• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Shopd2

#3161


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือ 11 สิงหาคม 2564 "วงเงินฝากซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน":[1] ซึ่งในกรณีของไทยนั้น เป็นการนับถอยหลังกระบวนการทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากตามลักษณะจำนวน (Blanket Guarantee) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ทศวรรษ (ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2554-11 ส.ค. 2564) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองลงมาน่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่มีความรอบคอบทั้งในด้านสถาบันการเงินและผู้ฝากเงิน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาระของภาครัฐและผู้เสียภาษีดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540


นอกจากนี้กำหนดการสำหรับการปรับลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองก็มีการวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของสถาบันการเงินไทยในปัจจุบันทำให้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนเวลาออกไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองเงินฝากตามรายงานของ International Association of Deposit Insurers (IADI)[2] ที่ระบุว่า สถาบันประกันเงินฝากส่วนใหญ่ยังคงระดับการค้ำประกันเงินฝากไว้ตามเดิม โดยที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นดังเช่นวิกฤตปี 2008 (เนื่องจากทางการได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบหลากหลายด้านเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินมีการปฏิรูปการดำเนินงานหลังวิกฤต ทำให้เข้มแข็งขึ้นมาก) ขณะที่การเปิดโอกาสให้ผู้มีเงินออมสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นส่วนที่สะท้อนว่า ระบบการเงินของไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องเหมือนกับวิกฤติปี 2540 ด้วยเช่นกัน

การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองยุคโควิด...ผลกระทบต่อย้ายเงินฝากน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีสถานะสภาพคล่องและเงินทุนที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการฝากเงินและสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากว่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนในอัตราที่กำหนด ขณะที่การฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ตอบโจทย์มากกว่าเรื่องของความมั่นคง นั่นคือ ความสะดวกสบายในการใช้บริการทางการเงินอื่นๆ ทั้งโอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงเป็นรากฐานข้อมูลการทำธุรกรรมเพื่อใช้บริการสินเชื่อในอนาคต หรือเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ
 

 เมื่อย้อนกลับมาดูสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทยและสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) พบว่า มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมสูงถึง 20.12% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมาณ 11-12%[3] รวมถึงมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) ที่ 195.14% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปัจจุบันของทางการที่ 100% ขณะที่ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับมีเกณฑ์การผ่อนปรนจากทางการ อาทิ ความยืดหยุ่นในการจัดชั้นหนี้ และการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพในระดับสูงถึง 1.49 เท่าของเอ็นพีแอล  ดังนั้น จึงทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนได้ โดยที่ยังทำหน้าที่เกื้อกูลช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่ยังมีธุรกิจอยู่ ประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ สามารถส่งมอบเงินฝากพร้อมผลตอบแทนคืนให้ผู้ฝากได้ทุกบาททุกสตางค์    

 

แม้จะลดวงเงินฝากคุ้มครองมาที่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ความครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ยังสูงถึงกว่า 98.0% โดยครอบคลุมผู้ฝากเงิน 82.1 ล้านราย (ข้อมูลจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) สอดคล้องกับหลักการของการคุ้มครองเงินฝากที่ให้สวัสดิการดูแลพื้นฐานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่หากมองในมิติเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ความคุ้มครองจะครอบคลุมประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์รวมทั้งหมด เนื่องจากประกอบด้วยบัญชีบุคคลรายย่อยที่มีฐานะ บัญชีเงินฝากกลุ่มสถาบัน หรือธุรกิจ ที่มีมูลค่าเงินฝากต่อบัญชีจำนวนมากกว่า 1 ล้านบาทในสัดส่วนอีก 4 ใน 5 ที่เหลือ ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้ฝากเหล่านี้มีความรู้เพียงพอที่จะดูแลความมั่งคั่งของตนให้ปลอดภัยได้ รับความเสี่ยงจากการออม/ลงทุนได้มากกว่า รวมถึงใช้บัญชีเงินฝากเพื่อเป็นทางผ่านของธุรกรรมการเงินเพื่อธุรกิจมากกว่าการออมเพื่อได้รับความคุ้มครองเงินต้นและดอกเบี้ย

 

สำหรับแนวโน้มเงินฝากในระยะที่เหลือของปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มเติบโตในกรอบ 3.5-4.5% เทียบกับอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3.6% YoY ณ เดือนมิถุนายน 2564 โดยสาเหตุที่ทำให้เงินฝากเติบโตในกรอบจำกัด มาจาก คือ 1) ผลกระทบจากโควิดหลายระลอก ซึ่งคาดว่าจะกระทบอัตราการขยายตัวของเงินฝากในกลุ่มเงินฝากที่มียอดคงค้างต่อบัญชีไม่สูงมากนัก เนื่องจากรายได้ที่ลดลง/หายไป ทำให้ภาระหนี้เพิ่มและอาจต้องพึ่งเงินออมในการประคองการใช้จ่ายจำเป็น และ 2) การกระจายการลงทุนไปสู่ช่องทางอื่นๆ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งน่าจะอธิบายอัตราการเติบโตของเงินฝากในกลุ่มที่มียอดคงค้างต่อบัญชีในระดับสูง ที่เห็นการเติบโตชะลอลงค่อนข้างชัดเจน นอกเหนือไปจากการที่ผู้ฝากกลุ่มนี้ ซึ่งคงปะปนด้วยผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว จะนำเงินออมไปประคองธุรกิจบางส่วนเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ระยะถัดไป หากเทียบกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น การที่มีรัฐช่วยสร้างความมั่นใจในการคุ้มครองเงินฝาก อาจช่วยเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการดึงเงินฝากมูลค่าสูงและจากกลุ่มผู้ฝากที่พึ่งเงินออมเพื่อเกษียญอายุ อันอาจมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้แข่งขันได้มากขึ้น นอกเหนือจากนั้น คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงเน้นการนำเสนอบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน ทั้งที่ผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าและระบบอัตโนมัติในลักษณะ Application หรือ Robo Advisors เพื่อเปิดทางเลือกของการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงทางเลือกที่ดูแลเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่แข่งขันได้กับเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากส่วนที่เกินจากความคุ้มครองขั้นต่ำด้วย

[1] สถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ สาขาธนาคารต่างประเทศ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซแอร์ รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

[2] https://www.iadi.org/en/news/recent-iadi-covid-19-survey-results-and-briefing-note-on-ensuring-business-continuity-and-effective-crisis-management-activities-for-deposit-insurers/ (ปี 2020)

[3]  เกณฑ์ 11% สำหรับ ธ.พ. ทั่วไป และ 12 % สำหรับ D-SIBs
#3162


"BLACKPINK" เกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอตระดับโลก กลับมายึดพื้นที่ความโด่งดังของพวกเธออีกครั้ง ปล่อยผลงานเพลงใหม่ "THE ALBUM - JP Ver." สุดปังในภาษาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

กลับมาประกาศศักดาพร้อมยึดพื้นที่ความโด่งดังอีกครั้ง สำหรับ "BLACKPINK" 4 สาว เกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอตระดับโลก ล่าสุดพวกเธอปล่อย "THE ALBUM - JP Ver." สุดปังในภาษาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก


งานเพลงชุดนี้เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ ไปในวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา อัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด 8 แทร็กด้วยกันประกอบด้วย 4 แทร็กในเวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น และมี 4 แทร็กที่เป็นเวอร์ชั่นต้นฉบับ

นอกจากนี้พวกเธอยังรวมเอาเพลงฮิตที่ได้ ซุปตาร์สาว "Selena Gomez" มาร่วมเสิร์ฟรสชาติหอมหวานในเพลง "Ice Cream" ที่กวาดยอดวิวกว่า 600 ล้านวิว สูงเป็นประวัติกาล ไว้ในอัลบั้มนี้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้พวกเธอทั้ง 4 คน ยังออก Physical มาถึง 8 แบบให้ FC ได้สะสม เรียกว่าเอาใจชาว "BLINK" กันสุด ๆ ไปเลย

สำหรับ "BLACKPINK" (แบล็กพิงก์) เป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปแห่งยุคจากเกาหลีที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก

BLACKPINK เป็นวงในสังกัดค่าย YG Entertainment ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 4 คนคือ Jisoo (จีซู), Jennie (เจนนี), Rosé (โรเซ) และ Lisa (ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล-ไทย)

BLACKPINK เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ปี 2016 ในงานโชว์เคสพร้อมกับซิงเกิ้ลอัลบั้มที่มีชื่อว่า "Square One"


หลังจากวางจำหน่ายไป ซิงเกิ้ล "Whistle" กลายเป็นเพลงแรกของวงที่ขึ้นอันดับ 1 บน Gaon Digital Chart เช่นเดียวกันกับซิงเกิ้ล "Boombayah" กลายเป็นเพลงแรกที่ติดอันดับ 1 บน Billboard World Digital Songs chart อีกทั้งวงยังได้รับรางวัล Golden Disc Awards และ Seoul Music Awards สาขาศิลปินหน้าใหม่แห่งปี หลังจากนั้น BLACKPINK ก็เดินหน้าโกยชื่อเสียงความสำเร็จ โดยมีผลงานเพลงฮิตมากมาย อาทิ Playing with Fire, Stay, As If It's Your Last, Ddu-Du Ddu-Du, Kill This Love และ Ice Cream เป็นต้น

BLACKPINK เป็นเกิร์ลกรุ๊ปจากเอเชียที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในระดับโลก เป็นศิลปินหญิงที่มียอดคน ติดตามใน YouTube มากที่สุด และมียอดผู้ติดตามสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก จัสติน บีเบอร์


รายชื่อเพลงใน "THE ALBUM - JP Ver." (Track listing)
1.How You Like That -JP Ver.
2.Ice Cream (Feat. Selena Gomez)
3.Pretty Savage -JP Ver.-
4.. You Wanna (Feat. Cardi B)
5.Lovesick Girls -JP Ver.-
6.Crazy Over You
7.Love To Hate Me
8.You Never Know -JP Ver.
#3163


'สี จิ้นผิง'ตั้งเป้าส่งวัคซีนโควิดช่วยทั่วโลก 2 พันล้านโดสในปีนี้ พร้อมบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่โครงการโคแวกซ์

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า จีนจะจัดส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 2,000 ล้านโดสให้แก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกภายในปี 2564 นี้

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสียังระบุว่าจีนจะบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่โครงการโคแวกซ์ซึ่งเป็นโครงการกระจายวัคซีนให้แก่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย หลังจากที่ผ่านมา จีน ได้จัดส่งวัคซีนจพนวนกว่า 770 ล้านโดสไปให้ประเทศอื่นๆ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ค.ในการประชุมฉุกเฉินในระดับประมุขแห่งรัฐและรัฐบาลกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปก)ทางออนไลน์ ประธานาธิบดีสี สัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ แก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อนำไปต่อสู้กับโควิด-19 ให้ฟื้นตัวจากผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
#3164


ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(เอดีบี) ,บริษัทการเงินชั้นนำของโลกอย่างพรูเดนเชียล, ซิติ,เอชเอสบีซี และแบล็กร็อค เรียล แอสเสตต์ ร่างแผนการต่างๆเพื่อปิดโรงผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินในหลายประเทศของเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลขณะนี้ก็เริ่มใช้น้ำมันน้อยลงและหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น

เว็บไซต์อัลจาซีราห์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงใน 5 คนที่รู้เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ดี ระบุว่า บริษัทการเงินชั้นนำของโลกวางแผนการต่างๆเพื่อเร่งกระบวนการปิดโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหินทั่วภูมิภาคเอเชียเพื่อลดแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ใหญ่ที่สุด

แผนการของกลุ่มบริษัทให้บริการทางการเงินที่ได้รับการสนับสนุนและขับเคลื่อนโดยเอดีบี เสนอรูปแบบการทำงานที่มีศักยภาพและการหารือแต่เนิ่นๆกับรัฐบาลของทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนธนาคารของประเทศต่างๆที่ต่างก็ให้การสนับสนุนแผนการนี้ กลุ่มฯมีแผนที่จะสร้างหุ้นส่วนที่เป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อซื้อโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าใช้พลังงานจากฟอสซิลภายใน15ปี ซึ่งเร็วกว่าอายุขัยโดยเฉลี่ยของโรงงานเหล่านี้ ทำให้พนักงานมีเวลาที่จะเกษียณหรือหางานใหม่ทำและเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และตั้งเป้าที่จะมีโมเดลที่พร้อมสำหรับการประชุมสภาพอากาศ COP 26 ที่จัดขึ้นในเมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพ.ย.นี้

"ภาคเอกชนมีแนวคิดที่ดีเยี่ยมหลายแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนและเราจะทำหน้าที่ประสานงานเพื่ออุดช่องว่างระหว่างภาคเอกชนและตัวแทนของภาครัฐ"อาห์เหม็ด เอ็ม ซาอิด รองประธานเอดีบี กล่าว

ข้อริเริ่มในเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่บรรดาธนาคารเพื่อการพัฒนาแลพธนาคารพาณิชย์กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ถอนตัวจากการสนับสนุนทางการเงินแก่บรรดาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานรูปแบบเก่าเพื่อให้การผลักดันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ดำเนินไปตามเป้าที่หลายประเทศวางไว้


ซาอิด กล่าวด้วยว่า การซื้อโรงไฟฟ้าแห่งแรกภายใต้โครงการนี้น่าจะเริ่มได้เร็วที่สุดปีหน้่า โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลมีสัดส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลก ถือเป็นตัวการสร้างมลภาวะรายใหญ่สุด

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ)คาดการณ์ว่า ความต้องการถ่านหินทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 4.5% ในปี 2564 โดยภูมิภาคเอเชียมีสัดส่วนการใช้พลังงานชนิดนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 80%

ขณะที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(ไอพีซีซี)เรียกร้องให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานถ่านหินลดการใช้ถ่านหินลงจาก 38% เหลือ 9%ของการผลิตพลังงานทั่วโลก ภายในปี 2573 และเหลือ 0.6% ภายในปี 2593

ด้านชาติสมาชิกอาเซียนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล เริ่มลดการใช้น้ำมัน พลังงานจากถ่านหิน หรือแหล่งพลังงานที่สร้างมลภาวะแก่บรรยากาศ ด้วยความหวังว่าจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและเพื่อผลักดันให้ประเทศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ในปริมาณน้อยที่สุด โดยรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าของรัฐบาลอินโดนีเซีย ให้คำมั่นว่าจะเลิกใช้พลังงานจากถ่านหินภายใน 40ปี

ปรูซาฮาน ลิสตริก เนการา ของอินโดนีเซีย ให้สัญญาว่าจะเลิกสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้ที่ใช้ถ่านหินเพิ่มและมีแผนที่จะเปลี่ยนโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ในช่วงปี 2568 และ2603 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องท้าทายอย่างมากเนื่องจากเชื้อเพลิงจากฟอสซิลยังคงมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้ในยุคที่ทุกครัวเรือและทุกภาคอุตสาหกรรมต่างก็ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น

กระทรวงพลังงานและทรัพยากรเหมืองของอินโดนีเซีย ระบุว่า ประเทศผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินในสัดส่วนสูงถึง 48% เพราะฉะนั้น อุตสาหกรรมถ่านหินยังคงเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และถ่านหินอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้อินโดนีเซียไม่สามารถให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ให้เป็นศูนย์เปอร์เซนต์ได้เหมือนประเทศอื่นๆ

สำหรับในประเทศไทย รัฐบาลตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน และปี 2583 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่ารถยนต์แบบเดิม เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมันจะหันไปสู่ธุรกิจให้บริการแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน

ขณะที่ค่ายรถยนต์ทุกแห่งต่างหันเข้าสู่สนามการผลิตใหม่กันถ้วนหน้า เห็นได้จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) โดยค่ายรถยนต์ทั้ง นิสสัน โตโยต้า มาสด้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ ออดี้ เอ็มจี เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ที่เห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ชนิดนี้

ส่วนในเวียดนาม กระทรวงอุตสาหกรรม กำลังพิจารณาให้แรงจูงใจด้านภาษีสำหรับผู้ต้องการซื้อรถไฟฟ้า และกลุ่มบริษัทชั้นนำของเวียดนามอย่าง วินกรุ๊ป กำลังเดินสายการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งคัน พร้อมทั้งวางแผนจำหน่ายในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

ขณะที่การสนับสนุนจากนานาชาติก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านนี้ดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนมิ.ย. ญี่ปุ่นจัดสรรเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่อาเซียนเพื่อเป็นทุนใช้ในโครงการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
#3165


รายงานข่าวจาก หัวเว่ย เผยว่า ช่วยสนับสนุนสิงคโปร์ในการสร้างศูนย์กลางด้านสตาร์ทอัพแห่งแรกของเอเชีย-แปซิฟิกมาตั้งแต่ปี 2563 และได้ขยายโครงการไปยังฮ่องกง ไทย มาเลเซีย 

โดยจากนี้จะเน้นความสำคัญไปที่การพัฒนาศูนย์กลางด้านสตาร์ทอัพเพิ่มเติมอีกสี่แห่งในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และเวียดนาม มีเป้าหมายในการรวบรวมสตาร์ทอัพกว่า 1,000 ราย โดยสตาร์ทอัพ 100 รายจากในจำนวนนี้จะได้รับการต่อยอดสู่โครงการ Spark Accelerator

สำหรับประเทศไทย ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) สำนักงานนวัตกรรแห่งชาติ (NIA) และพันธมิตรที่มีชื่อเสียงอีกหลายราย จัดการแข่งขัน "Spark Ignite 2021 – Thailand Startup Competition" เมื่อเดือนมิ.ย. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีทั่วประเทศเข้าร่วมการแข่งขันชิงรางวัล ครั้งนี้มีสตาร์ทอัพศักยภาพสูงกว่า 10 รายจากทั่วประเทศเข้าร่วม 


นอกจากนี้ เปิดตัวโครงการเกี่ยวกับสตาร์ทอัพอีกสามโครงการประกอบด้วยโครงการ Spark Developer Program ที่มุ่งฟูมฟักอีโคซิสเต็มนักพัฒนาในเอเชีย-แปซิฟิกผ่าน HUAWEI CLOUD, โครงการ Spark Pitstop Program ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลและให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพในระบบ HUAWEI CLOUD ให้สามารถเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ และโครงการ Spark Innovation Program (SIP) ที่เน้นด้านการอำนวยความสะดวกด้านนวัตกรรมธุรกิจองค์กรผ่านอีโคซิสเต็มสตาร์ทอัพภายใต้โครงการ Spark

แคทเธอรีน เฉิน รองประธานอาวุโสและคณะกรรมการบริหาร หัวเว่ย กล่าวว่า เราต่างทราบดีถึงศักยภาพของสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี ที่เป็นทั้งนักประดิษฐ์คิดค้น นักปฏิรูป และผู้บุกเบิกของยุคสมัย โดยธุรกิจเหล่านี้สร้างการจ้างงานคิดเป็นสัดส่วนถึงสองในสามจากทั้งโลก สร้างงานใหม่ทั้งหมดกว่าสองในสามจากทั้งโลก ทั้งยังได้สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของโลกได้กว่า 50% 

เมื่อ 34 ปีที่แล้ว หัวเว่ยเองก็เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าการจดทะเบียนเพียง 5,000 ดอลลาร์เท่านั้น  จึงมีแนวคิดว่าจะสามารถใช้ประสบการณ์และทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพอื่นๆ ก้าวข้ามความท้าทายได้อย่างไร 

โดยคาดว่าความช่วยเหลือนี้จะสามารถช่วยให้สตาร์ทอัพคว้าโอกาสที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุตดิจิทัล ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ และพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อโลกได้มากขึ้น

เจาง ผิงอัน (Zhang Ping'an) ประธานกลุ่มธุรกิจคลาวด์ หัวเว่ย กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจะยกระดับการสนับสนุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพผ่านนโยบายใหม่ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการทำงานผสานกันระหว่างคลาวด์กับคลาวด์ (cloud-plus-cloud collaboration) การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง บริการคลาวด์ทั้งในระดับโลกและระดับท้องถิ่น และอีโคซิสเต็มที่มีคุณภาพสูงสำหรับธุรกิจ 

หัวเว่ยเปิดตัวโครงการ Cloud-plus-Cloud Collaboration and Joint Innovation Program เพื่อให้การสนับสนุนธุรกิจสตาร์อัพด้วยทรัพยากรมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์  โดยเงินลงทุนครึ่งหนึ่งมาจาก HUAWEI CLOUD และอีกครึ่งหนึ่งมาจาก Huawei Mobile Services (HMS)

ปี 2564 มีแผนสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพให้ถึง 200 รายในด้านอีโคซิสเต็ม HMS รวมทั้งแบ่งปันช่องทางจากเครือข่าย ของเรากับนักพัฒนาทั่วโลก ซึ่งต่างทำงานเพื่อรองรับผู้ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยกว่า 1,000 ล้านคน นอกจากนี้ เรายังจะเปิดศูนย์ HMS Developer Innovation Center เพื่อสนับสนุนนักพัฒนา HMS Cloud กว่า 100,000 รายโดยเฉพาะ
#3166


นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า การจัดทำโรงพยาบาลสนามระดับสูง (สนามบินสุวรรณภูมิ) ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้ ทอท.ได้เตรียมความพร้อมในส่วนของพื้นที่ไว้แล้ว โดยประสานกับกระทรวงสาธารณสุขในการจัดทำระบบไอซียู ซึ่งจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์จะเรียบร้อย

ทั้งนี้ ในการใช้พื้นที่อาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่ 1 สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่สนามบิน ทอท.จึงได้ทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมธนารักษ์ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แล้ว โดยขณะนี้อาคาร SAT-1 ยังไม่ถือว่าเป็นพื้นที่เขตการบิน (Airside) แต่อย่างใดเนื่องจากจัดเป็นเขตก่อสร้างโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่ง ทอท.ได้แจ้งต่อ กพท.กำหนดเงื่อนไขพื้นที่ก่อสร้างอาคาร SAT-1 เป็นพื้นที่นอกเขตการบิน (Landside) และมีการกันพื้นที่ส่วนก่อสร้างออกจากพื้นที่ให้บริการเขตการบิน มีการดูแลพื้นที่ประชิดเขตการบิน ควบคุมการเข้าออกของแรงงานก่อสร้าง และตามแผนงานเมื่อดำเนินการก่อสร้างเสร็จจึงจะขอเปลี่ยนแปลงให้พื้นที่อาคาร SAT-1 คืนสภาพเป็นพื้นที่เขตการบิน (Airside) ต่อไป

ดังนั้น ในระหว่างเปิดอาคาร SAT-1 ให้เป็นโรงพยาบาลสนามจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการผู้โดยสารและความปลอดภัยทางการบินแต่อย่างใด โดยอาคาร SAT-1 อยู่ห่างจากอาคารผู้โดยสารหลัก 500 เมตร อีกทั้งยังไม่มีการเปิดใช้ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่ให้บริการในปัจจุบันได้ โดยการเข้าออกทั้งหมดจะใช้ถนนที่ใช้ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น 

นายกีรติกล่าวว่า ปัจจุบันการก่อสร้างอาคาร SAT-1 เสร็จแล้ว โดย ทอท.รับมอบงานจากผู้รับเหมาเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2564 โดยสัญญาก่อสร้างมีการรับประกันระยะเวลา 2 ปี ซึ่งการนำอาคารมาใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม ซึ่งไม่ใช่ประโยชน์หรือกิจกรรมสนามบินนั้น ทอท.ได้ทำหนังสือถึงผู้รับเหมาก่อสร้างรับทราบและยอมรับการนำพื้นที่ใช้เป็นโรงพยาบาลสนามแล้ว เบื้องต้นผู้รับจ้างรับทราบและไม่มีปัญหา ยืนยันการรับประกันตามสัญญา ซึ่งอยู่ระหว่างทำหนังสือรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมาเท่านั้น 

สำหรับการจดตั้งโรงพยาบาลสนามระดับสูง (สนามบินสุวรรณภูมิ) ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่ 1 (SAT1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะรองรับผู้ป่วย 4,500 เตียง โดยชั้นที่ 2 ของอาคาร SAT-1 จะเป็นที่ทำการแพทย์และเตียงผู้ป่วย ICU รวม 940 เตียง ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 เป็นเตียงผู้ป่วยอาการน้อยหรือไม่มีอาการ หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีเขียว 3,560 เตียง ซึ่งเมื่อกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดำเนินการจัดตั้งแล้วจะมีสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลดำเนินการ โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน ส.ค.เป็นต้นไป
#3167


เมื่อเร็วๆนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์กรที่มุ่งมั่นและสนับสนุนการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงโลกสู่ความยั่งยืนได้ส่ง 20 ตัวแทนเยาวชนและคนรุ่นใหม่จากกลุ่มธุรกิจในเครือฯ เข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาติ One Young World Summit 2021 ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระหว่างวันที่ 22-25 กรกฎาคม 2564 ณ Olympic Hall  เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

โดยปีนี้จากสถานการณ์โควิด-19 ได้ปรับรูปแบบเป็นการจัดประชุมเสมือนจริงผ่านทางออนไลน์ (Virtual Summit) และถ่ายทอดสดจากกรุงมิวนิคเพื่อออนไลน์ไปยังผู้เข้าร่วมทั่วโลก ซึ่งบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความคึกคัก มีตัวแทนเยาวชนและผู้นำคนรุ่นใหม่กว่า 1,700 คน จาก 170 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมเพื่อแสวงหาความร่วมมือและแนวทางแก้ปัญหาสำคัญต่าง ๆ ของโลกเพื่อนำไปสู่โลกที่ยั่งยืนในทุกมิติ

เครือซีพีตระหนักถึงการส่งเสริมและสร้างบทบาทผู้นำเยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทยที่จะขึ้นมาเป็น "The Change Maker" หรือผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้แก่สังคมและประเทศชาติ เพื่อเป็นพลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้โลกที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยในงานมี นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมนี ให้เกียรติกล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน นายดีเทอร์ เรเทอร์ นายกเทศมนตรีเมืองมิวนิค พร้อมด้วย นางเคท โรเบิร์ตสัน และ นายเดวิด โจนส์ สองผู้ก่อตั้ง One Young World Summit ร่วมกล่าวเปิดการประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ 


นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า การจัดประชุม One Young World Summit ได้รวมเหล่าผู้นำคนรุ่นใหม่และเยาวชนที่มีศักยภาพจากประเทศต่างๆทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่ออภิปรายแลกเปลี่ยนมุมมองสำคัญในแต่ละหัวข้อสำคัญของโลกที่ครอบคลุมในทุกมิติตั้งแต่การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การขจัดความยากจน เป็นต้น

สำหรับปีนี้ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าของเมืองมิวนิคที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่จะทำให้มองประเด็นปัญหาของโลกที่เกิดขึ้นผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ และเป็นรากฐานสำคัญในการหารือแนวทางแก้ปัญหาโลกได้อย่างตรงจุด และนำไปสู่การเตรียมความพร้อมที่จะรับมือต่อปัญหาที่เป็นวิกฤตเร่งด่วน

ทั้งยังเป็นเวทีที่ได้รวมคนรุ่นใหม่อย่างพร้อมเพรียงเพื่อให้เราตระหนักว่า เราจะสามารถเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกไปด้วยกันได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤตเสียขวัญมาเป็นเวลากว่า 1 ปีครึ่ง งานประชุมนี้จึงถือเป็นทั้งโอกาสและความคืบหน้าที่ดีขึ้นของโลกใบนี้ที่แม้การจัดประชุมอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากจากวิกฤตโควิด-19 แต่เชื่อมั่นว่าจะจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคน

สำหรับการประชุม One Young World 2021 ได้วางประเด็นหารือแนวทางแก้ปัญหาวิกฤตสำคัญของโลกไว้ด้วยกัน 6 ประเด็น คือ 

1.การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Crisis)

2.การศึกษา (Education) 

3.สิทธิและเสรีภาพ (Rights & Freedom)

4.การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Conflict Resolution)

5.การพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต (Future Economies) 

6.บทเรียนจากโรคระบาด (Lessons from The Pandemic)

พร้อมกันนี้ยังได้เชิญตัวแทนผู้นำ ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกมาร่วมปาฐกถาพิเศษเพื่อจุดประกายการเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วย อาทิ ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม นายโรแลนด์ บุช ประธานคณะกรรมการบริหารของบริษัท ซีเมนส์ เอจี เยอรมนี นายโธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซี (IOC) เซอร์บ๊อบ เกลดอฟ  ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดังในประเด็นการต่อต้านความยากจนในแอฟริกา ศาสตราจารย์ โชชาน่า ซูบอฟ (Professor Shoshana Zuboff) นักวิชาการชื่อดังด้านสิทธิและเสรีภาพ และนางแองเจล่า หวัง (Angela Hwang) สมาชิกของทีมผู้บริหารของไฟเซอร์และประธานกลุ่มของกลุ่มบริษัท ชีวเภสัชภัณฑ์ของไฟเซอร์ เป็นต้น


นายดีเทอร์ เรเทอร์ นายกเทศมนตรีมิวนิค กล่าวเปิดงานว่า หัวใจสำคัญของการประชุมผู้นำรุ่นใหม่ระดับโลกครั้งนี้  คือ 'Pacmaso' หรือ การลงมือทำ การร่วมแรงร่วมใจเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความสำเร็จไปด้วยกัน โดยการรวมตัวกันของตัวแทนผู้นำรุ่นใหม่จากทั่วโลกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ผนึกกำลัง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองต่อประเด็นสำคัญทางสังคมถึง 6 ประเด็นที่ต้องใช้พลังคนรุ่นใหม่มาร่วมแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้

นางเคท โรเบิร์ตสัน และ นายเดวิด โจนส์ สองผู้ก่อตั้งเวทีการประชุมผู้นำรุ่นใหม่ ได้กล่าวต้อนรับเหล่าตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่และพูดถึงบทบาทของเวทีนี้ว่าจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำรุ่นใหม่ทั่วโลกที่จะก้าวออกไปเป็นผู้ร่วมเปลี่ยนแปลงโลก และมุ่งหวังว่าจะได้จุดประกายให้เกิดหนทางแก้ปัญหาใหม่ ๆ  ผ่านกิจกรรมและโครงการที่ผู้นำเยาวชนของแต่ละประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนต่อไปเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ร่วมผนึกมุมมองที่แตกต่างทางความคิดเพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโลกใบนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าความหลากหลาย คือ จุดแข็งของโลกยุคใหม่


ด้านตัวแทนเยาวชนคนรุ่นใหม่จากเครือซีพี ได้แสดงทัศนะต่อประเด็นท้าทายสำคัญของโลก

น.ส.จารุพร สุขเกษตร ตัวแทนจากกลุ่มเจียไต๋  ธุรกิจในเครือซีพี ซึ่งสนใจประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  กล่าวว่า สังคมหันมาสนใจปัญหานี้มากขึ้น แต่ยังไม่ได้มีการแก้ไขอย่างทั่วถึง ในฐานะที่ทำงานอยู่ในแวดวงเกษตรโดยตรง ทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจนทั้งจากปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรและผลผลิต ต่อเนื่องไปจนถึงความมั่นคงทางอาหาร

ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างความตระหนักรู้และเร่งแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วให้มีประสิทธิภาพ เช่น การนำแนวคิดเกษตรแม่นยำเข้ามาช่วยพัฒนาขั้นตอนการผลิต รวมไปถึงการพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ทนต่อความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ สภาพอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก จึงอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่จะสร้างความตระหนักรู้โดยเชื่อว่าจะต้องเริ่มต้นจากตัวเราในการลงมือทำแก้ไขปัญหาและจุดประกายให้คนอื่นร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้

นายชยพัทธ์ ปทุมนากุล จากกลุ่มทรู ในเครือซีพี กล่าวถึงประเด็นด้านการศึกษาว่า การศึกษาเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสังคม เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงการศึกษาคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาระบบการศึกษาให้เข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล โดยจะต้องมีการเสริมทักษะ upskills และ reskills ทางด้านดิจิทัลให้กับเยาวชนเพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงการศึกษาในยุค 4.0

สำหรับการประชุม One Young World Summit 2021 ในปีนี้ได้สรุปปิดการประชุมด้วยการตอกย้ำความสำคัญในเรื่อง "ความหลากหลายทางความคิด" ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสังคมให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต โดยต้องสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ตลอดจนพัฒนาทักษะองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมารวมถึงการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดสิ่งเหล่านี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอนาคตได้ สำหรับการประชุม One Young World Summit ในปี 2022 จะจัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น
#3168


คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ "แอชตัน อโศก" มูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง "บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ยังคงเป็นประเด็นร้อนของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจลุกลามไปยังพัฒนาโครงการอื่นๆทั้งห้างค้าปลีก โรงแรม ที่อยู่อาศัย ในกรณีที่มีการใช้ทางเชื่อมกับระบบสาธารณูปโภคของรัฐ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกฏหมายเวนคืนที่ดิน 

ทันทีที่มีคำพิพากษาศาลออกมา วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา "อนันดาฯ" บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ ต้องเร่งแจงลูกบ้าน เพื่อลดผลกระทบ ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ล่าสุด บริษัทได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมถึงแนวทางการแก้ปัญหา และยืนยันจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้โครงการขายเกือบหมด มียอดโอนแล้ว 87% คิดเป็นมูลค่า 5,639 ล้านบาท 


ทางเข้าโครงการแอชตัน อโศก

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการแก้ปัญหาโครงการแอชตัน อโศก เบื้องต้น บริษัทได้เตรียมข้อมูล และระดมทีมกฎหมายเพื่อดำเนินการยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน จากนั้นคาดว่ากระบวนการทางศาลจะใช้เวลา 3-5 ปี 

ทั้งนี้ ระหว่างกระบวนกานทางศาล บริษัทยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การดูแลจะดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders) ตลอดจนผู้ถือหุ้นอื่นๆ 

 นอกจากนี้ บริษัท ได้นำข้อมูลพร้อมชี้แจงเกี่ยวกับการซื้อที่ดินซึ่งอยู่ใกล้แยกอโศก เพื่อพัฒนาโครงการแอชตัน อโศก เนื่อที่กว่า 2 ไร่ แต่ทางเข้าออกหลักมีระยะเพียง 6.4 เมตรเท่านั้น จึงได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ทางเข้า-ออก ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) จากโครงการอื่นๆแล้ว 

ประกอบกับเวลานั้น รฟม. มีแนวคิดในการพัฒนาเมืองที่เรียกว่า Transit Oriented Development หรือ TOD  คือการพัฒนาที่เน้นระบบขนส่งมวลชน โดยออกแบบพื้นที่รอบสถานีให้ผสมผสานระหว่างศูนย์พานิชยกรรมร้านค้า ที่พักอาศัย แหล่งงาน ฯ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ในนี้มีการระบุรายละเอียดให้สามารถประกอบธุรกิจที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ได้ด้วย รวมถึงการให้กำหนดอัตราค่าตอบแทนการอนุญาตให้ใช้ที่ดินรฟม.เป็นทางผ่าน 

โดยบริษัทให้ค่าตอบแทนแก่รฟม. เป็นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท  ด้วยการสร้างอาคารที่จอดรถความสูง 7 ชั้น เบื้องต้นมีการวางเงินมัดจำแล้วจำนวนหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวบริษัทย้ำว่าโครงการ แอชตัน อโศก ไม่ใช่รายแรกที่ใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. เพราะที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานขออนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ทั้งการได้รับอนุมัติจาก 8 หน่วยงานราขการ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน ฯ


ผังที่ดินโครงการแอชตัน อโศก

บริษัทยังได้รับใบอนุญาต 9 ฉบับ เช่น ใบอนุญาตใช้ทางของรฟม. ใบอนุญาติเชื่อมทางสาธารณะ ใบรับแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ 3 ใบ ฯ นอกจากนี้ ยังขอความเห็นก่อนดำเนินการ 7 หน่วยงาน เช่น รฟม. กองควบคุมอาคาร สำนักการจราจร สำนักงานที่ดินฯ ผ่านความเห็นชอบจาก 5  คณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการ รฟม. คณะกรรมการ พิจารณาแบบของสำนักงานควบคุมอาคารว่าแบบก่อสร้างถูกต้อง เป็นต้น 

"บริษัทมั่นใจอย่างยิ่งว่าในกระบวนการดำเนินโครงการแอชตัน อโศก ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและสุจริต ชอบด้วยกฎหมายทุกขั้นตอน"


ทั้งนี้ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลออกมา บริษัทเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะกรณีดังกล่าวเปรียบเสมือนอุกาบาตหรือสินามิที่กระเทือนต่อเศรษฐกิจมหาศาล กระทบความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 

"ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์เหนื่อยอยู่แล้ว เจอแบบนี้ตอกย้ำว่าอยากให้เราตายเร็วใช่ไหม"

สำหรับโครงการเป็นอาคารชุดสูง 51 ชั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 666 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท การโอนห้องชุดแล้ว87% มูลค่ากว่า 5,639 ล้านบาท มีผู้พักอาศัย  578 ครัวเรือน แบ่งเป็นคนไทย 438 ราย และลูกค้าต่างชาติ 140 รายจากทั้งสิ้น 20 ประเทศ ปัจจุบันโครงการยังเหลือขายมูลค่า 842 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 2.48% ของมูลค่าโครงการเหลือขายทั้งหมด 33,973 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบดังกล่าว ยังส่งผลให้บริษัทต้องเลื่อนการออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท ออกไปประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้นักลงทุนพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน  

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปัญหาโครงการแอชตัน อโศกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯเท่านั้น แต่ยังกระเทือนวงการธุรกิจอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบธนาคาร ห้างค้าปลีก โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมที่ขอทางเชื่อมกับกฎหมายเวนคืนที่ดินทั้งหมด เฉพาะโครงการอสังหาฯ ยังมีอีก 13 โครงการ ที่มีลักษณะคล้ายกันกับอนันดา โดยเป็นโครงการเฉพาะ รฟม. 6 โครงการ ดังนั้น จึงเห็นควรหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาเป็นวาระแห่งชาติ 


แม้ยืนยันทำถูกต้อง แต่ยังมี 13 โครงการเข้าข่ายเดียวกับแอชตัน อโศก เฉพาะ รฟม.มีกว่า 6 โครงการ  

"ปัจจุบันอสังหาฯย่ำแย่อยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทยังมาถูกกระทบกับเรื่องนี้ด้วย ซึ่งยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากที่สุดในชีวิต เพราะธุรกิจ เศรษฐกิจได้รับผลกระทบในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่ายืนอยู่บนความถูกต้อง เพราะได้รับการอนุญาตจาก 8 หน่วยงาน ใบอนุญาต 9 ฉบับ และเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้ อนันดาฯจะผ่านไปได้" 
#3169


GTH "Golden triangle health" ผนึก NRF และ ม.ขอนแก่น เซ็น MOU นำเมล็ดกัญชงลงแปลงปลูกที่แรกในประเทศไทย เพื่อพัฒนาการปลูกและการสกัดกัญชง สถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ ด้าน "จุลภาส เครือโสภณ" นำร่องพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

นายจุลภาส (ทอม) เครือโสภณ ผู้ก่อตั้งบริษัท (Founder) บริษัท GTH "Golden triangle health" จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯ ร่วมกับ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ที่ให้บริษัทย่อย บริษัท ซูเปอร์ แพลนส์ จำกัด เข้าถือหุ้น GTH ในสัดส่วน 49% และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำพิธีปลูกกัญชงและพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการว พัฒนาการปลูกและสกัดกัญชงสถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1.พัฒนาและวิจัยการปลูก การสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพืชกัญชงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

2.เพื่อร่วมมือในการทดลอง วิจัย ปลูกและสกัดสารสำคัญจากพืชกัญชงสายพันธุ์คุณภาพที่บริษัทฯ นำเข้าเมล็ดพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะส่งเสริมการปลูกพืชกัญชงในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เบื้องต้น 400 ไร่ โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากมหาวิทยาลัย 3.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาสายพันธุ์กัญชงโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อให้ได้มาซึ่งกัญชงสายพันธุ์ไทยที่มีค่าสาร CBD สูงและค่าสาร THC ต่ำตามที่กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนด โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้รับผลผลิตจากสายพันธุ์กัญชงไทยที่มีการพัฒนาคุณภาพ

4.เพื่อร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การนำผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีส่วนผสมของกัญชงหรือสารสกัดกัญชงที่มาจากการพัฒน่ร่วมกันให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ 5.เพื่อร่วมมือในการ พัฒนาและสกัดโปรตีนจากพืชกัญชงรวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้โปรตีนสูงจากโปรตีนของพืชกัญชง และ6.เพื่อร่วมมือในการพัฒนาและจัดตั้งหลักสูตรการศึกษาในเรื่องโปรตีนจากพืชสนับสนุนและจัดสรรบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อหลักสูตรดังกล่าว

ด้านนางสาวณัฏฐิฏา ภูมิภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท GTH "Golden triangle health" จำกัด เปิดเผยว่าการปลูกและสกัดสารจากผลผลิตพืชกัญชงในส่วนของเมล็ดพันธุ์ที่บริษัทฯ นำเข้ามา เช่น เทอร์พีน (Terpene) น้ำมันในพืชกัญชงและสารสกัด CBD เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปพัฒนาและผสมในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตคิดค้นและวิจัย พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น นอกจากนี้ยังสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายตามความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ตลอดจนพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคต่อไปภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย

"ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจกัญชงในระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยคาดว่าหลังจากเริ่มปลูกและสามารถเก็บเกี่ยว เพื่อนำมาสกัดสารสำคัญต่างๆจะทำให้ตลาดสามารถขยายไปได้มากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนผู้ที่สนใจเกี่ยวกับธุรกิจกัญชงหรือสารสกัดจากกัญชง สามารถสอบถามได้ที่ บริษัท GTH ผ่านทางไลน์ @hemp_house" นางสาวณัฏฐิฏา กล่าว

อนึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่ศึกษาค้นคว้างานวิจัยทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีทั้งงานวิจัยพื้นฐาน งานวิจัยประยุกต์ มีนักวิจัยและเครื่องมือการวิจัยที่มีศักยภาพที่จะดำเนินการวิจัยต่างๆ ทุกด้านและทุกสาขาวิชา ดังนั้นมหาวิทยาลัยจึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยแคนนาบิสครบศาสตร์ ดำเนินการวิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับพืชกัญชงและกัญชา เพื่อปลูกประเมินลักษณะประจำพันธุ์และปริมาณสารสำคัญในกัญชง THC และ CBD ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตลอดจนพัฒนาระบบการผลิตกัญชงให้เหมาะสมกับพื้นที่ภาคอีสาน นอกจากจะเป็นประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ยังทำหน้าที่ส่งเสริมถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับกัญชง เป็นศูนย์กลางข้อมูล เพื่อเผยแพร่ความรู้ ข่าวสารให้กับวิสาหกิจชุมชน ชุมชน หน่วยงาน ภาครัฐบาล เอกชน ให้เกิดการต่อยอดสู่การอุตสาหกรรม
#3170


ฟุต.ทีมชาติไทย อันดับฟีฟ่าร่วงมากที่สุดอันดับ 1 ของโลก หล่นจาก 106 มาอยู่ที่ 123 ในการประกาศอันดับเดือน ส.ค.
จากผลพวงของการตกรอบ

ภายหลังการแข่งขันฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ทีมชาติไทย ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง จากผลงาน 3 นัดสุดท้าย ประกอบด้วย

- เสมอ อินโดนีเซีย 2-2
- แพ้ ยูเออี 1-3
- แพ้ มาเลเซีย 0-1

ซึ่งนอกจากจะอดเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุต.โลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชียแล้ว ยังส่งผลต่ออันดับโลกล่าสุดด้วย ทั้งนี้แม้จะต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจาก "ฟีฟ่า" ในวันที่ 12 สิงหาคมนี้

ทว่าจากการคิดคะแนนที่ทีมชาติไทย เสมอ อินโดนีเซีย และ แพ้ มาเลเซีย ซึ่งทั้งสองชาติล้วนมีอันดับต่ำกว่า ส่งผลให้ทีมชาติไทย จะมีอันดับลดฮวบฮาบ จากอันดับ 106 ลงมาอยูที่ 123 ของโลก อันดับลงลงถึง 17 อันดับ และยังมีอันดับตกลงมากที่สุดของโลกในรอบการจัดอันดับครั้งนี้อีกด้วย

ซึ่งแม้อันดับโลกจะรูดขนาดนี้ แต่ทีมชาติไทย ยังคงเป็นเบอร์ 2 ของอาเซียนอยู่ดี โดยมี เวียดนาม อยู่อันดับที่ 92 ของโลก เป็นเบอร์ 1 ของภูมิภาคเช่นเดิม
#3171


เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ต้องเติบโตมาพร้อมๆ กับ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล อย่างแน่นอน ซึ่งในวันวานเมื่อครั้งที่เขายังจับไมค์ร้องเพลงกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล เป็นคู่หูดูโอ้สองพี่น้องที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง ที่มีแฟนคลับติดตามอย่างมากมาย 

ข่าวแนะนำ
วันเวลาผ่านไป ทั้งกอล์ฟและไมค์ต่างก็แยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง และ ไมค์ พิรัชต์ น้องชายก็เลือกเส้นทางการเป็นนักแสดง ซึ่งไมค์ได้เป็นพระเอกละครที่ไทยอยู่หลายเรื่อง และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ไม่น้อย 

แต่สุดท้าย ไมค์เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่าการโกอินเตอร์นั่นเอง แต่การที่ไมค์ตัดสินใจในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง มีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ ไมค์ พิรัชต์ จากเด็กวัยรุ่นกับทรงผมที่ฮิตสุดในตอนเป็นกอล์ฟ-ไมค์ สู่การเป็นวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว 

กอล์ฟ-ไมค์ นักร้องวัยรุ่นสุดโด่งดัง
หลายๆ คนโตมาพร้อมๆ กับ 2 หนุ่ม กอล์ฟ-ไมค์ เราเลยถามตรงๆ ว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของไมค์นั้นทำมาประมาณกี่ปีแล้ว และเป็นยังไงบ้าง งานนี้เจ้าตัวตอบเราว่า 

"เรียกว่าโตมากับวงการบันเทิงได้เลยครับ ผมเริ่มเข้ามาทำงานเกี่ยวข้องวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้วครับ

ทำมาจนวันนี้เหมือนเป็นงานเดียวที่ผมทำจนชำนาญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว และผมก็รักและยังอยากเรียนรู้แล้วก็เติบโตไปกับมัน

ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราจะรู้สึกสนุกกับมัน รู้สึกอยากตื่นมาทำงาน มันเป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับการทำงาน แต่ก็ยอมรับว่ายังมีพัฒนาตัวเองอีกเยอะที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ และยังต้องฝึกฝนมันต่อไป"


จากนั้น เราให้หนุ่มไมค์ช่วยเล่าสมัยตอนที่เป็นนักร้องดังกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ ว่าตอนที่เป็น กอล์ฟ-ไมค์ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง งานนี้ไมค์เล่าอดีตในวันวานด้วยรอยยิ้มให้เราฟังว่า 

"ย้อนกลับไปคิดก็ตลกดีครับ ตอนนั้นยังเด็กๆ กันทั้งคู่ แล้วก็เข้าวงการมาด้วยกันตั้งแต่อายุยังน้อย ทุกวันหลังเลิกเรียนก็ตรงไปเข้าห้องซ้อมเลย ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ เหมือนเรามีภารกิจที่ต้องทำ

ก็กดดันบ้าง แต่รวมๆ ก็คือสนุกนะครับ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมมีความสุขที่ได้ร้องเพลงและได้เจอกับแฟนๆ ทุกคน แล้วผมก็ติดการทำงานมาตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ตัว (ยิ้ม)"

สมัยเป็น กอล์ฟ-ไมค์ พี่กับน้องชอบทะเลาะกันเรื่องอะไร แล้วใครง้อใคร มีวิธีการง้ออย่างไร ก่อนหน้านี้กอล์ฟแอบเล่า ไมค์ติดเกม เลยชอบโดนกอล์ฟดุอยู่บ่อยๆ เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทำเอาหนุ่มไมค์หัวเราะ และเล่าให้ฟังว่า

"ก็ประมาณนั้นครับ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราเป็นน้อง ก็จะโดนดุบ้าง ทะเลาะกันเรื่องเล่นเกมจริง เพราะเมื่อก่อนผมเป็นโรคเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ยอมออกจากบ้านด้วย

แล้ววันนั้นผมเล่นเกมอยู่ ไม่ยอมซ้อม แล้วพอพี่ดุเราก็ต่อต้านนิดหน่อย แต่ว่าพอทำงานไปเรื่อยๆ จนปรับตัวได้ เราก็เข้าใจว่าเราต้องมีความรับผิดชอบ"

จากนั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า แล้วเพราะอะไรไมค์จึงเบนสายตัวเองจากนักร้องมาเป็นนักแสดง เพราะเอาจริงๆ ถึงจะเป็นงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันแต่อย่างใด 

"ผมรักงานทั้งสองอย่างครับ การที่ผมได้ทดลองงานแสดงก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก จนวันนี้งานวงการไม่ว่าจะเป็นร้องหรือแสดง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว"


ทุกวันเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์
อย่างที่เราทราบกันว่า ไมค์ พิรัชต์ เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในประเทศจีนเป็นอย่างมาก แต่หลายๆ คนคงอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วการทำงานที่ต่างประเทศนั้นมันยากง่ายแค่ไหน ซึ่งหนุ่มไมค์ก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองในการทำงานที่ต่างประเทศให้เราฟังว่า 

"ยากมากครับ ยากทุกด้านเลย ทั้งดินฟ้าอากาศ อาหาร วัฒนธรรม ภาษา ทุกอย่างมีความต่างหมดครับ แต่ทุกอย่างมันมีเสน่ห์และสวยงามมากในตัวของมันเอง

เราแค่ต้องรู้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ด้วยการเปิดใจ ยกตัวอย่างเช่นภาษาก่อนละกันนะครับ ละครหรือผลงานต่างๆ ของผมที่เกิดขึ้นที่จีน ผมตั้งธงให้ตัวเองเอาไว้ว่าผมจะใช้ภาษาจีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เป็นการตอบแทน

ผมมองว่ามันเป็นการให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติผู้ว่าจ้าง และที่สำคัญให้เกียรติแฟนๆ ที่ติดตามผลงานและสนับสนุนผม ดังนั้นเมื่อผมเลือกแบบนี้ แน่นอนว่าความยากต้องเกิดขึ้น

ทุกวันของผมเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์ เพราะผมต้องท่องบทของตัวเองเป็นภาษาจีนทุกวัน ทั้งวัน และที่จีนการถ่ายละครเรื่องหนึ่งก็เหมือนการเข้าแคมป์ เข้าไป 100-120 วัน ถ่ายรวดเดียวจบ ต่างจากการถ่ายที่ไทยอย่างสิ้นเชิงครับ

แต่ผมรู้สึกว่ามันดีนะครับ ทำให้ในแต่ปีสามารถบริหารเวลาได้มากขึ้น ผ่านมาหลายปีมากๆ แล้วครับ วันนี้ผมก็ชินไปแล้ว ส่วนตัวผมชอบมากการที่ตื่นมาทำงานทุกๆ วัน รู้สึกแต่ละวันมัน productive มากๆ

ถัดมาน่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น อากาศ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ผมชอบมาก คือส่วนตัวผมชอบฤดูหนาวอยู่แล้วครับ

เรื่องอาหาร ผมเป็นคนเปิดกว้างมากเรื่องอาหาร อาหารโปรดที่สุดในชีวิตผมก็ไปค้นพบที่จีนเหมือนกัน แฟนคลับผมรู้เลยว่าไมค์ชอบกิน สุกี้หมาล่า ลิ้นเป็ด สุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องความโดดเดี่ยวมั้งครับ จนวันนี้ก็คือผมชินสุดๆ แล้วครับ (ยิ้ม)"


ฝันไกลไปให้ถึงฮอลลีวูด
จากนั้น เราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า นอกจากการไปทำงานที่ประเทศจีนแล้ว ไมค์ยังมีเป้าหมายในชีวิตที่ตั้งเอาไว้อีกหรือไม่ งานนี้เราได้รับคำตอบจากปากของหนุ่มไมค์ว่า 

"เป้าหมายสำหรับตัวเอง คือเป็นคนที่ดีขึ้นครับ คนที่เวลาผมมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองได้ แล้วก็ทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจตั้งเป้าไว้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายในเรื่องของหน้าที่การงาน ผมอยากลองทำเบื้องหลังครับ อยากเอาประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทั้งชีวิต ปรับเป็นชิ้นงานของตัวเอง เขียนบท กำกับ หรือโปรดิวซ์

เริ่มต้นอาจจะทำร่วมไปก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหมแต่จะไม่หยุดพัฒนาครับ เพราะนี่เป็นเป้าหมายใหม่ของผมไปแล้ว เป็นความฝันที่ตั้งใจพอๆ กับความฝันที่จะไปทำงานฮอลลีวูดเลยครับ ผมตั้งใจไว้แล้ว และหวังว่าจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ครับ"


การทิ้งความฝันก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง
จากนั้น ไมค์ พิรัชต์ ได้เล่าเรื่องราวที่เพิ่งจะค้นหาคำตอบให้กับตัวเองได้เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับแรงผลักดันที่ทำให้เขาเดินมาได้ไกลจนถึงวันนี้ว่า 

"ผมเจอคำตอบที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เลยครับ ผมตอบจากใจได้เลยว่า แรงผลักดันที่ดีที่สุดของผมก็คือ อุปสรรคและเป้าหมายครับ

เพราะผมอาจจะเป็นคนที่มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอเป้าหมายนี้เราเดินไปแตะถึงแล้ว ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ที่ยากกว่าเดิม และก็วนอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ

แต่กว่าจะเดินไปแตะแต่ละเป้าหมายที่ตั้งไว้ แน่นอนว่าระหว่างทางมันมีแต่อุปสรรค เพราะอะไรที่เราอยากได้ มันไม่เคยมาหาเราเองง่ายๆ อยู่แล้ว

ยิ่งต้องการมาก ยิ่งยากมาก ยิ่งต้องเดินไปชนอุปสรรคมากขึ้นไปตามลำดับของมัน แต่ทุกความต้องการมันมีต้นทุนของมันที่เราต้องยอมรับให้ได้นะ

ที่ผมตอบได้ชัดเจน ผมสารภาพเลยว่า เพราะผมเคยทอดทิ้งความฝัน ทอดทิ้งเป้าหมาย ทอดทิ้งตัวเองไปช่วงหนึ่ง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนเราคงต้องมีบ้างที่มีช่วงที่ดิ่งมากๆ


เอาตรงๆ ผมคิดเลยว่า ผมในตอนนั้นมันว่างเปล่า ไม่มีความสุข ไม่มีอะไรอีกเลย และมันเป็นพิษกับชีวิต แล้วก็ดึงพลังงานชีวิตไปมากจนน่าใจหาย

และมันคงทุกข์มากจนเราพยายามหาทางออก หาคำตอบให้ตัวเอง ว่าทำยังไงถึงจะเอาตัวเองออกจากความรู้สึกลบๆ แบบนี้

ผมก็รู้เลยในทันทีว่า ชีวิตผมที่ผ่านมามีความหมายได้ เพราะผมมีเป้าหมาย มีแพชชั่น สิ่งนี้แหละที่คอยต่อลมหายใจผมเลย

ดังนั้นเวลาที่ผมดาวน์ หรืออะไรก็ตาม ผมเตือนใจตัวเองเสมอเลยว่า ผมต้องไม่ลืมเป้าหมาย ต้องไม่ทิ้งแพชชั่น ไม่งั้นก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง"

แม้การจะทำตามความฝันของตัวเอง แต่มันก็ต้องมีวันที่เหนื่อยล้า และว้าเหว่ไม่น้อย ในวันที่ท้อแท้ ไมค์ เอากำลังใจจากไหนมาเติมให้กับตัวเอง ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มว่า

"ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผ่านได้ด้วยตัวเองบางเรื่อง ผ่านได้ด้วยกำลังใจจากคนอื่นๆ ในบางครั้ง ผ่านได้ด้วยการซัพพอร์ตจากทั้งครอบครัว คนรอบข้าง แฟนคลับในหลายๆ หน

ผมว่าในความโชคร้ายก็แฝงไปด้วยความโชคดี เป็นเรื่องจริงนะครับ สำคัญตรงที่ว่าผ่านเหตุการณ์ที่ท้อแท้นี้ไปแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน มันเป็นบทเรียนที่เราจะไม่ไปทำซ้ำได้ยังไง แล้วทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะแค่เราผ่านมันมา แต่ไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องราวนั้นๆ จะกลับมาทำให้เราท้อแท้อยู่เรื่อยๆ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วกำลังท้อแท้อยู่ในตอนนี้

ผมอยากให้ลุกขึ้นสู้ ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปอยู่ ต้องให้เวลากับเวลาด้วยครับ"


ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
จากนี้นั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ตรงๆ ว่า ถ้ามองย้อนไปจากจุดเริ่มต้น คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม วันที่ประสบความสำเร็จในการแสดง และได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ระดับฮอลลีวูด ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ของเราว่า 

"เอาความคิดวันนี้เลยนะครับ ผมยังคงเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องไม่หยุดเรียนรู้ และไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่เสมอ

สุดท้ายก็คือ ต้องไม่ท้อก่อนไปถึงเป้าหมายด้วยครับ ก็คือห้ามยอมแพ้กลางทาง ถ้าเราเริ่มอะไรแล้วก็ควรสานต่อให้จบ (ยิ้ม)"

ไมค์ พิรัชต์ อยากทำหุ่นยนต์ 
ในวันนี้ดูเหมือนชีวิตของผู้ชายคนนี้ ไมค์ พิรัชต์ จะดูประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่น้อย ทำตามความฝันของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ยังมีอะไรที่อยากทำอีกบ้างหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวบอกกับเราว่า 

"อีกเยอะมากเหลือเกินครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ผมหยุดเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ เพราะมันคือแรงผลักดันของชีวิตผม และผมรักตัวเองที่ทำงานที่สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นผ่านผลงานของผม

ผมยังอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตัวเองและสำหรับคนที่ผมรักและคนที่รักผมด้วย ผมอยากใช้ความตั้งใจและความพยายามของผมให้มากกว่านี้

ยิ่งผมในตอนนี้ ผมอยากทำผลงานละครทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ผมอยากทำหุ่นยนต์ ผมชอบงานอินทีเรียดีไซน์ ผมจะหยุดตัวเองไว้แค่ที่วันนี้ไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ชีวิตนี้ผมต้องทำให้บรรลุไปให้ได้อีกเยอะเลยครับ"


กำลังใจของ ไมค์ พิรัชต์
คำถามสุดท้ายก่อนจากกัน ถ้าไมค์อยากจะพูดอะไรถึงแฟนคลับของตัวเองที่คอยติดตาม ซัพพอร์ตให้ตลอดเวลา ซึ่ง ไมค์ พิรัชต์ ก็ได้พรั่งพรูความรู้สึกในใจที่มีต่อแฟนๆ ทุกคนของเขาว่า 

"ผมรู้สึกขอบคุณเสมอ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายให้โดยไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ผมทำงานในวงการนี้มา 20 ปี บางคนอยู่กับผม ซัพพอร์ตผม เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกับผมยังได้เลย ทั้งที่ไทยและที่จีน

อยู่ตั้งแต่ผมยังเรียนรู้ถูกผิด อยู่เคียงข้างวันที่ผมผิดพลาด วันที่ล้ม แล้วก็ยังยืนหยัดอยู่กับผมในทุกช่วงเวลา และยังอยู่จนวันนี้ที่ผมผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาก็ยังอยู่ซัพพอร์ตกัน บางคนรักเราเหมือนพี่เหมือนน้องไปแล้วก็มี

ตอนผมไปทำงานที่จีน ผมทำงานไม่ได้สนใจตัวเองเท่าไร ก็มีแฟนคลับที่จีนที่ให้กำลังใจให้ผมไม่รู้สึกแปลกแยก สนับสนุนงานผมที่จีนด้วย พวกเขามีพื้นที่ในใจผมเสมอ ผมขอบคุณเสมอ

ขอโทษที่ผมเคยดีไม่พอ และพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่ผมตั้งใจจะเป็นคนที่ดีขึ้น ขอบคุณทุกคน ทีละคนไม่ทั่วถึง ผมหวังว่าผมในวันนี้จะไม่เป็นผมที่ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือผิดหวัง อย่างที่ผมเคยพูดไว้

อนาคตผมคงต้องผิดพลาดอีกไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อขอบคุณทุกคน และเพื่อตัวเองด้วยครับ".

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun
#3172


โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์อิงลงรับขยายล็อกดาวน์ ห่วงกระทบ ศก.-กำไร บจ. และในทางเทคนิคมีสัญญาณเป็นลบหลังจากที่ดัชนีหลุดแนว 1,530 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงต่อได้

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway Down จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศจำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐขยายพื้นที่สีแดงเข้มออกไปเป็น 29 จังหวัด จากเดิม 13 จังหวัด และขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค.นี้ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

นอกจากนี้ ในทางเทคนิคมีสัญญาณเป็นลบหลังจากที่ดัชนีหลุดแนว 1,530 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงต่อได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้รีบาวนด์ได้เล็กน้อยราว 0.2-0.3% แต่ตลาดบ้านเราน่าจะอ่อนกว่าภูมิภาค

แนะนำติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือน ก.ค.ของสหรัฐฯ วันนี้ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วันที่ 5 ส.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ศุกร์นี้ ส่วนบ้านเราติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธนี้

พร้อมให้แนวรับ 1,510-1,500 จุด ส่วนแนวต้าน 1,530-1,540 จุด
#3173


ผ่านไปแล้วสำหรับศึกที่คนไทยตั้งตารอคอย ONE: BATTLEGROUND ซึ่งจัดขึ้นที่ สิงคโปร์ อินดอร์ สเตเดียม เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา จบลงด้วยการสถาปนาแชมป์โลก ONE ชาวไทยคนใหม่คนที่ 9 ชื่อ "พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม"

คู่เอกชูโรงของศึกนี้เป็นการเผชิญหน้าของสองนักมวยฝีมือระดับพระกาฬต่างยุค "สามเอ ไก่ย่างห้าดาว" ราชา ONE สองบัลลังก์ ปะทะดาวรุ่งพุ่งแรงรุ่นน้องอายุห่างกัน 11 ปีที่หาตัวจับยากอย่าง"พระจันทร์ฉาย
พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" โดยมีตำแหน่งแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต (52.3-56.7 กก.) ของ สามเอ เป็น. โดยทั้งคู่พบกันในกติกามวยไทย 5 ยก สวมนวม MMA

ยกแรก ตะวันฉาย เป็นฝ่ายเดินบุก โชว์เทคนิคการใช้หมัดชุดยอดเยี่ยม ถึงกับทะลวงการ์ดปาดเข้าเต็มคาง สามเอ จนได้นับไปก่อน ยก 2-3 พระจันทร์ฉาย ยังคงออกอาวุธหมัดอย่างเข้าเป้า ด้าน สามเอ มีแข้งซ้ายหนักหน่วง แต่นักมวยรุ่นน้องชิงความไวและหลบหลีกคล่องตัว รูปเกมสองยกหลัง สามเอ เร่งเครื่องทำแต้มคืน พละกำลังยังมีเหลือ ได้ลูกกวาดและทุ่ม พระจันทร์ฉาย ลงพื้นหลายที แถมเข้าแลกวงใน ใช้อาวุธหมัดและแข้งซ้ายหนักจัดการรุ่นน้องที่เริ่มอ่อนล้าลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามเมื่อรวมคะแนนครบ 5 ยก กรรมการชูมือให้ "พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" ชนะคะแนนเสียงข้างมาก (ชนะ 2 เสมอ 1) สถาปนาเป็นแชมป์โลก ONE คนที่ 9 ในประวัติศาสตร์

ด้านคู่รอง ฮีโรชาวเมียนมา "ออง ลา เอ็น ซาง" กลับมากู้ศรัทธาเพื่อไต่อันดับกลับสู่บัลลังก์ รุ่นมิดเดิลเวต (84.0 - 93.0 กก.) โดยต้องเผชิญหน้ากับ "ลีอันโดร อาตาอิส" นักสู้จอมแกร่งจากแดนแซมบ้า ในกติกาการต่อสู้แบบผสมผสาน 3 ยก หลังเปิดเกมยกแรกทั้งคู่แลกหมัดเตะกันทันที ลีอันโดร ได้จังหวะเทกดาวน์ ออง ลา ลงพื้น แต่ฮีโรเมียนมาก็ฝืนขึ้นมาอยู่ในเกมยืนที่ถนัดได้ ก่อนจะรุกหนักจัดวงในกระทุ้งเข่าและถลุงหมัดจนอีกฝ่ายถึงกับร่วง คว้าชัยน็อกเอาต์ในนาทีที่ 3.45 ของยกแรก

สรุปผลการแข่งขัน

พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ชนะคะแนนเสียงข้างมาก สามเอ ไก่ย่างห้าดาว (ชิงแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต)

ออง ลา เอ็น ซาง ชนะน็อก ลีอันโดร อาตาอิส นาทีที่ 3:45 ของยกแรก (การต่อสู้แบบผสมผสาน แคตช์เวต 95.8 กก.)

กุสตาโว บาลาร์ต ชนะคะแนน เรียวโตะ ซาวาดะ (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นสตรอว์เวต)

ริตู โฟกาต ชนะคะแนน หลิน เฮอจิน (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นอะตอมเวต)

เจเรมี ปาคาทิว ชนะคะแนน เฉิน เร่ย (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นแบนตัมเวต)

วิกตอเรีย ลี ชนะซับมิชชัน (Armbar) หวัง ลู ปิง นาทีที่ 3:22 ของยกแรก (การต่อสู้แบบผสมผสาน รุ่นอะตอมเวต)
#3174
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3175


(1 สิงหาคม 2564) หนุ่มสุรินทร์โพสต์รูปพี่ชายโชว์สลากดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับเงิน 6 ล้าน สุดดีใจน้ำตาไหลบอกปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Pakorn Peera ได้โพสต์รูปภาพชายหนุ่มถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ เป็นจำนวนเงิน 6 ล้านบาท พร้อมกับแท็กเฟซบุ๊กชื่อ ต้อม วุฒิพงศ์ ระบุว่า


ปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว รางวัลที่6ล้านบาท

พี่ชายผมถูก #น้ำตาไหล 

สุรินทร์ #ศรขรภูมิ #รัตนะ

นอกจากนี้ยังโพสต์ภาพพี่ชายเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

เพื่อนๆร่วมยินดี 'เจ้หมู'ดวงเฮงรับ 6 ล้าน ถูกแซวขำๆ 'จำข่อยได้บ่'



สาวใหญ่อุดรธานีดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับ 6 ล้าน เพื่อนๆ ญาติๆ ร่วมยินดีล้นหลาม แซวกันสุดขำ "จำข่อยได้บ่"

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Ripper Ripper ได้โพสต์ภาพหญิงสาวถือโชว์ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้าน พร้อมระบุข้อความว่า

saveสร้างคอม ญาติพี่น้องข่อยถึกรางวัลที่1...ดีใจนำครับเจ้หมู!!จำข่อยได้บ่นิ..555(1ในล้าน)

ภายหลังโพสต์ดังกล่าวได้มีผู้เข้ามาแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก.... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/113900/
#3176


ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศขยายระยะเวลาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือผ่าน 6 มาตรการ ดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในโครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ครอบคลุมทั้งมาตรการแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ได้ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 พร้อมประกาศปิดลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 15 และ 16 พักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย เนื่องจากเต็มกรอบวงเงิน และตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนเข้ามาตรการ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ประกาศขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการตาม "โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ" ในมาตรการที่ 9, 10, 11, 11 New Entry, 13 และ 14 ให้ไปสิ้นสุดระยะเวลาความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 โดยเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาความช่วยเหลือผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ระหว่างวันที่ 1-29 กรกฎาคม 2564 และภายหลังครบกำหนดระยะเวลาลงทะเบียน พบว่ามีจำนวนลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์รวมกว่า 85,900 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 85,700 ล้านบาท แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ทำให้ภาครัฐยังคงยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อเข้ามาตรการ จำนวน 6 มาตรการ ผู้มีสิทธิ์เข้ามาตรการยังขยายให้ครอบคลุมทั้งลูกค้าเดิมที่อยู่ในมาตรการ และลูกค้าที่ยังไม่ได้อยู่ในมาตรการ โดยต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้



สำหรับรายละเอียดของมาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 9, 10, 11 และ 11 New Entry : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระในปัจจุบัน โดยทั้ง 4 มาตรการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้

มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้

มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ หรือตามคำพิพากษา

ทั้งนี้ มาตรการที่ 9, 11, 11 New Entry และ 13 ธนาคารขยายระยะเวลาให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ได้ถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2564 สำหรับมาตรการที่ 10 และ 14 จะขยายถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2564

โดยทุกมาตรการข้างต้นจะได้รับความช่วยเหลือไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และภายในเดือนตุลาคม 2564 ธนาคารจะทำการสำรวจความประสงค์ของลูกค้าอีกครั้งว่าต้องการรับความช่วยเหลือต่อไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หรือไม่ และสำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์เข้ามาตรการจะต้อง Upload หลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ผ่านทาง Application : GHB ALL และ GHB Buddy ให้ธนาคารพิจารณา โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ได้ในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th



ส่วนการพักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2564 ในมาตรการที่ 15 สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ระหว่างการประนอมหนี้หรือสถานะกฎหมาย และมาตรการที่ 16 สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะ NPL (ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน) หรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ล่าสุด ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ทั้ง 2 มาตรการเป็นจำนวนรวม 90,800 บัญชี เงินต้นคงเหลือรวม 101,000 ล้านบาท และสูงกว่ากรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนดไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ดังนั้น ธนาคารจึงขอแจ้ง ปิดลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 15 และ 16 เนื่องจากมีลูกค้าลงทะเบียนเต็มกรอบวงเงิน และทำการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาตรการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป โดยธนาคารจะประกาศวันที่เปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้งให้ทราบในภายหลังต่อไป

ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
#3177



ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยึดรถ หลังถูกตรวจจับได้ว่าซิ่้งด้วยความเร็วสูงสุด 130 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) บนถนนสาย M1 ในอังกฤษ จากการเปิดเผยของตำรวจดาร์บีเชียร์เมื่อวันเสาร์ (31 ก.ค.)

คนขับเมอร์เซเดส จี วากอน ถูกเรียกให้จอดบริเวณทางแยกแห่งหนึ่งเมื่อคืนวันอังคาร (27 ก.ค.) หลังถูกกล้องบันทึกได้ว่าซิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 113 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 181 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

เธออ้างกับตำรวจว่าที่ต้องขับรถเร็วเพราะอั้นไม่ไหวต้องการเข้าห้องน้ำอย่างแรง อย่างไรก็ตาม ตำรวจตั้งข้อสังเกตว่าเธอขับรถด้วยความเร็วแล่นผ่านสถานีบริการแห่งหนึ่งมา โดยไม่ได้แวะจอดใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบพบว่าผู้หญิงนี้ยังขับรถโดยปราศจากผู้ดูแล ทั้งที่เธอมีแค่ใบอนุญาตขับรถชั่วคราวเท่านั้น

ตำรวจดาร์บีเชียร์เขียนบนทวิตเตอร์ว่า "ผู้ถือครองใบอนุญาตชั่วคราวที่ไม่มีผู้ดูแลมาด้วยรายนี้ อ้างว่าเธอขับรถเร็วเพราะเธออยากเข้าห้องน้ำ เร็วเสียจนขับเลยสถานีบริการ"

"เธอใช้ความเร็วต่างๆ นานา ระหว่าง 100 ถึง 130 ไมล์ต่อชั่วโมง (160 ถึง 209 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และวัดความเร็วเฉลี่ยได้ที่ 113 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 181 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)" ตำรวจระบุ

ถ้อยแถลงระบุว่า ตำรวจได้ทำการยึดรถคันดังกล่าว แต่ไม่ได้เผยว่าผู้หญิงรายนี้ถูกลงโทษใดๆ หรือไม่อย่างไร

(ที่มา : บีบีซี/อินดิเพนเดนท์) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075093
#3178



สมาคมประกันวินาศภัยไทยเดินหน้าปรับเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทน COVID-19 เพื่อเพิ่มผลประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบัน ซึ่งได้ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ภาครัฐต้องดำเนินการเพิ่มช่องทางการนำผู้ติดเชื้อ COVID-19 เข้าสู่ระบบการดูแลในรูปแบบของการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลผู้ติดเชื้อด้วยระบบชุมชน (Community Isolation) เพิ่มจากเดิมที่กำหนดให้เป็นการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น

สมาคมฯ ได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. และบริษัทสมาชิก ในการพิจารณาปรับเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทน COVID-19 ให้เหมาะสมกับรูปแบบการดูแลผู้ติดเชื้อมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มผลประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัย ดังต่อไปนี้
1. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือตรวจพบเชื้อ COVID-19 (แบบ เจอ จ่าย จบ) เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยแบบเจอ จ่าย จบ ได้กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 ต้องแสดงหลักฐานใบรับรองแพทย์ประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม ระบบการดูแลผู้ติดเชื้อในรูปแบบ Home Isolation และ Community Isolation ทำให้ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลได้ และอาจทำให้การดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ได้รับความสะดวกในสถานการณ์ปัจจุบัน
สมาคมฯ จึงได้ขอความร่วมมือจากบริษัทสมาชิกในการอนุโลมไม่ต้องเรียกเอกสารใบรับรองแพทย์จากผู้เอาประกันภัยในช่วงเวลานี้ โดยขอให้ใช้เพียงเอกสารการตรวจพบเชื้อ COVID-19 แบบ RT-PCR ของผู้เอาประกันภัย จากหน่วยงานตรวจหาเชื้อ COVID-19 ที่มีมาตรฐานและผ่านการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้สามารถยืนยันตัวตนของผู้ที่รับการตรวจหาเชื้อได้และผลการตรวจมีความน่าเชื่อถือ

2. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย และ/หรือ ภาวะโคม่า และ/หรือ ภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว จากโรค COVID-19 เป็นเหตุให้เสียชีวิต

เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองดังกล่าว กำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย และ/หรือ ภาวะโคม่า และ/หรือ ภาวะสมองตายและระบบประสาทล้มเหลว เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต แต่ในกรณีที่มีการเสียชีวิตด้วยโรค COVID-19 นอกสถานพยาบาล เช่น ที่บ้าน หรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งไม่มีการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าผู้เสียชีวิตอยู่ในภาวะดังกล่าวก่อนเสียชีวิต บริษัทประกันวินาศภัยจะอนุโลมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย

3. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรค COVID-19เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล จะให้ความคุ้มครองเฉพาะการรักษาตัวแบบผู้ป่วยในในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น บริษัทประกันวินาศภัยจึงได้ขยายความคุ้มครองถึงค่ารักษาพยาบาลระหว่างการรักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation และ Community Isolation โดยบริษัทประกันวินาศภัยจะอนุโลมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันภัยตามความจำเป็นทางการแพทย์ที่ได้จ่ายจริงในขอบเขตการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก แต่ไม่เกินวงเงินคุ้มครองที่ระบุไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัย
4. กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้จากโรค COVID-19
เนื่องจากในกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้ จะให้ความคุ้มครองสำหรับการรักษาตัวแบบผู้ป่วยในในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel เท่านั้น บริษัทประกันวินาศภัยจึงได้อนุโลมจ่ายค่าชดเชยรายวันหรือค่าชดเชยรายได้ให้กับผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่มีความจำเป็นทางการแพทย์ต้องเข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน แต่ไม่สามารถหาสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel รองรับได้ จึงต้องเข้ารักษาตัวในรูปแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation

ทั้งนี้ บริษัทประกันวินาศภัยจะจ่ายค่าชดเชยให้เฉพาะกลุ่มผู้ป่วย COVID-19 ที่มีความเสี่ยงสูงตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เช่น ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้มีภาวะอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 30 หรือน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม) หรือ ผู้มีโรคประจำตัวได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคไตเรื้อรัง (CKD Stage 3,4) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยบริษัทประกันวินาศภัยจะจ่ายค่าชดเชยให้ไม่เกิน 14 วันนับแต่วันที่ปรากฏหลักฐานการติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวได้อ้างอิงตามระยะเวลาการดำเนินโรค COVID-19

นายอานนท์ วังวสุ ได้กล่าวปิดท้ายว่า "สมาคมประกันวินาศภัยไทยและภาคธุรกิจประกันวินาศภัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า มาตรการผ่อนผันและผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้กำหนดเพิ่มเติมนั้น จะช่วยเหลือและช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นลูกค้าของเราได้เหมาะสมกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ธุรกิจประกันวินาศภัยได้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง และมีส่วนร่วมในการนำพาประเทศก้าวข้ามผ่านวิกฤติในครั้งนี้"
#3180



หลังจากปล่อยเพลงสายดาร์กล่าสุดอย่าง "NDA" ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในที่สุดอัลบั้มที่ผู้คนทั่วโลกรอคอยอย่าง "Happier Than Ever" ก็ได้ถูกปล่อยออกมา โดย "Billie Eilish" ยังอัดคลิปส่งมาเชิญชวนแฟนเพลงชาวไทยร่วมฟังอัลบั้มใหม่พร้อมกันในวันนี้ ที่มีทั้งหมด 16 เพลง

ซึ่งอัลบั้มนี้ "Billie Eilish" ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินที่เธอชื่นชอบตั้งแต่สมัยเด็กอย่าง Julie London, Frank Sinatra และ Peggy Lee ซึ่งเธอได้ผสมผสานระหว่างดนตรีคลาสสิกเก่า ๆ เข้ากับซาวด์อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ เรียกได้ว่า "Happier Than Ever" เป็นอีก 1 อัลบั้มที่ "Billie Eilish" และ "Finneas" พี่ชายสุดที่รักของเธอได้โชว์ศักยภาพในการนำแรงบันดาลใจมาทวิซให้ออกมาโมเดิร์น และมีความออริจินัลในแบบฉบับของตัวเธอเอง และนี่คืออีกครั้งที่ทั้ง 2 ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกันว่าพวกเขามาเพื่อเปลี่ยนวิถีวงการเพลงป็อปแล้วจริง ๆ



สำหรับ "Billie Eilish" ได้กล่าวในบทสัมภาษณ์ของ Pitchfork ถึงอัลบั้มนี้ว่า "สิ่งสำคัญที่ฉันหวังคือให้คนได้ยินเพลงของฉันแล้วพูดว่า โอ้ ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้สึกแบบนั้น แต่นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริง ๆ และฉันหวังให้ว่าเพลงของฉันอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาให้มีความสุขมากขึ้นได้" รับรองได้ว่าแฟนคลับของสาว "Billie Eilish" ไม่ผิดหวังกับผลงานระดับมาสเตอร์พีชชิ้นนี้อย่างแน่นอน


นอกจาก "Billie Eilish" จะปล่อยอัลบั้มเต็มให้ทุกคนได้ฟังกันวันนี้แล้ว เธอจะปล่อย MV เพลง "Happier Than Ever" ออกมาเร็วๆ นี้ สามารถติดตามชมได้ที่ Billie Eilish YouTube: https:// www.youtube.com/c/BillieEilish/featured