• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Hanako5

#3221


มามี่โพโค (MamyPoko) ผู้นำตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูป จับมือ ช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ร่วมสร้างสีสันฉลองแคมเปญช้อปปิ้งที่อัดแน่นโดยโปรโมชั่นดี๊ดี Shopee 8.8 Crazy Flash Sale ส่งตรงความพิเศษด้วยคอลแลปคอลเลคชั่นสุดคิ้วท์ "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" (MamyPoko Pants Lovely Day & Night
Comfortably Thin)

ครั้งแรกกับแพ็กเกจจิ้งลิมิเต็ดเอดิชั่นดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมกับความสดใสน่ารักของ โชกี้ (Shogi) เจ้าสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่เป็นมาสคอตของช้อปปี้ที่คราวนี้ได้ร่วมก๊วนเป็นเพื่อนซี้กับ โพโคจังและผองเพื่อน (Poko Poko Friends) มีให้เลือกไซซ์ L-XXL พร้อมเอาใจคุณแม่ขาช้อป ด้วยหลากหลายไอเท็มเด็ดที่จัดโปรแรงต้อนรับเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 5 - 7 สิงหาคมนี้เท่านั้น!!!

"ทาดาชิ นาคาอิ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า "บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความแปลกใหม่ สรรหานวัตกรรมที่ตรงใจ รวมถึงอรรถประโยชน์ในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงพฤติกรรมและโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคจะได้ใช้สินค้าผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีที่สุด ล่าสุด ได้เตรียมสร้างสีสันให้กับตลาด ทำให้การเลือกซื้อเลือกใช้กางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปยกระดับไปอีกขั้นด้วยความคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ เอาใจคุณพ่อคุณแม่นักช้อปกับคอลแลปคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ได้ร่วมกับ ช้อปปี้ พันธมิตรอีคอมเมิร์ซชั้นนำ
ในการหยิบยกเอาสัญลักษณ์ของทั้ง 2 แบรนด์มาสร้างการจดจำ ในรูปแบบแพ็กเกจจิ้งลิมิเต็ดเอดิชั่นของผลิตภัณฑ์กางเกงผ้าอ้อมสำเร็จรูปซึมซับดีเยี่ยม "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" กับความน่ารักสดใสของ โพโคจัง และผองเพื่อน (Poko Poko Friends) ที่ได้เพื่อนซี้คนใหม่อย่างเจ้าโชกี้ (Shogi) ที่เป็นมาสคอตของช้อปปี้มาเข้าแก๊งค์ นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่น่าจดจำแล้ว ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังถือเป็นอีกหนึ่งก้าวในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการ อันกว้างไกลของเหล่าเจ้าตัวน้อยอีกด้วย"

"ศิวกร สิริวงศ์ภานุพงษ์" ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "ช้อปปี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มาสคอตของแบรนด์อย่างเจ้าโชกี้ (Shogi) สุนัขพันธุ์คอร์กี้ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของช้อปปี้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีและส่งมอบความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคมาอย่างยาวนานจะได้มาร่วมส่งมอบความน่ารักและความสดใสร่วมกับโพโคจังและผองเพื่อนบนแพ็กเกจจิ้งของผลิตภัณฑ์มามี่โพโคซึ่งเป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในตลาดผ้าอ้อมสำเร็จรูปในประเทศไทย และการเปิดตัวคอลแลปคอลเลคชั่นนี้ ยังถือเป็นหนึ่งไฮไลท์เพื่อเฉลิมฉลองแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale โดยเรามุ่งหวังว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผสานความแข็งแกร่งของทั้งสองแบรนด์ที่จะทำให้หมวดหมู่สินค้าแม่และเด็กในแพลตฟอร์มของช้อปปี้มีสีสันและความสนุกเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับความเอ็กซ์คลูซีฟที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จะสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ช้อปปี้ที่เดียวเท่านั้น"

นอกจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ "มามี่โพโค แพ้นท์ เลิฟลี่ เดย์แอนด์ไนท์ รุ่นบางสบาย" ลิมิเต็ดเอดิชั่นดีไซน์พิเศษ ซึ่งเป็นไฮไลท์ในแคมเปญ Shopee 8.8 Crazy Flash Sale มามี่โพโคยังได้มอบความพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์รุ่นดังกล่าวในราคาพิเศษเพียง 828 บาท จากราคาปกติที่ 1,275 บาท พร้อมส่งต่อโปรโมชั่นเป็นของขวัญสำหรับคุณแม่ในช่วงเทศกาลวันแม่แห่งชาติ แคมเปญมีส่วนลดสูงสุดถึง 60% และมีโค้ดส่วนลดเพิ่มสูงสุด 400 Shopee Coins นอกเหนือจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์เหนือระดับอีกมากมายเมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay ให้เหล่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้เลือกซื้อสินค้าของมามี่โพโค บน Shopee Mall ระหว่างวันที่ 5 - 7 สิงหาคมนี้ได้อย่างคุ้มค่าเหนือความคาดหมาย

สัมผัสกับความน่ารักของคอลแลปคอลเลคชั่นครั้งแรกของ MamyPoko x Shopee ในราคาสุดคุ้มค่าและติดตามข่าวสารพร้อมความเคลื่อนไหวของ MamyPoko Official Store บน Shopee Mall ได้ที่
https:// shopee.co.th/mamypoko_official_store
#3222


ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งช่วยคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วยการมอบสิทธิ์พิเศษให้ผู้ใช้รถยนต์ใช้ "ประกันรถเปิดปิด" แบบ Top-up ประเภทความคุ้มครอง ชั้น 3+ ความคุ้มครอง 100,000 บาท (จำนวน 30 ชั่วโมง ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน) ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล  รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVI ผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคนไทยในวงกว้าง "ประกันภัยไทยวิวัฒน์" ในฐานะบริษัทประกันวินาศภัยไทย และผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อช่วยเหลือคนไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

ด้วยการเปิดให้ผู้ใช้รถยนต์ทั่วประเทศ  ที่ไม่เคยใช้ประกันรถเปิดเปิดมาก่อน ลงทะเบียนรับสิทธิใช้ "ประกันรถเปิดปิด แบบ Top-up" ฟรี! รับความคุ้มครองเริ่มต้น  30 ชั่วโมง นานสูงสุด 30 วัน โดยแผนประกันที่เปิดให้ลงทะเบียนใช้ฟรี คือ ประกันรถเปิดปิด แบบ Top-up ประเภท 3+ ทุนประกันตัวรถยนต์ 100,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองเบื้องต้นสำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านการประกันภัย 

โดยผู้ใช้รถยนต์ที่สนใจสามารถเลือกเพิ่มความคุ้มครองเป็นชั้น 2+ หรือชั้น 1 หรือเพิ่มทุนประกัน ได้เช่นกันโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการได้สามารถมีอายุรถได้สูงสุดถึง 15 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ได้ที่ www.thaivivat.co.th หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมผ่านช่องทาง Facebook Fanpage ประกันภัยไทยวิวัฒน์ หรือโทร 02-200-7000 ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้  สำหรับลูกค้าที่ใช้ประกันรถเปิดปิด แบบ Package อยู่แล้ว  และมีการต่ออายุล่วงหน้าเข้ามาผ่าน แอปพลิเคชัน Thaivivat ทุกแพ็กเกจ สามารถรับจำนวนชั่วโมงที่เหลืออยู่จากกรมธรรม์เดิม ทบในกรมธรรม์ใหม่ สูงสุดไม่เกิน 100 ชั่วโมง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยให้กับลูกค้า รวมถึงยังมีสิทธิพิเศษตรวจเช็คสภาพรถยนต์ฟรี 30 รายการ และพ่นฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 สำหรับลูกค้าประกันรถเปิดปิด นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันอีกมากมายที่จะมาช่วยเสริมเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่หลายๆ บ้านใช้รถน้อยลง

"โครงการนี้ถือเป็นส่วนเล็กๆ ในการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปพร้อมๆกับการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานประกันรถเปิดปิด ที่ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 70% จอดรถไว้ ไม่ขับไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน แต่ยังได้รับความคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง  ตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่ Work From Home กันมากขึ้น" นายเทพพันธ์ กล่าว
#3223


มาเก๊าสั่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประชากรทั้งหมด 600,000 คน หลังพบผู้ติดเชื้อยืนยันรวม 4 รายเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.)

หนังสือพิมพ์ The Standard ของฮ่องกงรายงานว่า ทางการมาเก๊าพบสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน 4 คนติดโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเชื้ออาจจะแพร่ออกสู่ชุมชน

ก่อนหน้านั้น หน่วยงานด้านสาธารณสุขเมืองจูไห่ (Zhuhai) ได้แจ้งเตือนไปยังหน่วยงานสาธารณสุขของมาเก๊า ว่า มีชาวมาเก๊า 2 คนเข้ารับการตรวจเชื้อที่เมืองแห่งนี้ และผลออกมาเป็นบวก

สามีภรรยาคู่นี้ได้เดินทางกลับไปยังมาเก๊าแล้วตอนที่มีการแจ้งเตือน และได้ถูกส่งตัวไปตรวจและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาบุตร 2 คนของทั้งคู่ก็ได้รับการยืนยันว่าติดโควิด-19 ด้วย

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในมาเก๊ารายงานว่า มีการล็อกดาวน์อาคารที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับโรงพยาบาล Kiang Wu Hospital เมื่อวันอังคาร (3 ส.ค.)

สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ทางการมาเก๊าได้ตั้งสถานีตรวจกรดนิวคลิอิกขึ้น 41 แห่งทั่วเมือง ซึ่งจะทำการตรวจเชื้ออย่างต่อเนื่องไม่หยุดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน โดยประชาชนสามารถเข้ารับการตรวจได้ทันทีโดยไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า

ตามข้อมูลจากฝ่ายบริหารฮ่องกง มาเก๊ามียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเพียง 59 ราย และยังไม่มีผู้เสียชีวิตเลย

ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารฮ่องกงได้ประกาศถอดมาเก๊าออกจากรายชื่อสถานที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางกลับเข้าฮ่องกงได้โดยไม่ต้องกักตัว ทำให้ตอนนี้บัญชี 'Return2HK' เหลือเพียงสถานที่ต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น

ที่มา : รอยเตอร์, The Standard (HK)
#3224


"กระทรวงท่องเที่ยวฯ" เผยสถิติ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ครบ 1 เดือนแรก สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเฉียด 2 พันล้านบาท จากนักท่องเที่ยวกว่า 1.4 หมื่นคน ใช้จ่ายเฉลี่ยเกือบ 6 หมื่นบาทต่อทริป "สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้" ลุ้นไตรมาส4 ท่องเที่ยวภูเก็ตพลิกสถานการณ์

ฝ่าวิกฤติยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศพุ่ง มีนักท่องเที่ยวไทย-เทศเดินทางเข้ามาเที่ยว 2-3 แสนคนต่อเดือน ดันจำนวนและรายได้ท่องเที่ยวฟื้น 20%

หลังจากโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" เปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว ครบ 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รวบรวมสถิติที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 14,055 คน โดยประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก คือสหรัฐ 1,802 คน, สหราชอาณาจักร 1,558 คน, อิสราเอล 1,455 คน, เยอรมนี 847 คน และฝรั่งเศส 839 คน มีจำนวนการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ตลอดเดือน ก.ค.ที่ผ่านมารวม 190,843 คืน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกว่า 1.4 หมื่นคนที่เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตลอดเดือนแรกที่เปิดดำเนินการ ช่วยสร้างรายได้แก่ภูเก็ต 829 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 58,982 บาทต่อทริป แบ่งเป็นค่าที่พักมากที่สุด 282 ล้านบาท ค่าซื้อสินค้าและบริการ 194 ล้านบาท ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 175 ล้านบาท บริการทางการแพทย์และสุขภาพ 124 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 54 ล้านบาท

"สร้างเงินหมุนเวียนที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง และห่วงโซ่อุปทานที่สนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น ภาคเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน คิดเป็นจำนวนเงินรวม 1,925 ล้านบาท และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 816 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนที่เกิดขึ้นจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก่อให้เกิดมูลค่าของการผลิตสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน (หรือ GDP)"

นอกจากนี้มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลตอบแทนในรูปของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับพนักงานและลูกจ้างทั้งหมดเป็นมูลค่า 210 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างงาน รักษาตำแหน่งงานเทียบเท่าระยะเวลา 1 ปี (Full Time Equivalent) จำนวน 2,719 คน ขณะที่ภาครัฐมีรายได้ในรูปแบบภาษีในทุกๆ รอบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ 87 ล้านบาท

คาด ส.ค.ทัวริสต์เข้าภูเก็ตไม่เกิน 1.5 หมื่นคน

ก่อนหน้านี้นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามเป้าหมายของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 แสนคนในไตรมาส 3 ตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.นี้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องในเดือน ส.ค.นี้ แม้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะพยายามใช้กลยุทธ์ซิตี้มาร์เก็ตติ้ง ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาติมองภูเก็ตแบบแยกส่วนจากประเทศไทยในภาพรวมแล้ว แต่ด้วยยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงจึงกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กระแสการจองห้องพักโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ช่วงเดือน ส.ค.นี้เริ่มแผ่วลง โดยคาดว่าเดือน ส.ค.จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไม่เกิน 1.5 หมื่นคน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4 หมื่นคนในเดือนนี้

"กระทรวงการท่องเที่ยวฯจึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะถึงเป้าหมาย 1 แสนคน"

ลุ้นรายได้ท่องเที่ยวภูเก็ต Q4 ฟื้น 20%

นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า ไตรมาส 3 ถือเป็นช่วงเริ่มต้นของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพื่อนำไปสู่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้ หลังจากเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ครบ 1 เดือนแรกพบว่านักท่องเที่ยวมีความประทับใจ

และหลังจากการระบาดของโควิด-19 ระลอก 4 พบยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวไทยเข้ามาเที่ยวภูเก็ตเลย ต่างจากในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือน 1.5-2 แสนคน

"เดิมสมาคมฯคาดว่าในไตรมาส 4 ซึ่งตรงกับช่วงไฮซีซั่น จะมีนักท่องเที่ยวจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศรวมกันที่เดือนละ 2-3 แสนคน ช่วยทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้กลับมา 20% จากภาวะปกติ ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตยังพอเดินต่อไปได้ แต่ตอนนี้ในภูเก็ตเหลือแต่นักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ ส่วนตลาดคนไทยเที่ยวภูเก็ต ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร คงต้องหวังพึ่งการกระจายวัคซีน และติดตามการล็อกดาวน์ในประเทศว่าจะได้ผลแค่ไหน"

เนายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต กล่าวเสริมว่า ในช่วงภาวะปกติก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 ภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวรวม 14.4 ล้านคนเมื่อปี 2562 โดยมีฐานนักท่องเที่ยวคนไทยมากเป็นอันดับ 1 ที่ 4.4 ล้านคน รองลงมาคือจีน 3 ล้านคน รัสเซีย 8 แสนคน อินเดีย 3.5 แสนคน ออสเตรเลีย 3.2 แสนคน สหราชอาณาจักร 3.1 แสนคน และอื่นๆ

"ในช่วงไฮซีซั่นภูเก็ตมีนักท่องเที่ยวมากสุดถึง 4 หมื่นคนต่อวัน ต่างจากปัจจุบันที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เฉลี่ย 400 กว่าคน โครงการแซนด์บ็อกซ์จึงถือเป็นกระบะทรายแห่งความหวัง ทำให้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตสู้ต่อไปได้"

ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวภูเก็ตหวังว่าประเทศไทยจะมีการรับรองวัคซีน "สปุตนิก วี" ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวรัสเซียซึ่งมีจำนวนมาเที่ยวภูเก็ตมากเป็นอันดับ 3 เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้
#3225


ทางการอู่ฮั่นประกาศตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประชากรทั้งเมือง หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี

หลี่ เทา เจ้าหน้าที่ประจำเมืองอู่ฮั่น แถลงวันนี้ (3 ส.ค.) ว่า เมืองตอนกลางของจีนซึ่งมีประชากร 11 ล้านคน "จะเริ่มทำการตรวจกรดนิวคลิอิกในประชากรทุกคนอย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุด"

เมืองอู่ฮั่นประกาศพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนรวม 7 รายเมื่อวานนี้ (2) โดยทั้งหมดเป็นแรงงานอพยพ ซึ่งถือเป็นการระบาดในชุมชนครั้งแรก หลังจากที่ยอดผู้ป่วยรายวันลดลงเป็นศูนย์นานกว่า 1 ปี

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ รัฐบาลจีนได้สั่งให้ประชาชนในหลายเมืองเก็บตัวอยู่บ้าน, ตัดการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างเมือง และเริ่มโครงการตรวจหาเชื้อครั้งใหญ่ เพื่อยับยั้งการระบาดครั้งรุนแรงที่สุดของโควิด-19 ในรอบหลายเดือน

สถานการณ์ที่น่ากังวลในจีนคราวนี้เกิดจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ "เดลตา" ที่แพร่กระจายได้เร็ว โดยเริ่มพบการติดเชื้อในกลุ่มพนักงานสนามบินเมืองหนานจิง (Nanjing) มณฑลเจียงซู ก่อนจะเกิดการแพร่เชื้อแบบลูกโซ่ไปสู่หลายมณฑล รวมถึงที่กรุงปักกิ่งซึ่งเวลานี้ได้เริ่มมีการตรวจหาเชื้อในประชากรหลายล้านคน พร้อมกับสั่งปิดอาคารที่พักอาศัย และสั่งกักตัวบุคคลใกล้ชิดผู้ป่วย

ล่าสุด เมืองหยางโจว (Yangzhou) ทางภาคตะวันออกของจีนเป็นพื้นที่ล่าสุดที่ออกคำสั่งให้ประชาชน 1.3 ล้านคนเก็บตัวอยู่บ้าน โดยอนุญาตให้ส่งสมาชิกในครอบครัวออกไปซื้อข้าวของที่จำเป็นได้ไม่เกินวันละ 1 คน หลังการตรวจหาเชื้อในวงกว้างพบผู้ป่วยใหม่ถึง 40 คนในรอบ 1 วันที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ เมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง "จางเจียเจี้ย" ในมณฑลหูหนาน รวมถึงเมืองจูโจว (Zhuzhou) ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ได้มีคำสั่งเก็บตัวอยู่บ้านครอบคลุมประชากรรวมกันมากกว่า 2 ล้านคน

ปักกิ่งเริ่มห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเมืองในช่วงวันหยุดฤดูร้อน และขอให้ประชาชนงดเดินทางออกนอกเมืองโดยไม่จำเป็น ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าพร้อม "ใช้ทุกวิธีการ" เพื่อสกัดโควิด-19 ไม่ให้ระบาดในเมืองหลวง

ที่มา: เอเอฟพี https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075831
#3226


ดิ เอเชียน แบงเกอร์ (The Asian Banker) ยกย่อง "บัณฑูร ล่ำซำ" เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงการดำรงตำแหน่ง สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติ มุ่งดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง เป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก จนประสบความสำเร็จตลอด 40 ปีที่ได้บริหารธนาคารกสิกรไทย

ดิ เอเชียน แบงเกอร์ วารสารเศรษฐกิจการเงินชั้นนำของเอเชีย ได้ประกาศเกียรติคุณมอบรางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Awards 2021 for Lifetime Achievement in Leadership in the Financial Services Industry ให้แก่นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ (Chairman Emeritus) ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดช่วงดำรงตำแหน่งในธนาคาร นับเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้

ทั้งนี้ รางวัลนี้นับได้ว่าเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดรางวัลหนึ่ง เนื่องจากเป็นการให้การยอมรับต่อบุคคลที่ได้ก้าวล้ำหน้าไปในแวดวงของตนเอง และดำรงความมีชื่อเสียง ความสามารถและความสำเร็จอย่างโดดเด่นตลอดมา เป็นการสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดถึงผลสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้ ผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าวในอดีตต่างเป็นผู้ที่ได้มีส่วนสำคัญในการก่อร่างสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง และในบางกรณีก็เป็นบุคคลที่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศของตน

วารสาร The Asian Banker มอบรางวัลนี้ให้แก่บุคคลที่ไม่เพียงแต่ปฏิรูปองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่เท่านั้น แต่ยังได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้แก่อุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินในประเทศและภูมิภาคด้วย ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านผลงานและภาวะผู้นำ อีกทั้งบุคคลที่ได้รับรางวัลนี้ยังมีคุณลักษณะที่ประกอบด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความซื่อสัตย์สุจริต ความสำเร็จที่น่าประทับใจและเชาว์ปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งกำลังถูกมองข้ามไปในวงการธุรกิจปัจจุบัน ผลงานความสำเร็จได้รับการยอมรับทั้งจากพันธมิตรและคู่แข่งในตลาด

ในช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่เคยได้รับรางวัลนี้ล้วนเป็นผู้นำในแวดวงการเงินของแต่ละประเทศในเอเชีย อาทิ ดร.โจว เสี่ยวชวน อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศจีน (Dr. Zhou Xiaochuan, former Governor of People's Bank of China), ดร.เซติ อัคตาร์ อาซิซ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศมาเลเซีย (Dr. Zeti Akhtar Aziz, former Governor of Bank Negara Malaysia), มร.อแมนโด้ เอ็ม. เตตังโก้ จูเนียร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศฟิลิปปินส์ (Mr. Amando M. Tetangco Jr, former Governor of Bangko Sentral ng. Pilipinas), มร.หลิว หมิงคัง อดีตประธานคณะกรรมการกำกับธนาคารแห่งประเทศจีน (Mr. Liu Mingkang, former Chairman of China Banking Regulatory Commission)

ทั้งนี้ คณะกรรมการผู้พิจารณารางวัลมีความเห็นว่า วิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ของนายบัณฑูร ตลอด 40 ปีที่ได้บริหารงานในธนาคารกสิกรไทย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย ได้ปรับเปลี่ยนให้ธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นองค์กรตัวอย่าง ซึ่งได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวาง ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในธนาคาร และยังสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤติและความท้าทายนานัปการ ทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง ทั้งยังเป็นองค์กรที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดำเนินธุรกิจตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ริเริ่มขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหนึ่งในธนาคารแห่งความยั่งยืนระดับโลก

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075745
#3227


นักแสดง นาว-ทิสานาฎ บิ๊กเอ็ม-กฤตทธิ์ และ เซฟฟานี พร้อมด้วยผู้ประกาศข่าว จีรนันท์ เขตพงศ์ จาก ช่อง 7HD ร่วมส่งกำลังใจพร้อมแนะแนวทาง แบ่งปันไอเดีย ต่อยอดคูณสองเป็นช่องทางสร้างรายได้ เติมสุข หวังเป็นส่วนหนึ่งช่วยลดความตึงเครียด สร้างขวัญและกำลังใจในการอยู่บ้านหยุดเชื้อตามพรก.ฉุกเฉิน สำหรับประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

เริ่มที่นางเอกสาว นาว ทิสานาฎ ศรศึก จากละคร แม่เบี้ย เผย "ผลของการเก็บตัวในช่วงอยู่บ้านหยุดเชื้อในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกแรกจนปัจจุบัน สิ่งที่ได้ทำคือร้านออนไลน์ที่ชื่อ eatmenow.bynow แบรนด์เบเกอรี่ขนม พัฒนาจากความชอบทานขนม ทำให้นาวค้นหาสูตรอร่อยทำทานเอง ใช้วัตถุดิบคุณภาพ สูตรเดียวกับที่เราชอบทาน ศึกษาจากช่องทางต่าง ๆ ในโซเชียล เจาะเรียนแต่ละสูตรแล้วมาปรับสูตรตามที่เราชอบ แม้ไม่ได้เรียนเป็น คอร์สจริงจัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นงานอดิเรกและเป็นอาชีพเสริมได้ มีความสุขที่ได้ทำขนม สำหรับแฟน ๆ ที่กำลังเครียดลองใช้วิธีแบบนาวได้นะคะ ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทำขนมได้เต็มที่ ลดความเครียดได้ด้วยนะคะ"

ด้าน บิ๊กเอ็ม กฤตฤทธิ์ บุตรพรม พระเอกหนุ่มจากละครรีรัน ข้ามากับพระ ซึ่งกลับมาให้ชมกันอีกครั้ง เล่าถึงกิจกรรมช่วง Work From Home ว่า "โรคระบาดนี้จะยังอยู่กับเราอีกนาน ดังนั้นเรียนรู้ที่จะอยู่และปรับตัวรับมือ อาจจะมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ของเราได้นะครับ ซึ่งการได้อยู่บ้านนิ่ง ๆ ยาวนานนับเดือน ทำให้ผมได้ทบทวนวางแผนชีวิตตัวเองมากขึ้น ทั้งงานเบื้องหน้าในฐานะนักแสดงและงานเบื้องหลังในอนาคตที่วางเป้าหมายเป็นผู้ผลิต ใช้เวลาช่วงนี้ศึกษา และตีความบทบาทละครที่รอถ่ายทำ ดึงความชอบดูภาพยนตร์ ซีรีส์ มาศึกษาหาแนวทางเทคนิคการแสดงใหม่ ๆ มาปรับใช้เตรียมความพร้อมรับการเปิดกองถ่ายได้ทันที นอกเหนือจากงานแสดงผมใช้โอกาสที่ตนเองชอบงานอาร์ตต่าง ๆ ลงเรียนเพิ่มเติมในคอร์สออนไลน์ ดูงานฝีมือจากคนเบื้องหลังเก่ง ๆ ทั้งเทคนิคพิเศษ กราฟิกดีไซน์ ตัดต่อ งานถ่ายทำ วางมุมกล้อง จัดแสงวางไฟ จนได้ทั้งข้อมูลและอุปกรณ์ มาพลิกโฉมห้องโถงภายในบ้าน เปลี่ยนเป็นสตูดิโอ

ย่อม ๆ รับผลิตงานแบบโปรดักชันเล็ก ๆ ได้เลยครับ ถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมวางแผนตามฝันของการทำงานเบื้องหลังในอนาคต ถือเป็นอีกช่วงหนึ่งที่แม้จะได้พักหายใจนานไปนิด แต่ก็ยังสนุกและได้พัฒนาทักษะ รู้จักขีดความสามารถของเราเพิ่มขึ้น ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปพร้อม ๆ กันนะครับ"

รวมถึงยังมีแนวทางการรับมือจาก เซฟฟานี อาวะนิค นางเอกสาวสายสตรอง ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งงานแสดงและงานเทรนเนอร์ไม่แพ้กันเผยว่า "สำหรับเซฟได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เราสามารถพลิกวิกฤติมาปรับตัวเรียนรู้ที่จะรับมือ Work From Home เต็มรูปแบบ มีความสุขได้ง่าย ๆ สไตล์เซฟค่ะ ซึ่งหลักสำคัญต้องมีวินัยทำกิจกรรมที่เรารักอย่างสม่ำเสมอ ขอยกตัวอย่างแผนการใช้ชีวิตของเซฟนะคะ คือ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ท่องโลกโซเชียลไม่เกิน 40 เปอร์เซนต์ จัดตารางทำงานของตัวเอง คืองานสอนแต่ละคลาสการออกกำลังกาย แบ่งช่วงเช้าบ่าย เช็คลิสต์ลูกศิษย์แต่ละคนว่าทานอาหารอย่างไร เพื่อติดตามผลและปรับปรุงคอร์ส ซึ่งเปลี่ยนจากการเป็น Personal Trainer ในสตูดิโอ มาให้คำแนะนำผ่านช่องทางออนไลน์ และพัฒนามาเป็นคอร์สออนไลน์จริงจัง ซึ่งได้ผลตอบรับดีทีเดียว เพราะมีลูกศิษย์ลงเรียนต่อเนื่อง ลูกศิษย์มีสุขภาพที่ดีเละเราก็มีรายได้ แม้จะเป็นการออกกำลังกายที่บ้านแต่สามารถได้รับประโยชน์ไม่ต่างกัน นอกจากนี้หากใครที่สนใจ เราก็มีคอร์สแนะนำก็คือสำหรับใครที่มีประสบการณ์แล้ว และสามารถทำได้เอง เราก็จะส่งโปรแกรมให้ไปฝึกฝน เล่นเองค่ะ หากสนใจติดตามรายละเอียดได้ในช่องทาง IG:stephanyauernig"


จีรนันท์ เขตพงศ์ ผู้ประกาศข่าว เช้าข่าว 7 สี และรายการ 7สี ช่วยชาวบ้าน เผย "สำหรับการทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวและเป็นสื่อมวลชน เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องออกมาทำงาน ต้องดูแลระมัดระวังตัวเองเต็มที่ เช่น เตรียมตัวเองแต่งหน้า ทำผมมาจากบ้าน ใช้เวลานอกบ้านเท่าที่จำเป็น เมื่อกลับเข้าบ้านก็ดูแลตัวเองอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยก่อนเริ่มงานอื่น และลงมือทำงานตามปกติ เพียงแค่เปลี่ยนบ้านให้เป็นออฟฟิศทำงาน ซึ่งมีข้อดีคือ เมื่อเครียด ๆ หรืออ่อนล้าจากหน้าจอ ละลายความตึงเครียดด้วยการหยิบไหมพรมมาถักโครเชต์ เรียกสมาธิและมีเสื้อใหม่ ๆ ใส่เพิ่มแบบไม่ต้องออกไปซื้อด้วยนะคะ เป็นงานอดิเรกงานใหม่ที่ไม่คิดว่าตัวเองทำได้ดี จนมีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อเสื้อถักด้วย เพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง หรือการออกไปดูแลผักสวนครัวที่เราทยอยปลูกติดบ้านไว้ เก็บมาเตรียมทำอาหาร ซึ่งผักที่เราปลูกได้เองทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายไปจากเดิมถึง 30 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว ลองดูนะคะ ในช่วงนี้หากบอกว่าอย่าเครียดอาจจะทำได้ยาก แต่ลองเปลี่ยนหาวิธีใหม่ทำในสิ่งที่ชอบ หรืออยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ อาจใช้ช่วงโอกาสนี้ฟื้นความสามารถกลับมาลงมืออีกครั้ง เราอาจจะได้อะไรดี ๆ จากความชอบของเราก็ได้นะคะ และอย่างน้อยเราจะพบว่าเรามีความสุขที่ได้ทำอีกครั้งค่ะ"

โดยแฟน ๆ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารอัพเดทสถานการณ์ต่าง ๆ และกิจกรรมของช่อง 7HD ได้จากรายการต่าง ๆ ทางหน้าจอ และช่องทางโซเชียล Facebook, IG, Twitter : Ch7HD และเว็บไซต์ www.ch7.com
#3228


นักแสดงรุ่นใหญ่ กระดุม ธนายง ที่วันนี้จะมาเปิดใจชีวิตในวงการบันเทิงที่ยาวนานกว่า 40 ปี เคยไม่มีงาน ไม่มีเงิน ตกอับจนตัดสินใจถ่ายนู้ด แถมยังเป็นเจ้าชู้ตัวพ่อ สมัยก่อนเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยมาก พร้อมเปิดเส้นทางความรักคบแฟนสาว 10 ปี ไม่คิดแต่งงาน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow 

เข้าวงการมากี่ปีแล้ว?

ข่าวแนะนำ
ผมเข้ามาตั้งแต่ปี 87-88 ประมาณนั้นครับ 36-37 ปีได้ ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะเข้าวงการ เมื่อก่อนจะมีร้านขายเสื้อผ้า โดมอนแมน เขารับสมัครประกวดหนุ่มโดมอนแมน เราก็ไปเดินเที่ยวกับพี่สาว

เขาบอกว่าประกวดไหม เราบอกไม่เอา ไม่ชอบ เขาก็คะยั้นคะยอ จนเราแบบก็ลองดู พอประกวดมันก็เข้ารอบไปเรื่อยๆ จนเราติด 1 ใน 5 ก็ไม่ได้คิดว่ามาถึงจุดนี้ได้ยังไง รุ่นนั้นจะมีเป็นมอริส เค เขาได้ที่ 2 ผมได้ที่ 4

พอได้ที่ 4 แล้วยังไงต่อ?

ก็มีงานถ่ายแบบ เดินแฟชั่นโชว์ ช่วงนั่นจะบูมมาก จะเดินตามเชียงใหม่ แล้วเดินตามดิสโก้ เทค ในผับอะไรอย่างนี้

ตอนนั้นดังมากขนาดมีเกย์มาขอเลี้ยงดู?

เกย์ในยุคนั้นมันจะต่างกับยุคนี้ ยุคนั้นคือดูไม่ออกว่าเป็นเกย์นะ จะนิ่ง ไม่มีอาการ ไม่มีทรง รูปร่างก็ไม่ใหญ่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ถ้าเป็นเกย์คือเราดูออก

แล้วเขามาติดต่อยังไง?

เมื่อก่อนตอนไปเดินแฟชั่นโชว์ต่างจังหวัด มันก็มีทางเดินระหว่างแต่งตัวเสร็จขึ้นเวที ระหว่างทางเดินกลับถ้าเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำโดนล้วงแน่นอน

เขายื่นข้อเสนอเท่าไหร่?

คือมีคนมาทาบทามบอกว่ามีคนอยากจะดูแล สนใจไหม เรียกมาได้นะว่าจะเอายังไง ผมบอกไม่ครับ มันไม่ใช่ทางผม เรามารู้จัก มากินข้าวกันดีกว่า

แล้วจากนายแบบพี่มาเล่นละครได้ยังไง?

พอประกวดเสร็จ ก็มีถ่ายแบบลงหนังสือนู่นนี่นั่น แล้วพอดีช่วงนั้นช่อง 3 เขาหานักแสดง นายประชาเขาก็เรียกเราไปเซ็นสัญญา

ก็ตกลงเซ็นสัญญาช่อง 3 ก็ได้เล่นละครเรื่องแรกเลย พอเซ็นสัญญาเสร็จ เดินออกมาเจอพี่จิ๋ม มยุรฉัตร เขาบอกมาเล่นละครอาเลย

เล่นละครหลายเรื่องไหมกว่าจะได้เป็นพระเอก?

ผมเล่นละครช่อง 3 จนหมดสัญญา จากช่อง 3 ด้วยความที่เราเกเรก็ออกจากช่องไปอยู่กันตนาพักหนึ่ง เสร็จแล้วก็ออกด้วยความเกเรตามประสาเด็กวัยรุ่น

จนไปทำงานที่มีเดีย เป็นนักข่าวภาคสนาม โทรศัพท์เข้าช่องคลื่นวิทยุ สัมภาษณ์คนทำงานกลางคืน มีอยู่วันหนึ่งก่อนที่จะมาเป็นพระเอกก็ไปหาอาปื๊ด คุณกิตติ อัครเศรณี สมัยนั้นเป็นอัครมีเดีย

เราก็ไปธุระ เสร็จปุ๊บก็ไปเจออาปื๊ดนั่งอยู่ ผมก็ไปสวัสดี เขาก็มองแล้วถามว่า มึงอยากเล่นละครไหม เราก็งง แต่ตอบไปว่า อยากครับอา มึงเป็นพระเอกเลย

เขาบอกเดี๋ยวพรุ่งนี้มึงเตรียมตัวให้พร้อม มึงไปฟิตตัวเก็บตัวเลยนะ พออีกวันเราก็ไปฟิต ไปซ้อมดาบ ไปเล่นยิม ต่างๆ ที่เขาพาไป ตอนนั้นเล่นเรื่องขุนศึก คู่ ตุ๊ก วิมลเรขา ฉายช่อง 9

บอกว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทพระเอก เพราะอะไร?

เพราะว่าเป็นพระเอกอยู่เรื่องเดียว หลังๆ มางานมันหาย สงสัยจะไม่สมพงศ์ ก็เลยมานั่งคิดว่าพระเอกมันคงไม่เหมาะ ก็เลยพยายามหาตัวเอง เปลี่ยนตัวเองว่าคงจะไม่ได้พระเอกแล้ว


ก็เลยทำให้ผันตัวมาเป็นผู้ร้าย?

ใช่ครับ

เป็นผู้ร้ายจนโกอินเตอร์?

ใช่

ผู้กำกับญี่ปุ่นมาเห็น ติดต่อให้ไปเล่น?

ใช่ครับ แต่ที่ผู้กำกับญี่ปุ่นเห็นเนี่ย เขาไม่ได้เห็นจากงานละคร อาจจะเป็นเพราะดวงที่เราอาจจะได้เล่นก็ได้ พอดีทีมงานหนังของญี่ปุ่นมาถ่ายเมืองไทย แล้วเขาเอาทีมไทยผสมกับญี่ปุ่น

แล้วพอดีคนที่เขาแคสต์นักแสดงก็รู้จัก ก็ติดต่อว่าอยากเล่นไหม เราก็ไป ก็ได้เล่นเรื่อง Children of the Dark

รายได้ดีไหม?

ตอนญี่ปุ่นไม่ดีครับ มันได้แค่หลักหมื่น มันได้เป็นคิว แต่มาดีตรงที่ไปเกาหลี

แล้วมาเล่นหนังที่เกาหลีได้ยังไง?

มันก็เป็นดวงอีก พอเล่นหนังญี่ปุ่นเสร็จแล้ว พอดีทางเกาหลีเขาจะเตรียมงานหนังเรื่อง The Man from Nowhere ซึ่งความโชคดีของเราก็คือ ระหว่างที่เขาหาตัวนักแสดง ผู้กำกับเขาเห็นเราในหนัง

เขาก็แคปรูปเราไว้บนบอร์ด เขาเลยติดต่อมาที่บริษัทเอเจนซี่เมืองไทย หาตัวนักแสดงมาแคสต์ เพื่อหาคนนี้ เสร็จแล้วหาไม่ได้ จนวันสุดท้ายเพื่อนผมเคยทำงานอยู่กันตนา เขาไปธุระที่นี่

เขาก็เลยถามว่าคุณรู้จักผู้ชายคนนี้ไหม เพื่อนผมก็มองรูป นี่มันกระดุมหนิ เขาก็โทรหาผม ให้ไปแคสต์ ผมก็ได้ เขาบอก 2 วันไปเกาหลีเลย ผมก็ถามรายละเอียด

เขาบอกอยากให้ไปดูตัว เราก็ถามใครออกค่าตั๋วเครื่องบิน แล้วค่าใช้จ่าย ผมก็เลยบอกว่าขอเงินก่อน 200,000 บาทแล้วก็ตั๋วเครื่องบิน แล้วที่อยู่ เขาบอกโอเคได้ ผมก็เลยซื้อตั๋วไปเลยคนเดียว

ได้ค่าตัวเท่าไหร่?

ก็ได้ประมาณ 2 ล้านกว่า เราอยู่เกาหลีจริงๆ ซ้อมคิวบู๊ประมาณ 6-7 เดือน ไป-กลับ เกือบ 2 ปี อยู่นานสุดประมาณ 15 วัน

ฟังดูก็ดี แต่ทำไมทีมงานบอกพี่อยากกลับบ้านมากเลย?

ตอนไปอยู่ที่นู่น ตอนฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้เขาเนี่ยไม่เหมือนบ้านเรา พอไปเปลี่ยนลักษณะการต่อสู้ มันเหมือนกับเปลี่ยนตัวเรา แล้วเราต้องพยายามทำให้ได้เหมือนกับที่เขาอยากได้ แล้วมันกดดันมาก

ทุกอย่างจะฟิกซ์หมดเรื่องเวลาการซ้อม 9 โมงเช้ามารับที่โรงแรม อาหารเช้าคือกาแฟกับแซนวิช บ่ายโมงพักเที่ยง อาหารบริเวณยิม จนถึงประมาณ 2 ทุ่มซ้อมเสร็จกลับโรงแรม แวะกินข้าวข้างทาง ชีวิตอยู่แบบนี้ประมาณ 6 เดือน

สุดท้ายหนังออกมาฟีดแบคดีมาก?

ดีมาก

จนคิดไปอยู่เกาหลี?

ใช่ คิดเลย แต่เอาจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิด มันหลายๆ อย่าง เพราะเราเป็นคนไทยด้วย แล้วเราไม่ได้มีพาวเวอร์ที่ไปแล้วมันต้อง success เช็กจากทุกๆ คนแล้วมันไม่ง่าย เราก็เลยถอย

เรื่องภาษาล่ะ?

เป็นภาษาอังกฤษที่สื่อสารกัน แต่ส่วนใหญ่จะมีล่ามเป็นนักเรียนเกาหลีที่เรียนเมืองไทย

ความเจ้าชู้ของพี่สมัยก่อนต้องไม่ธรรมดา?

มันก็มีบ้าง แต่ความเจ้าชู้ของผมมันจะมีหลายเลเวล คือเลเวลแรกๆ ช่วงเข้าวงการใหม่ๆ อันนั้นคือซัดแหลก กินมูมมาม เลเวลต่อไปเริ่มมีโฟกัสว่าอย่างนี้ไม่เอา เขี่ยออกไม่กิน

จริงหรือเปล่าสมัยก่อนพี่เปลี่ยนผู้หญิงทุกคืน?

คือถ้าออกเที่ยวต้องล็อกคอจบ ผมจะเป็นคนชัดเจนมาก ถ้าผมไปเที่ยวกับเพื่อน 3-4 คน ตัวเองจะไว้ทีหลัง ให้เพื่อนก่อน ล็อกคอมาปุ๊บถามมากับใคร มากับแฟนหรือเปล่า ถ้ามากับแฟนไม่เป็นไร

เคยไหมล็อกแล้วโดนตบกลับ?

มีครับ


คบคนเยอะแบบนี้มันต้องมีรถไฟชนกัน?

มีครับ แต่ผมโชคดีเวลาชนแล้วผมไม่เคลียร์เอง ผมเดินหนี ผมไม่อยู่ ไม่อยากรับรู้

เห็นว่าเคยทำผู้หญิงท้องด้วย?

มันเป็นอะไรที่มีคนบอกผ่านมาว่าผู้หญิงที่เราไปมีอะไรด้วยเขาท้อง เราก็แบบ..ไม่มั้ง เราก็ป้องกันอย่างดีนะ เราก็เลยไปตามหาผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีอะไร แค่เป็นเขาเล่ามา บอกมาเฉยๆ

อันนี้จริงไหม ทีมงานบอกว่าไม่คบคนในวงการเลย?

จริงๆ ผมเคยแต่งงานกับคนในวงการ แล้วผมก็เลิก มันก็เลยเหมือนมีปม เราก็เลยไม่อยากยุ่ง ซึ่งคนที่ผมเคยแต่งงานด้วยเป็นนักแสดง แต่ไม่เอ่ยชื่อเขาดีกว่า

จริงไหม หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็หมดไปกับนารีและสุรา?

ใช่ครับ ช่วงแรกๆ มันไม่คิดอะไร คิดว่ามีเงินก็เที่ยว กินเหล้า เช้ามาทำงานก็มีเงิน แล้วก็เหมือนเดิม ชีวิตวนอยู่อย่างนี้

กี่ปี?

ตั้งแต่ 18 จนถึงประมาณ 30 กว่า

คืนนึงที่จ่ายทั้งเหล้า ผู้หญิง สูงสุดเท่าไหร่?

ก็หลายหมื่น

ถ้าย้อนเวลาได้?

ก็คงไม่ทำ มันไม่มีประโยชน์ เก็บเงินดีกว่า แต่ว่ามันก็พูดยาก เงินยุคนั้นกับยุคนี้มันก็ต่างกัน ถามว่าตอนนู้นรายได้ดีไหม ดีระดับนึง

แต่มีอยู่พักหนึ่งที่เราไม่เห็นหน้าบนจอทีวีเลย เกิดอะไรขึ้น?

ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน อยู่ๆ ก็ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอะไร มันก็เคว้ง

เราไม่อยากทำหรือมันไม่มีงานติดต่อเข้ามา?

มันมีแต่มันน้อย จากเมื่อก่อนปีนึงหลายๆ เรื่อง เหลือปีละเรื่อง

เห็นว่าปีนึงเคยถ่าย 10 เรื่อง?

ใช่ครับ เคยได้ปีนึงประมาณ 10 กว่าเรื่อง

ตอนนั้นคิดจะกลับเข้าวงการอีกก็เลยคิดจะถ่ายนู้ด?

ใช่ เพราะมันมีอยู่ช่วงนึง นักแสดงผู้ชายมาถ่ายนู้ดเยอะมาก เราก็เลยคิดว่าจะเอาดีไหม ก็ไปคุยกับช่างภาพกับเจ้าของหนังสือ คุยกันว่าอย่างนี้ดีไหม พยายามฟิตหุ่นละนะ แต่สุดท้ายพอถึงวันถ่ายจริงๆ มันไม่กล้า

ตอนนั้นอายุเท่าไหร่?

ประมาณ 30 ตอนนั้นที่เราวางไว้ไม่ได้เป็นนู้ดจ๋า เรามองเป็นอาร์ตสวยๆ แค่นั้นเองที่เราอยากจะทำ

แล้วอะไรทำให้เปลี่ยนใจ?

ใจเรามันคิดเยอะนะว่าภาพมันจะติดแบบนี้ไปตลอดชีวิตนะ เราก็เลยไม่เอาดีกว่า ก็เลยถอย

แล้วพี่กลับมาในวงการได้ยังไง?

เหมือนกับดวงมั้งครับ ก็เริ่มมีงานกลับมาอีก


ตัดสินใจถูกไหมที่ไม่ได้ถ่าย?

ถามว่าใจก็อยาก แต่ ณ เวลานี้คิดว่าทำถูกแล้ว

จากวิกฤติที่มันเกิดขึ้น ได้รับบทเรียนอะไรบ้าง?

เยอะมากครับ ก็หลังจากที่เกิดวิกฤติต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตก็เหมือนเป็นครู เป็นบทเรียนสอนเรา เพราะฉะนั้นตอนนี้เวลาทำอะไร เราต้องคิดเยอะเลยว่าทำไปแล้ว ข้อดียังไง ข้อเสียยังไง ตอนนี้คิดเยอะมาก จะทำอะไรต้องมองไปข้างหน้า เราจะมองอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว

สาวคนนี้คบมา 10 กว่าปีแล้ว?

10 กว่าปีแล้วครับ เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เที่ยวอยู่ในกลุ่มด้วยกันนี่แหละ จริงๆ รู้จักกันก่อน 10 กว่าปีด้วยนะระหว่างที่เป็นเพื่อนกัน

แสดงว่าเขารู้จักเวอร์ชันพี่เมื่อก่อนด้วย?

ชัดเจนมาก

แล้วทำไมเขาถึงตัดสินใจเป็นแฟน?

น่าจะเป็นช่วงที่ต่างคนต่างไม่มีใคร พออายุมันเริ่มเยอะ เราก็คุยกัน มองกันแล้วก็เออคุยกันว่าเป็นแฟนกัน

จากเพื่อนมันเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกตอนไหน?

จริงๆ มันก็มีการมองกันอยู่แล้ว

ใครขอใครเป็นแฟน?

ผมครับ

แล้วทำไมถึงหยุดเจ้าชู้เพราะคนนี้?

อาจจะถึงจุดที่เราอิ่มตัว เราไปเที่ยวแบบสุดแล้ว ความที่เราพีค ความระยองของเรามันสุดแล้ว เราก็คิดว่ามันก็น่าจะหยุดได้แล้ว พอหลังๆ ไปเที่ยว เราไม่ได้สนุกแบบเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนเราทำอะไร เราทิ้งตัว ให้ทำอะไรทำหมด แต่เดี๋ยวนี้พอถึงจุดด้วยอายุ

รู้สึกว่าพอมาคบกับคุณนกอยากอยู่กับเขามากกว่าอยากไปเที่ยว?

ก็ส่วนหนึ่งแรกๆ คือเรารู้จักกันมานาน พอเป็นแฟนก็อยู่ด้วยกันมานานจนมันกลายเป็นเพื่อน ทีนี่คำว่าเพื่อน คำว่าแฟนมันต่างกัน พออยู่แบบเพื่อนเขาไม่ได้สติ๊กกับเราเยอะ แต่ต้องไม่เลยเส้นว่าคุณได้ประมาณไหน

เห็นว่าไม่คิดจะแต่งงาน?

ไม่แต่งครับ เพราะเคยแต่งไปแล้ว แล้วเราไม่ประสบความสำเร็จกับตรงนั้นเราก็เลยคิดว่าการแต่งงานไม่จำเป็น นี่คือความคิดของผมนะ

ไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักที่ไหนเลย?

ใช่ครับ ผมว่าความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่เราอยู่กับเขา ว่าเราดีกับเขาไหม รักเขาไหม เขารักเราไหม คือผมเป็นคนไม่แสดงออกเรื่องความรัก เหมือนกับผมเป็นคนแข็งกระด้าง

แฟนน่ารักยังไง?

เขาเป็นผู้ใหญ่ คือเขาไม่ต้องมาว่า คุณต้อง ก. ข. คือชีวิตคุณเขารู้สันดานอยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง

แล้วเขาโอเคไหมที่จะไม่แต่งงาน?

โอเคครับ


อยากมีลูกกันไหม?

เมื่อก่อนคิดอยากมี แต่พอเลยเลข 5 ไม่อยากมีแล้วครับ

เคยมีเรื่องให้เขาต้องหึงหวงไหม?

มีครับ ช่วงแรกๆ ก็อาจจะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามา มันเป็นเรื่องปกติอยู่ แล้วเขาก็พูดไม่เยอะแค่มอง เราก็โอเคเข้าใจได้

แต่ไม่เคยเปิดตัวนะ?

ไม่เคยเปิดตัวเลย

เขาจะน้อยใจไหม?

ไม่มีเลย

อยากจะบอกอะไรแฟนคุณ?
อยากจะบอกว่าที่อยู่ด้วยกันมาเนี่ย เขาก็ควรจะรู้ว่าผมเป็นคนไม่พูด แต่ถามว่ารักไหม รัก ถามว่าห่วงไหม ห่วงแต่ว่าไม่พูด.
#3229


นายศรัณย์ รัตนรุ่งเรืองชัย ผู้จัดการทั่วไป บริหารกลุ่มตลาดเกิดใหม่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า "ในนาม ไทยยูเนี่ยน ภายใต้แบรนด์ซีเล็ค รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เพื่อช่วยสนับสนุนมาตรการของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อจัดหาสินค้าที่จำเป็น มีคุณค่าทางโภชนาการ มีคุณภาพ และที่สำคัญเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เพราะเราจำหน่ายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ซึ่งโครงการดังกล่าวถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยเหลือสังคม เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมทั้งร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

"ทางไทยยูเนี่ยน ได้นำเอาผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ซีเล็ค โดยนำร่องด้วยปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ ที่ทั้งอร่อย เพราะคัดสรรปลาแมคเคอเรล อุดมด้วยคุณประโยชน์ทั้งโอเมก้า 3, EPA, DHA รวมถึงวิตามินซีและดี มาจำหน่ายในราคา ถูก ทำให้ประชาชนทั่วไปได้บริโภคสินค้าดีมีคุณภาพในราคาประหยัด และ ดี เพราะการันตีคุณภาพจากบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)"


ซึ่งเป็นโรงงานมาตรฐานผลิตแบบสากล สินค้าสามารถจัดเก็บไว้บริโภคได้นานถึง 3 ปี โดยไม่ใส่วัตถุกันเสียหรือสารกันบูด โดยผลิตภัณฑ์ซีเล็ค จากไทยยูเนี่ยน ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์แรกที่ได้รับอนุมัติตราสัญลักษณ์ธงฟ้าจากกรมการค้าภายในบนบรรจุภัณฑ์ สำหรับวางจำหน่ายพิเศษ เฉพาะที่ร้านธงฟ้าเท่านั้น ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของการดำเนินงานของไทยยูเนี่ยน ที่มุ่งมั่นในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางด้านอาหาร ให้แก่อนาคตของคนรุ่นต่อๆไป

สำหรับผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่นำมาเข้าร่วมโครงการมี 2 รายการ คือ ซีเล็ค ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ ขนาด 155 กรัม ใน ราคาปลีกแนะนำเพียง 14 บาท (จากราคาปกติ 16 บาท) และซีเล็คน้ำพริกผัดทูน่า x ธงฟ้า ขนาด 90 กรัม ในราคาปลีกแนะนำเพียง 20 บาท (จากราคาปกติ 27 บาท) มีวางจำหน่ายแล้วที่ร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่า 25,000 ร้าน ทั่วประเทศ
#3230


วันที่ 3 ส.ค. 64 ว่าที่ เรือโทหญิง พุทธรักษา โรคารักษ์ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี นักกีฬามวยสากลหญิง รุ่น 60 กก. สังกัดกองทัพเรือ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผ่านเข้าสู่รอบ 8 คน สุดท้าย และสามารถเอาชนะ DUBOIS Caroline จากสหราชอาณาจักรได้ ส่งผลให้ สุดาพร การันตีเหรียญทองแดงเป็นอย่างน้อย ซึ่งนัดต่อไปจะเป็นการการันตีเหรียญเงินซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม 2564 โดยจะพบกับ นักชกจากประเทศไอร์แลนด์

ข่าวแนะนำ
ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า โอกาสนี้ พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือได้โทรศัพท์แสดงความยินดีกับ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี หรือ น้องแต้ว ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างมีวินัย ทุ่มเท และฝึกฝนแม้จะอยู่ห้วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนผ่านเข้าสู้รอบ 4 คนสุดท้าย โดยอวยพรให้ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเน้นย้ำ ในการทำหน้าที่ ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นตัวแทนของประเทศ ยังเป็นเสมือนทูตวัฒนธรรม ในส่วนของการแข่งขันกีฬา แม้ชนะจะเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้จักแพ้รู้จักชนะ ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร เราควรยินดีกับผู้ชนะ ขณะเดียวกันต้องให้กำลังใจแก่ผู้แพ้และพึงระลึกเสมอว่า เราไปแข่งกีฬาเพื่อสร้างความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดีต่อกัน ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้บัญชาการทหารเรือเตรียมปูนบำเหน็จรางวัลให้เต็มที่ภายหลังจากอาสาสมัครทหารพรานหญิงสุดาพรเดินทางกลับ

สำหรับ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2534 ที่ อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ จากสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตสุโขทัย ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับ ปริญญาโท คณะศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต เอกสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข ได้รับการบรรจุเป็น อาสาสมัครทหารพรานหญิง ที่ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินในปี 2556 ปัจจุบันสังกัด กองร้อย ทหารพรานนาวิกโยธินที่ 524 ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน

อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร ได้เข้าร่วมทีมมวย กองทัพเรือโดยเข้าร่วมการแข่งขันในระดับชาติโดยเป็นนักกีฬาของกองทัพเรือในทีมสโมสรราชนาวีทำการแข่งขันรายการมวยสากลชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 ได้รางวัลชนะเลิศเหรียญทองในระดับประเทศไทย ในรุ่นที่ขึ้นชก ทำให้ทีมมวยของกองทัพเรือ สโมสรราชนาวีสามารถครองถ้วยคะแนนรวมทีมหญิง และทีมสโมสรราชนาวีสามารถครองถ้วยคะแนนรวมถึง 8 สมัยติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน

ผลงานที่เข้าร่วมการแข่งขันในรายการสำคัญ อาทิ


- รายการ Sea Games Indonesia 2011 ครั้งที่ 26 ในปี 2554 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง

- รายการ Sea Games ครั้งที่ 27 ณ สาธารณรัฐเมียนมา ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญเงิน

- การแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ในปี 2561 ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญเงิน

- รายการ Sea Games ครั้งที่ 30 ในปี 2562 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ได้รับรางวัลเหรียญทอง และล่าสุดก่อนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกคือ การแข่งขันคัดเลือกโอลิมปิกเกมส์ โซนเอเชียและโอเชียเนีย ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน.
#3231


เรียกได้ว่ายังเป็นกระแสอยู่พอสมควรสำหรับกีฬาสุดฮิตอย่าง Surfskate อาจด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งความสนุก ท้าทาย เล่นง่ายกว่าสเก็ตบอร์ดชนิดอื่น และแน่นอนว่าความสวยงามและเสน่ห์ของอุปกรณ์ "Surfskate" ที่หลากหลาย ก็เป็นอีกปัจจัยให้กีฬานี้ยังเรียกความสนใจจากนักไถหน้าใหม่ได้เสมอ

ในความแฟชั่นของ "Surfskate" กำลังผสมผสานกับความยั่งยืน อันเกิดจากไอเดียต่อยอดมาจาก Earth Day การรวมตัวกันระหว่าง Surfskate, การอนุรักษ์ และความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นโครงการ Waste Surfer โปรเจคแปลงร่างขยะให้กลายเป็น "เซิร์ฟสเก็ต"



Surfskate จาก Waste สู่ Wave
จากไอเดียเก๋ๆ ของ 'เจน' กัลยา โกวิทวิสิทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง FabCafe Bangkok ที่อยากลองนำขยะและวัสดุเหลือใช้มาใส่ไอเดียให้เป็นแผ่น "Surfskate" เพื่อสร้างมูลค่าและอาจเป็นโอกาสเติบโตของผู้ผลิต "เซิร์ฟสเก็ต" ในไทย

เธอจึงเปิดรับขยะและวัสดุเหลือใช้หลายชนิดเพื่อทดลองผลิตเป็นแผ่น "Surfskate" หรือที่เรียกกันว่า Deck ทว่าการนำขยะมาใช้คือความท้าทาย จึงเปรียบเสมือนการทำวิจัยร่วมกันระหว่าง FabCafe Bangkok และผู้ร่วมโครงการ

"เราคัดเลือกในทีแรกได้วัสดุมาประมาณ 10 ชนิด และคนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนหนึ่งก็มีหลายวัสดุ ตอนนี้เลยมีประมาณ 20 วัสดุได้ เราก็ทำงานกับ Material Connexion Bangkok ของ TCDC (Thailand Creative Design Center) เขาเป็นคนมาดูว่าวัสดุไหนน่าสนใจ เสร็จแล้วคนที่ได้รับคัดเลือก ก็จะมาแข่ง Hackthon มี ผศ.ดร. ประสิทธิ์ พัฒนะนุวัฒน์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาให้ความรู้เกี่ยวกับการขึ้นรูปแบบ Cold Press เป็นแม่พิมพ์แบบเย็น แล้วบีบอัดขึ้นมา

พอเรียนเสร็จ ทุกคนก็จะต้องทำชิ้นทดลองขึ้นมา เพราะถ้าไม่เวิร์คก็จะกลายเป็นแค่ขยะชิ้นเล็กพอ ถ้าลงมือทำชิ้นใหญ่แล้วพลาดก็จะกลายเป็นขยะที่เยอะมาก เมื่อผ่านด่านนี้แล้วเขาถึงจะไปทำเป็นแผ่นใหญ่ และให้คนที่เล่นเซิร์ฟสเก็ตมาทดสอบ โดยดูเรื่องการผลิต, ความแข็งแรง, ความยืดหยุ่น และเรื่องน้ำหนัก เพราะบางอันหนักมาก"

กระดานไถเท่ๆ จากวัสดุเก๋ไก๋
หากนับระยะเวลาที่ "Surfskate" เติบโตในประเทศไทย ก็ไม่น้อยกว่า 2 ปีแล้ว "เซิร์ฟสเก็ต" จึงไม่นับว่าเป็นของใหม่นัก แต่ความแปลกใหม่ของ "Surfskate" ในโปรเจค "Waste Surfer" คือวัสดุต่างๆ ที่หลายอย่างแทบจะนึกไม่ถึงว่าจะทำเป็นแผ่นสเก็ตได้

เจนยกตัวอย่างวัสดุที่กำลังได้รับการพัฒนา ได้แก่ เสื่อกก, ใยบวบ, รองเท้าแตะ, ไม้ไผ่, พรมนิทรรศการ, ลังกระดาษ, กากกาแฟ, E waste, แหอวน, Bubble wrap, หนัง, ผ้า, เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้ และ เซลลูโลสเปลือกทุเรียน

"ถ้าเอาความแปลกเป็นหลัก คิดว่าวัสดุจากทีมสวนลัคกี้ฮิลล์ป่าละอูค่อนข้างแปลก คือใช้เมล็ดชมพู่น้ำดอกไม้กับเซลลูโลสเปลือกทุเรียน แต่ในแง่ความแข็งแรงอาจจะต้องพิจารณาอีกที ต่างกับวัสดุบางอย่างเช่น แหอวน พวกนั้นต่างประเทศก็มีคนทำ มันแข็งแรงด้วยตัวของมันเอง

ในแง่ของความเบา รองเท้าแตะเอามาทำได้เบาที่สุด ในแง่ของคนสนใจ ทีมที่เอาขยะจักสานพวกเสื่อมาทำ อันนี้สวยสุด หลายคนบอกว่าอันนี้น่าจะมีคนอยากได้"

ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่นำเสนอไอเดียและลงมือทดลองทำล้วนแต่เป็นคนที่สนใจเรื่องการลดปริมาณขยะอยู่เป็นทุนเดิม โดยที่ไม่ว่าจะใช้วัสดุใดก็ต้องไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือเพื่อใช้งานจริงได้ เพียงแต่วัสดุต่างๆ มีตัวแปรแตกต่างกัน เช่น ผ้าไม่มีทางแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องแทรกวัสดุอื่นเข้าไป เป็นต้น

"กุญแจสำคัญของเราคือทำอย่างไรให้ขยะพวกนี้ถูกแปรรูปเป็นสิ่งที่คนต้องการ เพราะถ้าเรารณรงค์เรื่องลดขยะ แล้วเอาไปทำพวงกุญแจ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นขยะอยู่ดี อย่างโปรเจคที่เราทำนี้ จะมีตัวชี้วัดสองตัวคือ 1.มูลค่าที่เพิ่มขึ้น ถ้าเกิดมูลค่าลดลงเราจะไม่ทำ 2.ช่วงชีวิตของมันต้องนาน ถ้านานได้เกิน 3-5 ปีจะเยี่ยมมากเลย เพราะมีบางคนเอาขยะไปทำเป็นแฟชั่น แต่วงจรชีวิตมันต่ำ เราเลยมองว่า "Surfskate" มันเก็บได้ยาวๆ เพื่อเป็นการยืดอายุขยะ ไม่ให้มันกลับไปเป็นขยะอีกรอบหนึ่ง"

หลายต่อหลายครั้งที่ไอเดียเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงอีเวนท์ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ (แป๊บเดียว) แล้วดับไป แต่ความพยายามของโปรเจค "Waste Surfer" ไปไกลกว่านั้น คือ จากขยะในถัง จะไปโลดแดล่นทั้งในลานสเก็ต และบนเชลฟ์ของ Skate Shop

ถึงตอนนี้จะยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่เจนได้พูดคุยกับพาร์ทเนอร์ร้านสเก็ตหลายแห่ง เตรียมที่ทางให้ผลิตภัณฑ์ได้ไปต่อ ทั้งในแง่การเป็นแหล่งรวบรวมวัสดุเหลือใช้ แหล่งผลิต และจำหน่าย

"ถ้ากระแสเซิร์ฟสเก็ตมันลดฮวบลง อย่างน้อยก็ยังมีสนามหรือกลุ่มคนที่เล่นอยู่ ถ้าเราเอาเครื่องผลิตแผ่น Surfskate จากวัสดุเหลือใช้ นอกจากคุณเรียนรู้การเล่น คุณยังเรียนวิธีการสร้างด้วย ถ้าเป็นเรื่ององค์ความรู้ก็จะไปได้เรื่อยๆ เลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะหายไป

เครื่องที่เราพัฒนาขึ้นมาคือแม่พิมพ์ จะไปตั้งอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ร้านสเก็ต สมมติคุณจะผลิต Deck จากฝาขวดพลาสติก ก็รวบรวมฝาขวดให้ได้ตามจำนวน เช่นใช้ 300 ฝา พอครบก็ไปร้านที่มีเครื่องนี้ ไปแปรรูปออกมา"


เจนเล่าว่าเครื่องผลิตแผ่นสเก็ตจากขยะมีอยู่สองแบบ คือ แบบ Cold Press กับแบบ Heat Press สำหรับแบบ Cold Press คือการบีบอัดด้วยแรงดันสูงให้วัสดุขึ้นรูปเป็นแผ่น โดยมีตัวประสานเช่นกาว เรซิ่น เป็นต้น ส่วนแบบ Heat Press เป็นการใช้ความร้อนบวกกับการบีบอัดด้วยแรงดันสูง วิธีนี้อาจต้องมีสถานที่พิเศษสักหน่อย เนื่องจากความร้อนจะทำให้กาวหรือพลาสติกกลายเป็นสารระเหยที่มีพิษ ดังนั้นหากมีระบบดูดอากาศ หรือระบายอากาศจะเหมาะสมกว่า

แต่ไม่ว่าจะลักษณะพิเศษของเครื่องจะเป็นแบบใด สถานที่ของแต่ละร้านเป็นแบบไหน สิ่งที่ทุกคนในห่วงโซ่ของ "Waste Surfer" ต้องมีเหมือนกันคือหัวใจที่ต้องการอนุรักษ์ ลดปริมาณขยะ โดยใช้ไอเดียสร้างสรรค์ให้กีฬากระแสอย่าง "Surfskate" เป็นส่วนหนึ่งในความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
#3232


"โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ เปิดใจขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างโดยเฉพาะพ่อ เพราะสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ปลดล็อคคว้าแชมป์ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการแรกได้สำเร็จในศึก "ไอเอสพีเอส ฮานดะ เวิลด์ อินวิเตชันแนล"

การแข่งขันกอล์ฟรายการไอเอสพีเอส ฮันดะ เวิลด์ อินวิเทชั่น ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านดอลลาร์หรือราว 46.5 ล้านบาท รายการร่วมของ แอลพีจีเอ ทัวร์ เลดี้ส์ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ และ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2564 โดยสองรอบแรกแข่งขันที่สนาม กัลกอร์ม คาสเซิ่ล กอล์ฟ คลับ พาร์ 73 และ สนามมาสเซอรีน กอล์ฟ คลับ พาร์ 72 หลังจากนั้นรอบ 3 และ 4 แข่งขันที่สนาม กัลกอร์ม คาสเซิ่ล กอล์ฟ คลับ ผ่านไปสามวันแรกนั้น "โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ นำร่วม

วันสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่่ 1 สิงหาคม ตามเวลาท้องถิ่น ปาจรีย์ อนันต์นฤการ ออกสตาร์ทในฐานะผู้นำร่วม และทำสามเบอร์ดี้ใน 3 หลุมแรกนำร่วมที่สกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ แต่เธอไปพลาดออกทริปเปิ้ลโบกี้หลุม 6 พาร์ 4 เสียตำแหน่งผู้นำก่อนจะแก้กลับมาทำอีกเบอร์ดี้หลุม 8 และ 9 จากนั้นทำเบอร์ดี้หลุม 13 ขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ตามหลัง เจนนิเฟอร์ คุปโช โปรชาวอเมริกันผู้นำอยู่แค่สโตรกเดียว และทั้งคู่เสียโบกี้หลุม 16 คัพโช ยังคงนำเดี่ยว 16 อันเดอร์พาร์ ปาจรีย์ 15 อันเดอร์พาร์ เมื่อเหลือสองหลุมสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ปาจรีย์ ขึ้นไปนำร่วมหลังทำเบอร์ดี้หลุม 17 พาร์ 4 สกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ โดยที่ คุปโช ทำพาร์ และเอ็มม่า ทัลเลย์ โปรชาวอเมริกันนำร่วมอีกคนเมื่อเธอทำเบอร์ดี้หลุมเดียวกัน และหลุม 18 คุปโช เสียโบกี้จบลงสกอร์ 2 อันเดอร์พาร์ 71 สกอร์รวม 15 อันเดอร์พาร์ 276 จบลงอันดับ 3

ในขณะที่ ปาจรีย์ และ ทัลเลย์ ทำพาร์ สกอร์จบลง 3 อันเดอร์พาร์ 70 เหมือนกันสกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ 275 เท่ากัน ต้องไปเล่นเพลย์ออฟตัดสินแชมป์

การเล่นเพลย์ออฟหลุมแรกใช้หลุม 18 พาร์ 5 ทั้งสองต่างก็ทำพาร์ต้องไปเล่นต่อหลุมที่สองก็ใช้หลุม 18 เหมือนเดิมโดยที่ปาจรีย์ ทำพาร์หลังจาก ทัลเลย์ ออกโบกี้ทำให้ปาจรีย์ ชนะคว้าแชมป์ไปครองนับเป็นแชมป์แรกในการเล่นอาชีพแอลพีจีเอ ทัวร์ รับเงินรางวัลไป 225,000 ดอลลาร์หรือราว 7.2 ล้านบาท

โปรสาววัย 22 ปี เผยหลังการคว้าแชมป์รายการแรกในแอลพีจีเอ ทัวร์ ว่า"เมียวไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่อยากจะขอบคุณทุกๆคนที่สนับสนุนเมียวมาตลอด และเชื่อมั่นเมียวมาระยะเวลายาวนานมันจะคงจะไม่มีวันนี้ได้หากไม่มีพวกเขา เมียว มีพี่โม พี่เม เป็นแบบอย่างก็ตั้งใจเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งเมียวก็อยากจะเป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่คว้าแชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ และเมียวจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีทีสุดเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศเราด้วย"

และเธอ ยังได้กล่าวถึงคุณพ่อวีระพล ซึ่งเข้าไปแสดงความดีใจสุดหลังจากเธอคว้าแชมป์ว่า"คุณพ่ออยู่เคียงข้างฉันมาตั้งแต่เริ่มต้นการเล่นกอล์ฟของฉัน ดังนั้นฉันก็สามารถได้ร่วมแชร์ทุกสิ่งทุกอย่างทุกๆสิ่งที่พิเศษกับท่าน"

ปาจรีย์ กลายเป็นนักกอล์ฟไทยคนที่ 4 ที่คว้าแชมป์ในแอลพีจีเอ ทัวร์ปีนี้ ต่อจาก ปภังกร ธวัชธนกิจ โมรียา-เอรียา จุฑานุกาล และยังเป็นคนไทยคนที่ 5 ที่คว้าแชมป์อาชีพในแอลพีจีเอ ทัวร์ ต่อจาก "โปรเม" เอรียา(12) และ "โปรโม" โมรียา จุฑานุกาล(2) โปรจัสมิน สุวัณณะปุระ(2) และ"โปรเหมียว" ปภังกร ธนวัชธนกิจ(1) ทำให้ขณะนี้นักกอล์ฟไทยคว้าแชมป์ในแอลพีจีเอ ทัวร์ ไปแล้ว 18 แชมป์

ไม่เพียงแค่นั้น ปาจรีย์ กลายเป็นนักกอล์ฟคนที่ 5 ที่คว้าแชมป์อาชีพรายการแรกของตัวเองในแอลพีจีเอ ทัวร์ ปีนี้ ต่อจาก ปภังกร ธวัชธนกิจ แชมป์เอเอ็นเอ อินสปิเรชั่น(เมเจอร์) ซวี เว่ยหลิง จากจีนไทเปแชมป์เพียวร์ ซิลค์ แชมเปี้ยนชิพ ยูกะ ซาโสะ จากฟิลิปปินส์ แชมป์ยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น(เมเจอร์) และมาทิลดา คาสเตรน จากฟินแลนด์แชมป์แอลพีจีเอ เมดีฮีล แชมเปี้ยนชิพ

และการคว้าแชมป์ของ ปาจรีย์ ในครั้งนี้จะให้เธอได้สิทธิ์เล่นในทัวร์ 2 ปี และได้สิทธิ์เล่นรายการไดมอนด์ส รีสอร์ท ทัวร์นาเมนส์ ออฟ แชมเปี้ยนส์ รายการเปิดฤดูกาลของแอลพีเอ ทัวร์ฤดูกาล 2022 และ 2023

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075337
#3233


สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า "นายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน" เผยเบื้องหลังการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติมจากจำนวน 1.5 ล้านโดส ซึ่งเป็นข่าวดีที่รับแจ้งข่าวดีจาก วุฒิสมาชิกเชื้อสายไทย แทมมี ดักเวิร์ธ มาก่อนหน้านี้ ในเวลาไล่เลี่ยกับการได้รับแจ้งจากทำเนียบขาว

นายมนัสวี เปิดเผยกับ 'วีโอเอ ไทย' ว่า ทางสถานทูตฯ ได้รับข่าวดีจากทางทำเนียบขาวโดยตรงว่า สหรัฐจะให้บริจาควัคซีนในไทยเดิมทีที่ 1.5 ล้านโดส หลังจากนั้น พอเขาประกาศเราก็เริ่มหารือเพื่อที่จะลำเลียงวัคซีนเหล่านั้นไปเมืองไทยอีกสักพักหนึ่ง ส.ว. แทมมีก็โทรมาหาผม ท่านก็แจ้งข่าวว่า ในนามของประธานาธิบดีสหรัฐ

"ทางสหรัฐมีความห่วงใยกับประชาชนคนไทย ถือว่าเป็นมิตรเก่าแท้ของสหรัฐ เพราะฉะนั้นเขาก็จะขอเพิ่มวัคซีนให้เราเองอีกต่างหากอีก 1 ล้าน ก็โดยรวมแล้วก็เป็น 2.5 ล้านล็อตแรก 1.5 ล้านก็ไปถึงเมืองไทยแล้วสัปดาห์นี้ แล้วก็หาล็อตที่ 2 เราก็กำลังประสานกับทางทำเนียบขาวอยู่เพื่อให้เขาเร่งรัดให้รีบส่งให้เมืองไทย" เอกอัครราชทูตมนัสวี ระบุว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนัก ในทุกช่องทางที่เป็นไปได้ในการประสานกับหน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐ เพื่อเจรจาเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของทุกประเทศทั่วโลก

นายมนัสวี กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา เราเกือบจะเรียกว่าทุกวัน ประสานกับทั้งฝ่ายบริษัทโดยตรง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและทำเนียบขาวกับกระทรวงต่างประเทศ และกับ ส.ส. และ ส.ว ของสหรัฐ เพื่อผลักดันให้เขา ให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยเข้าถึงวัคซีนเหล่านี้ได้เพราะมันจะเป็นคำตอบในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของสาธารณสุขและก็ในเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มันกระทบทั่วโลก เราก็พยายามเต็มที่นะ และที่สำคัญก็คือเราก็สนับสนุนให้ชุมชนไทยก็พยายามสื่อกับทางนักการเมืองของสหรัฐ ให้ช่วยนึกถึงประเทศไทย

"วิธีที่จะเข้าถึงฝ่ายรัฐบาลสหรัฐ เนี่ยมันก็ไม่ใช่แค่แค่ข้าราชการด้วยกันเองมันก็ต้องไปถึงกลุ่มต่างๆ ภาคเอกชน เข้าถึงภาคสถาบันวิชาการซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการส่งข้อมูลให้กับทางสภา หรือให้กับทางรัฐบาล เราก็เห็นว่าการที่ผมไปพบกับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายรัฐสภาไม่เพียงพอ เราต้องพยายามหาแนวร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งของไทยกับของสหรัฐ ที่จะช่วยโน้มน้าวรัฐบาลในการในการเดินหน้าความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐ" นายมนัสวีเล่า

ขณะเดียวกัน สถานทูตก็วิงวอนทางรัฐบาลสหรัฐ ให้ช่วยเร่งส่งวัคซีนที่เราขอซื้อ ให้มันเร็วขึ้น ให้มันทันกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งแล้วเราก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นเราก็ยังอาศัยเครือข่ายเพื่อนประเทศไทย (Friends of Thailand) ตัวแทนชุมชนไทย บุคคลที่เรารู้จักชาวสหรัฐ ที่เรารู้จักที่เขามีเส้นสายต่างๆ ให้เขาช่วยรณรงค์ให้ประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง

เราก็ต้องชมพวกบริษัทอเมริกาที่อยู่ในเมืองไทยเพราะเขาก็มีความเป็นห่วงต่อธุรกิจของเขาด้วย ต่อคนงานของเขาด้วยก็เราก็ใช้ทุกรูปแบบ ที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงวัคซีนที่เราลงนามสัญญาสั่งซื้อว่าถ้าเราได้เร็วขึ้นช่วยบรรเทาบรรเทาสถานการณ์ได้" นายมนัสวี กล่าว

ก่อนหน้านี้ทางทูตอาเซียนกับทำเนียบขาวก็มีการปฏิสัมพันธ์กันเกือบจะทุก 2 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ต่อเดือนก็มีความใกล้ชิดผ่าน แต่นี่ผ่านวงของทูตอาเซียน 10 ประเทศเราก็ตอกย้ำเรื่องการเข้าถึงและซีนของเขาเขาก็บอกว่าเนี่ยเมื่อการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้นเนี่ยเขาก็จะหาทางเพิ่มความช่วยเหลือทางด้านวัคซีนให้กับโลกอีกอีกรอบนึงนะ เพราะฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ แล้วเขาก็จะประกาศออกมาเป็นระยะๆ"

นอกจากนี้ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย มองไปถึงความร่วมมือในขั้นต่อไปที่จะพัฒนาและเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหรือองค์กรด้านการวิจัยของไทย กับ บริษัทเอกชนในสหรัฐ ในการตั้งฐานการผลิตวัคซีนหรือเวชภัณฑ์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในประเทศไทย

"เราได้ติดต่อกับทุกบริษัทวัคซีนของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขอซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการร่วมกันวิจัยและผลิตวัคซีน ซึ่งก็เดินหน้าไปต่อไป ตอนนี้แล้วก็พยายามจับเชื่อมโยง องค์การ หรือสถาบันหรือบริษัทต่างๆ ที่มีความชำนาญ ที่จะสามารถมาช่วยเป็นพันธมิตรในการผลิตวัคซีนในประเทศไทยแล้วก็ทางกรุงเทพฯ เองก็ได้มีการติดต่อโดยตรงกับบริษัทเหล่านี้ที่มีตัวแทนอยู่ในเมืองเมืองไทย

นายมนัสวี กล่าวในตอนท้ายว่า สถานทูตฯ มีโอกาสในสถาบันต่างๆ ที่มีมาตรฐานสูง และมีผลงานที่เด่นชัดแล้ว ประสบการณ์จากในอดีตของเราที่ร่วมผลิตยารักษามาลาเรีย ซึ่งทางฝ่ายสหรัฐแม้กระทั่ง ไมเคิล จอร์ช ดีซอมบรี อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ก็ตระหนักว่าประเทศไทยเรามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากกับทางสหรัฐ หรือทางศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐเองก็มีสำนักงานอยู่ที่ที่เมืองไทยเหมือนกัน

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952362
#3234


ด้วยสถานการณ์วิกฤตของประเทศไทย จากผลพ่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด และช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง เซ่เว่นอีเลฟเว่น ที่มีสาขาทั่วประเทศ กว่า 7,000 สาขา เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหลายรายหมายปอง อยากจะได้นำสินค้าเข้ามาวางขาย

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดกว้าง ต้อนรับผู้ประกอบการรายเล็กอย่างเอสเอ็มอี ทำให้การนำสินค้าเข้ามาวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากยุคนี้ แต่ความยากอยู่ที่จะทำอย่างไรรักษายอดขาย และรักษาพื้นที่วางขายให้อยู่ได้นานๆเป็นเรื่องที่ยากกว่า วันนี้ ทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ นำเรื่องราวและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ตลอดจนแนวคิดของ 5 SMEs ไทยที่ประสบความสำเร็จ สามารถสร้างยอดขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่าทศวรรษ มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้ต่อยอดธุรกิจสู่ความสำเร็จ


ขนมตาล EZY SWEET ยกระดับขนมไทยด้วยเทคโนโลยี

นับเป็นอีกหนึ่ง SME ที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการขนมไทยเพียงไม่กี่ราย ที่เป็นคู่ค้ากับ เซเว่น อีเลฟเว่น มานานเกือบ 10 ปี อย่าง บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเติบโตจนเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ "แม่สุนีย์ ขนมไทย" ปัจจุบันได้ผันตัวมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ให้กับ ซีพี ออลล์ เนื่องจากเชื่อมั่นในการเติบโตของตลาดขนมไทยรวมถึงการส่งเสริมองค์ความรู้อย่างรอบด้านโดยเฉพาะเทคโนโลยี และการตลาด

นายก้องปพัฒน์ เรืองจินดาชัยกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอช แอนด์ สโนว์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ แม่สุนีย์ ขนมไทย ทำให้บริษัทมีความคิดที่จะต่อยอดโอกาสไปสู่ขนมไทยประเภทอื่นๆ จึงได้ร่วมปรึกษากับซีพี ออลล์ ในการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งได้รับคำแนะนำให้ทดลองผลิตขนมตาล ภายใต้โจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้ขนมตาลยังคงนุ่ม หอม น่ารับประทานเหมือนเพิ่งนึ่งมาใหม่ มีเนื้อสัมผัสและรสสัมผัสไม่เปลี่ยนแปลงแม้นำไปอุ่น โดยใช้เวลาในการคิดค้นประมาณ 1 ปี จนได้มาเป็นกระบวนการผลิตที่เป็นเทคนิคเฉพาะของบริษัท สามารถผลิตได้ในปริมาณมากถึง 6,000 ชิ้นต่อวัน และมีอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ประมาณ 1 สัปดาห์



สร้างยอดขายในเซเว่น 65,000 ชิ้นต่อวัน

"การผลิตขนมไทยแบบเดิมๆ จะใช้ภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมา แต่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อช่วยยืดอายุขนมและรักษารสชาติให้คงเดิม สำหรับตัวขนมตาลถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะปัญหาคือเนื้อขนมจะแข็งหากทิ้งไว้นาน หรือแฉะเมื่อนำไปอุ่น ทำให้รสชาติเปลี่ยนได้ แต่จากการแนะนำด้านเทคโนโลยีของซีพี ออลล์ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ บวกกับวัตถุดิบตาลพันธุ์ดีที่เรารับซื้อจากเกษตรกร จ.เพชรบุรี ทำให้เมื่อออกวางจำหน่ายจึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายสูงสุดถึงวันละประมาณ 10,000 ชิ้นต่อวัน จากยอดขายทั้งหมดของบริษัทในสินค้าทุกประเภทที่วางจำหน่ายในปัจจุบันร่วม 9 รายการ ทั้งในส่วนของแบรนด์แม่สุนีย์ ขนมไทย และ EZY SWEET ที่มียอดขาย 650,000 ชิ้นต่อวัน การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั้น บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ของตนเอง แต่สิ่งที่จำเป็นคือพันธมิตรและคู่คิดที่ดี" ก้องปพัฒน์ กล่าว


20 ปี ขนมไทย "แม่ละมาย" ในเซเว่น
สร้างยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ "แม่ละมาย" เพราะมีสินค้าครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานวางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่นนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นส่งในเซเว่น อีเลฟเว่นเพียงแค่ 20 สาขา กระทั่งปัจจุบันมีจำหน่ายมากกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้ามากกว่า 10 ตัว อาทิ วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลัก,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำลำไย,วุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง,ลูกตาลลอยแก้ว,วุ้นมะพร้าวผสมเม็ดแมงลักในน้ำใบเตย,เครื่องดื่มเม็ดแมงลักผสมวุ้นมะพร้าวในน้ำแดง,น้ำขิงผสมวุ้นมะพร้าว,น้ำใบเตยผสมวุ้นมะพร้าว และยังมีสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล, เต้าทึง ซึ่งได้สร้างยอดขายให้บริษัทมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี



ถ่ายทอดองค์ความรู้เกษตรกรเติบโตไปด้วยกัน 

นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ผลิตขนมหวานตรา "แม่ละมาย" เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์ "แม่ละมาย" เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน คือ การได้แบ่งปันโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเหล่าซัพพลายเออร์ ด้วยการมอบความรู้ให้กับเกษตรกรในเรื่องการเพาะปลูก การเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต การเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้คุณภาพของวัตถุดิบ ที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าคุณภาพส่งต่อให้กับผู้บริโภค ตลอดจนรับซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศในรูปแบบประกันราคา ไม่ว่าจะเป็นวุ้นน้ำมะพร้าว,เม็ดแมงลัก,ลำไยอบแห้ง,ลูกตาล,สัปปะรด คิดเป็นปริมาณการใช้งานเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในชุมชนคิดเป็นจำนวนเงินราว 12-14 ล้านบาทต่อปี

"การที่ SME จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องรู้จักแบ่งปันโอกาสการเติบโตให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในส่วนของเรามองว่า เกษตรกร ถือเป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" วีระ กล่าว

นอกจากการให้โอกาสแล้ว ในฐานะที่เป็น SME สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ การพัฒนาตัวเองและสินค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำ แห้ว ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี มาใช้เป็นส่วนประกอบในวุ้นมะพร้าวรวมมิตรในน้ำแดง และได้ทีม ซีพี ออลล์ มาช่วยเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการพัฒนาแพ็กเก็จจิ้ง ให้มีความสวยงามทันสมัย สะดวกต่อการบริโภค รวมถึงมาตรฐานการผลิต เนื่องจากมองว่ายิ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ยิ่งต้องพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด



30 ปี เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา"ในเซเว่น
ลดความผิดพลาด สร้างคุณภาพสม่ำเสมอ

นับเป็นเวลาร่วม 30 ปีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชลกิจปทานผล ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพและอยู่เคียงข้างเป็นบริษัทคู่ค้ากับเซเว่น อีเลฟเว่น มาโดยตลอด จนในวันนี้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ได้ถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการและยังคงเดินทางร่วมกับซีพี ออลล์ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภคทุกวัน



นำเครื่องจักรช่วยลดความผิดพลาดให้กิจการเล็กๆ 

ชลกุล ชลกิจปทานผล หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.ชลกิจปทานผล เล่าย้อนความให้ฟังว่า เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม "ปุ้น&เปา" เป็นสินค้าตัวที่ 3 ที่บริษัทส่งขายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น จากเดิมเคยทำวุ้นกะทิและวุ้นน้ำมะพร้าวในน้ำเชื่อม แต่ด้วยความไม่แน่นอนในเรื่องของราคาวัตถุดิบหลักอย่างมะพร้าว จึงทำให้คุณพ่อมองหาสินค้าตัวใหม่ ซึ่งก็คือ "เฉาก๊วยในน้ำเชื่อม" โดยใช้แบรนด์ "ปุ้น&เปา" ในรูปแบบพร้อมดื่มและแบบถ้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มรูปแบบการจำหน่ายสู่แบบถุงภายใต้แบรนด์ "บางช้าง" ในราคาเพียง 8-12 บาทเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างยอดขายสูงสุด 100,000 ถ้วยต่อวัน

"แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้เพียง 3 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมักสอนเสมอก็คือ เราจะต้องเป็น SME ที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้นิยามใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเอง SME (Small Micro Enterprises) นั่นคือพยายามทำให้องค์กรเล็กที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจึงหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อลดความผิดพลาดในส่วนต่างๆ เพราะการเป็นคู่ค้ากับซีพี ออลล์ สิ่งสำคัญคือเราต้องผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ ส่งผลให้วันนี้เราสามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ถ้วยต่อวันในปี 2545 เป็น 120,000 ถ้วยต่อวัน ด้วยคนจำนวนเท่ากันคือ 15 คน" ชลกุล กล่าว


"วรพร" ผลไม้แปรรูป เลือกวัตถุดิบคุณภาพ
20 ปี ในเซเว่น ช่วยส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน

"วรพร" แบรนด์ผลไม้แปรรูปที่ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจผลไม้แปรรูปมานานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญของซีพี ออลล์มาถึงกว่า 20 ปี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด ปัจจุบันถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาช่วยสานต่อกิจการ เพื่อทำภารกิจส่งมอบสินค้าคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่ายสู่มือผู้บริโภค

ชัยพร โสธรนพบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลไม้แปรรูปวรพร จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า แบรนด์"วรพร" ถือกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวโดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ มะม่วงแช่อิ่ม กระทั่งเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสจาก ซีพี ออลล์ ให้นำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมกับถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านต่างๆ เรียกว่าเป็นการพลิกโฉม มะม่วงแช่อิ่มแบบเดิมๆ ที่ดองใส่ขวดโหล สู่บรรจุภัณฑ์พร้อมรับประทานเจ้าแรกของประเทศ



3 ข้อหัวใจหลักทำให้ "วรพร" ประสบความสำเร็จ

สำหรับรสชาติและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในวันนี้ "วรพร" สามารถสร้างยอดขายจากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สูงถึงกว่า 130 ล้านบาทต่อปี โดยยอดขายกว่า 60-65% มาจากมะม่วงแช่อิ่มพร้อมทาน มะม่วงแช่อิ่มพร้อมพริกเกลือ มะขามแช่อิ่ม มะดันแช่อิ่ม มะปรางแช่อิ่ม มะม่วงกวน และมะม่วงกวนปรุงรส ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น

"ด้วยความที่สินค้าของเราเป็นสินค้าเพื่อการบริโภค หัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนจึงต้องมี 3 ข้อนี้คือ 1.ต้องสร้างมาตรฐานการผลิต เพื่อให้ได้สินค้าที่ได้มาตรฐาน ต้องหมั่นทดสอบสินค้าอยู่เสมอว่ามีรสชาติคงเดิมหรือไม่ ถ้ารสชาติเปลี่ยนไปก็ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มาจากขั้นตอนการผลิตหรือวัตถุดิบ เพื่อจะได้รีบดำเนินการแก้ไข 2.ใช้วัตถุดิบคุณภาพ เราเลือกใช้มะม่วงของ จ.ฉะเชิงเทรา แหล่งผลิตมะม่วงที่ดีที่สุดของประเทศไทย โดยเรารับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรประมาณ 5,000 ตันต่อปี และ 3.ส่งต่อความยั่งยืนสู่ชุมชน เรามองว่า เกษตรกร เป็นซัพพลายเออร์หลักที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เราได้วัตถุดิบมีคุณภาพ เพื่อนำมาผลิตสินค้าให้กับผู้บริโภค วัตถุดิบที่ดีบวกกับการรักษามาตรฐานการผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค นำมาซึ่งยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราเรียกการเติบโตเช่นนี้ว่า การเติบโตแบบยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ" ชัยพร กล่าว

จากร้านห้องแถว คุณเก๋ขนมหวาน
สู่รายได้ 140 ล้าน/ปี ในเซเว่น

จากห้องแถว 2 คูหา กำลังการผลิตเพียง 10,000 ถ้วยต่อวัน ในปี 2551 ยอดขายเพียงหลักล้านบาทต่อปี สู่โรงงานขนาดมาตรฐานที่มีกำลังการผลิต 60,000 ถ้วยต่อวัน กับยอดขายที่สูงถึงกว่า 140 ล้านบาทต่อปีในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี การจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มนสวรรณ ศรัณย์เวชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวรอบด้าน พร้อมกับเปิดกว้างด้านความคิด เนื่องจากเดิมบริษัทเป็นที่รู้จักในนามของ "คุณเก๋ขนมหวาน" แต่ปัจจุบันได้มีโอกาสก้าวมาพัฒนาสินค้าร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET มีสินค้าส่งจำหน่ายให้กับเซเว่น อีเลฟเว่น รวม 10 ชนิด อาทิ สาคูเปียกข้าวโพด ทับทิมกรอบกะทิสด รวมมิตรกะทิสด ด้วยยอดผลิตสูงสุด 60,000 ถ้วยต่อวัน



องค์ความรู้ที่ดี ก้าวย่างสำคัญ SMEs เติบโตยั่งยืน

"SMEs ส่วนใหญ่คิดจะพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่เราอาจจะพลาดองค์ความรู้ดีๆ ที่จะได้รับจากพันธมิตร เช่น งานวิจัยการตลาด เทคโนโลยีด้านการผลิต การอบรมเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ซึ่งเรามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้สินค้าของเราสามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เรายังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ที่ได้รับกลับไปสู่ซัพพลายเชนของเราได้อีกด้วย อาทิ เรื่องของธรรมาภิบาล จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน แต่เราต้องสร้างการเติบโตให้กับชุมชน ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแบบองค์รวม" มนสวรรณ กล่าว

การเติบโตที่แข็งแกร่ง เกิดจากการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่ประสบความสำเร็จไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตนเอง โอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนย่อมไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม
#3235


เมื่อวันที่ 1 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,103 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 40.6 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 346 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 164 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 158.01 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (73% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 68.15 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 17,685,974 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 52.64%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,104 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 17,685,974 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 13,802,916 โดส (20.9% ของประชากร)
-เข็มสอง 2 3,883,058 โดส (5.9% ของประชากร)

2. จำนวนวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 1 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 17,685,974 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 259,447 โดส/วัน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 832,316 โดส
- เข็มที่ 2 153,776 โดส
วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 7,679,588 โดส
- เข็มที่ 2 320,491 โดส
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 5,291,012 โดส
- เข็มที่ 2 3,408,791 โดส

3. รายงานผู้มีอาการข้างเคียงภายหลังได้รับการฉีดวัคซีน
- 96.65% ไม่มีผลข้างเคียง
- 3.35% มีผลข้างเคียงไม่รุนแรง ประกอบด้วย
- ปวดกล้ามเนื้อ 0.80%
- ปวดศีรษะ 0.60%
- ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด 0.43%
- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 0.39%
- ไข้ 0.26%
- คลื่นไส้ 0.18%
- ท้องเสีย 0.12%
- ผื่น 0.10%
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง 0.08%
- อาเจียน 0.05%
- อื่น ๆ 0.34%

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 114.7% เข็มที่2 99.1%
- อสม เข็มที่1 47.3% เข็มที่2 21.3%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 23% เข็มที่2 1.4%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 28% เข็มที่1 4.8%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 46% เข็มที่2 27.1%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 25.5% เข็มที่2 7.1%
รวม เข็มที่1 27.6% เข็มที่2 7.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 45.9% เข็มที่2 10.7% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 64.3% เข็มที่2 13.8%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 27.9% เข็มที่2 13.1%
- นนทบุรี เข็มที่1 30.9% เข็มที่2 10.6%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 30.7% เข็มที่2 5.5%
- ปทุมธานี เข็มที่1 22.7% เข็มที่2 5.4%
- นครปฐม เข็มที่1 15% เข็มที่2 3.0%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 12.2% เข็มที่2 4.0%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.3% เข็มที่2 59.2%
- ระนอง เข็มที่1 36.8% เข็มที่2 11.6%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 20% เข็มที่2 7.9%
- เกาะสมุย เข็มที่1 36% เข็มที่2 10.1%
- เกาะเต่า เข็มที่1 19.8% เข็มที่2 5.7%
- เกาะพะงัน เข็มที่1 28.1% เข็มที่2 3.6%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 158,013,044 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 68,151,247 โดส (17.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 20,533,660 โดส (42.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 20,008,331 โดส (10.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 17,685,974 โดส (20.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 12,088,317 โดส (43.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca และ Sinovac
6. สิงคโปร์ จำนวน 7,626,939 โดส (73.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
7. เวียดนาม จำนวน 6,203,866 โดส (5.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,050,711 โดส (16.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 163,999 โดส (30.6%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 65.25%
2. อเมริกาเหนือ 12.05%
3. ยุโรป 14.38%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.38%
5. แอฟริกา 1.58%
6. โอเชียเนีย 0.36%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,637.40 ล้านโดส (58.5% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 467.26 ล้านโดส (17.1%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 345.64 ล้านโดส (54.0%)
4. บราซิล จำนวน 141.74 ล้านโดส (34.7%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (78.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (78.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (72.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. อุรุกวัย (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
5. กาตาร์ (67.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. ชิลี (66.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. สิงคโปร์ (65.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
8. แคนาดา (65.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. สหราชอาณาจักร (63.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
10. เดนมาร์ก (63.5%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)  
#3236



แรงบันดาลใจในวัยเด็กที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกลบไป หรือละทิ้งความพยายามที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง สำหรับ สาวเก่งมากความสามารถ หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง "หมอเจี๊ยบ-พญ.ศรินทิพย์ สุนทรัช" ผู้ก่อตั้งเดอะ โคลฟเวอร์ คลินิก (The Clover Clinic) กลับนำแรงบันดาลใจที่มีมาต่อยอดเป็นสิ่งที่ตนเองหลงใหล โดยเริ่มต้นจากคำว่า "อยากช่วยเหลือคนอื่นๆ" กับการเริ่มต้นธุรกิจความสวยความงามของตัวเอง แม้เป็นลูกสาวคนโตของบ้านจากพี่น้อง 3 คน แต่ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้บังคับให้สานต่อธุรกิจที่บ้านเลย (ธุรกิจเซียงกง) ให้เลือกตามความชอบของตัวเอง ซึ่งก็รู้สึกว่าเลือกถูก เพราะอาชีพในปัจจุบันตรงกับจริต และมีความสุขในทุกวันที่ได้ออกไปทำงานดูแลคนไข้


หมอเจี๊ยบ-พญ.ศิริทิพย์ เรียนจบมัธยมปลายสายวิทย์-คณิตศาสตร์ จากโรงเรียนสายน้ำผึ้ง ในวัยเด็กคิดเสมอว่าอยากทำอะไร แต่ด้วยธุรกิจของครอบครัวเป็นเซียงกงคือ นำเข้าอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่นมาขาย จึงมองว่าไม่ได้เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งตอนนั้นมีการพูดคุยกับคุณพ่อว่า ในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ประกอบกับตัวเองชอบดูแลช่วยเหลือคนอื่นๆ จึงเป็นที่มาให้เลือกเรียนสายแพทย์ จึงศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังเรียนจบได้มีโอกาสไปศึกษาต่อด้านผิวหนังที่มหาวิทยาลัยเวลส์ รวมทั้งศึกษาต่อด้านผิวหนังและความงามที่มหาวิทยาลัยไมอามี และด้านชะลอวัย (Anti-aging) ได้รับ American board anti-aging medicine


"ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรียนแพทย์ทั่วไป 6 ปี จากนั้นไปเรียนต่อเฉพาะทาง Diploma Skin เพราะสนใจด้านผิวหนังและความงาม  สามารถวิเคราะห์ได้จากการมองเห็นตั้งเเต่แรกและตรวจเพิ่มเติม ส่วนเรื่องความงามเป็นคนที่ชอบเรื่องความสวยความงามอยู่แล้ว คิดว่ารักษาแบบนี้น่าจะดีกับคนไข้ ถึงแม้เป็นเพียงการแก้ไขรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการช่วยรักษาจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะการทำให้คนไข้ มีความมั่นใจมีความสุขมากขึ้น ถึงแม้เป็นการรักษาแบบ Outside-In แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอกกี่ยวข้องกันหมด เรารักษาผสมผสานทั้ง Inside-Out และ Outside-In พอดูแลคนไข้แบบองค์รวมทั้งหมด คนไข้มั่นใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เห็นตัวอย่างหลายๆ เคสไม่ใช่แค่ภายนอกดีขึ้นอย่างเดียว หลายอย่างเช่นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความมั่นใจ เรื่องการงาน ทุกอย่างดีขึ้นหมด ทำให้ชอบและรักที่จะทำงานนี้ และทำให้รู้ว่านี่คืองานที่เป็นตัวตนและตอบโจทย์ตัวเองมากที่สุด"

เส้นทางการทำงานของหมอเจี๊ยบ เริ่มต้นทันทีหลังเรียนจบกับเส้นทางความสวยความงาม โดย 8 ปีแรกทำที่คลินิกความงามทั่วไป ตอนนั้นรู้สึกว่าใช่ เพราะเวลารักษาคนไข้ ไม่ได้คิดว่าเป็นการรักษา แต่มองว่าเป็นการแนะนำเพื่อน มีการพูดคุยบางคนสนิทจนเป็นมิตรภาพยาวนาน ที่ยังคุยกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่ดีกับคนไข้ไปโดยปริยาย บางคนดูแลเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนปัจจุบันแต่งงานมีลูกไปแล้ว ก็เป็นการตอกย้ำความคิดของเราในวันที่เริ่มต้นว่า อยากดูแลทุกคนให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ  รู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติที่อยู่ในหลายช่วงของชีวิตคนอื่น เป็นคนที่ช่วยทำให้คนที่เป็นทุกข์เพราะสิวเรื้อรังดีขึ้น ทำให้เจ้าสาวรู้สึกสวยที่สุดในวันแต่งงาน หรือเป็นส่วนที่ทำให้คนไข้ได้ดูแลตัวเองและรักตัวเอง และส่งพลังบวกไปยังคนรอบข้าง

สำหรับจุดเปลี่ยนที่มาเริ่มต้นทำคลินิกของตัวเอง หมอเจี๊ยบยอมรับว่าเพราะมองเห็นว่า อยากมอบประสบการณ์และทุกอย่างให้คนไข้ในแบบดีที่สุด อยากใช้อะไรที่เลือกมาแล้วว่าดีที่สุด อยากหลุดจากกรอบเดิมๆ ที่เคยทำมา อยากใช้ยาและเครื่องมือดีที่สุด และมอบบริการที่ดีและจริงใจเหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ถึงแม้ต้องซื้อเครื่องมือราคาแพงและลงทุนสูงแต่อยากเน้นสิ่งที่อยากทำเป็นหลัก เลยเป็นจุดเริ่มต้น The Clover สาขาแรกที่สุขุมวิท 26 ด้วยความที่อยากมีสถานที่ ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนไข้ โดยเป็นย่านออฟฟิคมุ่งเน้นการที่ไม่มีเซลล์ขาย เพราะไม่อยากให้คนไข้รู้สึกอึดอัดและถูกยัดเยียด ลูกค้าทุกคนได้เจอกับคุณหมอโดยตรง ถึงแม้ว่าการขายแบบ hard sale อาจช่วยให้ยอดขายมากขึ้น แต่การทำคลินิกตามความชอบของตัวเอง คิดว่าตัวเองอยากใช้บริการคลินิกแบบไหน จึงอยากทำให้คนที่เข้ามาสบายใจ ที่สำคัญคือ ประทับใจและต้องกลับมาอีกครั้ง เลยยึดแนวทางนี้จนขยายสาขามาเรื่อยๆ และเติบโตขี้นจนถึงปัจจุบัน


การทำงานในฐานะลูกน้องและเจ้าของธุรกิจสาวไฟแรงอย่างหมอเจี๊ยบยึดหลัก ต้องจริงใจทั้งกับพนักงาน ที่มองว่าเหมือนครอบครัว เรียกได้ว่าพนักงานแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ โดยเราต้อง Give&Take ให้คนอื่นก่อน และดูแลทุกคนให้ดีๆ เหมือนคนในครอบครัว ให้โอกาสเขาพัฒนาศักยภาพ เช่นเดียวกับคนไข้ เราต้องมีความจริงใจ พยายามใช้สิ่งที่ดีที่สุด และมีราคาที่สมเหตุสมผล คนไข้รับได้และเราอยู่ได้ เหมือนหลักการง่ายๆ คือ ความจริงใจ เวลาที่เราอยากคบใครยาวๆ มองว่า ต้องมีความจริงใจต่อกัน ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาว


ส่วนแนวคิดหลักในการดำเนินชีวิต คุณหมอคนสวยพยายามทำหน้าที่แต่ละวันให้ดีที่สุด ซึ่งมองว่ายังใช้ได้ตลอด โดยต้องตั้งเป้าหรือเซตความสำคัญในแต่ละวัน เพราะใน 1 วัน มีจำกัด ดังนั้นต้องตั้งความสำคัญกับเรื่องที่จะทำในแต่ละวัน และเริ่มต้นลงมือทำ โดยนอกเหนือจากงานประจำแล้ว ชอบเล่นโยคะเพราะช่วยฝึกสมาธิให้การทำงาน ทำให้จิตใจสงบ และเอาไว้มองตัวเอง รับรู้การเคลื่อนไหวของตัวเอง เล่นมาประมาณ 5-6 ปีแล้ว นอกจากนั้นงานอดิเรกที่ทำเพิ่มเติมจากงานบริหารคลินิกคือ การลงทุนต่างๆ เพื่อให้มี passive income สำหรับการต่อยอดในอนาคตอีกด้วย ซึ่งในอนาคตอยากขยายสาขา (ปัจจุบันมี 5 สาขา) เพื่อรองรับความต้องการของคนไข้  และรวมไปถึงเพิ่มแนวทางรักษาแบบแอนไท-เอจจิ้ง ให้มากขึ้น เนื่องจากจะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้นมีเรื่องของ Inside-Out ในแง่การดูแลสุขภาพ จะสามารถดูแลได้องค์รวมให้คนไข้มากยิ่งขึ้น

https:// www.dailynews.co.th/news/110745/
#3237



แม้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านกัน หรือถ้าออกไปก็ต้องใส่แมสก์ตลอด แต่สาว ๆ อย่าละเลยเรื่องการบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มกระจ่างใสเด็ดขาด สยามเซ็นเตอร์ เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ แนะนำ 12 มาสก์หน้าสุดฮอตฮิต ที่เชื่อว่าสาว ๆ ต้องมีติดบ้านไว้อย่างน้อยสองชิ้น ที่สุดในดวงใจชิ้นแรกต้องยกให้ Jung Saem Mool Essential Mool Cream Mask ขึ้นชื่อว่า Mool Cream แล้วการันตีได้ถึงความปังแน่นอน ไม่เพียงแค่มีครีมบำรุงผิวเท่านั้น แต่ Mool Cream ยังมีมาสก์ด้วย เป็นมาสก์ เนื้อเข้มข้นครีมมี่ ด้วยคุณค่าเซรามายด์และไฮยาลูโรนิคเอซิด ทำให้ผิวชุ่มชื่น เนียนเรียบ สุขภาพดี


ตามมาด้วย Shiseido White Lucent Overnight Cream and Mask มาสก์สูตรไวท์เทนนิ่งที่หรูหรา ช่วยเรื่องผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวที่ไม่เสมอกัน ใช้แล้วผิวจะเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์, M.A.C Mineralize Reset & Revive Charcoal Mask เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีสิวเสี้ยนเยอะ ตัวนี้จะช่วยดูดสิวเสี้ยนออกไปด้วยสารสกัดจากชาร์โคล เนื้อมาสก์ไม่แห้ง ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น, Three Purifying Clay Mask  อีกตัวที่สาวผิวมันห้ามพลาด สารสกัดจากธรรมชาติ 92% และสารช่วยนำความหยาบกร้านของผิวออกไป ช่วยลดผิวมันและขจัดเซลล์ผิวส่วนเกินได้ดี


สำหรับสาวที่ผิวแห้งมาก ๆ Kiehl's Ultra Facial Overnight Hydrating Masque ตัวนี้ช่วยกู้ผิวให้กลับมาชุ่มชื่นอย่างรวดเร็ว ผิวฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังใช้รู้สึกได้ทันที ส่วน Lush Mask of Magnaminty มาสก์เนื้อสีเขียวมิ้นต์ มีเท็กเจอร์เหมือนเป็นเมล็ดธัญพืช สามารถขัดผิวได้ในตัว ทำให้หน้านุ่มและผิวละเอียดเนียนมากขึ้น ไม่มีสารกันบูดและสารอันตรายต่อผิว, Etude House Soon June Sleeping Pack  ถูกใจสาว ๆ ที่อยากมาสก์หน้าแล้วนอนหลับไปเลย เพราะอีทูดี้ตัวนี้เป็นแนวสลีปปิ้ง มาสก์ นอนหลับได้เลยไม่ต้องห่วง เนื้อครีมมี่บาล์มทาเบา ๆ มีส่วนผสมของแพนเท็นโซไซต์ 5% ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น, Frudia Firming My Orchard Squeeze Mask Acai Berry จาก All Abou You มาสก์หอม ๆ ด้วยสารสกัดอาซาอิเบอร์รี่ ช่วยยกกระชับผิว คงความชุ่มชื่น ให้ผิวรู้สึกผ่อนคลาย


ด้าน Sephora มีมาสก์หลายตัวที่ครองใจสาว ๆ Laneige Water Sleeping Mask EX สลีปปิ้งมาสก์ที่ครองใจสาว ๆ มานาน เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้แน่นอน มีส่วนผสมของไมโครไบโอม โปรไบโอติคที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง ใบหน้ากระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัด, Biotherm Life Plankton Mask สารสกัดจากไลฟ์แพลงก์ตอนบริสุทธิ์ เมื่อประสานการทำงานเข้ากับผิวทำให้ผิวชุ่มชื่นสุด ๆ เนื้อมาสก์เป็นเจลข้น กลิ่นหอมสดชื่นแบบธรรมชาติ อีกหนึ่ง มาสก์ยอดนิยมที่ช่วยกู้ผิวแห้งให้กลับมาฉ่ำน้ำแบบรวดเร็ว, Foreo Call It a Night เด่นที่ส่วนผสมของโสมและน้ำมันโอลีฟ เอ็กโซติค ธรรมชาติสุด ๆ แต่ตัวนี้พิเศษนิดตรงนี้ต้องใช้คู่กับอุปกรณ์ยูเอฟโออันโด่งดังของแบรนด์ แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะทำให้พึงใจสุด ๆ สีผิวสม่ำเสมอและเรียบเนียนขึ้นแน่นอน ปิดท้ายกับ Tatcha Luminous Dewy Skin Mask ขวัญใจบิวตี้ เอดิเตอร์ทั่วโลก ถูกหยิบยกให้มาอยู่ในลิสต์มาสก์ในดวงใจเสมอ ๆ มีส่วนผสมของชาเขียวออกแนวสไตล์ญี่ปุ่น แผ่นมาสก์นุ่มอ่อนโยนต่อผิวที่สุด
#3238



SMEs เป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศ แต่วันนี้บทบาทของ SMEs ต่อระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีไม่มากเท่าที่ควร และนี่คือปัญหา "ความย้อนแย้ง" ในเชิงโครงสร้างแบบ 'มากแต่น้อย' ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า SMEs ไทย มีจำนวนมากถึง 3.1 ล้านราย หรือ 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งระบบ แต่มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจเพียง 35% ของ GDP รวม ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีจำนวนไม่ถึง 1.5 หมื่นราย กลับมีบทบาทต่อ GDP สูงเกือบ 60% ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหันไปมองประเทศอื่นใน ASEAN จะเห็นว่า SMEs มีบทบาทค่อนข้างสูง เช่น เวียดนาม SMEs มีบทบาทสำคัญถึง 40% ของ GDP อินโดนีเซีย 58% รวมถึงกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว SMEs มีบทบาทเฉลี่ยราว 50-60%

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเร่งพัฒนาและยกระดับ SMEs ไทยให้มีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น หนึ่งใน Pain Point ที่เห็นชัดเจน คือ SMEs ไทยส่วนใหญ่ยังค้าขายในประเทศเป็นหลัก สะท้อนจาก SMEs ที่เป็นผู้ส่งออกมีเพียง 2.4 หมื่นราย หรือไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งระบบ ทำให้เผชิญการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากคนขายมีมากขึ้นแต่คนซื้อเท่าเดิม เมื่อประกอบกับข้อจำกัดต่าง ๆ ภายในประเทศ ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้การจับจ่ายใช้สอยไม่คึกคักเหมือนในอดีต ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ SMEs ไทยมีทางเลือกไม่มากและเติบโตได้ยาก ดังนั้น ทางออกของปัญหานี้คือ SMEs ไทยต้องโกอินเตอร์ ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ นอกจากการสนับสนุนให้ SMEs เริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออกมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ทันที คือ การสนับสนุน SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกทางอ้อม (Indirect Exporter) อยู่ใน Supply Chain ของผู้ส่งออก เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้โดยไม่สะดุด เป็นการสร้าง Inclusive Growth ระหว่างคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กให้เติบโตไปพร้อมกัน


ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในโอกาสเปิด EX1M Solution Forum Ep.1 ว่า EXIM BANK ทำงานร่วมกันกับภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อเสริมสร้างให้เกิด Supply Chain ที่แข็งแรง ที่ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งยังเป็นการนำร่องและกระตุ้นให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้เกิด Supply Chain ที่แข็งแรงในภาคธุรกิจอื่น ๆ ต่อไป

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า  "สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ เราต้องออกไปข้างนอก เพื่อหาตลาดที่ใหญ่ขึ้น "เรือเล็กต้องออกจากฝั่ง" สร้างตลาดที่แข็งแรงที่จะตอบโจทย์การผลิตหรือการให้บริการธุรกิจของเรา ซึ่งจะเป็นการเชื่อมทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Margin ไปจนถึง Logistics รวมถึง Stock Management ของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เราต้องการให้คนตัวใหญ่เป็นที่พึ่งพา คนตัวเล็กสามารถพึ่งพิง และในอนาคตเราจะสร้างการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย"

ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (Sponsor) อย่าง คุณวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกล.เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจส่งออก-นำเข้าและศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและสินค้าไลฟ์สไตล์ครบวงจรของไทยกล่าวถึงการพัฒนา Supply Chain ร่วมกันว่า "ผมเชื่อว่าเมื่อเรามารวมกันเป็นทีมประเทศไทย เราจะโตไปด้วยกัน ไม่เฉพาะในประเทศแต่มีโอกาสเติบโตในต่างประเทศด้วย วันนี้ EXIM BANK เข้ามาเป็นโซ่กลางเชื่อมโยงและสนับสนุน Supply Chain ของเรา ให้เงินทุนจัดหาวัตถุดิบและเครื่องจักรที่ทันสมัย ช่วยให้เราสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้า"


EXIM BANK จึงได้เสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทยทั้ง Supply Chain โดยออกบริการ "สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution)" เสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ SMEs ที่เป็น Suppliers ของผู้ประกอบการรายใหญ่ (Sponsor) โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม เบิกกู้สูงสุด 90% ของมูลค่า Invoice สามารถนำ Invoice มาใช้ ยื่นขอสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่าน Digital Platform ได้ วงเงินกู้สูงสุด 25% ของยอดขายรวมปีล่าสุด โดยอ้างอิงบนเครดิตที่แข็งแรงของ Sponsor บริการดังกล่าวช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกรรมทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ธนาคาร ขณะที่ Sponsor ซึ่งเป็นลูกค้า EXIM BANK จะได้รับเครดิตเทอมเพิ่มจากคู่ค้าที่เป็น SMEs และมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน เป็นประโยชน์ในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตข้างหน้า นับเป็นการสร้าง Supply Chain ที่แข็งแรง ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถสนับสนุนและเสริมความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน โดยมีเครื่องมือทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงของ EXIM BANK เป็นกลไกช่วยให้ทุกภาคส่วนดำเนินธุรกิจไปได้อย่างไม่ติดขัด แม้จะได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นเป็นระลอกทั่วโลก

ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้ความเห็นตรงกันว่าการส่งเสริมความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain ด้วยมาตรการ "สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจครบวงจร" ของ EXIM BANK ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กเกิดความคล่องตัวในการบริหารธุรกิจ ทั้งการควบคุมต้นทุน การจัดการสต๊อกวัตถุดิบ และทำให้บริหารธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กกล้าที่จะเติบโต

คุณกิตติศาสตร์ พลตื้อ ประธานกรรมการ บริษัท วิชั่น กลาส แอนด์ ดอร์ อินดัสเทรียล จำกัด "เงินทุนหมุนเวียนจาก EXIM BANK ไม่ต้องใช้เอกสารมากมาย ไม่ต้องมีหลักประกัน ประกอบกับการได้อยู่ในเครือข่าย Supply Chain ทำให้ได้รู้จักทั้งรายใหญ่และรายย่อย ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างมาก"

คุณเศรษฐชัย สุริยะเลิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรเก้าเจริญทรัพย์ จำกัด "Supply Chain จะมีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่การผลิต การจัดหาวัตถุดิบ การบริหาร จนกระทั่งการจัดส่งไปถึงมือลูกค้า ทำให้ระบบทั้งหมดเติบโตไปด้วยกัน การสนับสนุนของ EXIM BANK ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในระบบ Supply Chain ซึ่งมีความแตกต่างกัน สามารถควบคุมต้นทุนให้สอดคล้องกันได้"                             


คุณเฉลิม เศารยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.เจ.พาราวู๊ด จำกัด "การที่บริษัทได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ทำให้สามารถสต็อกวัตถุดิบได้ในช่วงเวลาและราคาที่เหมาะสม ทำให้สามารถลดต้นทุน บริหารจัดการสต็อกวัตถุดิบและวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

คุณกรองพร สิริประสิทธิ์พงศ์ ผู้จัดการการเงินและการตลาด บริษัท ว.พลาสติก (2002) จำกัด "โอกาสของธุรกิจภายใต้ Supply Chain ที่แข็งแรง ทำให้เรากล้าที่จะเติบโต ขอบคุณ EXIM BANK และ สยามโกล.เฮ้าส์ที่ทำให้ Supply Chain แข็งแรง ทำให้เรากล้าที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ โดยมีบริการทางการเงินช่วยให้ธุรกิจเราคล่องตัวมากขึ้น"

วันนี้ EXIM BANK ทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการพัฒนาภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ไทยให้มีแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ก้าวข้ามข้อจำกัดด้านเงินทุนและอำนาจต่อรอง โดยอาศัยพันธมิตรทางธุรกิจเป็นสะพานเชื่อมไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย กระตุ้นให้เกิดการค้าและธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลเพื่อความสะดวกรวดเร็วแก่ภาคธุรกิจและผู้บริโภค ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยตลอดทั้ง Supply Chain เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความแข็งแกร่งและพร้อมเริ่มต้นกับโอกาสครั้งใหม่หลังวิกฤตโควิด-19
#3239


ผ่านงานแสดงมาแล้วหลายคาแรกเตอร์ และโชว์ฝีมือปังเข้าถึงทุกบทบาทโดนใจคนดูสุดๆ สำหรับนางเอกสาว ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ ล่าสุดสวมคาแรกเตอร์สุดโบ๊ะบ๊ะรับบทเน็ตไอดอลตกอับเพราะเหล่าแฟนคลับจับโป๊ะได้ ในซีรีส์สุดปัง "46 วัน ฉันจะพังงานวิวาห์" จาก "จีเอ็มเอ็มทีวี" ที่งานนี้ต้องมาลุยภารกิจรักสุดแสบแบบบ้าระห่ำ พร้อมแหกทุกกฎกับภารกิจทำลายงานแต่งให้สำเร็จให้ได้ภายใน 46 วัน เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับเอ่ยปากว่าเล่นเรื่องนี้สนุกมากๆ และชอบสุดๆ อีกด้วย

ใบเฟิร์น เผยว่า "รู้สึกสนุกมากๆ ที่ได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้เพราะค่อนข้างเป็นสีสันมากๆ สำหรับใบเฟิร์นเลย โดยเฉพาะบท 'หญิงหญิง' ซึ่งเป็นตัวแสดงที่แบบรวดเร็ว ตรงไปตรงมามากๆ ชอบก็ชอบ ไม่ชอบก็คือโวยวายเลย เป็นคนตรงๆ และเป็นคนที่รักเพื่อนมาก ก็จะมีความคล้ายตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยทำความเข้าใจตัวแสดงได้ไม่ยากค่ะ และที่สนุกอีกอย่างก็คือ คาแรคเตอร์นี้ค่อนข้างมีสีสัน สนุกโบ๊ะบ๊ะ แถมได้ทำหลายบทบาทด้วย ทั้งมีไปทำภารกิจโน่นนี่ตลอดเวลา บางทีก็แต่งเป็นคนแก่บ้าง แต่งเป็นนางโชว์ แต่งเป็นผู้ชาย หรือเป็นนักศึกษาเนิร์ดๆ ซึ่งเราเองก็ชอบคอมเมดี้อยู่แล้วด้วยก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่สนุกมากๆ และต้องขอขอบคุณ 'พี่กู่ ผู้กำกับที่ให้เราได้มาทำอะไรแปลกใหม่ ทั้งปลอมตัว ใส่โน่นใส่นี่ แต่งตัวหรือทำอะไรที่แฟนคลับยังไม่เคยเห็นมาก่อน และอยากให้เรื่องนี้มีหลายๆ อย่างในความคอมเมดี้พวกนี้ ให้เห็นหลายๆ บุคลิกตลกๆ ความเล่นใหญ่ของเรา"


"จริงๆ เสน่ห์ของคอมเมดี้ก็คือการอิมโพรไวส์ แม้เราจะไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้ แต่เราโชคดีที่ได้มาเล่นคู่กับน้องมายด์-ลภัสลัล ซึ่งเป็นคนที่เก่งคอมเมดี้มาก และการอิมโพรไวส์ของมายด์คือใช้ได้แทบทั้งหมด แถมเคมีของเราทั้งคู่ยังเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่เวิร์คช้อปด้วยกันเลยค่ะ อาจจะด้วยความที่เป็นผู้หญิงแบบเฮฮาทั้งคู่ เล่นไปแบบจัดเต็มไม่เคยห่วงสวย และมายด์ก็ยังมีเคมีเพื่อน ที่เข้ากันได้ดีมากๆ มีความเป็นเพื่อนที่เข้ากันไปจนถึงชีวิตจริงที่สนิทกันเหมือนเป็นพี่น้อง ปรึกษาคุยเล่นกันได้ทุกเรื่องค่ะ ส่วนนนกุลเขาเป็นคนที่ตั้งใจ มีวินัยในการทำงานมาก เป็นคนเรียบร้อย ซึ่งจะฉีกไปจากคนอื่นๆ เช่น พี่เจนนี่ ปาหนัน, พี่ท็อป-ดารณีนุช, ออฟ-จุมพล ฯลฯที่เวลาเข้าซีนด้วยกันก็จะมีพูดประโยคใหม่ขึ้นมาแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว ทุกคนเก่งเรื่องการอิมโพรไวส์มาก แถมแต่ละซีน แต่ละเทคก็ไม่เหมือนกัน ทำให้เราต้องมีสมาธิมากๆ ต้องคุมสติตัวเองให้อยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะหลุดหัวเราะออกมา"


"เฟิร์นเป็นแบบนั้นหลายครั้งมาก และทำเทคหลายรอบมากด้วยค่ะ สำหรับเรื่องนี้ก็อยากให้ทุกคนดูแล้วคลายเครียด ใบเฟิร์นเองก็รอดูตัวเองทุกอีพีเหมือนกัน ดูแล้วก็ตลก ดูแล้วก็สนุก ทำให้นึกถึงวันนั้นที่ถ่ายทำด้วยกัน และบรรยากาศในกองก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานมากๆ ยังไงก็ขอฝากซีรีส์  '46 วัน ฉันจะพังงานวิวาห์' ด้วยนะคะทางช่องจีเอ็มเอ็ม 25 เนื้อเรื่องจะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และใบเฟิร์นก็ได้เป็นหลายอย่างมากในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย หวังว่าซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้แฟนๆ นั่งหัวเราะ มีความสุขและสนุกไปด้วยกันนะคะ"
#3240



ช่วงนี้โอปป้าชวนปลูกต้นไม้ ตามรอยซีรีส์เกาหลี "Nevertheless" โดย "เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก" เลือก "ต้นไม้สไตล์มินิมอล" ตกแต่งห้องก็สวย ช่วยฟอกอากาศได้ด้วย

ซีรีส์เกาหลี Nevertheless (รักนี้ห้ามไม่ได้) ออกฉายไปไม่กี่ตอน (เผยแพร่โดย Netflix) บรรดาติ่งเกาหลีพากันหา ต้นไม้สไตล์มินิมอล มาประดับห้อง โดยเฉพาะบทพูดที่พระเอก – พัคแจออน พูดกับนางเอก – ยูนาบี ว่า "ไปดูผีเสื้อกันไหม...ที่บ้านฉัน" กลายเป็นวลียอดฮิตติดกระแสโซเชียล อยากมีโอปป้าชวนไปดูผีเสื้อบ้าง...


ช่วงนี้ฤดูฝน ศูนย์การค้า เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก (ราชประสงค์) ขอเกาะกระแสมาแรงของซีรีย์ดัง ชวนทุกคนปลูกสีเขียวไว้ในบ้านกับ ต้นไม้สไตล์มินิมอล กันก่อนจะไปดูผีเสื้อ...ปลูกต้นไม้ดีต่อใจเสมอ และ ต้นไม้สไตล์มินิมอล ดูแลง่าย ตกแต่งมุมไหนก็สวย ช่วยเพิ่มออกซิเจน และช่วยฟอกอากาศได้ด้วย เช่น


   คาลล่า ลิลลี่ ดอกสีม่วงสวยมาก

คาลล่า ลิลลี่ (Calla Lily) ไม้ดอกหลากสีสันสวยงาม มีถิ่นกำเนิดในอัฟริกาใต้ 

การดูแล :  ชอบแสงรำไร  รดน้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า


    ยางอินเดียดำ

สุขสมใจปอง หนึ่งในไม้ประดับชื่อมงคล สายพันธุ์อะโกลนีมา ราชาแห่งไม้ประดับสีสันฉูดฉาดโดดเด่น

การดูแล : แสงแดดรำไร  รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวัน โดยให้ดูความชื้นของดินเป็นหลัก


     มอนสเตอร่า ต้นไม้ฟอกอากาศยอดนิยม

ออมชมพู ต้นไม้ชื่อมงคล มีเก็บมีออม สีชมพูที่สายหวานต้องมี หนึ่งในไม้กระแสตระกูลซินนิงเกีย (Sinningia) ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในชั่วโมงนี้

การดูแล : แสงแดดรำไร  รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวัน