• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chanapot

#3001


LDC เผยภาพรวมธุรกิจทันตกรรมฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งปีแรก ชูการบริหารจัดการ 27 สาขา เจาะฐานลูกค้าคนไทย ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยกลยุทธ์ LDC The Next Normal หนุนทิศทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ด้าน "หมอหนึ่ง ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์" รับเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ผู้รับบริการลดลง แต่พร้อมเดินหน้ายกระดับสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด หากสถานการณ์ผ่อนคลาย จะทำให้ LDC เติบโตและฟื้นตัวเร็ว รับความต้องการด้านทันตกรรมพุ่ง เสริมทัพด้วยสหคลินิกที่มีบริการด้านความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ที่เปิดควบคู่ 5 สาขา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มีทิศทางที่ดี หนุนผลงานไตรมาส 2 LDC มีรายได้เพิ่มเกือบ 90% ขณะที่ขาดทุนลดลง

ทันตแพทย์วัฒนา ชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC ผู้ให้บริการศูนย์ทันตกรรมทันตแพทย์เฉพาะทางในนาม LDC Dental เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2564 มีรายได้รวมจำนวน 77.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 6.32 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 8.90% เนื่องจากรายได้จากการบริการทันตกรรมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทฯ หยุดดำเนินการชั่วคราวในสาขากรุงเทพฯ ปริมณฑล และสาขาต่างจังหวัดบางสาขา เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีผลขาดทุนลดลงอยู่ที่ 10.50 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 11.38 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 178.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงจำนวน 10.87 ล้านบาท คิดเป็น 5.74% จากรายได้ทันตกรรมลดลง 13.04 ล้านบาท แต่รายได้การให้บริการความงามเพิ่มขึ้น 1.61 ล้านบาท เนื่องจากการให้บริการความงามภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics จำนวน 5 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดควบคู่บริการทันตกรรม สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรในช่วงไตรมาส 1/2564 จำนวน 3 สาขา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 6.55% ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับผลกระทบโดยมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ในงวดครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 18.99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 21.79 ล้านบาทแล้ว ลดลง 11.65% นับเป็นการขาดทุนลดลงต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคลินิกทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Dental รวม 27 สาขาทั่วประเทศ จากการลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความพร้อมในการให้บริการทันตกรรมแก่ลูกค้าครอบคลุมทุกภูมิภาค รวมไปถึงการต่อยอดสู่ธุรกิจความงาม ควบคู่บริการด้านทันตกรรมภายใต้แบรนด์ LDC Esthetics ในสาขาหลักจำนวน 5 สาขา และการต่อยอดด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภควิถีใหม่ที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูงสุด ด้วยการยกระดับมาตรฐานการบริการรูปแบบ LDC The Next Normal ที่นำร่องแล้ว 5 สาขา นับว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการทันตกรรมของไทย มั่นใจจะคว้าโอกาสหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยมองว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ตามมาตรการเร่งด่วนของภาครัฐ อันจะสนับสนุนความต้องการด้านทันตกรรมฟื้นตัว
#3002


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายรัฐบาล โครงการ Phuket Sandbox ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 วันที่ 15 สิงหาคม 2564 พบว่า มีเที่ยวบินรวมจำนวน 292 เที่ยวบิน โดยมีสายการบิน ที่ทำการบินเข้าประเทศไทย ได้แก่ การบินไทย, สิงคโปร์แอร์ไลน์, เอมิเรตส์, กาตาร์แอร์เวย์, สายการบินเอทิฮัด เป็นต้น โดย มีผู้โดยสารขาเข้าสะสมรวมจำนวน 21,545 คน 

โดยเป็นผู้โดยใน Phuket Sandbox จำนวน 21,135 คน (ต่างชาติ 18,654 คน คนไทย 2,481 คน) 

ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT รายงานว่า สายการบินที่ได้รับการจัดสรรเวลาการบิน ทำการบินจริงครบตามจำนวนเที่ยวบินที่รับการจัดสรรไม่มีการยกเลิกใดๆ โดยมีเส้นทางการบินมาจาก 17 เมือง ได้แก่ สิงคโปร์ 76 เที่ยวบิน ,โดฮา 34 เที่ยวบิน ,ดูไบ 28 เที่ยวบิน,อาบูดาบี 21 เที่ยวบิน,เทลอาวีฟ 15 เที่ยวบิน,กัวลาลัมเปอร์ 14 เที่ยวบิน,แฟรงเฟริ์ต 13 เที่ยวบิน,ลอนดอน 7 เที่ยวบิน,ซูริค 7 เที่ยวบิน ,ปารีส 7 เที่ยวบิน,โคเปเฮเกน 5 เที่ยวบิน ,ฮ่องกง 3. เที่ยวบิน ,พนมเปญ 2 เที่ยวบิน ,เวียงจันทน์ 1 เที่ยวบิน,ไทเป 1 เที่ยวบิน,ซาร์จาห์ 1 เที่ยวบิน,ย่างกุ้ง 1 เที่ยวบิน

สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศไปยัง Phuket Sandbox ในช่วงระหว่างวันที่ 5-17 สิงหาคม 2564 เป็นเส้นทางจากอู่ตะเภา-ภูเก็ต โดยพบว่ามีเที่ยวบินสะสม 18 เที่ยวบิน ผู้โดยสารสะสม 586 คน
#3003


เมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 ร.ต.อ.วิรุฬห์ กลางคำ รอง สว.สอบสวน สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี รับแจ้งจาก น.ส.ณัฐนิกา หวังชม อายุ 31 ปี ชาวบ้านพื้นที่ ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ว่าตนเป็นผู้โชคดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดวันที่ 16 ส.ค.64 จำนวน 2 ฉบับเว็บรวยruay มูลค่า 12 ล้านบาท โดยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดที่ 31 ชุดที่ 18 และ 20 วันที่ 16 ส.ค.64 หมายเลข 045750 มาขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักก่อนไปขึ้นเงิน


น.ส.ณัฐนิกา กล่าวว่า ตัวเองเป็นแม่ค้าเปิดร้านขายกาแฟเย็น ในที่ว่าการอำเภอวารินชำราบ ก่อนวันหวยออกตนฝันว่ามีคนมาบอกให้ซื้อหวยเลข 49,50 เป็นเวลา 2 วันติดๆ กัน จนมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกับแม่ค้าสลากที่เดินมาขายให้ที่ร้านตน แต่แม่ค้ามีแต่เลขท้าย 50 ตนจึงเหมาทั้งหมด 2 ใบ ไม่คิดว่าความฝันครั้งนี้จะทำให้กลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ เงินทั้งหมดที่ได้จะนำไปใช้จ่ายเก็บเป็นทุนเลี้ยงครอบครัวต่อไป.
#3004


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 282.12 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 35,343.28 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 31.63 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 4,448.08 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 137.58 จุด หรือ 0.93% ปิดที่ 14,656.18 จุด


กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.1% ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.3%

ยอดค้าปลีกที่ซบเซาในเดือนก.ค. โดยรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา รวมทั้งการที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้หมดอายุลง

ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ดิ่งลง 1.0% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนมิ.ย.


ดัชนีดาวโจนส์ยังถูกกดดันจากการร่วงลงกว่า 4% ของราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ซึ่งแม้เปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่บริษัทเปิดเผยว่า ลูกค้าที่เดินทางเข้าร้านเพื่อซื้อสินค้าประเภท DIY หรือ do-it-yourself มีจำนวนลดลงถึง 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว


นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความวิตก หลังสหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงต่ำสุดรอบ 1 ปีในเดือนส.ค.

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (เอ็นเอเอชบี) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 5 จุด สู่ระดับ 75 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2563

การร่วงลงของดัชนีความเชื่อมั่นมีสาเหตุจากสต็อกบ้านที่มีจำกัด การขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของราคาบ้าน และต้นทุนในการก่อสร้าง

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงปรับตัวเหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในช่วง 6 เดือนข้างหน้าทรงตัวที่ระดับ 81 แต่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในปัจจุบันร่วงลงสู่ระดับ 60

ขณะเดียวกัน ตลาดกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนก.ค.ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว
#3005


ค่าย Intel เปิดชื่อแบรนด์ใหม่ ARC ลงตลาดชิปกราฟิกแบบจริงจัง เจาะกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปทั้งคอเกมและนักสร้างคอนเทนท์

ทางค่ายระบุว่าแบรนด์ใหม่นี้จะครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการ ยืนยันจะทำต่อเนื่องระยะยาวหลายเจเนอเรชัน อิงจากสถาปัตยกรรม Xe HPG ของพวกเขาเอง สามารถประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพและปรับขึ้นลงได้หลายระดับ

ในหนังตัวอย่าง พวกเขาได้โชว์ภาพเกมจริงที่ใช้ชิปต้นแบบก่อนเข้ากระบวนการผลิต มีลูกเล่นกราฟิกสมัยใหม่อย่างแสงเงา Ray Tracing และการใช้ AI ช่วยปรับปรุงภาพ อีกทั้งยังรองรับ DirectX 12 Ultimate เต็มรูปแบบ

สินค้ารุ่นแรกจะใช้ชื่อรหัสว่า Alchemist เป็นชิปแบบ SoC รวมศูนย์ทีเดียวจบสำหรับโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เตรียมเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอีกทีภายในปีนี้ มีกำหนดวางจำหน่ายจริงไตรมาสแรกปี 2022 ผ่านทางพาร์ตเนอร์ทั่วโลก

สำหรับผลิตภัณฑ์ในอนาคตก็มีการเผยชื่อรหัสมาว่า Battlemage, Celestial และ Druid ทั้งหมดจะรวมอยู่ในแบรนด์ ARC เช่นกัน
#3006


ข่าวลือเป็นจริง "นิวเคลียร์ หรรษา กุศลมโนมัย" โพสต์ไอจีเลิกสามี "ดีเจเพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย" หลังเคยออกมายอมรับ ว่ามีปัญหากันจริง กำลังแก้ไขอยู่ แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าอะไรๆ มันก็ไม่ดีขึ้น ทั้งทัศนคติ การใช้ชีวิต และเรื่องซับซ้อนมากมาย เลยตกลงเปลี่ยนสถานะ จากสามีภรรยา เป็นเพื่อนรักแทน ยืนยันไม่มีมือที่สาม

"นิวขอพูดตรงนี้ทีเดียวนะคะ...ตอนนี้นิวกับพี่เพชรจ้า เราเปลี่ยนสถานะจากสามีภรรยามาเป็นเพื่อนรักกันสักพักใหญ่ๆแล้วค่ะ หลังจากนี้เราอยากทำหน้าที่พ่อและแม่ของไทก้าให้ดีที่สุด เราไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน ไม่ได้มีเรื่องมือที่สาม พี่เพชรดีกับนิวมาก เป็นพ่อที่ดีที่สุดของไทก้า เรารักกันมาตลอด แต่บางครั้งความรักมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าคน 2 คนจะสามารถอยู่ด้วยกันได้เสมอไป มันมีเรื่องทัศนคติ การใช้ชีวิต และเรื่องซับซ้อนมากมายที่ทำให้เราทั้งคู่มาถึงสุดทางของเราแล้ว และเราได้พยายามกันที่สุดแล้วจริงๆ

นิวอยากให้ทุกคนยอมรับในการตัดสินใจของเราทั้งคู่นะคะ เราแฮปปี้ที่จะอยู่ในจุดนี้ เรายังห่วงใยกัน ปรึกษากัน เลี้ยงลูกด้วยกัน  และนิวขอโทษพี่ๆ สื่อตรงนี้เลยนะคะ นิวจะไม่ขอตอบพี่สื่อหรือออกรายการเพื่อพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะทุกอย่างที่นิวพูดไป เมื่อไทก้าโต เค้าจะต้องเห็นมัน... เมื่อเค้าเห็น นิวอยากให้ก้ารู้ว่าถึงป๊ากับมี้จะเปลี่ยนไปยังไง แต่สิ่งนึงที่มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลยนั้นคือ "พ่อ" กับ "แม่" มันจะคงอยู่ตลอดไป เราจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ก้าจะเติบโตมาโดยมีพ่อกับแม่เคียงข้างเสมอนะลูก รักลูกที่สุด

ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เรานะคะ ขอบคุณครอบครัวพี่เพชรที่เอ็นดูนิวมาตลอด โดยเฉพาะครอบครัวของนิวที่เข้าใจและเป็นพลังให้นิวมาเสมอ รักมาก "
#3007


นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี–แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้ พระราม 2–สมุทรสาคร โซนภาคตะวันออก และโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงคอมมูนิตี้มอลล์ "พอร์โต้ ชิโน่" และจุดแวะพักครบวงจร "พอร์โต้ โก" กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ส่งผลให้ผู้บริโภควิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัย รวมทั้งการลดกิจกรรมนอกบ้านและมาตรการล็อกดาวน์ เป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยหันมาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ถือเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านค้า รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าหันมาปรับเปลี่ยนการขายสู่การทำการตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น

ทั้งนี้จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุว่า มูลค่าการตลาด e-Commerce ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นสื่อในการนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆ ในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี 2563 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% และคาดการณ์ว่าปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 18% ปี 2565 เพิ่มขึ้น 20% และปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเป็น 22% และความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์นั้นจะกลายเป็นช่องทางการซื้อที่สำคัญมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค แม้เป็นยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด–19

นายศิริพงษ์ กล่าาว่า บริษัทมองเห็นโอกาสขยายฐานการตลาดในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าออนไลน์ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดโปรโมชัน "อาคารพาณิชย์ดีที่สุด" ผ่านโครงการ "บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ ศรีราชา–อัสสัมชัญ" ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่นและสวยงาม บนเนื้อที่รวมประมาณ 11 ไร่ ใจกลางเมืองศรีราชา จังหวัดชลบุรี ในรูปแบบอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น สไตล์ American Cottage ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 95 ตร.ม. กับฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ภายในโครงการครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งพื้นที่สีเขียวร่มรื่น American Courtyard ขนาดใหญ่ด้านหน้าโครงการ สวนขนาดย่อมกระจายอยู่รอบโครงการ คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ คีย์การ์ดสำหรับเข้า–ออกโครงการ และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท* พร้อมเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลังสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม

"บ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ อีกหนึ่งโครงการคุณภาพจากดี–แลนด์ กรุ๊ป ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใจกลางเมืองศรีราชา การเดินทางสะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองชลบุรี–ระยอง–พัทยา หรือจะใช้เส้นทางจากถนนอัสสัมชัญเชื่อมต่อเข้าสู่ถนนสุขุมวิทก็สะดวก โดยอาคารพาณิชย์ในโครงการบ้านดี เดอะมอนเทอเรย์ มีพื้นที่สำหรับขายหน้าร้านและขายออนไลน์ พร้อมฟังก์ชัน 1 ร้านค้า 2 ห้องนอน ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องไลฟ์สดขายของ หรือห้องสต๊อกสินค้า และซื้อ 1 ได้ถึง 2 กับห้องนอนที่พร้อมปล่อยเช่าได้ทันที นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้กับบริษัทขนส่ง อาทิ ไปรษณีย์ไทย เคอรี่ แฟลช และเจแอนด์ที สะดวกต่อการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท ตอบครบทุกความต้องการสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กำลังองหาอาคารพาณิชย์ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์การลงทุนในอนาคตที่คุ้มค่า" นายศิริพงษ์ กล่าว
#3008


'โควิด-19' เชื้อไฟชั้นดีให้ 'พืชสมุนไพร' ของไทย 'บูม' ในตลาดโลก !! วลีเด็ดของ 'จุลภาส (ทอม) เครือโสภณ' ผู้ก่อตั้ง บริษัท (Founder) บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด หรือ GTH บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' เช่นนั้น ซึ่งสอดคล้องกลับเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการผลักดันพืชสมุนไพรของไทย เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก !

เมื่อโอกาสธุรกิจกำลังเข้ามาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้พืชสมุนไพร่ไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดโลก...

ประกอบกับเมืองไทยกระทรวงสาธารณสุขประกาศ 'ปลดล็อก' ให้ใช้ประโยชน์บางส่วนของพืชเศรษฐกิจ 'กัญชง' ในเชิงการค้าได้ โดย อย. ได้เปิดให้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่การปลูก โรงงานสกัดสาร CBD ผลิตและจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

สอดรับแผนการให้ บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูป รวมทั้งธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช หรือ Plant-Based Food ของ 'แดน ปฐมวาณิชย์' เข้ามาถือหุ้นสัดส่วน 49% และมีโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มได้ถึง 51% แต่ยังไม่ใช่ระยะใกล้นี้ เพื่อร่วมกันขยายตลาดผลิตภัณฑ์จากพืชเศรษฐกิจไทยสู่ตลาดโลก หลัง NRF เข้ามาถือหุ้นทีมผู้บริหารเดิมของ GTH ยังทำงานต่อไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ด้วยการลงทุนในธุรกิจกัญชง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และธุรกิจแฟรนไชส์ Hemp House

โดย GTH ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยการนำเข้าเมล็ดกัญชงสายพันธ์ที่มีคุณภาพ พัฒนาการปลูกและสกัดกัญชง ตลอดจนการพัฒนาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมรสชาติกัญชงภายใต้แบรนด์ของ GTH เช่น Kinchakan, TOM , และช่อผกา

อีกทั้งบริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ กับแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ อาทิ Dentiste Smooth E , เซียงเพียวอิ๊ว เพื่อต่อยอดและพัฒนาธุรกิจกัญชงในประเทศไทย

ดังนั้น เป้าหมายในปี 2564 จึงต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาด 'ต่างประเทศ' โดยคาดว่าปลายปีนี้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 60% จาก 30% หรือเพิ่มขึ้น 'เท่าตัว' โดยปี 2563 สัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% และเป้าหมายรายได้ปีนี้อยู่ที่ 100 ล้านบาท !! 

'ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเรากำลังเน้นตลาดขยายต่างประเทศ ตั้งเป้าปลายปีสัดส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีก่อนที่สัดส่วนรายได้อยู่ในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากตลาดต่างประเทศเวลาส่งออกที่จะเป็นวอลุ่มที่ใหญ่มาก โดยวอลุ่มที่ใหญ่จะเป็นสารสกัดจากกัญชง สารสกัดใบกระท่อม' 


นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัว 'ธุรกิจแฟรนไชส์' ร้านจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง ภายใต้แบรนด์ 'Hemp House' ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศให้นำกัญชงใช้ในเชิงพาณิชย์ได้และ และองค์การอาหารและยา (อย.) ยังเปิดให้เอกชนที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตปลูกกัญชงในพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อธุรกิจได้ รวมถึงใช้กัญชงในส่วนผสมของเครื่องดื่ม ,อาหาร, อาหารเสริม และเครื่องสำอาง

โดย ล่าสุดเมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา NRF และ GTH ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปลูกกัญชงกว่า 400 ไร่ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อผลิตกัญชงสายพันธุ์ไทยให้มีคุณภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ 



สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อ 1.พัฒนาและวิจัยการปลูก การสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ 2.เพื่อร่วมมือในการทดลอง วิจัย ปลูกและสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงสายพันธุ์คุณภาพที่บริษัทนำเข้าเมล็ดพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เบื้องต้น 400 ไร่ โดยบริษัท จะเป็นผู้รับผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากมหาวิทยาลัย 

3.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชงโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ได้มาซึ่งกัญชงสายพันธุ์ไทยที่มีค่าสาร CBD สูงและค่าสาร THC ต่ำตามที่กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตจากสายพันธุ์กัญชงไทยที่มีการพัฒนาคุณภาพ 4.เพื่อร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การนำผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีส่วนผสมของกัญชงหรือสารสกัดกัญชงที่มาจากการพัฒน่ร่วมกันให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

5.เพื่อร่วมมือในการ พัฒนาและสกัดโปรตีนจากพืชกัญชง รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้โปรตีนสูงจากโปรตีนของพืชกัญชง และ 6.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาและจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาในเรื่องโปรตีนจากพืชสนับสนุนและจัดสรรบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตรดังกล่าว


โดยสกัดกัญชงเป็นแคนนาบิไดออล (cannabidiol) หรือ CBD เทอร์พีน (Terpenes) และน้ำมันกัญชง (Hemp Oil) ซึ่งเป็นสารไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท สามารถใช้รักษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ โดยหลังจากสกัดกัญชงแล้วบริษัทตั้งเป้านำมาผลิตเป็น ซึ่งคาดว่าจะวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศมากกว่า 36 ประเทศทั่วโลก ทั้งโซนยุโรป สหรัฐฯ ภายในเดือนธ.ค.2564 

สำหรับ 'จุดเด่น' ที่ทำให้ NRF และ GTH แตกต่างจากคู่แข่งทางธุรกิจรายอื่นคือ บริษัทมีพาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีที่มีโรงสกัดขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในวงการด้านการปลูกและสกัดกัญชง หรือ สาร CBD และ Terpenes ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

'ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจกัญชงในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่าหลังจากเริ่มปลูกและสามารถเก็บเกี่ยว เพื่อนำมาสกัดสารสำคัญต่างๆจะทำให้ตลาดสามารถขยายไปได้มากทั้งในประเทศและต่างประเทศ'

พร้อมผลักดันกัญชงและผลิตภัณฑ์จากกัญชงให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในเร็วๆ นี้ บริษัทยังได้วางแผนนำสมุนไพรไทยชนิดอื่นๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว และกระท่อม มาให้เกษตรกรปลูกเพิ่มเติมโดยช่วยควบคุมคุณภาพของการปลูกกัญชงและการทำเกษตรพันธสัญญา และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมจัดจำหน่ายไปทั่วโลก

สอดคล้องกับประกาศแล้ว พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2564 ปลดพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ ส่งผลให้บริษัทศึกษาส่งออกผลิตภัณฑ์สารสกัดจากใบกระท่อมไปในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ มูลค่าราว 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากใบกระท่อมวางจำหน่ายในเดือนธ.ค.นี้ เบื้องต้นจะเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลัง 

ท้ายสุด 'จุลภาส' ทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสการเติบโตของธุรกิจสุขภาพที่มาจากพืชสมุนไพร ประกอบกับที่ผ่านมาได้เดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศมาแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและน่าสนใจลงทุน จึงได้ร่วมกับพันธมิตรคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกัญชงออกมาใช้ในด้านของการรักษาสุขภาพ และเพิ่มความผ่อนคลาย รวมถึงส่งเสริมให้การนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น
#3009


นางสาวพัทธ์หทัย กุลจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลภายใต้แบรนด์ กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติม หลังจากจบมาตรการพักหนี้ ในการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยระยะเวลา 2 เดือนของธปท. 

ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยลดภาระหนี้ในกลุ่มลูกค้าที่ยังคงได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยเฉพาะลดภาระจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งจะออกเป็นมาตรการใหม่ นอกเหนือจากมาตรการของบริษัทและธปท.ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว  เพราะมองว่าการพักหนี้ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก เพราะหนี้รวมและหนี้ดอกเบี้ยไม่ได้ลดลง

  ดังนั้นบริษัทจึงพยายามคิดหามาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติมเอง  สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19อยู่ หลังทางธปท. ให้แนวทางมา หากหมดมาตรการพักหนี้ 2เดือนแล้ว สถานการณ์ประเทศยังไม่ดีขึ้น

"ลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นแฟนพันธุ์แท้กันมานาน หากยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19อยู่ ก็ต้องหาทางช่วยเหลือลดภาระหนี้อย่างไรได้บ้าง ไม่ให้พึ่งเงินกู้นอกระบบ  ซึ่งตามที่ทางธปท.ให้แนวทาง เราสามารถทำมาตรการช่วยเหลือใหม่ๆ โดยระบุกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักได้เอง ขณะที่มาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ยังคงอยู่ต่อเนื่อง" 

ลูกค้าลงทะเบียนพักหนี้แล้วหมื่นราย

    ปัจจุบันบริษัทให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่าน 4 มาตรการ คือ มาตรการพักหนี้นานสูงสุด 2 รอบบัญชี ของธปท. เริ่มให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยเปิดสมัครขอความช่วยเหลือผ่านแอพฯ ยูชูส ตั้งแต่ 19 ก.ค.2564-18 ส.ค. 2564 ปัจจุบันมีลูกค้าของพักหนี้ จำนวน 10,000 ราย และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมองว่าหากหมดมาตรการนี้ จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่มาดูแลกลุ่มลูกค้าที่ยังได้รับผลกระทบรุนแรงอยู่ 

     ส่วนอีก 3 มาตรการช่วยเหลือของบริษัท ได้แก่   1.ปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ ตั้งแต่ 30 พ.ค.- 31 ธ.ค.2564  บัตรเครดิตขยายระยะผ่อนถึึง 48 เดิือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ และสินเชื่อบุคคล ขยายระยะผ่อนถึง99เดือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ    2. ปรับโครงสร้างหนี้ของลูกค้าที่มียอดค้างชำระ ขยายระยะเวลาผ่อนสูงสุด10ปี หรือ 120เดือน พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งแตกต่างไปตามยอดคงค้างของลูกค้า และ3 .ปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ ปรับจาก5%เหลือ3% ดีกว่าตลาดที่ปรับจาก10%เหลือ5% สำหรับสินเชื่อบุคคล ส่วนบัตรเครดิตปรับจาก 10% เหลือ 5%  

      ทั้งนี้พบว่า ตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบันลูกค้าเข้ามาขอความช่วยเหลือทุกมาตรการของบริษัท ไม่รวมพักหนี้ธปท. จำนวน  900,000 ราย คิดเป็นสัดส่วน 50% ของยอดบัญชีลูกค้า active และมียอดหนี้ 35,000ล้านบาท  โดยมาขอช่วยเหลือปรับลดการผ่อนชำระขั้นต่ำมากที่สุด จำนวน 600,000 ราย ลดภาระหนี้ให้กับลูกค้า ส่วนปรับโครงสร้างหนี้ 2 มาตรการมีจำนวน 110,000 ราย มียอดหนี้ 5,000-6,000ล้านบาท

โดยกลุ่มลูกค้าที่ขอความช่วยเหลือมากที่สุด เพราะมีรายได้ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ อยู่ในจังหวัดสีแดงเข้ม ต้องธุรกิจปิดชั่วคราวและมีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งสัดส่วน80% ของฐานลูกค้าทั้งหมดเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือน ซึ่งไม่มีผลกระทบจากเลิกจ้าง   

"เมืองไทยแคปปิตอล พร้อมร่วมมือธปท." 

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมืองไทย แคปปิตอลจำกัด (มหาชน) หรือ MTC กล่าวว่ามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังหมดมาตรการพักหนี้ 2 เดือนนั้น ทางบริษัทยังรอประกาศจากทาง ธปท.ก่อน และยินดีจะให้ความร่วมมือกับ ธปท.อย่างเต็มที่ จากปัจจุบันมีลูกค้าขอช่วยเหลือพักหนี้กับบริษัทจำนวน 25,023 ราย อนุมัติให้ทุกราย
#3010


สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ลบ 12 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ราคา 68.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ร่วงลง 21 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ราคา 71.10 ดอลลาร์

ทั้งนี้ ไออีเอ ออกรายงานเตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลาจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ไออีเอ เปิดเผยรายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือนส.ค. โดยได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2564 สู่ระดับ 5.3 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 5.4 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ดี ไออีเอ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันในปี 2565 สู่ระดับ 3.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 3 ล้านบาร์เรล/วัน

รายงานของไออีเอ ระบุว่า การที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้ทำข้อตกลงเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่าจะปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น ได้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทาน แต่ก็อาจทำให้ตลาดน้ำมันโลกตกอยู่ในภาวะอุปทานล้นตลาดภายในไตรมาส 1/2565 หากโอเปกพลัสยังคงเดินหน้าเพิ่มการผลิต

'ขณะเดียวกัน ไออีเอได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของอุปทานน้ำมันในประเทศนอกกลุ่มโอเปกพลัสในปีนี้ สู่ระดับ 600,000 บาร์เรล/วัน จากระดับ 770,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงเกินคาดจากการที่โรงกลั่นในภูมิภาคทะเลเหนือและบราซิลปิดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ดี ไออีเอได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปทานน้ำมันในประเทศนอกกลุ่มโอเปกพลัสในปีหน้าสู่ระดับ 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน
#3011


The 1 ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้แพลตฟอร์มอันดับ 1 ของไทย จับมือ กลุ่มโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท ส่งเสริมการดูแลสุขภาพและบริการทางการแพทย์ให้สมาชิก The 1 มอบสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกสามารถสะสมและแลกคะแนน The 1 พร้อมมอบสิทธิพิเศษตลอดทั้งปีในการรับบริการด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชั่นThe 1

ความร่วมมือในครั้งนี้ ได้เริ่มนำร่องแล้วที่โรงพยาบาลปิยะเวท และ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล และจะขยายต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ในเครือโรงพยาบาลบางปะกอกจนครบทุกสาขาภายในปีนี้ซึ่งนอกจากสมาชิก The 1 จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการสะสมและแลกคะแนน The 1 เมื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวททั้ง 7 แห่งแล้ว จะยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในด้านบริการสุขภาพ อาทิ โปรแกรมตรวจสุขภาพ โปรแกรมวัคซีน และโปรแกรมดูแลความงาม รวมกว่า 10 รายการ ซึ่งสามารถกดรับสิทธิ์และแสดงบาร์โค้ดสมาชิกเพื่อเข้ารับบริการ พร้อมสะสมและแลกคะแนนได้ผ่านทางแอปพลิเคชั่น The 1

"กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวันเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า "The 1 ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายพันธมิตรใน ecosystem เพื่อนำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ครอบคลุมทุกแง่มุมการใช้ชีวิต ซึ่งบริการด้านสุขภาพและการแพทย์นับเป็นสิ่งที่สมาชิกของเราให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่COVID-19 กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมซึ่งมีสาขาหลายแห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งศูนย์บริการสุขภาพและความงามที่ได้มาตรฐาน จึงนับเป็นการยกระดับการดูแลลูกค้าของเราให้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์และบริการด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่หลากหลายทั้งด้านเพศ วัย พื้นที่ ไลฟ์สไตล์และความสนใจและช่วยเติมเต็มประสบการณ์ที่ The 1 มอบให้กับสมาชิกได้อย่างครบวงจรภายใต้แนวคิด Your Everyday Lifestyle Application"

"แพทย์หญิงเจรียง จันทรกมล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลในเครือบางปะกอก-ปิยะเวท กล่าวว่า "โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทได้พัฒนาการให้บริการและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่มุ่งเน้นการรักษาที่ได้มาตรฐานและการบริการที่ประทับใจ โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบองค์รวมที่ได้รับมาตรฐานสากล JCI และ HA รวมถึงศูนย์บริการสุขภาพเฉพาะทางและศูนย์ความงามที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ สำหรับความร่วมมือกับ The 1 ซึ่งเป็นลอยัลตี้โปรแกรมที่ดีที่สุดในประเทศไทยในครั้งนี้ นับเป็นการเปิดประสบการณ์ด้านการบริการสุขภาพของเครือโรงพยาบาลด้วยข้อเสนอพิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิก The 1 ทั้ง 18 ล้านคน โดยสามารถรับสิทธิได้ที่โรงพยาบาลในเครือทั้ง 7 สาขา"
"โรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวทพร้อมให้การต้อนรับสมาชิก The 1 ทุกท่าน โดยเชื่อมั่นว่าลูกค้า The 1 ที่มาใช้บริการจะได้รับความประทับใจจากมาตรฐานการรักษาและให้บริการของโรงพยาบาลและกลับมาใช้บริการที่โรงพยาบาลอีกครั้งอย่างแน่นอน"
#3012


กระแสความสนใจของประชาชน วันนี้ กรณีการแจกเงินเยียวยา ให้แก่ประชาชนแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ที่ประกาศ ล็อกดาวน์ โดยประกันสังคม เปิดลงทะเบียนผ่าน www.sso.go.th สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 (ม.33) , มาตรา 39 (ม.39) และมาตรา 40 (ม.40) ดังนี้


สำนักงานประกันสังคม แจ้งวันนี้ ให้นายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ม.40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 29 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ท่านสามารถตรวจสอบสิทธิเยียวยาได้แล้ววันนี้ ทางเวปไซต์สำนักงานประกันสังคม ที่เดียวเท่านั้น คลิก


ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ คลิกตรวจสอบสิทธิ์

แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น

สำหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จำนวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย

ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว


ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 คลิกตรวจสอบสิทธิ์

เช้าวันนี้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ย้ำว่าผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ตรวจสิทธิรับเงินเยียวยาได้แล้ว ประกันสังคม เปิดให้ ผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 (29 จังหวัดแดงเข้ม 9 กลุ่มกิจการ) ตรวจสอบสิทธิ รับเงินเยียวยา รายละ 5,000 บาท ได้แล้ว คลิกตรวจสอบสิทธิ์


ทั้งนี้ การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร


 ผู้สื่อข่าวตรวจสอบและรายงานด้วยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 เห็นชอบกรอบวงเงิน 33,471 ล้านบาท เยียวยาผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐตามข้อกำหนดฯ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,694,201 คน

โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้

1. พื้นที่ดำเนินการ 29 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี

2. กลุ่มเป้าหมายรวมประมาณ 6,694,201 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และมาตรา 40 จำนวน 5,258,030 คน

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ที่มีสัญชาติไทย สถานะเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะ A (Active) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด) หรือ ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2564 (พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัด) กรณีเป็นผู้สมัครเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในฐานทะเบียนประกันสังคมที่มีสถานะรอชำระเงิน W (Wait) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือมาตรา 39 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ต้องไม่เป็นข้าราชการหรือผู้รับบำนาญของกรมบัญชีกลาง

4. วิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 จะโอนเงินให้กับผู้ประกันตนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) เฉพาะที่ผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน


ที่มา - รัฐบาลไทย


ครม. ยังให้กระทรวงแรงงาน เร่งตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือตามเป้าหมายเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งขอให้โอนเงินให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนตาม ม.39 และ ม.40 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 10 จังหวัด ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ที่รุนแรงและได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ ก่อนพื้นที่อื่น ๆ



ตรวจสอบสิทธิ ม.39, ม.40 รับเงินเยียวยา 5,000 บาท

สำนักงานประกันสังคม เปิดให้ตรวจสอบสิทธิ โครงการเยียวยานายจ้าง - ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 9 ประเภทกิจการ เพื่อรับเงินเยียวยาจำนวน 5,000 บาท ในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัดแรก โดยคาดว่าจะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ได้ภายในวันที่ 24 ส.ค. 64

ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระและสมัคร ม.40 ใน 3 จังหวัด (พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) และ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ( เช่น กาญจนบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี และจังหวัดอื่น ๆ ) จะประกาศวันจ่ายเงินเข้าบัญชีอีกครั้ง
.
วิธีตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยานายจ้าง – ผู้ประกันตนฯ

1. เข้าเว็บไซต์ www.sso.go.th คลิกเลือก "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.39)", "ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาฯ (ผู้ประกันตนม.40)"
2. จากนั้นกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสตามรูปที่กำหนด
3. กดค้นหา
4. ระบบจะแสดงผลการค้นหา ว่าได้/ ไม่ได้รับสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ

สำหรับวิธีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนทุกมาตรา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เฉพาะที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน เพื่อให้ระบบสามารถโอนเงินได้ตามกำหนด

ผู้มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนประกันสังคม โทร. 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง



วันนี้ กระทรวงแรงงาน แจ้ง ยื่นก่อน ได้ก่อน รับเงินเยียวยานายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ
นายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม และอยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่ถูกควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน (สูงสุดไม่เกิน 200 คน)
สำนักงานประกันสังคมจะเริ่มโอนเงินเข้าบัญชี ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2564 นี้ เป็นต้นไป
นายจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐใน 10 จังหวัด 9 ประเภทกิจการ ที่ยังไม่ยื่นขอรับเงินชดเชยเยียวยา ขอให้ท่านดำเนินการยื่นแบบความประสงค์ขอรับเงินโดยด่วน ขั้นตอนคือเข้าระบบ e-service บนเว็บไซต์ www.sso.go.th ของสำนักงานประกันสังคม

กรอกข้อมูลแล้วส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานประกอบการนั้นตั้งอยู่

กรณีนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลให้แนบสำเนาบัญชีธนาคารกลับมาด้วย
นายจ้างบุคคลธรรมดาให้ผูกบัญชีพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน เพื่อสำนักงานประกันสังคมจะโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา - สำนักงานประกันสังคม 
#3013


วันนี้ (12 ส.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. นางวัลยา วัฒนรัตน์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ตรวจความพร้อมศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร โดยมี ดร.วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารเขตสาทร ทีมแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลเลิดสิน ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล ณ ศูนย์กีฬาเขตสาทร แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร

ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร ใช้พื้นที่อาคารศูนย์กีฬาเขตสาทร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 166 เตียง แบ่งเป็น ผู้ป่วยชาย 60 เตียง ผู้ป่วยหญิง 106 เตียง โดยมีทีมแพทย์จากโรงพยาบาลเลิดสิน และศูนย์บริการสาธารณสุข 14 แก้วสีบุญเรือง เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วย คาดว่า จะสามารถเปิดรับผู้ป่วยได้ในวันที่ 14 ส.ค. 64 นับเป็นศูนย์พักคอยฯ แห่งที่ 2 ในพื้นที่เขตสาทร โดยศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ เขตสาทร แห่งที่ 1 ตั้งอยู่ที่อาคารศูนย์เรียนรู้พระพุทธศาสนาและการพัฒนาสังคม วัดสุทธิวราราม ซึ่งเป็นศูนย์พักคอย 1 ใน 7 แห่ง ที่กรุงเทพมหานครเตรียมขยายศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย โดยได้ปรับเป็นศูนย์พักคอยกึ่งโรงพยาบาลสนาม (Community Isolation plus : CI plus) เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีอาการระดับสีเหลืองได้รับการรักษาเพิ่มขึ้น

กรุงเทพมหานครได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ หรือ Community Isolation เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีผลตรวจรับรองว่า ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยมีเป้าหมายเปิดศูนย์พักคอยฯ ให้ได้มากที่สุด เพื่อแยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกมาจากบ้าน นำมาพักคอยที่ศูนย์ฯ มีการคัดกรองอาการและดูแลเบื้องต้น เพื่อรอการส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาล หากมีอาการแย่ลง ลดปัญหาการแพร่ระบาดและติดเชื้อของคนในครอบครัวและชุมชน ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อโควิด-19 สามารถโทร.ติดต่อสายด่วน 1330 หรือ สายด่วนโควิด 50 เขต เขตละ 20 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการประเมินเข้าสู่ระบบการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation : HI) หรือเข้าพักที่ศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อ (Community Isolation : CI) หรือโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
#3014


"บจ." เตรียมนำบริษัทลูกขายไอพีโอต่อเนื่อง ล่าสุด 7 บริษัทจ่อระดมทุนเบื้องต้นปี 64-65 "บล.เมย์แบงก์ฯ" ชี้ ช่วยลดภาระบริษัทแม่ เผย อยู่ระหว่างทำดีลสปินออฟธุรกิจสินเชื่อ คาดชัดเจนเร็วๆ นี้ "บล.บัวหลวง" ซุ่มทำดีล หลังส่ง OR เข้าเทรดต้นปีที่ผ่านมา

ในช่วงปี 2564-2565 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศนำบริษัทลูกเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (สปินออฟ) โดยยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว 2 ราย ได้แก่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ได้ส่งบมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 109.3 ล้านหุ้น และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (BRI) ไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ยังมีอีก บจ.อีก 5 แห่งที่เตรียมยื่นไฟลิ่งบริษัทลูก

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์​แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.เมย์แบงก์ฯ มีลูกค้า บจ.ที่อยู่ระหว่างเตรียมตัวสปินออฟบริษัทลูกจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเร็วๆ นี้ เพราะระยะเวลาการทำดีลสั้นกว่าการเตรียมความพร้อมระดมทุน IPO เนื่องจากที่บริษัทลูกของ บจ.มีความพร้อมของข้อมูลอยู่แล้ว เช่น การจัดทำบัญชีที่ได้มาตรการเหมือนกับบริษัทแม่ เป็นต้น


โดยการนำบริษัทลูกไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยลดภาระทางการเงินของบริษัทแม่ โดยกระแสการสปินออฟไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าที่ผ่านมา บจ.ที่แยกลูกออกมาระดมทุนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในช่วงวิกฤติ ขณะที่ บจ.ที่มีการประกาศเตรียมสปินออฟในช่วงที่ผ่านมา เช่น ORI ที่เตรียมนำ BRI ออกมาระดมทุน เป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโฮลดิ้งส์อยู่แล้ว

ขณะที่ช่องทางการระดมทุน แม้บริษัทลูกของ บจ.ส่วนใหญ่จะสามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เครื่องมือการออกหุ้นกู้เหมือนบริษัทแม่ได้ก็ตาม แต่ในส่วนของตลาดหุ้นกู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร พบว่านักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องลงทุนหุ้นกู้ของ บจ.เท่านั้น นอกจากนี้ การแยกตัวออกมาระดมทุนด้วยตนเองช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทแม่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในกรณีที่ต้องการเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทลูกอีกด้วย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การสปินออฟบริษัทลูกของ บจ.เพื่อให้นักลงทุนสามารถมองภาพธุรกิจได้ง่ายขึ้น และประเมินมูลค่าได้ง่ายขึ้น เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ในตลาดหุ้นซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เทรนด์การสปินออฟเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะบริษัทลูกของ บจ.เริ่มเติบโตและมีศักยภาพที่จะลงทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้น

ปัจจุบัน บล.บัวหลวง อยู่ระหว่างจัดทำดีลในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเห็นผล ภายหลังในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้นำ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท. (PTT) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้ว และหากย้อนไปปี 2563 ได้นำ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เข้ามาระดมทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
#3015
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ข้าวออแกนิคสำหรับทารก เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผล ข้าวอินทรีย์แฟร์เทรด ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชน ข้าวสุขภาพข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวorganicส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิตปลูกข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย ที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ ( ต้นข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

เส้นทางผลิตข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวอินทรีย์ 277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิสุขภาพ
2.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิ
3.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์ #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์จังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์กรมการข้าว

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์
 
 
#3016
 
ข้าวอินทรีย์ (Organic Rice)ขายข้าวอินทรีย์, กลุ่มข้าวอินทรีย์ เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโต สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค(Organic Rice) เป็นข้าวที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมและสารกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวในทุกขั้นตอนการผลิตและในระหว่างการเก็บรักษาผลผลิต หากมีความจำเป็นแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ และสารสกัดจากพืชที่ไม่มีพิษต่อคนหรือไม่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนในผลผลิต ในดินและในน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการรักษาสภาพแวดล้อม ทำให้ได้ผลิตผลปลูกข้าวออแกนิคที่มีคุณภาพดีและปลอดภัย ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
 
       ประเภทของข้าวอินทรีย์
   1. ข้าวอินทรีย์รับรองมาตรฐาน Certified Organic เป็นระบบการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืช มีการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานอิสระ โดยมีทั้งภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานจากต่างประเทศ มีตราสัญลักษณ์ติดที่ผลิตภัณฑ์ และจะต้องมีการตรวจเพื่อต่ออายุใบรับรองทุกปี
 
   2. ข้าวอินทรีย์ระยะปรับเปลี่ยน In-conversion เป็นข้าวที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ในปีแรกก่อนจะได้รับการรับรองผลผลิตว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ โดยระยะปรับเปลี่ยนเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
 
   3. ข้าวอินทรีย์แบบยังไม่รับรอง Non Certified เป็นการปลูกข้าวอินทรีย์แบบพึ่งตนเอง ส่วนใหญ่เป็นการทำเกษตรแบบพื้นบ้านหรือปลูกในระบบผสมผสานหรือในไร่หมุนเวียน ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานใดๆ เกษตรกรกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ทำการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนและนำผลผลิตส่วนเกินมาจำหน่ายผ่านระบบตลาดท้องถิ่น ทั้งนี้อาจมีการรับรองกันเองในระบบกลุ่มหรือชุมชนปลูกข้าวอินทรีย์ ข้าวหอมสุรินทร์ คือ ข้าวที่ได้จากการผลิตภายใต้ระบบการผลิตข้าวอินทรีย์ซึ่งมีการจัดการการผลิตข้าวที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เน้นใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุดิบสังเคราะห์และมีการจัดการกับผลิตภัณฑ์โดยเน้นการแปรรูปด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นข้าวอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ 
ขั้นตอนการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้าวเพื่อสุขภาพส่งทั่วไทย ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ข้าวอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน
เป็นระบบการผลิต ข้าวกล้องอินทรีย์ส่งทั่วไทยที่ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตสารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรคแมลงและสัตว์ศัตรูข้าวตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ การผลิตข้าวอินทรีย์นอกจากจะทำให้ผลผลิตข้าวมีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารพิษแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
ข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล
การผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล มีกระบวนการผลิตการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์อินทรีย์ และห้ามใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุ์ในกระบวนการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ประกอบการต้องผฏิบัติตามเพื่อให้ได้รับการรับรอง มีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นลำดับขั้น ดังนี้
1.เกษตรกรจะต้องมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการผลิตข้าวอินทรีย์ (  หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวอินทรีย์ )
2.เกษตรกรจัดทำบันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต โดยแสดงแหล่งที่มาและปริมาณการใช้
3.สมัครขอรับรองต่อกรมการข้าว เกษตรกรต้องแสดงข้อมูลต่อไปนี้
- ประวัติการใช้พื้นที่
- ประวัติการใช้สารเคมี และผลการวิเคราะห์สารพิษตกค้างในดินและน้ำ (ถ้ามี)
- แผนที่และแผนผังแปลงนาที่ขอการรับรองและพื้นที่ข้างเคียง
- แผนการผลิตในทุกขั้นตอน
- บันทึกขั้นตอนการใช้ปัจจัยการผลิต
- บันทึกกิจกรรมในแปลงนา และข้อมูลอื่นๆ

เส้นทางผลิตข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์    การผลิตข้าวอินทรีย์(ออแกนิค)  277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook :https://www.facebook.com/Hor.Organic
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก
3. ข้าวกล้องปะกาอำปึลออแกนิค #ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ
6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์
7.  ขายข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์
#ข้าวออแกนิคสุรินทร์
#ข้าวออแกนิกสุรินทร์
#ข้าวอินทรีย์สุรินทร์
#ข้าวคุณภาพสุรินทร์


 
 
#3017


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพุธ(11ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 21.60 ดอลลาร์ ขานรับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ชะลอตัว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ


สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. บวก 21.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,753.30 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยระบุว่า ดัชนีซีพีไอ ปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.3% หลังจากทะยานขึ้น 5.4% เช่นกันในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2551

'
นอกจากนี้ หากไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดัชนีซีพีไอพื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีซีพีไอพื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนมิ.ย.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว

'บิตคอยน์'ปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวที่ 45,000 ดอลล์

ราคาบิตคอยน์เทรดที่เว็บไซต์คอยน์เดสก์ เมื่อเวลา 05.55 น.ของวันนี้ (12 ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 0.38% เคลื่อนไหวที่ 45,688.24 ดอลลาร์
#3018


จากกรณีหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ยกระดับคำเเนะนำต่อพลเมืองสหรัฐในการเดินทางมายังประเทศไทย โดยยกระดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐยังได้ปรับคำเตือนสูงสุดขั้นที่ 4 สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 70 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่ 4 เช่นเดียวกับไทย อาทิ บราซิล ชิลี อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เบื้องต้น ททท.มองว่าจากกรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวไทยบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดย ททท.ต้องพยายามทำความเข้าใจกับประเทศต่างๆ ว่าประเทศไทยไม่ได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดทุกพื้นที่ แต่เป็นการเปิดเฉพาะจังหวัดหรือพื้นที่นำร่อง (แซนด์บ็อกซ์) ที่มีความปลอดภัยสูงสุดเท่านั้น สะท้อนได้จากผู้ที่เดินทางเข้ามา ไม่มีชาวต่างชาติมาติดเชื้อในไทย และไม่มีคนไทยติดเชื้อจากชาวต่างชาติด้วย

ทั้งนี้การยกระดับคำเตือนดังกล่าว ไม่ได้ถือเป็นการห้ามเดินทาง แต่เป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น ซึ่งสหรัฐไม่ได้เป็นประเทศแรกที่ยกระดับคำเตือนหรือคำแนะนำในการเดินทางมาประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยที่ผ่านมามีสหภาพยุโรปได้ถอดรายชื่อประเทศไทยออกจากลิสต์ประเทศที่ปลอดภัย (EU White List) จากการระบาดของโควิด-19 แต่ก็เห็นว่ายังมีพลเมืองในสหภาพยุโรปเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะคนกลุ่มนี้มั่นใจเรื่องภูมิคุ้มกันหลังได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ รวมถึงเมื่อชาวต่างชาติมาเที่ยวไทย ก็ไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่ที่มีการระบาดสูงได้

"ถือเป็นจุดที่ ททท.จะต้องประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศมากที่สุดและเร็วที่สุด ด้วยการแยกพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยออกมาจากภาพรวมทั้งประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจแก่ชาวต่างชาติว่าพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวที่กำหนดไว้ มีความปลอดภัยจริงๆ" ผู้ว่าการ ททท.กล่าว
#3019


บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,873.1 ล้านบาท และ 260.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.3% และ 93.2% จากไตรมาส 1/2564 โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ และกำไรสุทธิปกติทั้งสิ้น 1,892.5 ล้านบาท และ 282.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% และ 53.6% จากไตรมาสที่แล้ว สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 3,278.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 394.9 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 3,346.8 ล้านบาท และกำไรปกติ 466.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และ ลดลง 31.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2563

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ 4 กลุ่มธุรกิจในครึ่งปีแรกว่า ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตตามความต้องการศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าคุณภาพสูงของธุรกิจ E-Commerce และผู้ประกอบการในกลุ่ม Consumer ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา สำหรับไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 279.9 ล้านบาท และ 556.9 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงจำนวนกว่า 56,000 ตารางเมตร สูงกว่าเป้าหมายสัญญาให้เช่าระยะสั้นที่วางไว้ 50,000 ตารางเมตรสำหรับปีนี้ ซึ่งความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลทำให้อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของสินทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ทของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นไปแตะที่ระดับ 90%

นอกจากนั้น บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง แห่งที่ 2 ซึ่งนับเป็นโครงการแห่งที่ 38 ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป บนพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 50,000 ตารางเมตร โดยมีผู้เช่าหลักเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโลจิสติกส์เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนากระบวนการทำงาน และการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในบริษัทและธุรกิจ Startups กลุ่มโลจิสติกส์หลายราย โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทราบผลของการเจรจาภายในสิ้นปีนี้

สำหรับแผนการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ ในปี 2564 ล่าสุดผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้มีมติอนุมัติให้ทำการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักครั้งที่ 7 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,549.7 ล้านบาท ทรัพย์สินประกอบด้วยโครงการ WHA Mega Logistics Center (วังน้อย 62) โครงการ WHA Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และโครงการ WHA E-Commerce Park อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คิดเป็นพื้นที่รวม 184,329 ตารางเมตร โดยสินทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ของบริษัททั้งหมดและคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2564 ตามแผนงานที่วางไว้ รวมถึง บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) และสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Asset-backed Token) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายและการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ อีกด้วย


นอกจากนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว "WHA Office Solutions" พื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับเวิร์ลคลาส บน 6 ทำเลที่มีศักยภาพสูงในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ รวมพื้นที่สำนักงานให้เช่ากว่า 100,000 ตร.ม. ได้แก่ โครงการ WHA Tower, โครงการ SJ Infinite I, อาคารสำนักงาน @Premium, โครงการ WHA Bangna Business Complex, ศูนย์บ่มเพาะนวัตกรรม TusPark WHA และโครงการ WHA KW S25 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม  6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 274 ไร่ (ไทย 241 ไร่/ เวียดนาม 33 ไร่) และยอดเซ็นต์ MOU รวม 83 ไร่ (เวียดนาม) โดยบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกรวม 691.8 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 154.1 ล้านบาทแล้วรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไตรมาส 2 ของบริษัทฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 537.7 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนและการส่งออกของประเทศไทยในไตรมาสที่ผ่านมาที่เริ่มกลับมาส่งสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น ยุโรป จีนและไต้หวัน รวมถึงนักลงทุนอินเดียที่แสดงความสนใจย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น ภายหลังจากประเทศอินเดียต้องประสบกับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างหนักในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินทั้งสิ้น 33 ไร่ และยอด MOU 83 ไร่ เนื่องจากเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 เหงะอานของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี บริษัทฯ จึงเร่งสานต่องานก่อสร้างในพื้นที่เฟส 1B ส่วนที่เหลือจำนวน 2,100 ไร่ พร้อมขยายการก่อสร้างในเฟส 2 และเฟส 3 คิดเป็นพื้นที่เพิ่มเติมอีก 4,700 ไร่ รวมถึงการดำเนินการเพื่อขอใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดถั่งหัว (Thanh Hoa) บนพื้นที่รวมกว่า 7,500 ไร่ ที่ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเริ่มเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในเขตอุตสาหกรรม WHA Northern Industrial Zone และ WHA Smart Technology Industrial Zone ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มเปิดให้บริการพื้นที่แก่นักลงทุนที่สนใจภายในปีหน้า ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการกระจายวัคซีนของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ซึ่งในช่วงผ่านมาบริษัทฯ ก็ยังคงได้รับการติดต่อจากนักลงทุนที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ที่สนใจจำนวนมากกว่า 30 ราย คิดเป็นพื้นที่ขายรวมกว่า 2,000 ไร่ทั้งไทยและเวียดนาม ซึ่งหากการดำเนินการด้านวัคซีนของประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนของภูมิภาคต่อไป

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อัจฉริยะ หรือ Smart ECO Industrial Estate ที่มีความทันสมัยทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ขนส่ง สื่อสาร ฯลฯ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Digital Healthcare อย่างครบวงจรแก่ผู้ประกอบการ พนักงาน/ แรงงาน และผู้อยู่อาศัยทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุน บริษัท เพอเซ็ปทรา (Perceptra) สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสนามในการวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง (Unified Control Center, "UOC") ณ อาคาร WHA Tower สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของบริษัทฯ พร้อมเปิดดำเนินการแบบเต็มรูปแบบแล้ว โดยศูนย์ UOC ดังกล่าวสามารถนำเสนอข้อมูล และติดตามผลการทำงาน รวมถึงได้ติดตั้งระบบเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงานประจำวันหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยระบบดังกล่าวจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้รับผิดชอบที่ศูนย์ UOC รวมถึงแจ้งเตือนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคว่า ผลประกอบการของธุรกิจน้ำในไตรมาสที่ผ่านมามีความโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งหมดในประเทศไทยและต่างประเทศในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 รวมเท่ากับ 35.2 ลูกบาศก์เมตร และ 67.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภครวมในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 595.8 และ 1,182.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ปริมาณยอดขายน้ำในประเทศมีการเติบโตดีขึ้นสำหรับทุกประเภทผลิตภัณฑ์ โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำในไตรมาส 2 และ 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวนเท่ากับ 29.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 56.8 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้น 27.3% และ 16.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสะท้อนความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมในทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มลูกค้าใหม่ในกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ GC Oxirane ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีและมีปริมาณการใช้น้ำประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือลูกค้าโรงไฟฟ้า อาทิ Gulf SRC ที่ขยายกำลังการผลิตทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 12,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมถึงยังสะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) ที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย
#3020


รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า หลังจากเปิดโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" รับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว พบว่าในช่วง 40 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-9 ส.ค.2564 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมโครงการฯสะสม 18,654 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 18,602 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 52 คน เฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าโครงการฯวานนี้ (9 ส.ค.) มี 387 คนจากจำนวนเที่ยวบิน 4 เที่ยวบิน ไม่พบผู้ติดเชื้อ

ด้านยอดจองห้องพักโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA+ พบว่าตลอดไตรมาส 3/2564 มีจำนวน 353,529 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 143,566 คืน และเดือน ก.ย. 19,120 คืน ส่วนยอดการจองในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นตั้งแต่เดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวน 9,797 คืน

ขณะที่เช้าวันนี้ (10 ส.ค.2564) เวลา 11.00 น. สายการบิน "คาเธ่ย์ แปซิฟิค" เริ่มทำการบินเส้นทาง ฮ่องกง-ภูเก็ต ให้บริการไฟลต์ปฐมฤกษ์ เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตวันนี้เป็นวันแรก โดยทำการบินทุกวันอังคาร และวันอาทิตย์ วันละหนึ่งเที่ยวบิน สำหรับไฟลต์ปฐมฤกษ์มีผู้โดยสารเดินทางมาทั้งสิ้น 134 คน มาจากตลาดฮ่องกง 56 คน นอกจากนั้นเป็นผู้โดยสารจากตลาดสหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน