
#2460
คลัง เผยศก.ภูมิภาคม.ค.ได้ภาคท่องเที่ยวหนุน-บริโภคเอกชนชะลอ เหตุกังวลโควิด

นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนม.ค. 65 ว่า เศรษฐกิจภูมิภาค ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

เศรษฐกิจภาคใต้
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 22.3% และ 1.3% ตามลำดับ ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัว 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -14.5% สำหรับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.9%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.3% แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -2.2% เช่นเดียวกับจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -3.1% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -81.3% และ -69.5% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 131.7% และ 325.3% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 83.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 41.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 42.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันตก
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 27.1% และ 4.9% ตามลำดับ ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -13.1% สำหรับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -12.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 4.5%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.4% แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -1.5% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการแม้ว่าชะลอตัวลง -46.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 16.8% ขณะที่จำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลง ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -3.8% และ -18.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 173.9% และ 127.1% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันออก
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 51.5% และ 20.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -13.0% และ -1.6% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -7.5% และ -0.8%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3% และ 159.6% ตามลำดับ แต่ชะลอลง -5.8% และ -48.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล สำหรับจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ชะลอลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -9.7% และ -6.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 547.5% และ 863.6% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 108.8 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 107.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.1 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 7.3% และ 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -7.8% และ -10.0% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -19.6% และ -20.3%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 169.8% และ 82.8% ตามลำดับ โดยมาจากโรงงานบริการซ่อมแซม บำรุงรักษาเครื่องยนต์ ใน กทม. เป็นหลัก ด้านจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.0% และ 7.2% ตามลำดับ แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -1.8% และ -7.1% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 60.2% และ 28.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.3 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 44.8 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าจากการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -1.3% และ -6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 5.1% และ 1.7% ตามลำดับ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -5.6%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัว 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -10.2% ด้านจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 4.5% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -44.0% และ -42.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 70.0% และ 2.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80.5 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 78.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48.9 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.2 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคกลาง
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 3.5% และ 3.8% ตามลำดับ ด้านการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่แม้ว่าชะลอตัวลง -0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ในขณะที่จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -5.5%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 5.6% ส่วนจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -6.6% และ -84.8% และชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -4.6% และ -73.6% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 167.5% และ 141.3%ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคเหนือ
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า จากการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.3% และ 23.6% ตามลำดับ ด้านการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัว 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -2.0% ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ชะลอลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -1.7% และ -13.9% ตามลำดับ

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการและจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 252.6% และ 9.4% ตามลำดับ แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -48.2% และ -9.9% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 3.3%

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 173.2% และ 157.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมลดลง มาอยู่ที่ระดับ 47.6 และ 63.5 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.9 และ 64.8 ตามลำดับ จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น