• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Fern751

#11224


โบรกเกอร์ประสานเสียงขยายล็อกดาวน์ เสี่ยงจีดีพี กำไร บจ.ลด ASPS ประเมินกระทบ GDP ไตรมาส 3 เดือนละ 3 แสนล้านบาท ฉุดจีดีพีทั้งปีโตไม่ถึง 1% คาดอีกหลายค่ายหั่นเป้า GDP ส่วนทรีนีตี้คาดอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ. ขณะตลาดหุ้นเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัว ด้านยูโอบีฯ ประเมินธีมลงทุนระยะสั้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร - REITs เป็นแหล่งพักเงินที่ดี ส่วนโนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening แนะตั้งรับ และวิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งการระบาดได้และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สุดท้ายรัฐได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด และนั่นเท่ากับเป็นการแสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ แม้ก่อนหน้านั้นได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 14 วัน ใน 13 จังหวัดก็ไม่เป็นผล กระทั่งในเดือนสิงหาคมรัฐประกาศการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักและสาหัสเพิ่มมากขึ้น ทำให้แทบทุกภาคส่วนมิอาจขยับขยายธุรกิจ ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้ทั้งระบบย่ำแย่ บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งรับผลกระทบเต็มๆ เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทุกอย่างย่อมติดลบ ตัวเลขจีดีพีที่ก่อนหน้านั้นมีแนวโน้มจะดีขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่า ย่อมให้ความไม่นิ่งในการประเมินตัวเลขจีดีพีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ASPS ประเมินจีดีพีโตไม่ถึง 1% หลายค่ายเตรียมหั่นเป้า

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า การล็อกดาวน์ต่อถึงสิ้นเดือน ส.ค. เพิ่ม Downside ปรับลด GDP Growth ไทยปี 64 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยตัวเลขล่าสุด ประกาศออกมาเพิ่มขึ้นอยู่บริเวณ 1.8 หมื่นราย ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โดย ASPS ประเมินเป็นการเปิด Downside เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 คาดหดตัวมากกว่า โดยหอการค้า คาดผลกระทบต่อ GDP ค่าเฉลี่ยราว 3 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.75%ต่อ GDP (จากเดิมคาด 2.75 แสนล้านบาท) x ประเมินว่าค่อนข้างแน่ชัดปีนี้ GDP ไทยอาจจะโตไม่ถึง 1% เทียบปีก่อน และจะเห็นการทยอยปรับลด GDP Growth ลงเพิ่มขึ้นอีกจากหลายสำนักเศรษฐกิจ

ขณะที่อีกฝั่งคาดจะกดดันตลาดหุ้นไทยและหุ้นเปิดเมืองในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าราคาหุ้นได้ปรับฐานลงไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เคยนำเสนอว่าตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อ (New case) ที่เพิ่มสูงกว่าจำนวนผู้รักษาหาย (Recovered case) โดยเชื่อว่าสัญญาณซื้อ (Buy Signal) สำคัญของตลาดหุ้นจะมาจากช่วงจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้รักษาหาย (กราฟ New case ตัด Recovered case ลด) ส่งผลให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยต้องรอ Buy Signal ต่อไป

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญโควิด-19 ระลอกแรกหุ้นตกหนักมากถึง -38% ตามมาด้วยระลอก 2 และ 3 ปรับตัวลงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ราว -7% และ 5% ตามลำดับ จากนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับมาด้วยความคาดหวังการกระจายวัคซีน และมาตรการภาครัฐน่าจะยับยั้งโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาได้เหมือนกับระลอกแรก ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญกับโควิด-19 ระลอกที่ 4 สายพันธุ์เดลตา (แพร่ระบาดเร็ว) โดยปรับฐานลงมาแล้วมากกว่า 7% ถือว่าลดลงมากสุดเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 4 รอบที่ผ่านมา และยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อจากมาตการที่คุมเข้ม หรือล็อกดาวน์ที่ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 29 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม หลังการล็อกดาวน์ต้องรอติดตามดูว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อทยอยลดลง จนต่ำกว่าผู้ที่รักษาหายจะเป็นจุดที่เข้าสะสมหรือเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยโดยคาดหวังการฟื้นตัวตามความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดีย

ทรีนีตี้มองสู่ Downsid ของ GDP-กำไร บจ.

บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปัจจัยเชิงลบล่าสุดที่เกิดขึ้น และมีผลทำให้สมมติฐานก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไปก็คือการที่ ทาง ศบค.ได้มีมติให้ขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไปถึงวันที่ 18 ส.ค.เป็นอย่างน้อย แถมยังมีการเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจากเดิม 13 จังหวัดขึ้น ถึงเท่าตัวเป็น 29 จังหวัด ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับการเคลื่อนย้ายของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงจากเดิมที่ประเมินไว้ และอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ.ได้

ทั้งนี้ แม้อาจมี Sentiment เชิงบวกเล็กๆ จากการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสามารถเปิดจำหน่ายเพื่อบริการ Delivery แต่เหตุการณ์ล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ Sentiment การลงทุนในระยะสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของสภาพคล่องที่เริ่มหดหายไปจากตลาด สะท้อนผ่านการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั่วไปที่ลดลง และระดับปริมาณเงินในประเทศหรือ M2 ที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัวลงก่อนในช่วงต้นเดือน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการล็อกดาวน์ที่ยาวนานและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้น ปัจจัยต่างประเทศที่อาจเข้ามากดดันตลาดในช่วงต้นเดือนอีกก็คือ ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่เริ่มแผ่วลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลังคาดอาจมี Sentiment เชิงบวกขึ้นมาบ้าง หากในที่ ประชุมผู้นำธนาคารกลางโลกที่เมือง Jackson Hole ไม่ได้มีการส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายการเงินใดๆ ออกมา โดยเฉพาะจากทางฝั่งของ Fed

สำหรับในเชิงกลยุทธ์ สำหรับพอร์ตที่ทยอยสะสมหุ้นมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณดัชนีต่ำกว่า 1,550 จุดลงมา มองว่าสามารถถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ ส่วนการเข้าสะสมครั้งใหม่อาจรอจังหวะการย่อตัวแถวบริเวณแนวรับประจำเดือนนี้ที่ให้ไว้ที่ 1,480-1,500 จุด น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation อยู่ต่ำแล้ว โดยซื้อขายเพียงแค่ Forward PE 15.5 เท่าเท่านั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 17.2 เท่าอยู่พอสมควร

ยูโอบีฯ แนะลงทุนระยะสั้น สื่อสาร-REITs

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน เปิดเผยว่า การประกาศขยายเวลาและพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวดอีก 14 วัน (ตั้งแต่ 3 ส.ค.และอาจถึงสิ้น ส.ค.) ของ ศบค. และเพิ่มพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีแดง) ขึ้นเป็น 29 จังหวัด (จากเดิม 13 จังหวัด) ขณะที่มาตรการควบคุมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ยกเว้นมีการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้เพื่อให้บริการแบบจัดส่งเท่านั้น

โดยมองว่าภาพรวมประกาศสอดคล้องกับที่เคยประเมินรัฐจะขยายเวลาล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะ 1-2 เดือน (หรือน่าจะมีการต่อมาตรการล็อกดาวน์ทุก 14 วันออกไปเรื่อยๆ) เนื่องจาก ประการแรก อ้างอิงผลการศึกษาจากกองระบาดวิทยาที่เสนอการล็อกดาวน์ 1-2 เดือน ควบคู่กับการฉีดวัคซีน และประการที่สองคือข้อจำกัดของวัคซีนที่มีคุณภาพสูง (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัคซีนที่ไม่สามารถหยุดการระบาดได้)

สุดท้ายคือ ความต้องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่เพิ่มจนใกล้ถึงระดับการผลิตที่เป็นข้อจำกัดขององค์การเภสัชในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า จะทำให้รัฐต้องคงมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อกดการเพิ่มของผู้ป่วย และชะลอการเสียชีวิตที่มีโอกาสจะเร่งตัวขึ้น

ดังนั้น ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง มองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT

ทั้งนี้ แนะให้ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC

ระวังหุ้นการผลิต กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เสี่ยง  
นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มความระวังหุ้นการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สถานการณ์ระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นทำให้ต้องระวังว่านอกจากจะกระทบต่อการบริโภคเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์แล้ว การระบาดอาจจะกระทบต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ภาคการผลิตอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานหรือส่วนของการผลิตหากพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 3/64 อย่างมีนัยสำคัญได้

ถึงแม้มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 และ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี ทำให้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะแบ่งทำกำไรหรือเพิ่มความระวังในการลงทุน

โนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุ การปรับเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด และให้ขยายมาตรการล็อกดาวน์ต่อไปอีก 14 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป เป็นแรงกดดันต่อกลุ่ม Domestic และ Re-Opening อย่างต่อเนื่อง ส่วนการผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดจำหน่ายเฉพาะ Delivery โดยให้เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.นั้น มองไม่ได้บวกต่อกลุ่มร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ทำให้จำนวนสาขาที่ห้ามรับประทานที่ร้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้โดยรวมเป็นลบต่อกลุ่มร้านอาหาร

ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังสูง ขณะที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์ต่ออีก 1 เดือน กดดันกลุ่ม Domestic และ Re-Opening ต่อเนื่อง กลยุทธ์แนะตั้งรับ Selective เน้นกลุ่ม Earnings ดี โดยปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (BDMS, BCH, CHG, EKH, SMD, WINMED) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากพลังงานน้ำ (GPSC, BCPG, CKP) เด่น ผสานกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (ชิ้นส่วน-อาหาร KCE HANA TU PM ASIAN) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) และหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาล (TVO) คงน้ำหนักหุ้นที่ 50%

วิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

วิจัยกรุงศรีรายงานว่า อุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ส่วนภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง คือ 46.1% เทียบจากปีก่อน ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ

ทั้งนื้ เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของ โควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา ผลจากมาตรการควบคุมการระบาดเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าไตรมาส 2

ขณะคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้น 4-5% ในปี 2565 ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยปีนี้เติบเติบโต 15% แม้ช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง

โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า
#11225


นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (เอ็นไอเอไอดี) เปิดเผยในวันพุธ (4 ส.ค.) ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนแตะที่ 200,000 รายต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

"จำได้ไหมครับว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ติดเชื้อ 10,000 รายต่อวัน ผมคิดว่ามีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย" นายแพทย์เฟาชีกล่าว

นายแพทย์เฟาชียังกล่าวว่า "ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐ และสถานการณ์อาจเลวร้ายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เว้นเสียแต่ว่าชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนซึ่งมีอยู่มากจะตัดสินใจไปฉีดวัคซีน"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"สถานการณ์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอัตราการติดเชื้อที่รวดเร็ว และยังมีคนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ยังไม่ไปฉีดอีกประมาณ 93 ล้านคนทั่วประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง"

นายแพทย์ใหญ่ยังแสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์ที่ต้านทานต่อวัคซีนได้มากขึ้น

"หากเราไม่หยุดยั้งการแพร่ระบาดด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ไวรัสจะระบาดในฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ได้"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันอยู่ที่ 84,389 ราย
#11226


LINE MAN ประกาศมาตรการดูแลเพิ่มเติมแก่ไรเดอร์ทั่วประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มอบความคุ้มครองชดเชยรายได้รายวัน และค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีน เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

LINE MAN ต้องการสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ ด้วยการมอบประกันโควิด-19 ที่ชดเชยรายได้รายวันอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 25,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในภาวะโคม่าจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท และภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับไรเดอร์ทั่วประเทศที่ลงทะเบียนและเข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนด* โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และจะเริ่มคุ้มครองตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564

นอกจากนี้ LINE MAN ได้จับมือร่วมกับ Shell GO+ มอบประกันโควิด-19 แก่ไรเดอร์เพิ่มอีกช่องทาง ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีนไปจนถึงอาการโคม่าด้วยเช่นเดียวกัน โดยเริ่มคุ้มครองระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม 2564



นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ไรเดอร์ถือเป็นฮีโร่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนทั่วไปในการขนส่งอาหารหรือสิ่งของต่างๆ ในช่วงล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น การดูแลเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยของไรเดอร์จึงเป็นเรื่องที่ LINE MAN ให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ของเรา โดย LINE MAN พร้อมเดินหน้าออกมาตรการดูแลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการมอบประกันโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การมอบเงินเยียวยาให้แก่ไรเดอร์ที่ต้องกักตัว หรือติดเชื้อโควิดสูงสุดครั้งละ 9,000 บาท รวมถึงมีการแจกหน้ากากอนามัยให้ไรเดอร์ทั่วประเทศมากถึง 1 ล้านชิ้น เพื่อให้ไรเดอร์ของเราสามารถให้บริการอย่างดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

ทั้งนี้ เงื่อนไขของประกันโควิด-19 เป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด และไรเดอร์ที่จะได้รับประกันโควิด-19 จะต้องลงทะเบียนในระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2564 โดยขับ 15 วันทำงานขึ้นไป รวมไม่ต่ำกว่า 30 เที่ยวในเดือนกรกฎาคม 64 หรือตามเงื่อนไขในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งจะประกาศผ่านช่องทางแอปฯ LINE MAN Rider
#11227
สนใจติดต่อคุณเป้ง 087-347-6299
https://gladnessaccounting.co.th

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน
#11228
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#11234


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโควิด-19 ยังแพร่ระบาดทั่วโลก แต่หลายประเทศเริ่มปรับตัวและรับมือเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึง 6% โดยได้อานิสงส์จากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ สหรัฐฯ จีน และบางประเทศในยุโรป โตมากกว่า 6% ซึ่งประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของ GDP โลก เป็นผลจากความพร้อมในการผลิตวัคซีนเองและฉีดให้แก่ประชาชนของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความพร้อมของเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ โรงงานในบางพื้นที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนต้องหยุดการผลิต ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่ยังมีความเปราะบาง จนหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญหลายแห่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียงราว 1% ขณะที่การท่องเที่ยวยังรอวันฟื้น "การส่งออก" จะกลายเป็นพระเอกประคับประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.5% โดยได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาดี สินค้าไทยบางส่วนตอบรับกระแส New Normal ได้ดี และเงินบาทอ่อนค่า โดยคาดว่าในปี 2564 ภาคส่งออกจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 10% ขณะที่ปัจจัยลบที่ยังต้องจับตามองได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย การขาดแคลนวัตถุดิบและตู้คอนเทนเนอร์สำหรับธุรกิจส่งออก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความชะงักงันของกิจการ Logistics ที่มีผู้ติดเชื้อและการตรวจสอบที่เข้มงวด จนทำให้จำนวนตู้คอนเทนเนอร์กลับเข้าสู่ภาวะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน

ดร.รักษ์ กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนธุรกิจของผู้ประกอบการไทยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ จึงขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เร่งขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างรวดเร็วตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ โดย "พัฒนา 4 ปัจจัยสู้วิกฤตโควิด-19 ควบคู่กับการตอบโจทย์โลกวิถีใหม่" เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ดังนี้



1. พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ตอบรับกระแส New Normal EXIM BANK จะเป็น Lead Bank สนับสนุนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ พลังงานทดแทน พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมสีเขียว ดิจิทัล และสุขภาพ (Green, Digital, Health : GDH)

2. พัฒนา SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกรายใหม่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ของไทยในปัจจุบันมีไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งประเทศซึ่งมีจำนวน 3.1 ล้านราย EXIM BANK พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำและอบรมบ่มเพาะผู้ประกอบการ SMEs ในทุกระดับ ผ่านกิจกรรมของศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้าของ EXIM BANK (EXIM Excellence Academy : EXAC) รวมทั้งให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะทำให้ SMEs เข้าสู่ธุรกิจส่งออกได้ทันที อาทิ สินเชื่อเครือข่ายครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SMEs ที่เป็น Suppliers ของผู้ประกอบการรายใหญ่โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม

3. พัฒนา Pavilion สำหรับการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "EXIM Thailand Pavilion" เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยรายเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการค้าขาย การโพสต์สินค้า ตลอดจนขีดจำกัดด้านเงินทุน มีโอกาสค้าขายกับคู่ค้าในต่างประเทศทางออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินจาก EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตรควบคู่ไปด้วย

4. พัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อเสริมสภาพคล่องและป้องกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย รวมทั้งมาตรการ "พักหนี้" และ "เติมทุน" เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง ผู้นำเข้า และนักลงทุนจากผลกระทบของโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับนโยบาย Dual-track Policy ของ EXIM BANK ในการทำหน้าที่เป็น "ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)" ขับเคลื่อนการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านภาวะวิกฤตและมีโมเมนตัมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และยั่งยืน มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในโลกยุค ใหม่

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังทำหน้าที่เป็น
"ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)" ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจสามารถผันตัวเป็นผู้ส่งออกและขยายธุรกิจส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืน โดย EXIM BANK จะเร่ง 'ซ่อม' ด้วยการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่วิกฤตและกระตุ้นให้ตลาดกลับมาน่าสนใจ 'สร้าง' อุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจในโลกอนาคต 'เสริม' ความสมดุลของการค้าและการลงทุนในตลาดหลักควบคู่กับตลาด New Frontiers รวมทั้งบุกเบิกโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ ขณะเดียวกัน จะเป็นผู้ให้บริการครบวงจรร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรในการเติมความรู้ ทุน และศักยภาพ เพื่อช่วยให้ SMEs ค้าขายระหว่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จและเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างมั่นใจ

"EXIM BANK จะเร่งพัฒนาปัจจัยต่าง ๆ ที่จะทำให้ภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤตและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่ง EXIM BANK พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและให้เครื่องมือทางการเงินสำหรับบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า แม้ว่าผู้ส่งออกจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะสั้น แต่ภูมิคุ้มกันของผู้ส่งออกคือ ความแตกต่างอย่างโดดเด่นของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ภายใต้วิถีใหม่ในระยะข้างหน้าได้" ดร.รักษ์ กล่าว
#11235


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ ประกอบกับการมีข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ขอความร่วมมือให้ประชาชนชะลอหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น

การรถไฟฯ จึงออกแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการยกเลิกการเดินทางตามนโยบายของภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ - 31 ส.ค.2564 ดังต่อไปนี้

- ให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถโดยสารไว้ล่วงหน้า หากไม่มั่นใจในการเดินทางในช่วงดังกล่าวสามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ


- กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสาร ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ

- กรณีมีการจองซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและไม่สะดวกในการคืนเงินค่าตั๋วผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้อนุญาตคืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยยื่นคำร้องขอคืนเงินได้ที่สถานี

ทั้งนี้ นายนิรุฒ กล่าวว่า การรถไฟฯ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ เพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในขบวนรถโดยสารทุกขบวน และทุกสถานีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคัดกรองพนักงานรถไฟ ผู้ใช้บริการรถไฟ รวมทั้งผู้ประกอบการ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกคน และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติงานหรือใช้บริการอย่างเคร่งครัด