• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Ailie662

#3101


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายแดน เทฮัน รัฐมนตรีการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ของออสเตรเลีย ผ่านระบบประชุมทางไกล ว่า  ออสเตรเลียสนใจจะจัดทำหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจกับประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลีย ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าเรื่องการลดภาษีระหว่างกันเกือบทุกรายการแล้ว โดยการจัดทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ (Strategic Economic Partnership) ระหว่างไทยและออสเตรเลีย

ขณะนี้ไทยได้มีการเตรียมการจัดทำข้อตกลงนี้ ใน 7 สาขา ได้แก่ 1 .เกษตรแปรรูป โดยเฉพาะด้านอาหาร 2. การท่องเที่ยว 3. บริการสุขภาพ 4. การศึกษา  5. อีคอมเมอร์ซ 6. เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 7. ด้านอื่นๆ เช่น ด้านพลังงาน หรือด้านการลงทุนร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งรัฐมนตรีออสเตรเลียแจ้งว่าจะเร่งดำเนินการให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว หากได้ข้อสรุปจะเชิญไทยเข้าร่วมลงนามเข้าร่วมยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจต่อไป คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2565

สำหรับเรื่องของการเร่งรัดข้อตกลงอาร์เซ็ป โดยมีประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ จีนและญี่ปุ่น ในส่วนของไทยคาดว่าจะยื่นให้สัตยาบันต่อจากจาการ์ตาในเดือนตุลาคมหรือไม่เกินพฤศจิกายนปีนี้ สำหรับออสเตรเลียจะยื่นได้ในเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อให้อาร์เซ็ปมีผลบังคับใช้โดยเร็วภายในต้นปีหน้าตามเป้าหมาย  ส่วนปัญหาการอุดหนุนการประมงขององค์การการค้าโลก ซึ่งไทยย้ำว่า ไทยมีจุดยืนในเรื่องการสนับสนุนประมงชายฝั่งและประมงพื้นบ้าน และไม่สนับสนุนการอุดหนุนประมงผิดกฎหมาย (IUU fishing)

นอกจากนี้ออสเตรเลียได้สอบถามเรื่องการเตรียมเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ โดยไทยได้เตรียม 3 ประเด็นเพื่อผลักดัน ได้แก่ 1. เรื่องการเจรจาหาข้อสรุปการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกเอเปค 2. หาข้อสรุปการกำหนดแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และ 3. การส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มประเทศเอเปคภายใต้ทิศทาง BCG (Bio-Circular-Green Economy) โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

 
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของไทยนั้นได้ขอให้ออสเตรเลียนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยมากขึ้น อาทิ ยางรถยนต์ ซึ่งเป็นโอกาสดีของไทยที่จะใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพิ่มขึ้น อุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง ซึ่งไทยเป็นแหล่งผลิตรายใหญ่ของโลก อาหารแปรรูป ไทยสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีศักยภาพ ติด 1 ใน 10 ของโลก และอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นสินค้าดาวรุ่งของไทยที่การส่งออกขยายตัวสูง และออสเตรเลียจะเป็นตลาดสำคัญในอนาคต และประเด็นที่ 2 ไทยขอให้ออสเตรเลียช่วยสนับสนุนวัคซีนให้กับไทย เนื่องจากออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่และได้สนับสนุนวัคซีนให้กับหลายประเทศ

 ทั้งนี้ ไทยกับออสเตรเลียมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบปีที่ 69 โดยในปี 2563 มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 13,138 ล้านดอลลาร์  สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) การค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีมูลค่า 8,426 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว34.3%  จากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยไทยส่งออกมูลค่า 5,598 ล้านดอลลาร์ และไทยนำเข้ามูลค่า 2,827 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ อัญมณีและเครื่องประดับ ยางรถยนต์ และเม็ดพลาสติกสำหรับสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ ทองคำ อลูมิเนียมและทองแดง ธัญพืช น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ
#3102
 
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอน Google Ads ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- พื้นฐานความสำคัญในการทำธุรกิจสินค้า/บริการ กับ Google Ads
- สอนการสมัคร และสอนจัดการระบบการเงิน ที่ถูกเรียกเก็บจาก Google Adwords
- การใช้คูปองส่วนลดมูลค่า 1,500 ของ Google Ads
- กลยุทธ์การยิงโฆษณาแต่ละประเภท ของ Google Ads แต่ละประเภท ที่เหมาะกับธุรกิจสินค้า/บริการ 
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญต่างๆ ของ Google Ads
- เทคนิคการนำเสนอราคาแข่งกับคู่แข่ง [Bidding Strategy] เพื่อให้ติดอันดับ
- การตั้งค่าและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
- ยิงโฆษณา SEM [Search Engine Optimize] เมื่อค้นหาบนหน้า Google ติดหน้าแรก
- วางแผนคีย์เวิร์ด ก่อนยิงโฆษณา[Keyword Planning]
- วิธีและเหตุผลที่ทำให้ตัวโฆษณามีราคาถูกลง
- การตั้งค่า ส่วนขยายไซต์ลิ้งก์, ไฮไลต์, การโทร, สถานที่ตั้ง, ราคา, โปรโมชั่น เพื่อจูงใจให้ปิดการขาย
- ยิงโฆษณา GDN [Google Display Network] 
- วิธีสร้างการรับรู้ ด้วย GDN [Google Display Network]
- ขนาดภาพสำหรับการยิงโฆษณา GDN [Google Display Network] ในรูปแบบต่างๆ ที่ควรรู้ทั้ง 22 แบบ
- ยิงโฆษณา Youtube Advertising & Gmail Advertising [การยิงโฆษณาบน Gmail]
- การสร้าง Youtube เพื่อใช้ในการยิงโฆษณา
- กลยุทธ์การนำเสนอสื่อโฆษณา ด้วย Youtube Ads & Gmail Ads
- การวางตำแหน่งที่จะยิงโฆษณา และการนำเสนอ ในYoutube Ads ในรูปแบบต่างๆ เช่น Non-skippable in-stream,  skippable in-stream ads, bumper ads or video discovery ads.
- Remarketing ด้วยการเก็บข้อมูล และยิงโฆษณากลับไปยังลูกค้าเพื่อสร้างการรับรู้
- การวิเคราะห์และ วัดผล เพื่อนำไปในการทำธุรกิจประเภทสินค้าและบริการ
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา
- ให้ทดสอบยิงโฆษณาจริง ทำจริงในทุกขั้นตอน*

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

​- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://www.katoacademy.com/

Facebook :https://www.facebook.com/katostock


วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ
#3103


หลังจากที่ บาร์เซโลน่า ประกาศข่าวสุดช็อก แยกทางกับ ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ตัวเก่งของทีมอย่างเป็นทางการ เนื่องจากไม่สามารถเซ็นสัญญาฉบับใหม่ได้ จากโครงสร้างทางการเงินที่ไม่ผ่านเกณฑ์ของลาลีกา สเปน

ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา แฟน.ของทีมบาร์เซโลน่า บางส่วน ยังทำใจไม่ได้กับข่าวดังกล่าว เดินทางไปรวมตัวกันที่หน้าสนามคัมป์นู รังเหย้าของทีม โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

สำหรับ ลิโอเนล เมสซี่ ย้ายจากนีเวลส์ โอลด์ บอยส์ มาอยู่กับแคมป์ลามาเซียของบาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวอายุเพียง 13 ปี ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ของทัพอาซูลกราน่า ในปี 2004 จนกลายเป็นตำนานของสโมสร เป็นนักเตะที่ยิงประตูมากสุด และลงสนามมากสุดตลอดกาลของทีม โดยทำไปทั้งหมด 672 ประตู จากการลงเล่น 778 เกมในทุกรายการ

นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมาย คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 10 สมัย, แชมป์โคปา เดล เรย์ 7 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 4 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย, สโมสรโลก 3 สมัย
 
#3104


"ธปท."เผบผลโพล"BSI COVID" ชี้ไทย"ล็อกดาวน์"เข้มทำธุรกิจฟื้นช้า เผยความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกดิ่งเหวเหลือแค่ 16.4 ต่ำกว่า เม.ย.63 คาดคนใช้ชีวิตได้ปกตินในไตรมาสที่ 1 ของปี 65

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.64 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI COVID) เดือนกรกฎาคม 2564 พบว่า ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมปรับลดลงจากเดือนก่อนในทุกภาคธุรกิจ ตามการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศในวงกว้าง และผลของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่กลับมาเข้มงวดอีกครั้ง โดยเฉพาะภาคก่อสร้างจากคำสั่งปิดแคมป์คนงานเช่นเดียวกับภาคท่องเที่ยวและภาคการค้า ที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดการเดินทาง การปรับเวลาให้บริการ และห้ามนั่งรับประทานในร้าน ขณะที่ภาคการผลิตยังคงถูกกดดันจากการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ในโรงงาน ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ปัญหาการนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตลอดจนการปิดโรงงานของคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน

สำหรับการจ้างงานค่อนข้างทรงตัวทั้งด้านจำนวนแรงงาน และรายได้เฉลี่ย ยกเว้นการจ้างงานในภาคท่องเที่ยวที่ลดลงตามการปิดกิจการชั่วคราว และภาคก่อสร้างที่ปรับลดลงตามกิจกรรมที่หยุดชะงักหลังมีคำสั่งปิดแคมป์ ส่งผลให้แรงงานบางส่วนเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา โดยธุรกิจในภาพรวมมีการใช้นโยบายสลับกันมาทำงาน และลดชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ธุรกิจบางส่วนเริ่มกลับมาใช้นโยบายลดเงินเดือนเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาคที่มิใช่การผลิต

ขณะที่ ในด้านสภาพคล่อง พบว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสำรองใกล้เคียงกับเดือนก่อน แต่เริ่มเห็นบางธุรกิจมีสภาพคล่องลดลง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว และภาคก่อสร้างที่มีสัดส่วนของธุรกิจที่สภาพคล่องไม่เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่ปรับแย่ลง

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ประเมินว่า ประชาชนจะเริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านและท่องเที่ยวตามปกติได้ เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่น้อยกว่า 50 รายต่อวัน และเกิดได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ขณะที่บางส่วนมองว่า การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอและทั่วถึงเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่า

นอกจากนี้ ธปท.ยังเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) ว่าความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกปรับลดลงมากทั้งภาวะปัจจุบันและอีก 3 เดือนข้างหน้า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดและแผนการกระจายวัคซีนไม่ชัดเจน ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นฯ อยู่ต่ำกว่าเดือน เม.ย.2563 ที่มีการประกาศล็อกดาวน์ครั้งแรกในทุกมิติ

ADVERTISEMENT


โดยดัชนี RSI เดือน ก.ค.และแนวโน้มอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค.-ต.ค.) ปรับลดลงมาก และต่ำกว่าเดือน เม.ย.2563 อยู่ที่ 16.4 และ 27.6 ที่มีการการประกาศล็อกดาวน์ครั้งแรกจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น และมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการค้าปลีก ขณะที่แผนการกระจายวัคซีนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและประสิทธิภาพของวัคซีน ซ้ำเติมความเปราะบางของความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ

ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมปรับลดลงในทุกภาค ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกพื้นที่ เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับลดลง สะท้อนภาวะความยืดเยื้อของสถานการณ์ ความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะแย่ลงกว่าเดิม รวมถึงความล่าช้าของการจัดการวัคซึน

ขณะที่ ความเชื่อมั่นทุกประเภทร้านค้าในภาวะปัจจุบันปรับลดลงมากจากเดือนก่อน โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารที่ถูกกระทบโดยตรงจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด

ส่วนความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per bill และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ปรับลดลงมากจากเดือนก่อนและต่ำกว่าช่วงการล็อกดาวน์ครั้งแรก ซึ่งเป็นผลจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด งดการเดินทาง และลดเวลาเปิดทำการของร้านค้า

นอกจากนี้ พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรง ผู้ประกอบการ 90% ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคปรับลดลงมากจากเดือนก่อน และไม่เห็นพฤติกรรมเร่งกักตุน แม้จะมีการสั่งปิดห้างฯ และประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวสู่ระดับปกติเลื่อนออกไปเป็นปี 2566 ล่าช้ากว่าที่เคยประเมินไว้อีก 1 ปี

ขณะที่ การประเมินแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากผู้ประกอบการ 61% คาดว่ายอดขายจะลดลงมากกว่า 25% จากการเคอร์ฟิว 53% มีสภาพคล่องไม่เกิน 6 เดือน และ 42% คาดการบริโภคภาคเอกชนไตรมาส 3 ปี 2564 จะกดตัวอย่างน้อย 10% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
#3105


จากกรณี สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เตรียมปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านบาทมาเหลือ 1 ล้านบาทต่อ 1 รายเ ริ่ม 11 ส.ค.นี้

นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เปิดเผยว่า การปรับวงเงิน "คุ้มครองเงินฝาก"รอบนี้ ไม่น่ากังวลกรณีเงินไหลออกแต่อย่างใด ตอนนี้สถานการณ์ลูกค้ากลุ่มเวลธ์ของธนาคารยังเป็นปกติ ด้วยปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนแข็งแกร่งมากพร้อมดูแลแม้มีความเสี่ยงจากผลกระทบโควิด ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้อีกทั้งลูกค้าและธนาคารได้เตรียมตัวกับเรื่องนี้มานาน

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL เปิดเผยว่าสคฝ. ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากรอบนี้ ได้มีการวางแผนอยู่แล้วและมีการสื่อสารให้ประชาชนรับทราบมาเป็นระยะ จึงไม่น่ากังวลและผู้ฝากเงินกับสถาบันการเงินไทยจะมีกลไกและมาตรการดูแลภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว

นางสาวดุษฎี เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMB THAI เปิดเผยว่า ปัจจุบันทั้งธนาคารขนาดใหญ่และเล็กมีฐานะการเงินแข็งแกร่งมากหากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถดูแลเงินฝากของลูกค้าได้อยู่แล้ว โดยที่ลูกค้าอาจไม่ต้องไปใช้สิทธิคุ้มครองเงินฝากเลยก็ได้

รวมถึงที่ผ่านมาลูกค้าเวลธ์ธนาคาร เตรียมตัวกับเรื่องนี้มาตลอดพบว่า ลูกค้ากลุ่มนี้โยกเงินฝากไปลงทุนอื่นๆค่อนข้างมากเช่น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล และกองทุน ทำให้เงินฝากต่อรายเหลือไม่มากแล้ว

"รอบนี้ไม่น่ากังวลเหมือน 5 ปีก่อนแล้ว เราเคยวิเคราะห์ว่าคนจะตกใจมีเงินไหลออก 2-3 เดือน แต่ตอนนั้นดอกเบี้ย 3-4% และที่ผ่านมาดอกเบี้ยต่ำมาตลอด ยิ่งตอนนี้ดอกเบี้ยฝากเงินได้แค่ 0.2-1.5% ทำให้ลูกค้าโยกเงินฝากไปลงทุนอื่นๆ ค่อนข้างมากด้วย แต่อาจมีลูกค้าบางคนลืมบ้าง ยังมีเงินฝากในบัญชีจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณ อาจเห็นการโยกเงินแค่ 2-3 วันเท่าวัน เป็นการกระจายการลงทุนหรือถอนเงินผ่านระบบออนไลน์ ไม่น่ากังวล"

เตรียมพร้อม! จองวัคซีนโควิด 'ซิโนฟาร์ม' ระยะที่ 2 องค์กร/นิติบุคคล 8 โมงเช้า 6 ส.ค.นี้
เช็คสิทธิรับเงินเยียวยา 'ประกันสังคม' ม.33 โอนเข้า 'พร้อมเพย์' วันที่สาม
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบเสียชีวิต 191 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 21,379 ราย
นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันบัญชีเงินฝากที่เกิน 1 ล้านบาททั้งระบบไม่น่าจะเกินหลักหมื่นราย สะท้อนลูกค้าเตรียมตัวมาเป็นระยะๆ แล้วมองว่า ผลกระทบเงินไหลออกมีน้อยมาก อีกทั้งแม้สถานการณ์ตอนนี้ฐานะการเงินของธนาคารทั้งระบบแข็งแกร่งมั่นคง หนี้เสียน้อย ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้านำเงินมาฝากหรือลงทุนต่อเนื่องเพราะหากมีปัญหาธนาคารก็ดูแลได้
#3106
 

"พระจันทร์ฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" ณ วันนี้ ได้สร้างตำนานบทใหม่ของตัวเองด้วยการโค่นแชมป์เจ้าตำนานอย่าง "สามเอ ไก่ย่างห้าดาว" นั่งแท่นแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นสตรอว์เวต และนับเป็นแชมป์โลก ONE ชาวไทยคนที่ 9 ONE ชาวไทยคนที่ 9 ในประวัติศาสตร์ วัน แชมเปียนชิพ วันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับเขาให้มากกว่าที่คุณเคยรู้

1.ฉายาเก่า
ก่อนที่ พระจันทร์ฉาย จะได้รับฉายา "ฉายเป็นชุด" ที่คุ้นเคยกันทุกวันนี้ เขายังมีฉายาอื่น ๆ มาแล้วหลายชื่อ เริ่มต้นด้วยฉายาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กว่า "หมูบินอวกาศ" ที่มาจากรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์แต่มีความพลิ้วไหวและคล่องแคล่ว ต่อมามีแฟนมวยเรียก "ยอดมวยไร้บัลลังก์" เพราะมีสถิติการชกที่โดดเด่นเข้ารอบคัดเลือกให้ได้รับรางวัล "นักมวยไทยยอดเยี่ยม" จากสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย อยู่หลายหน แต่สุดท้ายไม่เคยได้รับรางวัลยอดมวยไทยกับเขาสักปี

2. เทียบชั้นยอดมวย
แม้ที่ผ่านมา พระจันทร์ฉาย จะไม่เคยได้รางวัล "ยอดมวยไทย" ที่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของนักมวย แต่เขาก็ได้รับการยกย่องว่าฝีมือเทียบชั้นยอดมวยแห่งยุค โดยเคยประมือกับ "ยอดมวย" มาแล้วหลายคน ทั้ง "ยอดมวย ปี 2555" แสงมณี ส.กาแฟมวยไทย, "ยอดมวยไทย 3 พ.ศ. (ปี 2556 - 2558)" พันธ์พยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์, "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2557" ซุปเปอร์แบงค์ ศักดิ์ชัยโชติ, "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2559" ปืนกล ต.สุรัตน์ และ "นักมวยไทยดีเด่น กกท.ปี 2562" เขี้ยวพยัคฆ์ จิตรเมืองนนท์

3. เจ้าของเข็มขัด 8 เส้น
พระจันทร์ฉาย ครองเข็มขัดแชมป์มาแล้ว 8 เส้น เป็นแชมป์มวยไทย 6 เส้น และแชมป์มวยสากล 2 เส้น จากทั้งเวทีราชดำเนิน เวทีลุมพินี และเวทีมวยสากลอาชีพ

4. ไฟต์ประทับใจ
ไฟต์ที่ถือว่าเป็นเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูล และค่ายมวย ป.เพ็ชรน้ำทอง คือนัดชิงเข็มขัดเส้นแรกในชีวิต รุ่นมินิมัมเวต 105 ป. ของเวทีมวยราชดำเนิน โดยเอาชนะคะแนน ช่อฟ้า (เทียนขาว) ท.แสงเทียนน้อย ในศึกวันทรงชัย เมื่อ 10 มิ.ย.53 ตอนอายุ 16 ปี

5.นักสู้คู่ซี้
เพื่อนซี้ทั้งในและนอกสังเวียนของ พระจันทร์ฉาย คือ "ขวัญใจเด็กช่าง" ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม (ศักดิ์โยธิน) ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กโดยพ่อของทั้งสองคนนั้นเป็นเพื่อนกัน ทั้งยังเคยฝึกซ้อมค่ายเดียวกัน และปัจจุบัน ก็ยังย้ายมาอยู่ที่ค่าย พี.เค.แสนชัยฯ ด้วยกันอีก คงไม่ต้องบอกว่าสนิทกันแค่ไหน

6. ครูมวยเฉพาะทาง
นอกจากครูมวยไทยแล้ว พระจันทร์ฉาย ยังมี "อ.ปุ๋ย" สุเทพ ณ นคร ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญสายหมัดโดยเฉพาะของวงการมวยไทย โดย อ.ปุ๋ย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมวยสากลมานักต่อนัก โดยพระจันทร์ฉาย ยกย่องให้ อ.ปุ๋ย เป็นปรมาจารย์พิเศษผู้ถ่ายทอดวิชาด้านการออกหมัดให้แก่เขา

7. ค่าตัวสูงสุด
ปัจจุบัน พระจันทร์ฉาย ชกด้วยเงินรางวัลค่าตัวประมาณ 1.2 แสนบาทสำหรับการชกในประเทศ และเคยได้สูงสุดในนัดพิเศษถึง 1.5 แสนบาท ในการชกกับ "ดาวรุ่งแดนใต้" วรวุฒิ บ่าววียิมส์ ศึก พี.เค.แสนชัยฯ วันที่ 15 พ.ค.61 ที่เวทีมวยลุมพินี โดยผลการชก พระจันทร์ฉาย ชนะทีเคโอ.ยก 3 และเมื่อได้เป็นแชมป์โลก ONE เขาจะทำสถิติใหม่แน่นอน

8. ไอดอลในดวงใจ
พระจันทร์ฉาย มีไอดอลในดวงใจ 3 คน คือ "แก่นศักดิ์ ส.เพลินจิต" ยอดมวยไทย 2 พ.ศ.(ปี 2532 - 2533) ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานมวยไทย, คนที่ 2 คือ "โคตรมวยสารคาม" แสนชัย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม พี่ใหญ่ของค่าย และคนสุดท้ายคือ "ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม" นักมวยดีเด่น กกท.ปี 2556 เพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กจนโต

9. งานอดิเรก
การเลี้ยงไก่ชนคงเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากชีวิตนักมวย พระจันทร์ฉาย ก็เป็นอีกคนที่หลงใหลการเลี้ยงไก่ชนและใฝ่ฝันอยากมีซุ้มไก่เป็นของตนเอง เพราะเคยเห็นพ่อเลี้ยงไก่มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จึงมีความผูกพันเป็นพิเศษ ปัจจุบัน พระจันทร์ฉาย มีไก่ตัวโปรดอยู่ 2 ตัว ชื่อ "ทองสุข" และ "เบียร์ซิ่ง" นอกจากนี้ยังเลี้ยงนกแก้วอีก 1 ตัว เขาบอกว่าเป็นคนไม่กลัวสัตว์ แม้จะเป็นสัตว์แปลก ๆ ก็สามารถเล่นได้หมด

10. กีฬาสุดโปรด
นอกเหนือจากมวยไทยแล้ว พระจันทร์ฉาย ยังเป็นคนมีพรสวรรค์ในการเล่นกีฬาได้หลากหลายชนิด แต่ที่โปรดปรานที่สุดคือ ฟุต. บาสเกต. และชนไก่
#3107












ขายที่ดินริมแม่น้ำ ติดแม่น้ำน่าน  ขนาดเนื้อที่ 1 ไร่ 5 ตร.ว มีพื้นที่ส่วนงอก 2 ไร่เศษ  ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน ขายรวม 1 ล้านบาท  เอกสารสิทธิ์โฉนดครุฑแดง วิวภูเขาล้อมรอบติดแม่น้ำบรรยากาศดีธรรมชาติสมบูรณ์สุดๆ น้ำใสไกลรินชุ่มฉ่ำเย็นสบายตลอดปี   ติดทางสาธารณประโยชน์ รถยนต์ขับเข้าถึงที่ดิน ปลูกสวนพริก Super HoT เต็มพื้นที่  วิถีชาวบ้านชุมขน ไทลื้อ บ้านดอนมูล

โทร   083-712-4115
Line id : 0837124115
ปักหมุด
ใกล้ ตำบล ศรีภูมิ อำเภอ ท่าวังผา น่าน 55140
https://maps.app.goo.gl/GdSL12NMjDxiSGyr8

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=110400531057490&id=100062626307647
#3108


ท่อเอสซีจี ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium" ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ใหม่ เป็นรายแรกในประเทศไทย ยืนยันส่งมอบความสะอาด ปลอดภัย มั่นใจอย่างสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค ด้วยท่อไร้สารตะกั่ว (LEAD FREE) ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนตกค้าง ตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หลากหลาย

มาพร้อมสัญลักษณ์ No.1 LEAD FREE และการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) 17-2561 รายแรกในประเทศไทย นับว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ท่อให้ดียิ่งขึ้น โดย มอก.ใหม่นี้ครอบคลุมในเรื่องของกระบวนการผลิตและเนื้อท่อที่จะต้องมีความปลอดภัย ปราศจากโลหะหนักปนเปื้อน อาทิเช่น สารตะกั่ว และแคดเมียม เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ สะอาด และปลอดภัยยิ่งขึ้น ครอบคลุมครบทุกความต้องการ ทั้งภายในบ้าน อาคาร และสถานที่ที่ใส่ใจความอนามัยอย่างสูงสุด

ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการันตีคุณภาพ ทั้งจาก NSF International ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อพีวีซี รองรับการออกแบบอาคาร Green Building ตาม WELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่คำนึงถึงสุขภาวะหรือคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ฉลากเขียว (Green Label) ผลิตภัณฑ์ผลิตจากวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ SCG Green Choice
โดยอ้างอิงมาตรฐาน ISO14021 ในด้านกลุ่มส่งเสริมสุขภาพและสุขอนามัยที่ดี (Well-being) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ ท่อพีวีซี เอสซีจี รุ่น Green Premium มีท่อให้เลือกใช้ได้อย่างหลากหลาย จึงพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกบ้าน (End-user) ช่าง ผู้รับเหมา สถาปนิก หรือเจ้าของโครงการต่างๆ ยกระดับคุณภาพสินค้าอย่างมีมาตรฐาน ควบคู่การยกระดับคุณภาพชีวิต ให้ทุกการใช้งานสะอาด ปลอดภัย มั่นใจยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
#3109












โควิดลดกระหน่ำ ที่ดินติดถนนเอเซีย ติดถนนพหลโยธิน  AH1  เนื้อที่ 3-1-40 ไร่ ขาย 5ลบ. ต.ตากออก อ.บ้านตาก  จ.ตาก หน้ากว้างติดถนนเอเซียยาว แบ่งโฉนดขาย 1.5 ลบ./ไร่  

ทำเลยอดเยี่ยม ติดถนนAH1 หลักของไทย สายหลักขึ้นเหนือ ทำธุรกิจค้าขายดี เกร็งกำไรได้ ใกล้ตัวเมืองแหล่งชุมชนน้ำไฟเข้าถึง ผ่านจุดสำคัญมากมาย บรรยากาศวิวดี  สดชื่นอากาศดีน่าอยู่  ใกล้สถานที่ราชการสำคัญ ทำเลที่ตั้งดีหายาก เหมาะแก่การทำธุรกิจต่างๆ สร้างรีสอร์ท บ้านพัก ปั๊มน้ำมัน สนใจโทร

083-7124115
Line id : 0837124115

ปักหมุด
https://maps.app.goo.gl/fnyjh5h4krmYAWVB8

 
#3110


แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (3 ส.ค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 30) 

สาระสำคัญจะปรับปรุงมาตรการการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิดที่เพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดจาก 13 เป็น 29 จังหวัด

ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจะยังคงเป็นไปตามระบบเดิมที่วางไว้คือ เงินเยียวยา แรงงานและผู้ประกอบการใน 9 กลุ่มอาชีพ ธุรกิจ ในพื้นที่ที่ล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีก 16 จังหวัด แบ่งเป็นการช่วยเหลือแรงงานในระบบประกันสังคม ม. 33 ม.39 และม.40 ซึ่งในส่วนที่เป็นแรงานนอกระบบกำหนดให้ลงทะเบียนเป็นแรงงานตามระบบประกันสังคมเพื่อรับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่รัฐบาลได้วางไว้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง

อย่างไรก็ตามเนื่องจากในการขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อควบคุมการระบาด ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในครั้งนี้ขยายไปมากถึง 16 จังหวัด ซึ่งมีหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีการผลิตในภาคอุตสาหกรรม มีโรงงานจำนวนมาก เช่น ในจ.ระยอง จ.สระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก

สศช.จึงจะเสนอให้มีการขยายกรอบวงเงินที่จะใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อคดาวน์ของ ศบค.จากเดิมที่ขอกรอบการใช้เงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวการคลังกู้เงินฯในส่วนของเงินกู้ 5 แสนล้านบาท ไว้ 3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ในบทวิเคราะห์ของ บล.หยวนต้าระบุว่ามาตรการล็อกดาวน์ใน 29 จังหวัดไม่ได้กดดันเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากการประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่ 13 จังหวัดก่อนหน้านี้ มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมกันสูงถึง 61% ของจีดีพีประเทศ ส่วนการล็อกดาวน์อีก 16 จังหวัดมีสัดส่วน 17% ของจีดีพีประเทศ

โดยถ้าอิงสัดส่วนของภาคการผลิตที่ราว 80-85% ซึ่งยังสามารถดำเนินการได้เกือบปกติ เนื่องจากไม่ได้มีการประกาศให้หยุดการผลิตในโรงงาน แต่การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะการหยุดภาคบริการและสันทนาการจะกระทบเชิงลบต่อจีดีพีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะกระทบเดือนละ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาทต่อเดือน 

ขณะที่มาตรการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาทต่อเดือนจึงเสนอแนะให้มีการเพิ่มเงินเยียวยาอีกเดือนละ 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือไม่ให้สภาพคล่องหดตัวมากเกินไปในครึ่งปีหลังไม่เเช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะหดตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สำหรับวาระครม.อื่นๆที่น่าสนใจวันนี้ได้แก่ วาระเพื่อพิจารณา

กระทรวงพัฒนาสังคมฯเสนอขอความเห็นชอบปรับลดหน่วยโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ(เทพารักษ์ 4) และเพิ่มกรอบงบลงทุน "โครงการบ้านเคหะสุขเกษม"

กระทรวงการต่างประเทศเสนอ รายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทย(Universal Periodic Review: UPR) รอบที่ 3

- กระทรวงอุดมศึกษาฯเสนอ ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ การขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕

วาระเพื่อทราบ กระทรวงดิจิทัลฯรายงานความก้าวหน้าโครงการอาคารแสดงประเทศไทย งาน World Expo 2020 Dubai พร้อมทั้งรายงาน ร่างประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง หลักเกณฑ์ การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. ....

กระทรวงพาณิชย์เสนอรายงานการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Gathering of Cairns Group Ministers)

กระทรวงพัฒนาสังคมฯรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย

- กระทรวงการคลังเสริมรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓ ประจำปี ๒๕๖๓
#3111


การระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคนี้แล้ว ยังทำให้บริษัทต่างๆในทุกภาคอุตสาหกรรมปรับตัว ปรับรูปแบบบในการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ การทำงานทางออนไลน์ข้ามพรมแดนจึงเพิ่มขึ้นถึง 30% หรือมีมนุษย์เงินเดือนทำงานทางไกลทั่วโลกประมาณ 600 ล้านคน

"ริชาร์ด บัลด์วิน" นักเศรษศาสตร์ระหว่างประเทศระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่การทำงานทางไกลจะกลายเป็นการทำงานกระแสหลักในตลาดแรงงานโลกและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งหลายทั้ง อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศต่างมีส่วนช่วยเสริมให้แนวโน้มนี้เติบโตมากขึ้น

มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ระบุว่า ในปี 2563 แรงงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ทำงานทางไกลหรือทำงานทางออนไลน์มีสัดส่วน 82% เป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยจ้างแรงงานรายชั่วโมงโดยเฉลี่ย 10 ดอลลาร์เทียบกับในสหรัฐที่ 33 ดอลลาร์

ด้านองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ) ยังคงมีความเห็นว่า งานหลายประเภทสามารถทำทางออนไลน์ได้ดี ให้ผลผลิตและผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจแก่เจ้าของกิจการ

ไอแอลโอประเมินว่า หนึ่งในหกของแรงงานทั้งโลก รวมถึงวิศวกรเทคโนโลยีสารสนเทศและเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน สามารถทำงานทางไกลได้ หมายความว่ามีแรงงานทั่วโลกที่สามารถทำงานทางไกลได้ 600 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ อย่างญี่ปุ่น ยังคงล้าหลังเกี่ยวกับแนวโน้มในเรื่องนี้ และอาจจะได้เห็นญี่ปุ่นแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้เลย หากไม่เร่งเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่ทรัพยากรบุคคลในประเทศ

แรงงานทั่วโลกที่ลงทะเบียนกับฟรีแลนเซอร์ เว็บไซต์จัดหางานชั้นนำของออสเตรเลีย ที่ทำหน้าที่นำผู้ต้องการหางานและผู้ต้องการพนักงานทางออนไลน์มาพบกัน มีจำนวน 50.8 ล้านคนในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มขึ้น 8.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้านี้ และภายในเดือนมิ.ย.จำนวนแรงงานที่ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 53.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและที่อื่นๆบ่งชี้ว่าการเสนอตำแหน่งงานผ่านทางโบรกเกอร์หางานออนไลน์มีฐานดำเนินงานในอังกฤษในช่วงเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 30% จากช่วง2ปีก่อนหน้านี้

นอกจากมาตรการเข้มงวดด้านการเดินทางเข้า-ออกข้ามพรมแดนเพราะการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว นโยบาย"อเมริกันต้องมาก่อน"ของนายโดนัลด์ ทรัม์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ส่งผลต่อแรงงานในระบบ โดยสหรัฐออกวีซ่าสำหรับคนทำงานลดลงอย่างมากในปีงบประมาณ 2563 นับจนถึงเดือนก.ย.ปี 2563 สหรัฐออกวีซ่าประเทศH-1B แก่ผู้มาขอจำนวน124,983 คน โดยวีซ่านี้อนุญาตให้เจ้าของบริษัทว่าจ้างแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และอาชีพอื่นๆ ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้

ประมาณกลางปี2563 ทรัมป์ลงนามคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีห้ามไม่ให้มีการอพยพถิ่นฐานเข้าสู่สหรัฐเป็นการชั่วคราวด้วยความหวังว่าจะปกป้องตำแหน่งงานให้กับชาวอเมริกันที่ตกงานในช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ความเข้มงวดในการออกวีซ่าทำงานของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลกระทบอย่างมากแก่บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ส่งวิศวกรจำนวนมากไปอเมริกาเหนือ อาทิ อินโฟซิส ของอินเดีย และทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส แต่ถึงแม้จะเจอปัญหาเรื่องวีซ่าทำงานแต่บริษัทเหล่านี้ยังคงทำรายได้ในตลาดอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น โดยอินโฟซิส มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในปีงบการเงิน ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมี.ค. เป็น 8,300 ล้านดอลลาร์

บรรดาบริษัทไอทีทั้งหลายที่เจอข้อจำกัดต่างๆรวมทั้งการออกวีซ่าทำงาน พยายามรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือว่าจ้างพนักงานในท้องถิ่นเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ดำเนินนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือที่อื่นโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ

" เวนกาทาระมาน รามากฤษณันท์" อดีตประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของบริษัททาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส มีความเห็นว่า การทำงานทางไกลช่วยให้บริษัทสามารถจัดสรรตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับสถานที่ต่างๆและวีซ่าการทำงานของพนักงานคนนั้นๆได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงในการให้บริการด้านต่างๆของบริษัทด้วย

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952270
#3112


ผลวิเคราะห์ของบรรดานักวิชาการสหราชอาณาจักรที่เผยแพร่โดยกลุ่มที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร เชื่อว่า "เกือบจะแน่นอน" ที่จะเกิดการอุบัติขึ้นของตัวกลายพันธุ์หนึ่งของ SARS-Cov-2 (ไวรัสที่เป็นต้นตอของโควิด-19) ซึ่งจะมอบความล้มเหลวแก่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมแนะนำเจ้าหน้าที่ลดการแพร่เชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดโอกาสเกิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อต่อวัคซีน

มุมมองดังกล่าวแสดงอยู่ในเอกสารที่จัดทำโดยบรรดานักวิชาการ บนสมมติฐานต่างๆ นานาเกี่ยวกับวิวัฒนาการระยะยาวของ SARS-Cov-2 ซึ่งถูกหยิบยกไปปรึกษาหารือและเผยแพร่โดยกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉินของสหราชอาณาจักร (Scientific Advisory Group for Emergencies - SAGE)

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ในเบื้องต้นที่ยังไม่ผ่านการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญ (peer-reviewed) เป็นเพียงหลักทฤษฎีและไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่าตัวกลายพันธุ์ลักษณะดังกล่าวกำลังวนเวียนอยู่ในตอนนี้

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เอกสารดังกล่าวลงวันที่ 26 กรกฎาคม และเผยแพร่โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรในวันศุกร์ (30 ก.ค.)

บรรดานักวิทศาสตร์เขียนว่าสืบเนื่องจากการขุดรากถอนโคนไวรัสดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงเชื่อมั่้นเป็นอย่างสูงว่าตัวกลายพันธุ์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกือบแน่นอนว่าจะค่อยๆ เกิดเปลี่ยนแปลงของแอนติเจน ที่ท้ายที่สุดจะนำมาซึ่งความล้มเหลวของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

พวกเขาแนะนำให้เจ้าหน้าที่ลดการแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดโอกาสเกิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อวัคซีน

บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำการวิจัยวัคซีนใหม่ อย่ามุ่งเน้นเพียงป้องกันการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลและการติดเชื้อเท่านั้น แต่มันควรนำมาซึ่งภูมิคุ้มกันแบบเยื่อเมือกในระดับสูงและทนทาน นอกจากนี้ พวกเขาระบุด้วยว่าเป้าหมายควรเป็นการลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อจากบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ หลายบริษัทกำลังดำเนินการวิจัยสำหรับผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถจัดการกับตัวกลายพันธุ์ใหม่ๆ ได้

ในเอกสารระบุว่า ตัวกลายพันธุ์บางตัวที่อุบัติขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้ลดภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีน แม้ยังไม่มีตัวไหนเล็ดลอดการดักจับของวัคซีนไปได้ทั้้งหมด

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าตัวกลายพันธุ์เหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นก่อนมีการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง และพอมีการฉีดวัคซีนกว้างขวางขึ้น ไวรัสตัวหนึ่งๆ ที่สามาถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนก็จะฉวยโอกาสแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งในประเด็นดังกล่าวทาง SAGE เคยออกมาเตือนก่อนหน้านี้แล้ว

ในรายงานจากที่ประชุมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม บรรดานักวิยาศาตร์ของ SAGE ระบุว่า การผสมผสานกันระหว่างความชุกของผู้ติดเชื้อในระดับสูงกับอัตราผูุ้ฉีดวัคซีนในระดับสูง ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นไปได้อย่างที่สุดว่าตัวกลายพันธุ์ที่สามารถเล็ดลอดภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งๆ จะอุบัติขึ้น พวกเขาบอกในตอนนั้นว่า "ยังไม่ทราบว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ตัวกลายพันธุ์ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงอย่างมากทั้งในสหราชอาณาจักรและนานาประเทศ"

(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075331
#3113


ภาวะขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ก่อให้เกิดกระแสความปั่นป่วนตื่นตระหนกทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจโลกมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยุคใหม่ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเฮดโฟน ต่างต้องมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการประมวลผลข้อมูล และเจ้าแผ่น "ชิป" เล็กๆ เหล่านี้คือหน่วยพื้นฐานของอุปกรณ์เช่นว่านี้ ดังนั้น เมื่อมันเกิด "ขาดตลาด" จึงส่งผลให้การผลิตสินค้านานาชนิดประสบการสะดุดติดขัดไปด้วย ทำไมเกิดภาวะขาดแคลนเช่นนี้ขึ้นมา และมีการทำอะไรไปแล้วบ้างในเรื่องนี้?

เซมิคอนดักเตอร์เกิดขาดแคลน เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ระบาดอย่างไรหรือไม่?

วิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงประมาณต้นปี 2020 กระตุ้นให้ทั่วโลกมีการใช้จ่ายซื้อหาพวกข้าวของอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร ตั้งแต่จอมอนิเตอร์เพิ่มเติมสำหรับผู้คนที่ต้องทำงานจากบ้านและต้องรีบจัดโฮมออฟฟิศขึ้นมา ไปจนถึงทีวีและเครื่องเล่นเกมคอนโซลสำหรับคลายความเหงาความเบื่อหน่ายเมื่อใครๆ ก็ต้องล็อกดาวน์จับเจ่าอยู่กับบ้าน

การที่โรงงานต้องปิดชั่วคราวสืบเนื่องจากโรคระบาด ส่งผลทำให้ปริมาณซัปพลายเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งออกสู่ตลาดต้องลดจำนวนลงไปเช่นกัน

ครั้นเมื่อโรงงานกลับมาเปิดเดินเครื่องกันได้อีกครั้ง พวกผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงออร์เดอร์ต่อเนื่องไม่หยุด ทำให้ยอดปริมาณตกค้างผลิตไม่ทันของพวกโรงงานชิปมีแต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

เรื่องโรคระบาดใหญ่ไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงประการเดียวเท่านั้น ยังมีภัยพิบัติอย่างอื่นๆ เช่น พายุรุนแรงที่ส่งผลให้การผลิตของโรงงานจำนวนมากในรัฐเทกซัสของสหรัฐฯต้องหยุดลงไปช่วงสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ และไฟไหม้ใหญ่โรงงานแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม

ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สหรัฐฯ ออกมาตรการแบบอ้างอภิสิทธิ์ล้ำเลยไปจากอาณาเขตของตนเอง ด้วยการสั่งห้ามพวกบริษัทต่างประเทศส่งชิปไปขายให้แก่ยักษ์ใหญ่เทคอย่างหัวเว่ย ตลอดจนบริษัทเทคจีนอื่นๆ หากว่าชิปเหล่านั้นมีการใช้ส่วนประกอบอเมริกันหรือเทคโนโลยีอเมริกัน

ปรากฏว่า หัวเว่ย มีการเตรียมรับมือโดยเริ่มต้นกว้านซื้อเซมิคอนดักเตอร์มาเก็บสต๊อกไว้ตั้งแต่ก่อนหน้ามาตรการแซงก์ชันพวกนี้จะมีผลบังคับใช้ ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็เดินตาม จึงกลายเป็นแรงบีบคั้นซัปพลายให้ตึงตัวเข้าไปใหญ่

อุตสาหกรรมอะไรบ้างที่ถูกกระทบกระเทือน?

เท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ อุตสาหกรรมรถยนต์คือเหยื่อเคราะห์ร้ายที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด โดยที่มีแบรนด์รถยนต์จำนวนมากถูกบังคับให้ต้องชะลอการผลิตของพวกตนในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ช่วงต้นๆ ที่โควิด-19 เริ่มแพร่เชื้อรุนแรง พวกบริษัทรถยนต์ต่างพากันตัดลดการผลิตลง พวกบริษัทที่ซัปพลายชิปให้แก่พวกเขาจึงพากันหันไปหาลูกค้าจากเซกเตอร์อื่นๆ โดยเฉพาะพวกโรงงานทำสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ขายดีช่วงโรคระบาดและดีมานด์ในชิปมีแต่เพิ่มขึ้น

มาถึงตอนนี้ แบรนด์รถยนต์ทั้งหลายตั้งแต่โฟล์กสวาเกน ไปจนถึงวอลโว่ จึงต่างกำลังต้องดิ้นรนหนักเพื่อสั่งซื้อหาเซมิคอนดักเตอร์ เมื่อยอดขายรถของพวกเขากำลังกลับฟื้นชีพขึ้นมาอีกครั้ง

สำหรับพวกผู้ผลิตสมาร์ทโฟนนั้น เท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังถือว่าค่อนข้างอยู่รอดปลอดภัย เนื่องจากยังคงมีชิปที่สะสมไว้ในสต๊อก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็กำลังเริ่มต้นจะประสบปัญหาเหมือนกัน

ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล ออกมาเตือนในสัปดาห์ที่แล้วว่า ภาวะชิปขาดแคลนทำท่าจะกระทบการผลิตไอโฟนและไอแพดแล้ว ขณะที่พวกนักวิเคราะห์มองว่า บริษัทผลิตมือถือรายเล็กๆ ลงมาน่าจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหนาสาหัสมากกว่าด้วยซ้ำ

พวกเครื่องเล่นเกมคอนโซลดังๆ อย่าง เพลย์สเตชั่น 5 และเอกซ์บอกซ์ ซีรีส์ เอกซ์ ต่างเจอภาวะขาดแคลนชิปเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้ทำให้พวกเกมเมอร์ทั้งหลายพากันส่งเสียงโวยวายดังสนั่น เนื่องจากต่างต้องการการ์ดกราฟิกที่ใช้ชิปพลังสูงๆ สำหรับการเล่น ในขณะที่พวกเขากำลังหันไปหายุทธศาสตร์ในการเล่นเกมที่แปลกใหม่ผิดแผกจากธรรมดามากยิ่งขึ้นทุกที

คนที่ตื้อสุดๆ ไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ ถึงขั้นเข้าไปไลฟ์สตรีมกันทางยูทูบ และทวิต ซึ่งจะส่งเสียงเตือนทุกๆ ครั้งที่มีผู้เสนอขายการ์ดกันทางออนไลน์

ภาวะเช่นนี้จะจบลงเมื่อใด?

อันที่จริงรัฐบาลของหลายๆ ประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังเร่งรีบเพิ่มศักยภาพในการผลิตชิปของพวกตน

เมื่อเดือนพฤษภาคม เกาหลีใต้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่ามหึมา 451,000 ล้านดอลลาร์ ในความพยายามที่จะวางตัวเองให้เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์อย่างหนักแน่นมั่นคง ขณะเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐฯโหวตเมื่อเดือนที่แล้วผ่านงบประมาณ 52,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการอุดหนุนพวกโรงงานผลิตชิปในอเมริกา

สหภาพยุโรปนั้นกำลังหาทางเพิ่มส่วนแบ่งศักยภาพการผลิตชิปของตนขึ้นอีกเท่าตัว นั่นคือไปถึงระดับ 20% ของตลาดโลกให้ได้ภายในปี 2030

อย่างไรก็ดี โรงงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคิดตัดสินใจแล้วก็เปิดเดินเครื่องกันได้ในชั่วเวลาแค่ข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทำเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งกระบวนการผลิตซับซ้อนละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เกี่ยวข้องกับการอัดสารเคมีต่างๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าลงบนแผ่นซิลิคอน

"การสร้างศักยภาพการผลิตใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ยิ่งสำหรับโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่แล้วต้องการ 2 ปีครึ่งขึ้นไป ดังนั้น การขยายงานแทบทั้งหมดที่กำลังเริ่มต้นขึ้นมาในตอนนี้จะไม่ทำให้มีศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้นมาจริงๆ หรอกจนกว่าจะถึงปี 2023" นี่เป็นความเห็นของ ออนเดรจ เบอร์คัคคี ซีเนียร์พาร์ตเนอร์และโค-ลีดเดอร์ด้านการดำเนินงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ณ บริษัทที่ปรึกษา แมคคินซีย์

เขากล่าวต่อไปว่า ปัจจัยระยะยาวด้านต่างๆ บ่งชี้เช่นกันว่า ดีมานด์ "ชิป" ในทั่วโลกจะยังคง "เติบโตกันในระดับไฮเปอร์" ปัจจัยเช่นว่ามี อาทิ แนวโน้มที่บริษัทต่างๆ หันไปจัดเก็บข้อมูลของพวกเขาในคลาวด์ ซึ่งทำให้ต้องมีการสร้างศูนย์ข้อมูลกันมากขึ้นๆ เรื่อยๆ โดยที่แต่ละแห่งต่างต้องมีการใช้ชิปปริมาณมหาศาล

ทางด้าน ฌอน-มาร์ค เชรี ซีอีโอของ เอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทผลิตชิปสัญชาติฝรั่งเศส-อิตาเลียน บอกว่า ออร์เดอร์สำหรับปีหน้าที่บริษัทของเขาได้มาเวลานี้เกินเลยศักยภาพการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว

เขากล่าวด้วยว่า มีการรับรู้รับทราบกันอย่างกว้างขวางภายในอุตสาหกรรมนี้ว่า ภาวะขาดแคลน "จะยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างต่ำที่สุด"

พวกนักวิเคราะห์บอกว่า การตึงตัวที่ดำเนินต่อไป ย่อมหมายถึงพวกผู้บริโภคจะต้องซื้อสินค้าในราคาสูงขึ้น

เอสอีบี บริษัทฝรั่งเศสที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ใช้ในครัว อย่างเช่น เครื่องปั่น ออกมาแจ้งเรียบร้อยแล้วว่า กำลังถูกบีบบังคับให้ต้องขึ้นราคาสินค้าของบริษัท

(เก็บความจากเรื่อง The chips are down : why there's a semiconductor shortage Q&A ของสำนักข่าวเอเอฟพี)

https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075297
#3114



ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO กล่าวเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) ตามเวลาสหรัฐ ว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นตามระดับข้างต้น จำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันผลสะสมทั่วโลกจะพุ่งสูงเกิน 200 ล้านราย

"นับตั้งแต่การแถลงข่าวครั้งล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดอาจทะลุ 200 ล้านรายภายใน 2 สัปดาห์ และนั่นก็อาจจะต่ำกว่าความเป็นจริง" ดร.ทีโดรส กล่าว

การติดเชื้อโควิดโดยเฉลี่ยใน 5 จากทั้งหมด 6 ภูมิภาคเพิ่มขึ้น 80% หรือเกือบ 2 เท่าในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในแอฟริกา ก็เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันนี้ด้วย

ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นส่วนมากเป็นผลจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่แพร่เชื้อได้ง่าย และถูกตรวจพบว่าแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ในประเทศต่างๆ อย่างน้อย 132 แห่งแล้ว


ดร.ทีโดรส กล่าวอีกว่า เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงตัวเองเรื่อยมานับตั้งแต่มีรายงานครั้งแรก และยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป 

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ปัจจุบันมีการกำหนดเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ที่น่าวิตกกังวล จำนวน 4 สายพันธุ์ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นตราบเท่าที่เชื้อไวรัสยังคงแพร่กระจาย นอกจากนี้ การติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มทางสังคมและการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับการบังคับใช้มาตรการด้านสาธารณสุข และสังคม

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952163
#3115



บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย หรือ AMR คือผู้ประกอบการสัญชาติไทยรายแรกที่เบียดผู้ประกอบการต่างชาติ ในงานออกแบบ ติดตั้ง ระบบอาณัติสัญญาณ รถไฟฟ้าสายสีเขียว 2 สถานีแรก ช่วงสถานีตากสิน-วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปฝั่งธนบุรี ซึ่งบริษัทสามารถดำเนินการได้ นี่คือ ศักยภาพในการคว้าอีก 5 สถานี ในเส้นทางหมอชิต-คูคต , แบริ่ง-สมุทรปราการ

และในปี 2561 โอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่คือ การออกแบบรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่บริษัททำทั้งระบบตั้งแต่ระบบอาณัติสัญญาณ ไฟฟ้าสื่อสาร และการติดตั้งระบบประตูกับชานชลา 

และมูลค่างานโครงการขนาดใหญ่ของรัฐระดับ 'แสนล้านบาท' คือจังหวะและโอกาสสร้างการเติบโตมหาศาล !!

นี่คือ 'จุดเด่น' ของ 'เอเอ็มอาร์ เอเซีย' ผู้ประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 150 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 6.90 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ และเข้าซื้อขาย (เทรด) 2 ส.ค. นี้ 

ปัจจุบัน AMR มีผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย 1. งานให้บริการวางระบบ ด้าน SI แบบครบวงจร ครอบคลุมงานวางระบบคมนาคมขนส่ง (Transportation Solution) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และความปลอดภัย และระบบโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ (Smart City) 

2. งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับหน่วยงานต่างๆ โดยมีความสามารถในการให้บริการแบบครบวงจร ได้แก่ งานซ่อมบำรุงเชิงแก้ไข (CM) และงานซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (PM) เป็นต้น 

และ 3. การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไอทีโซลูชั่น ทั้งในรูปแบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) สำหรับลูกค้าที่ต้องการแพลตฟอร์มพื้นที่ทำงานดิจิทัลในการบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Workspace และการรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงแอบพลิเคชั่นที่จะช่วยให้พนักงานในองค์กรทำงานผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น 

'มารุต ศิริโก' กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย หรือ AMR แจกแจงสตอรี่สร้างการเติบโตให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek'] ว่า ด้วยธุรกิจของบริษัทมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก สะท้อนผ่านทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านโทรคมนาคม , ด้านพลังงาน , ด้านระบบไอทีและโซลูชั่นต่าง ๆ โดยมีทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การทำงานมากว่า 20 ปี และมีฝีมือเทียบเท่าบริษัทข้ามชาติ 

การขยับตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในครานี้ เขายอมรับว่า เมื่อต้องการ 'ปลดล็อก' การเติบโตของธุรกิจ เงินระดมทุนจำนวน 985.24 ล้านบาท เพื่อไปขยายธุรกิจและเพิ่มโอกาสการรับงานที่มีมูลค่าระดับมากกว่าพันล้านบาท และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรและคู่ค้า

สอดคล้องกับเป้าหมายของการเข้ามาระดมทุนครั้งนี้ คือ ลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และเมืองอัจฉริยะ จำนวน 837.46 ล้านบาท ระยะเวลาใช้เงินปี 2564-2566 ลงทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี จำนวน 49.26 ล้านบาท และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน จำนวน 98.52 ล้านบาท 

'การระดมทุนนอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการเงินแล้ว ยังส่งเสริมความน่าเชื่อถือของบริษัท และเพิ่มความไว้วางใจให้กับลูกค้าและพันธมิตรต่างๆ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้ารับงานจากหน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนได้ในอนาคต'

หากพิจารณาการเติบโตขององค์กรแห่งนี้จะพบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561-2563) มีกำไรสุทธิเติบโตอยู่ที่ 140.99 ล้านบาท 27.39 ล้านบาท และ 247.55 ล้านบาท ขณะที่ รายได้อยู่ที่ 1,917.83 ล้านบาท 1,467.62 ล้านบาท และ 2,584.07 ล้านบาท ตามลำดับ ล่าสุด ไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 29.47 ล้านบาท และรายได้ 337.66 ล้านบาท 

เขา บอกต่อว่า สำหรับแผนธุรกิจ 3-5 ปี (2564-2568) บริษัทมีเป้าหมายรับงานโครงการขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขยายธุรกิจในส่วนของภาคบริการเพื่อสร้างพอร์ต 'รายได้ประจำ' (Revenue Income) อย่าง ระบบคมนาคมขนส่งสายรอง (Feeder Line) และ ด้านพลังงาน อย่าง การพัฒนาสถานีชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมทั้งเมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทซิตี้ 

โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้พอร์ตรายได้ประจำในอีก 5 ปีข้างหน้า อยู่ที่สัดส่วน 50% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10% และขยับเพิ่มเป็น 20-30% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต 

'ที่ผ่านมา AMR ได้เข้าไปเป็นผู้ออกแบบติดตั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งมีแผนขยายจากจุดเล็ก ๆ ไปสู่ระดับประเทศ คาดว่าภายใน 1-2 ปีข้างหน้า คนไทยจะได้มีโอกาสเห็น EV Charging Station มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ออกแบบโดย AMR อีกด้วย'

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตการดำเนินธุรกิจของ AMR มีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมากตามการขยายตัวด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ทั้งประเภทระบบเทคโนโลยีคมนาคมและการเดินรถไฟฟ้า พลังงานและระบบสื่อสาร โดยภาครัฐเตรียมเปิดประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ในมือแล้วประมาณ 1,451.20 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปี นับจากนี้


นอกจากนี้ในปี 2565 ภาครัฐมีแผนเตรียมเปิดประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง รวมไปถึงรถไฟในต่างจังหวัด โดย 20-30% ของโครงการเกี่ยวข้องกับการวางระบบ ทำให้เห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมากในช่วงหลาย 10 ปีข้างหน้าอีกมาก 

ท้ายสุด 'มารุต' บอกไว้ว่า ที่ผ่านมาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเป็นผู้ให้บริการงานออกแบบติดตั้งระบบวิศวกรรมไอทีโซลูชั่น ให้รัฐและเอกชนชั้นนำไม่ว่าเป็นระบบบริหารจัดการน้ำ และ กทม. และวางระบบเดินรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และรถไฟรางคู่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นงานระดับเมกะโปรเจคของประเทศ

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952000
#3116

ฟันคุด (ภาษาอังกฤษ : Wisdom Tooth) ปัญหาในช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากรู้สึกปวดฟันคุดขึ้นมาเมื่อไร อาจเป็นสัญญาณบอกว่าช่องปากและเหงือกของเรากำลังมีปัญหา ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางรักษาอย่างถูกวิธี บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยเกี่ยวกับฟันคุด มีอาการอย่างไร และหากไม่ถอน จะเป็นอันตรายหรือไม่?

ฟันคุด คือ ฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาบนช่องปากได้ตามปกติ เนื่องจากพื้นที่ของขากรรไกรไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีสิ่งขัดขวางไม่ให้ฟันโผล่ขึ้นมา สาเหตุของฟันคุดส่วนใหญ่จะเกิดจากขนาดขากรรไกรที่ไม่สัมพันธ์กับขนาดของฟัน ฟันคุดมักจะเกิดขึ้นกับฟันกรามซี่สุดท้าย พบมากในช่วงอายุ 18-20 ปี แต่ทั้งนี้ ฟันคุดก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคน เพราะขากรรไกรของบางคนก็ใหญ่พอที่จะรองรับฟันซี่ด้านในสุดให้โผล่ขึ้นมาได้ และกลายเป็นฟันกรามธรรมดาๆ ซี่หนึ่งนั่นเอง

ในรายที่ฟันคุดไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้ จำเป็นต้องผ่าออก เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อฟันซี่ใกล้เคียง ทำให้มีอาการอักเสบได้ หรือรายที่ฟันคุดโผล่พ้นเหงือกขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สามารถเรียงตัวได้ตามปกติ ก็ต้องถอนฟันคุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในช่องปากอื่นๆ ตามมา สำหรับคนที่สงสัยว่าฟันคุดเป็นยังไง สังเกตจากภาพข้างล่างนี้ได้


ฟันคุดมีกี่แบบ? ส่วนลักษณะของฟันคุดก็มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ฟันคุดขึ้นเต็มซี่ ฟันคุดแบบมีเหงือกปกคลุม เป็นต้น แต่หากจะแบ่งลักษณะของฟันคุด ตามลักษณะการขึ้นของฟันคุด สามารถแบ่งได้ 3 แบบ ได้แก่ 

ฟันคุดที่ขึ้นในแนวตรง 
ฟันคุดที่ขึ้นในแนวนอน 
ฟันคุดที่ขึ้นแนวเฉียง
สำหรับคนที่ประสงค์จะจัดฟัน : ทันตแพทย์จะเอกซเรย์ตรวจดูตำแหน่งของฟันคุด ซึ่งส่วนใหญ่หากมีปัญหาจะแนะนำให้ผ่าฟันคุดออก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อแนวฟันกราม รวมถึงเบียดฟันซี่ต่างๆ ขณะที่กำลังจัดฟันอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้การจัดฟันไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ลักษณะอาการฟันคุด สังเกตได้จากอะไรบ้าง? 
อาการปวดฟันคุดเป็นความรู้สึกทรมานที่หลายคนไม่อยากเผชิญ นอกจากทำให้เคี้ยวอาหารไม่สะดวกแล้ว ในบางรายอาจรู้สึกปวดจนนอนไม่หลับ เนื่องจากฟันคุดทำให้เหงือกบวม โดยเฉพาะเมื่อฟันคุดงอก จะรู้สึกเจ็บเหงือก จนต้องหายามากินบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับอาการฟันคุดที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง ได้แก่

รู้สึกปวดฟันกรามบริเวณซี่ในสุด
เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ปวดหน่วงๆ ที่ขากรรไกร
เริ่มมีอาการหน้าบวม หรือหน้าบวมข้างเดียว
เหงือกบวมแดง มีอาการอักเสบ
บางรายอาจเป็นฝีในช่องปาก

ทำไมต้องเอาฟันคุดออก ไม่ผ่า ไม่ถอน ได้หรือไม่?
หากฟันคุดไม่สามารถโผล่ขึ้นมาตามแนวฟันได้ปกติ แต่มีลักษณะเอียงเป็นแนวนอน หรือซ้อนทับฟันซี่อื่นๆ อยู่ใต้เหงือก จะทำให้รู้สึกปวด มีอาการเหงือกบวมและอักเสบ

แต่หากฟันคุดโผล่ขึ้นมาแล้ว แต่อาจจะขึ้นมาได้เพียงบางส่วน จะทำให้แปรงทำความสะอาดยาก เพราะเป็นฟันซี่สุดท้ายที่อยู่ลึกสุด ฟันคุดจึงกลายเป็นแหล่งสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรีย เนื่องจากบริเวณรอบฟันคุดอาจมีเศษอาหารติดได้ง่าย โดยจะส่งผลกระทบให้มีอาการต่างๆ ตามมา เช่น

ฟันผุง่าย
มีกลิ่นปาก
เหงือกอักเสบ
หน้าบวม/แก้มบวม
อ้าปากไม่ขึ้น
รู้สึกปวดหัว
เกิดถุงน้ำใกล้ขากรรไกร
ดังนั้น หากอยากรู้ว่าลักษณะฟันคุดของเราควรผ่า หรือถอนออกหรือไม่นั้น? จะต้องปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์จะพิจารณาจากฟิล์มเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยว่าฟันคุดส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหนนั่นเอง


ข้อควรระวังก่อน และหลังผ่าฟันคุด
ก่อนผ่าฟันคุดต้องทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าฟันคุด หรือถอนฟันคุด ก็ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคเบาหวาน และโรคเลือด รวมถึงผู้ที่กินยาเป็นประจำ เนื่องจากหลังการผ่าฟันคุดอาจต้องกินยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งในบางรายไม่สามารถกินได้ เพราะจะส่งผลต่อโรคประจำตัว

ผ่าฟันคุด เจ็บไหม และกี่วันหาย?
ทันตแพทย์จะฉีดยาชา ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างที่ทันตแพทย์กำลังทำการผ่า หรือถอนฟันคุด หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ทันตแพทย์จะพิจารณาการสั่งยาให้กินเพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เป็นต้น หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดมาตัดไหม หรือตรวจดูอาการอีกครั้ง


ผ่าฟันคุด ปัจจุบันราคาเท่าไร?
สำนักงานประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ใช้บริการทางทันตกรรมไม่เกิน 900 บาทต่อปี สำหรับค่าผ่าฟันคุดโรงพยาบาลรัฐจะมีหลายราคาด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ราคาหลักร้อยถึงหลักพันต้นๆ ส่วนโรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกเอกชน เริ่มต้นที่ประมาณซี่ละ 1,500-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยาก-ง่าย และอัตราค่าบริการของแต่ละที่

การดูแลตัวเองหลังผ่าฟันคุด มีข้อห้ามอะไรบ้าง?
ไม่ควรบ้วนเลือด หรือบ้วนปากแรงๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงหลังผ่าเสร็จ หากเว้นจากการแปรงฟันแรงๆ ในช่วงแรก แต่ให้หันมาใช้น้ำเกลือบ้วนเบาๆ เพื่อทำความสะอาดช่องปาก และกำจัดแบคทีเรียแทน ควรงดอาหารเผ็ดหลังผ่าฟันคุด เพราะจะทำให้แผลหายช้า

ฟันคุดเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยในช่องปากที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม หากรู้สึกปวด หรือสงสัยว่ามีปัญหาฟันคุด ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาวิธีดูแลรักษาอย่างถูกต้อง.
#3117
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3118



นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ยังคงเดินต่อ โดยจังหวัดภูเก็ตได้วิเคราะห์สถานการณ์เป็นรายวัน ล่าสุดได้ออกประกาศยกระดับการควบคุมมา 3 ฉบับ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เพราะต้องการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคให้อยู่ พร้อมกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทย โดยจะใช้มาตรการทางสาธารณสุขนำหน้าเพื่อ ควบคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

"ภาพที่เราอยากเห็นตอนนี้คือ เราสามารถควบคุมโรคได้ ไปพร้อมฟื้นฟูกับเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ต ต้องตอบคำถามว่าคนภูเก็ตได้อะไร ประเทศไทยส่วนรวมได้อะไร ซึ่งสิ่งที่เราไม่อยากเห็นกันตั้งแต่ตอนแรกและคิดกันมาตลอด คือ เราเปิดแล้วเราไม่ต้องการปิดเหมือนบางแห่ง จึงจำเป็นต้องยกระดับมาตรการขึ้นมาเป็นลำดับว่าสถานการณ์ตอนนี้จะต้องทำอะไรเพิ่มขึ้น อาจจะลดกิจกรรม อาจจะลดความเข้มก็ต้องทำ เพราะตอนนี้ต้องการเซฟภูเก็ต แซฟแซนด์บ็อกซ์ และเซฟประเทศไทย"

ทั้งนี้จากการรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ตั้งแต่วันที่ 1-29 ก.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวน 12,599 คน มีผู้ติดเชื้อ 30 ราย ถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก และเป็นการติดเชื้อที่ติดมาก่อนถึง ซึ่งภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเฉลี่ยวันละ 200-300 คน เช่นเดียวกับสายการบินเพิ่มมากขึ้น และยอดจองห้องพักในช่วง 3 เดือนนี้มีเกือบ 3 แสนคืน ถือว่ากำลังเป็นไปได้ด้วยดี ส่วนทิศทางต่อไปน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป ซึ่งเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

ส่วนสถานการณ์โควิดตั้งแต่เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ขึ้นมา สัปดาห์แรกมีผู้ติดเชื้อ 25 ราย แยกเป็น ภายใน 16 ราย ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 1 ราย และต่างจังหวัด 8 ราย สัปดาห์ที่ 2 พบติดเชื้อ 48 ราย สัปดาห์ที่ 3 พบติดเชื้อ 69 ราย และสัปดาห์ที่ 4 พบติดเชื้อ 185 ราย ซึ่งสัปดาห์สุดท้ายที่พบมากขึ้น คือมาจากการติดเชื้อภายใน 148 ราย ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 6 ราย และต่างจังหวัด 19 ราย และรับคนกลับบ้านอีก 11 ราย ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าระบบสาธารณสุขของจังหวัดสามารถดูแลได้ โดยล่าลุดการเตรียมพร้อมเรื่องเตียงมีทั้งหมด 694 เตียง ใช้ไปแล้ว 249 เตียง คิดเป็นอัตราการครองเตียง 36%

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ตามข้อกำหนดของการพิจารณายกระดับการควบคุมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ จะมีเกณฑ์กำหนดไว้ คือ ระยะแรก ถ้าพบตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 90 รายต่อสัปดาห์ จะต้องยกเลิกกิจกรรม งดการรวมกลุ่ม ระยะต่อไป หากพบว่ามีลักษณะการกระจายโรคในจังหวัดทั้ง 3 อำเภอ และมากกว่า 6 ตำบล การครองเตียงมากกว่า 80% จะยกระดับมาตรการต่อไป
#3119



นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ความคืบหน้ากรณีการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ใน 9 ประเภทกิจการได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ สาขาข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร

โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้สั่งการให้ รมว.แรงงานเร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนไม่ให้เกินวันที่ 6 สิงหาคม โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะระบบการโอนผ่านพร้อมเพย์สามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชีเท่านั้น โดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน จะต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงได้สามารถโอนได้ครบภายในกำหนดเวลาวันที่ 6 สิงหาคม ตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และจะทยอยโอนครั้งต่อไปให้กับนายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุกๆวันศุกร์จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564

น.ส.ลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า วิธีการจ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยา จากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน โดยนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม

สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และนายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 3 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา นั้น สำนักงานประกันสังคมจะประชาสัมพันธ์วันจ่ายเงินให้ทราบในภายหลัง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง
#3120



ฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม  มอบนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้ขยายทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-เชียงราย เป็นถนนมาตรฐานขนาด 4 ช่องจราจร ไป-กลับ ตลอดเส้นทาง 158.473 กม. จากเดิมมีขนาด 2 ช่อง ไป-กลับ เพื่อเสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงพื้นที่ภาคเหนือให้สมบูรณ์ 

ที่ผ่านมา ทล. ขยายทางหลวงสายดังกล่าวเป็น 4 ช่อง แล้วเสร็จ 48 กม. และได้ดำเนินโครงการก่อสร้างเป็น 4 ช่อง อีกระยะทาง 42.8 กม. ช่วง อ.ดอยสะเก็ด-ต.แม่ขะจาน ระหว่าง กม.20+200-กม.63+000 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง ตอน อ.ดอยสะเก็ด-ต.ป่าเมี่ยง ตอน 1 ระหว่าง กม.20+200-กม.31+700  ระยะทาง 11.5 กม. ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 93% คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ก.ย.นี้ จะทำให้เพิ่มระยะทางเป็น 4 ช่องรวม 91 กม. ทั้งนี้มีบางช่วงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางไปแล้ว 


ส่วนที่เหลืออีก 67.473 กม. ที่ยังเป็น 2 ช่องอยู่ และเป็นช่วงสุดท้ายโดยอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านโป่ง-บรรจบทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ระหว่าง กม.91+000 กม.158+473 เนื่องจากสภาพเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยว  เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง  จำเป็นต้องปรับปรุงให้เป็นทางหลวงขนาด 4 ช่องตลอดเส้นทาง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง  ยกระดับความปลอดภัยด้านคมนาคมขนส่ง และรองรับปริมาณการจราจรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว 


ทั้งนี้ ทล. จึงเร่งดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 118 (สายเชียงใหม่-เชียงราย) แบ่งเป็น 2 ตอน คือ 1.ตอน บ.แม่เจดีย์-อ.แม่สรวย 50 กม. อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำรายงาน EIA เสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) หากผ่านการพิจารณาแล้วโครงการจะมีความพร้อมเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปี 67 แล้วเสร็จปี 69 


และ 2.ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย 17.473 กม. กำลังเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินกู้ (เพิ่มเติม) อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหากได้รับงบประมาณจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป  โดยใช้งบประมาณโครงการ  2,000 ล้านบาท  คาดว่าเริ่มดำเนินการได้ประมาณปี 65 แล้วเสร็จปี 67 

สำหรับโครงการ ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย มีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.141+000 ท้องที่ ต.แม่สรวย สิ้นสุดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธินบริเวณ กม.910+123) ที่ กม.158+473 ต.ดงมะดะ ครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สรวย  อ.แม่ลาว และ  3 ตำบล ได้แก่ ต.แม่สรวย ต.ดงมะดะ ต.จอมหมอกแก้ว รูปแบบการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตขนาด  4 ช่อง ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีตกว้าง 1.60 เมตร  


มีรูปแบบทางแยก 4 จุดตัด ดังนี้ 1.จุดตัดทางหลวงชนบทหมายเลข ชร.2113 (กม.146+994) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของการจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 2.จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1211 (กม.154+647) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 


3.จุดตัดถนนเลียบคลองชลประทาน (กม.156+500) โดยรื้อสะพานข้ามคลองชลประทาน บนเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 ในปัจจุบันออก เพื่อออกแบบเป็นสะพานยกระดับข้ามคลองชลประทาน โดยออกแบบทางขนานเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในพื้นที่ และแยกกระแสจราจรของรถที่ใช้ความเร็วออกจากกันเพื่อความปลอดภัยบริเวณใต้สะพานออกแบบจัดการจราจรเป็นระบบวงเวียนของถนนเลียบคลองชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 4.50 เมตร 


และ 4.จุดตัดถนนทางหลวงหมายเลข 1 ที่ กม.158+473 แนวเส้นทางตัดกับทางหลวงหมายเลข 1  ที่ กม.910+123 และเป็นจุดสิ้นสุดของโครงการ  สภาพพื้นที่ในปัจจุบันเป็น 3 แยกสัญญาณไฟแบบ channelize แต่เนื่องจากเป็นทางแยกหลักที่เชื่อมโยงระหว่าง 3 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ซึ่งปริมาณจราจรที่ผ่านจุดตัดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาออกแบบปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 

โดยออกแบบทางยกระดับข้ามทางแยก 1 ทิศทาง บนทางหลวงหมายเลข 1 ฝั่งมุ่งหน้าจาก จ.พะเยา ไปตัวเมืองเชียงราย พร้อมทางขนานทางยกระดับ ทิศทางมุ่งหน้าจากตัวเมืองเชียงรายไป จ.พะเยา จะขยายถนนระดับพื้นดิน จากเดิม 2 ช่อง เป็น 4 ช่อง โดยออกแบบเกาะกลางรูปปีกนกสำหรับแบ่งรถในทิศทางตรงให้สามารถผ่านทางแยกได้คล่องตัว ไม่ต้องติดสัญญาณไฟจราจร ส่วนทิศทางเลี้ยวขวาเข้า-ออก จากทางหลวงหมายเลข 118 จะถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร ทำให้ลดการตัดกระแสจราจรบริเวณทางแยกและทำให้การจราจรบนทางหลวงหมายเลข 1 เกิดความคล่องตัว  


เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งทางหลวงหมายเลข 118 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณการจราจรที่มากขึ้นจากเดิม 1-1.8 หมื่นคันต่อวัน เป็น 3 หมื่นคันต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ลดลงเหลือ 3 ชม. ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้สะดวกรวดเร็ว ช่วยส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว จ.เชียงราย และเกิดโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน