• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kaidee20

#8641
เช่ารถถูกสะอาดปลอดภัย 600ต่อวัน นนทบุรี โทร 083-7124115
#8644

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น U วานนี้ (1ก.ย.)ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่2 โดยราคาเพิ่มขึ้นแรงในช่วงบ่ายชนซิลลิ่งที่30% หรือ เพิ่มขึ้น0.33 บาท อยู่ที่ 1.43 บาทต่อหุ้น สูงสุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งเป็นระดับราคาปิดตลาด

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นUปรับตัวขึ้นแรงจะมาจากสองปัจจัยหนุน คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานการได้มาหุ้น U โดย ASM CONNAUGHT Huay HOUSE (MASTER) FUND III LP ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.64 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 15.7137% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลถือหุ้นรวม 16.6249% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

รวมถึงก่อนหน้านี้ U ประกาศรุกธุรกิจการเงิน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น JMART 9.9% และ SINGER 24.9% มีโอกาสทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นในอนาคต จากการที่บริษัทตั้งเป้าปีหน้าคาดเริ่มเห็นกำไรสุทธิ

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการที่บริษัทเปลี่ยนขาธุรกิจจากอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด -19 อย่างมากมาสู่ธุรกิจการเงิน ด้วยการเข้าซื้อหุ้น JMART และ SINGER ที่คาดว่าในปี2565 จะมีกำไรราว 1,500 ล้านบาทและ 1,000 ล้านบาท จะช่วยลดผลการขาดทุนสะสม อาจมีโอกาสกลับมามีกำไรในอนาคต ทำให้กลายเป็นหุ้นเก็งกำไรตัวหนึ่งที่มีความสนใจและน่าจับตาพอสมควร ดังนั้น จึงเห็นตลาดตอบรับเร็วและส่งผลดีต่อการจ่ายปันผลของ U ด้วย


ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจาก 0.9 บาท มาอยู่เหนือ 1.4 บาท แนะว่า ผู้ลงทุนคงต้องรอจังหวะราคาย่อลงทยอยสะสมเพิ่มได้ ส่วนที่มีอยู่แล้วสามารถถือต่อไปได้

"แม้ว่าบริษัทต้องทำกำไรเข้ามาค่อนข้างมากเพื่อล้างขาดทุนสะสมและการจ่ายปันผลสะสม หลังจากนั้นจะเป็นกำไรสะสมที่แท้จริงซึ่งจะเกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน ในปีหน้าหรือไม่ยังต้องติดตาม แต่มองว่า บริษัทเข้าถือซื้อหุ้นธุรกิจการเงินเปลี่ยนขาธุรกิจครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลียบ้านที่ดีมีโอกาสกลับมาเทิร์นอะลาวด์ได้ในอนาคต"

----------------------
ตลท.สั่ง U ติดแคชบาลานซ์ พร้อมขยายมาตรการกำกับขั้นสูงสุด XPG

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยหลักทรัพย์เข้าข่ายกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 โดยให้ซื้อขายด้วยบัญชีเงินสด (Cash Balance) ได้แก่ บมจ.ยู ซิตี้ (U) หุ้นบุริมสิทธิของบริษัท (U-P) และใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (U-W4) มีผลตั้งแต่ 2-22 ก.ย. 2564

รวมถึงขยายช่วงดำเนินการห้าม Net Settlement ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) และใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (XPG-W4) มีผล 2-22 ก.ย.2564
 
#8645


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอสได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
#8646


กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เป็นเครือข่ายพันธมิตรวิชาการด้านคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ภายใต้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ภายใต้หัวข้อ โควิด-19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ (FROM COVID-19 TO DEVELOPMENT OF INNOVATION FOR PERSON WITH DISABILITIES) 

พบกับกิจกรรมเสวนาเรื่อง "โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ"และการบรรยายพิเศษหัวข้อ "Home Isolation" และ "อาชีพที่ใช่หลังโควิด-19" ในวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 08.30-12.30 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ระหว่างสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดทางความคิดและสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคมต่อไป 

ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://bit.ly/38oD5Ii หรือทางคิวอาร์โค้ดบนหน้าสื่อประชาสัมพันธ์ โดยเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมทาง facebook fanpage : NCPD 2021
#8649


ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมการประชุมหารือกับนักวิจัยกลุ่มแพทย์และสาธารณสุข นำโดยศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะนักวิจัย ร่วมหารือแนวทางการขับเคลื่อนงานวิจัยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (EID) ปลดล็อกข้อจำกัดเพื่อยกระดับการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและทันต่อสถานการณ์



โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า การประชุมหารือในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ สกสว. กับนักวิจัยกลุ่มต่าง ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือถึงแนวทางการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเสนอความคืบหน้าของการวิจัยในวันนี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่างานวิจัยสำคัญต่อประเทศ ถือเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบวิจัยของประเทศร่วมกับ สกสว. ในการปลดล็อกระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเงิน โดยวันนี้ได้รับฟังปัญหาและอุปสรรคในการทำงานจากนักวิจัยโดยตรง เพื่อให้ภาคนโยบายนั้นสามารถนำไปทำงานเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ ในโอกาสต่อไป ในส่วนตัวเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ



ทางด้าน ศาสตราจารย์ ดร. นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอภาพรวมงานวิจัยโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (EID) รวมถึงมีการเสนอแนวทางแก้ไขข้อจำกัดในการบริหารจัดการงานวิจัย ระบุว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านการวิจัย ซึ่งมีประสบการณ์ในการศึกษาวิจัยโรคระบาดในอดีตที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นมีความแตกต่างจากโรคระบาดอื่น ๆ เนื่องจากเชื้อชนิดนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นได้ว่าในระยะแรกของการแพร่ระบาดยังขาดการใช้ข้อมูลทางด้านการแพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านนโยบายบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ จากนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการการศึกษาวิจัยด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยการทำงานร่วมกับหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม (PMU) แต่ด้วยสถานการณ์เร่งด่วน ทำให้ในบางครั้งอาจจะมีข้อจำกัดในระเบียบด้านงบประมาณ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จึงมีแนวคิดเสนอการทำ Sandbox ด้านการแพทย์โดยเฉพาะการรับมือกับโควิด-19 เพื่อปลดล็อกระเบียบต่าง ๆ ทำให้นักวิจัยสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงพรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอการทดลองทางคลินิกของวัคซีนโควิด (Clinical Trials of Covid Vaccines) เผยความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 2 ปัจจุบันมีอาสาสมัครจำนวน 210 คน ซึ่งได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว 205 คน ส่วนใหญ่ไม่มีความกังวล โดยผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพ สร้างภูมิต้านทานมากกว่า 4 เท่าเกินกว่าร้อยละ 90 ของอาสาสมัคร 100 คน ยืนยันวัคซีนมีความปลอดภัย ซึ่งการทดลองในระยะที่ 2 นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม จากนั้นจะเข้าสู่การทดลองในระยะที่ 3 ต่อไป



นอกจากนี้ การประชุมในวันนี้ยังมีการนำเสนอในหัวข้ออื่นๆ อาทิ Antigen Test Kit (ATK) for Covid and Infectious Diseases, บทบาทของเครือข่ายศูนย์วิจัยทางคลินิก ในการทดสอบ ยาและวัคซีน สำหรับการรักษาโควิด-19 และ Covid Consortium and Emerging Infectious Disease (EID) ซึ่งทีมนักวิจัยยังได้มีโอกาสในการสื่อสารปัญหาในการทำงานวิจัยถึงภาคนโยบาย ซึ่งต่อจากนี้ที่ประชุมจะได้ร่วมกันหาทางออกเพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การพัฒนาประเทศ และแก้ปัญหาอันเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศต่อไป
#8650
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#8654
เช่ารถถูกสะอาดปลอดภัย 600ต่อวัน นนทบุรี โทร 083-7124115
#8655


นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกจากการที่รัฐบาลคลายล็อกดาวน์วันที่ 1 ก.ย. ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปี 2563 แนวโน้มการทำงานที่บ้านยาวนานขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและเริ่มมองหาชีวิตที่ยืดหยุ่นได้ มีพื้นที่พักผ่อนและทำงาน รวมถึงการจำกัดพื้นที่จากการประกาศล็อกดาวน์แต่ละครั้ง ทำให้ผู้คนมองหาทางเลือกบ้านพักตากอากาศ

ส่งผลดีต่อบ้านพักตากอากาศเมืองพัทยามีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ได้รับความสนใจและยอดซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด โดยกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศ ที่มองว่าพัทยายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการพักผ่อน มี กิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำร่วมกัน ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง 2-3 ชั่วโมง

"กำลังซื้อระดับบนยังคงมองหาคอนโดมิเนียมหรูที่มองเห็นวิวทะเล มีห้องขนาดใหญ่ 80-133 ตร.ม. เป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สอง หรือต้องการเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน หากห้องมีขนาดเล็กเกินไป อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะการซื้อจะมองถึงประโยชน์การใช้พื้นที่ของสมาชิกในครอบครัวได้มากกว่า"

ขณะเดียวกันมีกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุนเข้ามามากขึ้น จากศักยภาพของทำเลที่ตั้งนาจอมเทียนมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต จากการก่อสร้างเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ที่มีจุดทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จะไม่พบว่ามีอุปทานคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยา แต่ยังคงมีความคืบหน้าของดีเวลลอปเปอร์หลายรายที่มองเห็นโอกาสการลงทุนและศักยภาพของพัทยาได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ โดยรอจังหวะที่เหมาะสมเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้จำนวนหน่วยที่เปิดขายในตลาดปัจจุบันไม่ล้นเกินกว่าความต้องการซื้อที่แท้จริง


"1 ปีครึ่งที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด กำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนหายไปเหลือเพียงกำลังซื้อในประเทศ"

นอกจากซัพพลายที่มีอยู่ไม่มากจะเป็นโอกาสสร้างยอดขายให้คนไทยที่มองหาบ้านหลังที่สองในแหล่งท่องเที่ยวแล้ว "ขนาด" พื้นที่ของคอนโดมิเนียม ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อด้วย โดยพบว่า ห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตร.ม. ขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียง 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายหรือราว 610 ยูนิต เพราะยูนิตเปิดขายใหม่ในโครงการต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาดเล็ก

ภาพรวมตลาดอสังหาฯ พัทยา ซึ่งอยู่ในพื้นที่อีอีซี หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย นักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวได้จะทำให้พัทยากลับมาคึกคัก ทั้งมีกำลังซื้อจากแรงงานนอกพื้นที่เข้ามาในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญมีเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชนกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้เกิดดีมานด์ซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนเพิ่มขึ้น