• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Naprapats

#6497
บริการด้านกุญแจ. 24 ชม  โทร 085-108-8797 ช่างปานกุญแจ #เปิดกุญแจรถ #เปิดกุญแจบ้าน #เปิดกุญแจตู้นิรภัย
#6498
DPAINT เป้าปี 65 ทำนิวไฮอีกรอบมั่นใจเป้ารายได้โตสม่ำเสมอต่อเนื่องกว่า 20%

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สีเดลต้า (DPAINT) เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 65 เริ่มเดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเต็มกำลัง แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ แต่มองว่าประชาชนเริ่มมีการปรับตัว และได้รับวัคซีนครอบคลุมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานก่อสร้างมีการเปิดประมูลหลายโปรเจกต์ อีกทั้ง การพัฒนาโครงการภาคเอกชน และการปรับปรุงอาคารที่อยู่อาศัยของผู้คน ส่งผลให้ความต้องการสีทาอาคารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

บริษัทวางเป้าหมายปี 65 จะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่อีกรอบ มั่นใจกับเป้าหมายรายได้เติบโตสม่ำเสมออย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมจัดทัพขยายองค์กร ดำเนินการพัฒนาด้านธุรกิจหลัก และรุกตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมเพิ่มเติม ขยายกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงมากกว่า 40% พร้อมวางแผนการลงทุนซื้อเครื่องผสมสีในปีนี้อีกประมาณ 150 เครื่อง สนับสนุนแผนการขยายตลาดเป็นวงกว้าง และพร้อมมุ่งเข้าสู่ตลาดชายแดน และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากเห็นช่องว่างทางการตลาดที่สดใส

นอกจากนัน ยังได้เซ็น MOU ร่วมกับดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในตลาดของประเทศไทย เป็นจำนวน 2 ราย สานสัมพันธ์กันยาวถึง 3 ปี เพื่อขยายตลาดอาคารสูง และจะมีการเซ็น MOU ร่วมกับพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมอีกในปีนี้ ขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้า และคู่ค้าที่มีอย่างยาวนานกว่า 40 ปี เพื่อการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปี 64 DPAINT เติบโตตามเป้าหมายทั้งรายได้และกำไร แม้ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบตลอดช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังคงยึดหลักบริหารแบบ Kaizen มุ่งเน้นการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ พร้อมชูผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรุกตลาดกลุ่มพรีเมียม มอบความคุ้มค่าที่มากกว่า ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ส่งผลให้ทิศทางธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจ ถือว่ามีความสามารถในการทำกำไรอย่างโดดเด่นในอุตสาหกรรม

ผลการดำเนินงานปี 64 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 749.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อน 25.6% เป็นผลจากการเพิ่มไลน์สินค้าที่เปิดตัวใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สีดิสนีย์ สีเดลต้า เมจิก ชิลด์ เริ่มวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 4/64 ผลตอบรับดีเกินคาด และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายตามแผนธุรกิจของบริษัท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 52.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อน 26.2% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 41.9% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 41.3% และสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิในระดับที่ดีที่ 7% แม้ท่ามกลางความขาดแคลนและความผันผวนของวัตถุดิบ เป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่คล่องตัว สัดส่วนการขายสินค้ากลุ่มสีคุณภาพพิเศษ ซึ่งเป็นกลุ่มไฮมาร์จิ้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ควบคู่การควบคุมต้นทุนการผลิต และการได้เปรียบเชิงต้นทุน (Economies of Scale)

สัดส่วนผลิตภัณฑ์ในปี 64 DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 28.6% และสีคุณภาพคุ้มค่า 31.4% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ ผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 3,000 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) 1,000 สาขา ร้านค้าปลีก (Retail) 2,140 สาขา เพิ่มขึ้นถึง 18% จากปีก่อน และงานโครงการ (Project) รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ปัจจุบันมีจำนวน 353 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 133 เครื่อง
#6502
AIRA กลับมาท็อปฟอร์ม โชว์กำไรปี64 พุ่ง พลิกกำไร 117 ลบ.

บมจ.ไอร่า แคปปิตอล ("AIRA") ตอกย้ำผลการดำเนินงานเทิร์นอะราวด์ โชว์งบปี 2564 พลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 76 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม 1,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจในเครือสร้างผลตอบแทนตามเป้าที่วางไว้ ระบุ หลังจากนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยว พร้อมตอกย้ำ AIRA Group การเป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง

บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) ว่า สำหรับปีที่ผ่านมาถือเป็น AIRA Group มีความโดดเด่นและมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯสามารถสร้างผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทสามารถปรับตัวดีขึ้นสวนกระแสกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอย่างสิ้นเชิง โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 1,160 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และพลิกเป็นกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 76 ล้านบาท อีกทั้งงบเฉพาะกิจการของบริษัทในปี 2564 มีรายได้รวมเท่ากับ 138 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 73 ล้านบาท

ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเนื่องจาก การรับรู้รายได้จากค่านายหน้า กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ โดยมีส่วนรายได้ 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการซื้อขายของลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการ จำนวน 191 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่าเช่าจากสัญญาเช่าดำเนินงานของธุรกิจลีสซิ่ง 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบจากปีก่อน และรายได้ค่าเช่าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยรายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากอาคารสำนักงานให้เช่าที่ดำเนินการในนาม บจก.แอสไพเรชั่น วัน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการให้เช่าพื้นที่ได้ตั้งแต่ปี 2563 โดยมีอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้

ส่วนผลการดำเนินของบริษัทร่วมที่ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับปี2564 มีรายได้รวม 1,665 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 302 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาท ซึ่ง AIRA รับรายได้ส่วนแบ่งเงินลงทุนร้อยละ 30 คิดเป็นกำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุน 90 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรงทำให้มีผลขาดทุนเล็กน้อย

พร้อมกันนี้ บริษัทฯมีการบันทึกกำไรจากเงินปันผลของบริษัทย่อย 2 บริษัท ที่ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ประจำปี 2564 เป็นเงินรวม จำนวน 108.92 ล้านบาท จาก บริษัท ไอร่า แฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.025 บาท คิดเป็นเงินจำนวน 28.62 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.073 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 80.30 ล้านบาท โดยเงินปันผลดังกล่าวจะบันทึกรับรู้เป็นกำไรเข้ามาในไตรมาส4/2564 นี้

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น เป็นการตอกย้ำถึงความศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับทุกบริษัทในเครือ AIRA Group ได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนทางการเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญหลังจากที่ AIRA Group ได้มีการขยายการลงทุนในแต่ละธุรกิจในแต่ละช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่ปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตของธุรกิจในเครือ

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า AIRA Group เป็น Holding Company ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (รีเทิร์นอินเวสเมนท์) ให้กับผู้ถือหุ้นสูง ประกอบกับมีศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน โดย ณ สิ้นปี2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสด ที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทเป็น Non-Bank บริษัทเดียวที่ได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผ่านการร่วมลงทุนในแต่ละธุรกิจ โดยกลุ่มพันธมิตรดังกล่าวอยู่ในระดับ TOP 3 ของ กลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละประเทศ อาทิ บริษัท AIFUL Corporation ประเทศญี่ปุ่น , บริษัท Eugene Investment &Securities ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทการเงินและวัสดุก่อสร้างชั้นนำจากประเทศเกาหลี , บริษัท Kenedix Asia Private Limited บริษัทจัดการกองทุนและบริหารสินทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น , NEC Capital Solutions Limited (NECAP) บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเงินของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่ Travelex จากอังกฤษ ที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการให้บริการด้านการเงินที่ครอบครบในทุกมิติ
#6503
TKS เปิดแผนปี 65 รุกหนักธุรกิจดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น—ธุรกิจซีเคียวริตี้ลาเบลและแพคเกจจิ้ง ปี 64 บุ๊คกำไรก่อนรายการพิเศษ 414.2 ลบ. โตกว่า 80% หลังปรับโครงสร้าง

TKS วางหมากดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นเต็มสูบ ตั้งบริษัทย่อยลงทุนสตาร์ทอัพ "อีคอมเมิร์ซ-เอ็ดเทค-ฟูลฟิวเม้นท์" เตรียมความพร้อมที่จะเข้าไปลงทุนสตาร์ทอัพ ช่วยให้บริษัทเติบโตและต่อยอดธุรกิจเดิมในระยะยาว แย้มเจรจาอยู่ 4-5 บริษัท เผยไตรมาส 1/2565 ติดตั้งเครื่องจักรใหม่แล้วเสร็จลุยตลาดธุรกิจผลิตฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง เผยผลงานปี 2564 มีรายได้จากการขาย 1,717.4 ลบ. มีกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษ 414.2 ลบ. เติบโตร้อยละ 79.2 จากปีก่อน ผลจากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างกิจการ หนุนต้นทุนการผลิตลดลง อัตรากำไรดีขึ้น ด้านบอร์ดมีมตินำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล กรณีเศษหุ้นจ่ายเป็นเงินสด 0.10 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในงวดครึ่งปีหลังอีกหุ้นละ 0.30 บาท กำหนด Record Date วันที่ 15 มีนาคมนี้ กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

นายจุติพันธุ์ มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เค.เอส.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS ผู้ประกอบธุรกิจ Security Solutions ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวด ปี 2564 (1 ม.ค.-31 ธ.ค.2564) บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 1,717.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.2 จากปีก่อน โดยมีปัจจัยจากการชะลอตัวของความต้องการของลูกค้ากลุ่มธนาคารและภาคการส่งออก จากผลกระทบของสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และการลดลงของยอดขายกลุ่มธุรกิจบัตรพลาสติกจากการที่บริษัทฯได้ขายกลุ่มธุรกิจดังกล่าวออกไปในระหว่างปี 2564 อย่างไรก็ตาม ในแง่ผลกำไรจากการดำเนินงาน บริษัทฯมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างมากจากการบริหารต้นทุนการผลิตและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 490.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 15.6 และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) อยู่ที่ 311.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.4 โดยบริษัทฯ ยังคงปรับแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาฐานธุรกิจเดิม โดยมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต ได้แก่ ธุรกิจบริหารคลังสินค้าและการจัดการ ธุรกิจฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง และธุรกิจเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม เป็นต้น

บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประจำปี 1,198.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 967.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 418.7 เทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 231.1 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/2564 บริษัทฯได้ดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มสิ่งพิมพ์และรับรู้รายการกำไรจากการขายหุ้นสามัญของบริษัท ทีบีเอสพี จำกัด (มหาชน) หรือ TBSP จำนวน 784.5 ล้านบาท และได้ปรับประเภทการลงทุนจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมโดยคงเหลือการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TBSP โดยกำไรสุทธิปี 2564 (ก่อนรายการพิเศษ) อยู่ที่ 414.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.2 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงาน 100.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 977.7 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการร่วมการค้าเพิ่มขึ้น 82.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.1 โดยการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนมาจากบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX

นอกจากนี้ บริษัทฯได้เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ (Fintech Ecosystem) คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 984.5 ล้านบาท โดย TKS และ SABUY จะผนึกกำลังเพื่อปรับเปลี่ยนและต่อยอดรูปแบบธุรกิจบัตรพลาสติกของ TBSP ให้มีโอกาสเข้าถึงฐานลูกค้ารายใหม่ในตลาดการเงินอิเล็กทรอนิกส์และการบริหารจัดการศูนย์อาหารซึ่งเป็นคู่ค้าเดิมของ SABUY ในขณะเดียวกัน TKS และ TBSP ก็จะได้มีโอกาสร่วมลงทุนในธุรกิจการจำหน่ายตู้สินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เน้นการทำธุรกรรมผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นในปัจจุบัน บริษัทฯเชื่อว่าการร่วมลงทุนระหว่าง TKS ,TBSP และ SABUY จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ของทุกฝ่ายร่วมกันในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทฯจำนวนไม่เกิน 46,223,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 46.22 ล้านบาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลด้วยหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ในกรณีมีเศษบริษัทฯจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดแทนการจ่ายหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท

และจ่ายเป็นเงินสดจากผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 184.89 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท และสำหรับงวด 6 เดือนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ในการรับปันผล (Record Date) ในวันที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

นายจุติพันธุ์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในปี 2565 ภาพธุรกิจของ TKS จะเปลี่ยนไปเป็น Tech Ecosystem Builder มากขึ้น และยังคงเดินหน้าในการลงทุนเทคโนโลยีต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท เน็กซ์ เวนเจอร์ส จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เพื่อดำเนินกิจกรรมการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพหรือธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล การลงทุนในบริษัทที่เป็นสตาร์ทอัพ ดำเนินธุรกิจสายเทคโนโลยี e-Commerce, EdTech, Fulfillment Platform เพื่อบรรลุกลยุทธ์ของบริษัทและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ปัจจุบันมีการเจรจาอยู่ 4-5 บริษัท

พร้อมกันนี้บริษัทฯจะมีการทำตลาดของธุรกิจผลิตฉลากและบรรจุภัณฑ์ป้องกันการปลอมแปลง (Security Label & Packaging Solutions) ให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก โดยเฉพาะธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นเทรนด์ที่มีความต้องการใช้งานสูง ทั้งนี้บริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2565 นี้

ที่ผ่านมา TKS ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้ง บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY ซึ่งมีอีโคซิสเต็มขนาดใหญ่ และเป็น Fintech หนุนโอกาสการเติบโตร่วมกัน รวมไปถึงการได้เข้าไปลงทุนในกองทุน SeaX Ventures กองทุนสัญชาติไทยบริหารโดย RISE ที่เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพทั่วโลกที่มีเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Technology) ใน 6 ด้าน ได้แก่ Blockchain, Foodtech, Biotech & Life Science, Artificial Intelligence, Robotics และ IoT & Hardware ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพลิกโฉมปรับรูปแบบธุรกิจใหม่ โดยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Security Solution ไปเป็น Tech Ecosystem Builder เพื่อเดินหน้าสู่โลกดิจิทัล
#6504
คลัง เผยศก.ภูมิภาคม.ค.ได้ภาคท่องเที่ยวหนุน-บริโภคเอกชนชะลอ เหตุกังวลโควิด

นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนม.ค. 65 ว่า เศรษฐกิจภูมิภาค ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

เศรษฐกิจภาคใต้
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 22.3% และ 1.3% ตามลำดับ ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัว 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -14.5% สำหรับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.9%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.3% แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -2.2% เช่นเดียวกับจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -3.1% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -81.3% และ -69.5% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 131.7% และ 325.3% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 83.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 41.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 42.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันตก
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 27.1% และ 4.9% ตามลำดับ ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -13.1% สำหรับจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -12.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 4.5%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.4% แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -1.5% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการแม้ว่าชะลอตัวลง -46.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 16.8% ขณะที่จำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลง ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -3.8% และ -18.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 173.9% และ 127.1% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันออก
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 51.5% และ 20.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -13.0% และ -1.6% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -7.5% และ -0.8%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3% และ 159.6% ตามลำดับ แต่ชะลอลง -5.8% และ -48.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล สำหรับจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ชะลอลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -9.7% และ -6.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 547.5% และ 863.6% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 108.8 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 107.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.1 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 7.3% และ 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -7.8% และ -10.0% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -19.6% และ -20.3%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 169.8% และ 82.8% ตามลำดับ โดยมาจากโรงงานบริการซ่อมแซม บำรุงรักษาเครื่องยนต์ ใน กทม. เป็นหลัก ด้านจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ และจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.0% และ 7.2% ตามลำดับ แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -1.8% และ -7.1% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 60.2% และ 28.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.3 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 44.8 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าจากการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ และจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -1.3% และ -6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 5.1% และ 1.7% ตามลำดับ จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 12.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -5.6%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ขยายตัว 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -10.2% ด้านจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่แม้ว่าชะลอตัวลง -5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 4.5% สำหรับเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการชะลอตัวลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -44.0% และ -42.7% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 70.0% และ 2.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80.5 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 78.4 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 48.9 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.2 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคกลาง
ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 3.5% และ 3.8% ตามลำดับ ด้านการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่แม้ว่าชะลอตัวลง -0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ในขณะที่จำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -5.5%

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 5.6% ส่วนจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -6.6% และ -84.8% และชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -4.6% และ -73.6% ตามลำดับ

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 167.5% และ 141.3%ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 88.7 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 86.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.0 จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 45.3 จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

เศรษฐกิจภาคเหนือ
ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า จากการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง อย่างไรก็ดี ยังมีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยในเดือนม.ค. 65 พบว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากจำนวนรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.3% และ 23.6% ตามลำดับ ด้านการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัว 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -2.0% ส่วนจำนวนรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ชะลอลงทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -1.7% และ -13.9% ตามลำดับ

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการและจำนวนรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 252.6% และ 9.4% ตามลำดับ แต่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -48.2% และ -9.9% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจดทะเบียนใหม่ แม้ว่าชะลอตัวลง -5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 3.3%

ด้านอุปทาน มีสัญญาณการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือน และรายได้จากผู้เยี่ยมเยือนรวมขยายตัว 173.2% และ 157.8% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ในด้านความเชื่อมั่น พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมลดลง มาอยู่ที่ระดับ 47.6 และ 63.5 ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.9 และ 64.8 ตามลำดับ จากความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
#6505
'CV' ประกาศงบปี 2564 กวาดกำไรสุทธิ 147.17 ล้านบาท เติบโตกว่า 54.8% บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันในอัตราหุ้นละ 0.0235 บาท

'บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์' หรือ CV โชว์ผลการดำเนินปี 2564 ทำกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 147.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.8% และมีรายได้รวม 1,735.87 ล้านบาท หลังธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเติบโตแกร่งสามารถเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพโดยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 33.56 เมกะวัตต์ ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.0235 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 10 มีนาคม นี้

นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 147.17 ล้านบาท เติบโต 54.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 95.04 ล้านบาท จากปัจจัยบวกจากการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราทำกำไรขั้นต้นในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 22% รวมถึงการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 5 โครงการ ที่สามารถสร้างรายได้จากการเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 33.56 เมกะวัตต์

ขณะที่รายได้รวมทำได้ 1,735.87 ล้านบาท ลดลง 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากการรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (Valued EPC) ที่ปรับตัวลดลง หลังจากได้เน้นก่อสร้างโรงไฟฟ้าของตัวเองเป็นหลัก เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาวจากการจำหน่ายไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตการเข้ารับงานไปสู่กลุ่มธุรกิจก่อสร้างทั่วไป (General construction) และธุรกิจ Modular Construction ที่สร้างรายได้อย่างโดดเด่นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เน้นก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Renewable Energy) ขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ามีพอร์ตสัดส่วนรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเพิ่มเป็น 32% จากเดิมที่มี 18% และกลุ่มธุรกิจ EPC Turnkey อยู่ที่สัดส่วน 68%

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น หลังจาก CV เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.0235 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 10 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม นี้

 
#6506
การซื้อ-ขายทั้งหมดที่ทำงานผ่านสะสม ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจดูอย่างพิถีพิถันทุกรายการ
ซื้อ-ขายในราคากลางที่ตลาดเป็นผู้กำหนด พร้อมบริการข้างหลังแนวทางการขายระดับพรีเมียม รวมถึงการไม่เปิดเผยตัวตน เรามอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีเยี่ยมที่สุดในตลาด
ซื้อ-ขายง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องเผยตัวตน หรือติดต่อกับผู้บริโภคหรือผู้ขายโดยตรง ช้อปนานาประการผลิตภัณฑ์ที่คุณอยากได้ในเพียงแค่ไม่กี่คลิก ในเว็ปไซต์สะสม SASOM
เข้าถึงข้อมูลราคาขายล่าสุดบนแพลตฟอร์ม ช่วยทำให้คุณสามารถพินิจพิจารณา คาดหมาย รวมทั้งเรียนรู้ราคาของสินค้า เพื่อประกอบกิจการตัดสินใจซื้อ-ขายได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

กรรมวิธีการซื้อ Puma RS-X Space Agency Youth Trainers
ขั้นตอนที่ 1: เลือกของ SASOM ของคุณ
เลือกผลิตภัณฑ์ที่คุณอยากได้ แล้วคลิกที่ปุ่มซื้อ ถ้าหากปุ่มซื้อไม่พร้อมใช้งาน สามารถอ่านเพิ่มอีกได้ที่ "ไม่มีปุ่มกดซื้อสินค้าที่ฉันอยาก"
ขั้นตอนที่ 2: เลือกราคา, ไซส์ รวมทั้งสภาพผลิตภัณฑ์ที่คุณปรารถนา
เลือกราคา, ขนาด แล้วก็สภาพผลิตภัณฑ์ที่คุณอยาก แล้วจัดการต่อที่หน้าชำระเงิน
ขั้นตอนที่ 3: กรอกที่อยู่สำหรับการจัดส่ง Puma RS-X Space Agency Youth Trainers
กรอกที่อยู่aสำหรับการจัดส่ง หรือเลือกที่อยู่ที่คุณบันทึกไว้ คุณสามารถเลือกซื้อบริการเสริม (Add-on service) หรือใส่รหัสส่วนลด (ถ้ามี) แล้วกดเห็นด้วยข้อกำหนดและข้อแม้ก่อนคลิกต่อไป
ขั้นตอนที่ 4: จ่ายเงิน Puma RS-X Space Agency Youth Trainers
เลือกกรรมวิธีชำระเงินที่คุณต้องhttps://bit.ly/35caTdKได้ โดยคุณสามารถดูข้อมูลช่องทางการชำเงินต่างๆถึงที่กะไว้ "หนทางการชำระเงิน"
ขั้นตอนที่ 5: สะสมดำเนินงานจัดส่งสินค้า Puma RS-X Space Agency Youth Trainers
สะสมจัดการจัดส่งสินค้าถึงมือคุณ! พร้อมค้ำประกันสินค้าว่าเป็นของแท้ 100% ประสิทธิภาพแล้วก็ภาวะสินค้าตรงตามมาตรฐานของสะสม ถ้าเกิดเกิดเหตุติดขัดใดๆ
เกี่ยวกับรายการสั่งซื้อของคุณ ทางพวกเราแจ่มแจ้งให้คุณรู้แล้วก็หาโอกาสที่ดีเยี่ยมที่สุดให้กับคุณ!


https://bit.ly/35ALjyI
#6507
รับเหมาถมดิน ทุกขนาด พื้นที่ ประสพการณ์มากกว่า 10 ปี ติดต่อ 080-022-3804
#6508
รับเหมาถมที่ ถมดิน วางท่อ ขุดสระ ประสพการณ์มากกว่า 10 ปี
ติดต่อ 080-022-3804
#6509
Line : Lakkana99 , 0812079977
เบอร์ติดต่อ : 081-6428557 (คุณสมนึก) , 081-6428556 (คุณลักขณา)
เรียบเรียงบทความโดย : https://www.cctgroup.co.th
#6510
ไลฟ์ แอนด์ เฮลห์ สรรพคุณของยาสีฟันมีเอนไซม์สกัด
สั่งซื้อสินค้าได้ที่ลิงค์นี้  >>>  https://shorturl.asia/wY7DK