• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kaidee20

#8656
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#8658
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งผู้ส่งออกรอขายดอลลาร์ โดยแนวรับจะอยู่ในโซน 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.90 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่า"ลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์

 

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย ระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินกล้ากลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังตลาดคลายกังวลปัญหาการเจรจาเพดานหนี้ของสหรัฐฯ (Debt Ceiling)

 

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่อมุมมองเศรษฐกิจและแนวโน้มการลดคิวอี หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls: NFP) ล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก

 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าเฟดต่อมุมมองด้านเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงิน หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP) เดือนกันยายน เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 2 แสนราย ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะยังคงมั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานและสนับสนุนการทยอยลดคิวอีในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ 

 

นอกเหนือจากถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ตลาดจะติดตามรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) เพื่อวิเคราะห์ว่าเฟดได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงรายละเอียดการทยอยลดคิวอีหรือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างไรบ้าง และนอกจากนี้ ตลาดจะติดตามสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนกันยายน ที่อาจหดตัวราว -0.2% จากเดือนก่อนหน้า กดดันโดยยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ซึ่งหากไม่รวมยอดขายรถยนต์และน้ำมัน ยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น +0.2%

 


สะท้อนว่าการใช้จ่ายในสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ว่าระดับราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนกันยายน จะอยู่ที่ระดับ 5.3% ทั้งนี้ ตลาดจะติดตามว่า อัตราเงินเฟ้อมีการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหรือไม่ เพราะหากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่ภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจยังคงชะลอลงอาจทำให้ ตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง เพราะยังกังวลปัญหา Stagflation อยู่ ทั้งนี้ เรามองว่า การใช้จ่ายในสหรัฐฯ จะทยอยฟื้นตัวได้ดี หลังสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้นจากการเร่งแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนตุลาคม ที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 73.5 จุด

 

ฝั่งยุโรป – แม้ว่าปัจจุบันการเลือกตั้งเยอรมนียังไม่ได้ข้อสรุปว่า พรรคไหนจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม (Coalition Government) ได้ แต่ล่าสุด เริ่มมีความเป็นไปได้ว่า พรรค Green และ FDP ที่ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกัน อาจบรรลุข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลกับ พรรค SPD ที่ได้เสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบ Traffic light (SPD+Green+FDP) อาจส่งผลดีต่อตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นเยอรมนีและค่าเงินยูโร เนื่องจากรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง รวมถึงมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และอาจมีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามการเจรจาการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป เพราะพรรค CDU/CSU ที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังพร้อมที่จะเจรจากับพรรค Green และ FDP

ฝั่งเอเชีย – ตลาดการเงินยังคงจับตาปัญหาหนี้ Evergrande รวมถึงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ รายอื่นในจีน โดยตลาดจะรอลุ้นว่า Evergrande จะสามารถขายสินทรัพย์เพื่อมาจ่ายเงินคืนให้กับผู้ถือหุ้นกู้ได้หรือไม่ ภายในระยะเวลา Grace period 30 วัน นับตั้งแต่มีการผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว ตลาดจะติดตามการประชุมของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK)  โดยตลาดมองว่า BOK จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.75% เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมก่อนหน้า ซึ่งเราคาดว่า BOK อาจขึ้นดอกเบี้ยได้อีกครั้งในเดือนธันวาคม หลังเศรษฐกิจก็ทยอยฟื้นตัวได้ดี

 

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะจับตาการประมูลบอนด์ LB249A วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท โดยหากผลการประมูลออกมาดีหรือผู้เล่นในตลาดยังมีความต้องการบอนด์อยู่มาก อาจช่วยทำให้บอนด์ยีลด์ในช่วง front-end อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากจากระดับปัจจุบัน หลังจากที่ยีลด์ front-end ได้ปรับตัวขึ้นกว่า 0.17% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรามองว่าน่าจะ priced-in แนวโน้มการคงดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจนถึงปี 2023 ไปพอสมควรแล้ว

 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ควรจับตาการประมูลบอนด์ที่จะถึงนี้ เพราะหากดีมานด์ความต้องการบอนด์สูงกว่าคาด อาจช่วยให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาลงทุนในบอนด์ไทยและหนุนเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมาก เพราะเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยงด้านอ่อนค่าจากปัจจัยเสี่ยงภายใน อาทิ ปัญหาน้ำท่วมที่ต้องเฝ้าระวังความรุนแรงของพายุที่กำลังจะเข้าสู่ประเทศ รวมถึง สถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มเจอยอดการระบาดที่สูงขึ้น โดยเฉพาะยอดการตรวจเชิงรุกแบบ ATK

 

ส่วนในมุมแนวโน้มเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ในสัปดาห์นี้ เงินดอลลาร์อาจเริ่มอ่อนค่าลงได้ หลังตลาดเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) ลดความน่าสนใจของการถือเงินดอลลาร์เพื่อเป็น Safe Haven หลยความผันผวนในตลาด นอกจากนี้ หากเจ้าหน้าที่เฟดเริ่มกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจหรือเริ่มมองว่าเฟดยังไม่ควรรีบลดคิวอี ก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าต่อได้ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังมีโมเมนตัมหนุนอยู่บ้างจากปัจจัยเสี่ยง อาทิ ความกังวลเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูง แต่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือ Stagflation และ ปัญหาหนี้ Evergrande

 

ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทพยายามอ่อนค่าทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ มาหลายครั้ง แต่ยังไม่ผ่าน ในช่วงที่ผ่าน ทำให้ในเชิงเทคนิคัล โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มแผ่วลงในระยะสั้นได้ ซึ่งเรามองว่า เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ ขณะที่ ผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า โดยแนวรับของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.50-34.00 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.00 บาท/ดอลลาร์
#8659
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#8660
ภายหลังจากไมก์ แอชลีย์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอังกฤษ ขายหุ้นสโมสรนิวคาสเซิลให้กลุ่มทุน "พับลิก อินเวสต์เมนต์ ฟันด์" (พีไอเอฟ) จากซาอุดีอาระเบีย ได้เงินไปราว 305 ล้านปอนด์ (13,725 ล้านบาท) หลังจากเป็นเจ้าของทีมสาลิกาดงอยู่นาน 14 ปี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของแฟน.ตลอดหลายปีหลัง

ล่าสุด "เดลี่ มิร์เรอร์" สื่ออังกฤษ อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดของแอชลีย์ว่า นักธุรกิจวัย 57 ปี อดีตซีอีโอของ "สปอร์ตส์ ไดเรกต์" เล็งเข้าไปถือหุ้นใหญ่ของสโมสรฟุต.แห่งใหม่แล้ว คือ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งกำลังประสบปัญหาการเงินจนโดนทางลีกเข้าไปเทกโอเวอร์การบริหารอยู่ในขณะนี้


ข่าวบอกว่า เนื่องด้วยสำนักงานของสปอร์ตส์ ไดเรกต์ อยู่ไม่ไกลจากไพรด์ปาร์ก รังเหย้าของทีมแกะเขาเหล็ก แอชลีย์จึงมองว่าน่าจะเป็นแผนการขยายฐานลูกค้าที่ดีโดยใช้ทีมดาร์บี้เป็นสโมสรหลักในการชูโรงสินค้าภายในร้าน


สำหรับดาร์บี้ ตั้งแต่โดนควบคุมกิจการ ตอนนี้มีกลุ่มทุนหรือนักธุรกิจหลายเจ้าแสดงความสนใจอยากเข้าเทกโอเวอร์สโมสรอยู่
#8661
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ถูกดิสรัปอย่างมากในโลกยุคปัจจุบัน ทั้งถูกดิสรัปจากเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น รวมถึงกระแสการลงทุนแบบใหม่ที่เข้ามา เช่น การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ที่สามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง

"ภากร ปีตธวัชชัย" กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ" ต่อแผนการรับมือความท้าทายดังกล่าว ว่า ตลาดทุนในอนาคตตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มเดิม ได้แก่ นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนบุคคล นักลงทุนต่างประเทศ ที่เป็นฐานการลงทุนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน และนักลงทุนคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีหลายโจทย์สำคัญที่ต้องดำเนินการ ได้แก่ การเข้ามาลงทุนจะต้องทำได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ในการลงทุนที่มีความหลากหลาย รวมถึงจะต้องสามารถซื้อขายได้ตามจำนวนที่ต้องการ(ตามวงเงินที่ต้องการลงทุน) เช่น การซื้อหุ้นต่างประเทศ หรือกระทั่งการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย ต้องสามารถซื้อขายตามจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนต้องการ

สำหรับการพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนดังกล่าว เช่น ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ที่อิงกับสินทรัพย์ต่างๆ ในลักษณะการซื้อขายเศษส่วนของหุ้น (Fractional Shares) ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ในราคาที่ถูกลง เช่น DR อ้างอิงหุ้นแอ๊ปเปิ้ล สามารถซื้อขายที่ราคา 10 20 หรือ 50 บาท ต่อหุ้นได้ เป็นต้น เบื้องต้นจะออก DR อ้างอิงหุ้นต่างประเทศก่อน และในระยะถัดไปจะนำหุ้นไทยที่มีมูลค่าสูงมาอ้างอิง



นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองโจทย์สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง ในสินทรัพย์บางประเภทเช่น สินทรัพย์ที่อิงกับต่างประเทศ (Global Asset) ที่ควรซื้อขายได้ในเวลากลางคืน เพราะเป็นช่วงกลางวันที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเปิดทำการ  ซึ่งช่วงแรกอาจจะไม่ได้เปิดให้ซื้อขาย 24 ชั่วโมง แต่จะเป็นลักษณะการขยายเวลาที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งที่ผ่านมา ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ก็ได้มีการขยายเวลาการซื้อขายในช่วงกลางคืนแล้ว

ภากร กล่าวอีกว่า ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่ปัจจุบันยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ภายหลังมีแพลตฟอร์มการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ เกิดขึ้นมาขนานกับ Ecosystem ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในรูปแบบใหม่ เพื่อให้บริการนักลงทุนได้ดีมากยิ่งขึ้น

ในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าหมายเข้ามาเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเชื่อมต่อการให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต ซึ่งประกอบด้วยการออกและเสนอขายโทเคน (Token Issuing) การซื้อขายและการทำรายการ (Trading and Clearing) กระเป๋าเงิน (Wallet) และการให้บริการนักลงทุนและผู้ออกสินทรัพย์ (Investor and Issuer Services) ได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Assets Exchange: TDX) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุญาตสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคาดว่าจะออกมาให้บริการได้ภายในเร็วๆ นี้ โดย TDX ถูกออกแบบมาเป็นระบบเปิด เพื่อให้เกิดการต่อเชื่อมได้มากที่สุด


อย่างไรก็ดี TDX ไม่ได้มีไว้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) แต่มีไว้เพื่อซื้อขายสินทรัพย์ที่เป็นโทเคนเพื่อการลงทุน (Investment Token) รวมถึงตั้งเป้าเป็นแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมต่อการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่นเดียวกับโปรแกรม Settrade Streaming ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปัจจุบัน

"เรามองว่าในอนาคตจะมีโลกเก่า กล่าวคือ ตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นศูนย์กลางซื้อขายหุ้นปัจจุบัน และโลกใหม่ ซึ่งก็คือการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์รูปแบบใหม่ TDX จะเกิดขึ้นขนานกัน แม้ปัจจุบันยังเห็นภาพไม่ชัดเจนว่าอนาคตตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด แต่เชื่อว่าทั้ง 2 ตลาดจะเกิดขึ้นขนาดกันไปสักช่วงหนึ่ง จนถึงวันหนึ่งที่เราเห็นว่าตลาดใดตลาดหนึ่งดีกว่าอีกอันหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด วันนั้นนักลงทุนจะวิ่งเข้าตลาดนั้นตลาดเดียว แต่คิดว่ายังต้องใช้เวลาอีกหลายปี"

สถานการณ์โควิด-19 นั้นมีผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างมาก เพราะส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงานของบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ และนักลงทุน แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เพราะมีการปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลมาโดยตลอด ทั้งการเปิดบัญชี การประเมินความเสี่ยงนักลงทุน (Suitability Test) การยืนยันตัวตนผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ฯลฯ ที่สามารถให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลได้ทั้งหมด

ในส่วนของบริษัทจดทะเบียน พบว่ามีการปรับตัวค่อนข้างมาก สะท้อนผ่านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการเงินผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการออกหุ้นเพิ่มทุน (Secondary Offering)

ท่ามกลางโควิด-19 พบว่า ตลาดทุนไทยมีผู้เข้ามาลงทุนมากขึ้น สะท้อนผ่านจำนวนนักลงทุนใหม่ที่เข้ามาเปิดบัญชี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากราว 7-8 แสนรายในปี 2563 มาอยู่ที่ราว 2 ล้านราย ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน และนักลงทุนมีการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จากเฉลี่ย 7 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 2563 มาอยู่เฉลี่ย 9 หมื่นล้านบาทต่อวันในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความกว้างและมีขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นเครื่องมือหนุนเศรษฐกิจและธุรกิจให้เติบโต

แนวโน้มอนาคตเชื่อว่าจะมีการเปิดบัญชีลงทุนของนักลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องเพราะ ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำนักลงทุนยังแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงต่อเนื่อง
#8662
ชื่อดีเสริมมงคล เกื้อหนุนให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองดังใจหวัง

รับวิเคราะห์ชื่อให้ฟรี !!!!

รับตั้งชื่อ ตั้งชื่อเด็ก เปลี่ยนชื่อ หาชื่อมงคล
ใช้ทั้ง 3 ศาสตร์ คือตามหลักทักษา เลขศาสตร์ อายตนะ

ตามความเชื่อแบบไทย "ชื่อ" เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงจะเป็นคำที่ใช้แทนตัวเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คุณให้โทษแก่เราอีกด้วย ดังนั้นการ "ตั้งชื่อ" ให้แก่เด็กหรือแม้แต่เปลี่ยนชื่อให้ตัวท่านเอง ต้องทำตามตำราจึงจะเป็นมงคล

การตั้งชื่อมงคลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ตามเงื่อนไขของทุกศาสตร์ทุกตำรา เพื่อจะได้ชื่อดี ๆ สักชื่อนึงไม่ง่ายเลย ต้องมีการวิเคราะห์ชื่อแยกแยะอักขระ คำนวณวิเคราะห์ร้อยชื่อพันชื่อหากโชคดีอาจได้มาสักชื่อนึงก็เป็นได้ ได้ชื่อแล้วจะต้องดูผลคำทำนายรวมกับนามสกุลอีก ใช้แต่ละศาสตร์กลั่นกรองชื่อ แต่ละชื่อใช้เวลาในการคำนวณพอสมควร

ค่าครูในการตั้งชื่อ 299 บาท (จากปกติ 599 บาท) ท่านจะได้รับ

รับชื่อมงคล 2-3 ชื่อ มีคำอ่านและคำแปลของชื่อ
วิเคราะห์ชื่อใหม่ให้ทั้ง 3 ศาสตร์ ไม่ว่าหลักทักษา หลักเลขศาสตร์ หลักอายตนะ
ชื่อที่ได้รับจะผ่านการทำพิธีเสริมดวง เสริมมงคลให้ด้วย
ฤกษ์ในการเปลี่ยนชื่อ
พิธีกรรมที่ส่งเสริมการใช้ชื่อใหม่ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะห์ชื่อฟรี ตั้งชื่อ เปลี่ยนชื่อ ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662
id line : teerapat999

เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/3
  
#8664
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#8665
ชื่อดีเสริมมงคล เกื้อหนุนให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองดังใจหวัง

รับวิเคราะห์ชื่อให้ฟรี !!!!

รับตั้งชื่อ ตั้งชื่อเด็ก เปลี่ยนชื่อ หาชื่อมงคล
ใช้ทั้ง 3 ศาสตร์ คือตามหลักทักษา เลขศาสตร์ อายตนะ

ตามความเชื่อแบบไทย "ชื่อ" เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะไม่เพียงจะเป็นคำที่ใช้แทนตัวเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คุณให้โทษแก่เราอีกด้วย ดังนั้นการ "ตั้งชื่อ" ให้แก่เด็กหรือแม้แต่เปลี่ยนชื่อให้ตัวท่านเอง ต้องทำตามตำราจึงจะเป็นมงคล

การตั้งชื่อมงคลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ตามเงื่อนไขของทุกศาสตร์ทุกตำรา เพื่อจะได้ชื่อดี ๆ สักชื่อนึงไม่ง่ายเลย ต้องมีการวิเคราะห์ชื่อแยกแยะอักขระ คำนวณวิเคราะห์ร้อยชื่อพันชื่อหากโชคดีอาจได้มาสักชื่อนึงก็เป็นได้ ได้ชื่อแล้วจะต้องดูผลคำทำนายรวมกับนามสกุลอีก ใช้แต่ละศาสตร์กลั่นกรองชื่อ แต่ละชื่อใช้เวลาในการคำนวณพอสมควร

ค่าครูในการตั้งชื่อ 299 บาท (จากปกติ 599 บาท) ท่านจะได้รับ

รับชื่อมงคล 2-3 ชื่อ มีคำอ่านและคำแปลของชื่อ
วิเคราะห์ชื่อใหม่ให้ทั้ง 3 ศาสตร์ ไม่ว่าหลักทักษา หลักเลขศาสตร์ หลักอายตนะ
ชื่อที่ได้รับจะผ่านการทำพิธีเสริมดวง เสริมมงคลให้ด้วย
ฤกษ์ในการเปลี่ยนชื่อ
พิธีกรรมที่ส่งเสริมการใช้ชื่อใหม่ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม วิเคราะห์ชื่อฟรี ตั้งชื่อ เปลี่ยนชื่อ ทักแชทได้เลยหรือติดต่อได้ที่

โทร. 0846623662
id line : teerapat999

เวปไซด์ http://porntaywa99.lnwshop.com/p/3
  
#8667

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท "แข็งค่า"ขึ้นตามสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลง หลังนักลงทุนทยอยขายทำกำไรสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดโลก

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทปิดตลาดในประเทศ "แข็งค่า"ที่ระดับ 33.75 บาท/ดอลลาร์ฯ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.93 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย ขณะที่แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลง หลังนักลงทุนทยอยขายทำกำไรสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดโลก และปรับโพสิชันรอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์


สำหรับสถานะการลงทุนของต่างชาติ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 3,133.54 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,097 ล้านบาท 

 

ส่วนค่าเฉลี่ย Indicative forward points ของธุรกรรมระยะ 3 เดือนสำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ 50-200 ล้านบาทต่อปี รายงานข้อมูล ณ 10.00 น. วันที่ 7 ตุลาคม 2564 โดยธปท. อยู่ที่ 0.14 สำหรับผู้ส่งออก (ขายเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า) และที่ 3.11 สำหรับผู้นำเข้า (ซื้อเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า)

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 33.60-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ การเจรจาเพื่อหาทางออกของเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯ  ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.ของจีน และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ
#8668
อธิบดีกรมบัญชีกลาง เผยพร้อมรองรับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการฯ รอบใหม่ต้นปี 65 ชี้ ยังรอความชัดเจนฝ่ายนโยบาย ทั้งรูปแบบบัตรและการจ่ายเงิน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวถึงการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากฝั่งนโยบาย แต่ขณะเดียวกันกรมบัญชีกลางก็จะเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดรับลงทะเบียนบัตรฯ รอบใหม่ในช่วงต้นปี 2565 ด้วย แม้จะมีสถาบันการเงินของรัฐเป็นหน่วยงานรับลงทะเบียนหลักก็ตาม

 

"ที่ผ่านมาเมื่อผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการต้องการคืนบัตร ก็ต้องเอามาคืนที่กรมบัญชีกลาง ดังนั้นตอนนี้ต้องรอความชัดเจนจากฝ่ายนโยบายว่าจะทำบัตรในลักษณะใด ถ้ายังเป็นบัตรรูปแบบเหมือนเดิม การคืนบัตร หรืออื่นๆ ก็ยังต้องทำผ่านกฯรม และยังต้องรอดูรูปแบบการใช้จ่าย และรูปแบบของบัตรในการเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ด้วย" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว

 


โดยนางสาวกุลยา ยังกล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมธนารักษ์ ว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้กรมฯ ปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย มีความยืดหยุ่นเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคล่องตัวและโปร่งใส รวมทั้งการพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและระบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากกรมบัญชีกลางเป็นอีกส่วนสำคัญในการทำให้เม็ดเงินของหน่วยงานรัฐลงสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เอกชนไม่สามารถสนับสนุนเศรษฐกิจได้เต็มที่

 

"เมื่อเป็นเป้าการใช้จ่ายงบประมาณ ก็จะตั้งไว้สูง 100% ฉะนั้น กรมบัญชีกลางก็จะต้องทำให้ได้มากที่สุด ทั้งเรื่องการเบิกจ่ายได้ และก่อหนี้ผูกพันได้ ซึ่งในปีงบประมาณ 2564 สศค. ก็กำหนดมา 100% กรมบัญชีกลางก็ทำได้ระดับใกล้เคียง คือ 98% ซึ่งเข้าใจว่าการตั้งเป้าการใช้จ่ายงบประมาณ 100% เพราะรัฐบาลต้องการใช้เงินให้หมด โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2565 นี้ เม็ดเงินอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งลดลงมาเยอะ ก็ต้องมีการใช้จ่ายให้หมด และมีประสิทธิภาพมากที่สุด" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว

ขณะที่ผลการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564 มีผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 3,249,520 ล้านบาท คิดเป็น 98.89% แบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 2,652,607 ล้านบาท คิดเป็น 98.92% และรายจ่ายลงทุน 596,913 ล้านบาท คิดเป็น 98.78% สำหรับผลการใช้จ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน 202,975 ล้านบาท คิดเป็น 99.0%  
#8669
สำนักงานบัญชี เอทีเอส บริการบัญชีและภาษี
1158/14  ซอยจันทน์ 37/1  ถนนจันทน์  แขวงทุ่งวัดดอน  เขตสาทร  กรุงเทพฯ 
สนใจติดต่อคุณสมบูรณ์ 089-793-5707 , 02-212-3064
Email : ats_audit@hotmail.com

สำนักงานบัญชี , รับทำบัญชีถนนจันทน์ , รับทำบัญชีบางคอแหลม , รับทำบัญชียานนาวา , รับทำบัญชีพระราม 3 , รับทำบัญชีสาทร , รับทำบัญชีบางรัก ,รับทำบัญชีทุ่งมหาเมฆ , รับทำบัญชีสีลม , รับทำบัญชีศาลาแดง , รับทำบัญชีพระราม1 , รับทำบัญชีสยาม , รับทำบัญชีเพลินจิต , รับทำบัญชีชิดลม , รับทำบัญชีปทุมวัน , รับทำบัญชีเซ็นหลุยส์ , รับทำบัญชีสาธุประดิษฐ์ , รับทำบัญชี , รับทำบัญชีรายเดือน , รับทำบัญชีรายปี , ตรวจสอบบัญชี , ตรวจสอบบัญชีบริษัทจำกัด , ตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด
#8670
 บิ๊กเซลาร์เผย การสร้าง Tech Company ในไทยเกิดยาก เหตุระบบนิเวศน์ไม่เอื้อ ขาดโอกาสดึงทุนต่างประเทศสร้างนวัตกรรม จี้รัฐปลดล็อก Digital ID แจ้งเกิด สตาร์ทอัพใหม่ๆ

เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บริบทโลกเปลี่ยนไป จึงเป็นความท้าทายต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจดั้งเดิมที่จะถูกดีสรัปไปโดยปริยาย เห็นได้จากการปรับตัวครั้งใหญ่ของกลุ่มธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)ที่ปรับตัวจากรูปแบบธนาคารดั้งเดิมมาเป็นบริษัทเทคโนโลยี หรือ เทคคัมพานี ภายใต้ SCBx

 

"ฐานเศรษฐกิจ" ได้รับเกียรติจากนายธีรนันนท์ ศรีหงส์ อดีต 1 ใน 4 ขุนพลค่ายรวงข้าว ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป(KBTG) มาสะท้อนมุมมองในฐานะเทค คัมพานี และความท้าทายใหม่ๆของไทย หลังตัดสินใจก้าวออกจากวงการแบงก์เข้าสู่วงการเทคโนโลยีเมื่อ 4 ปีก่อน

 

นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซลาร์ คอนซัลติ้ง จำกัดเปิดเผยว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า ภาคธนาคารไทยได้เข้ามาสร้างเทคคัมพานี (Tech Company) เองมากกว่าการเกิดขึ้นของฟินเทคที่เกิดจากรายเล็ก ซึ่งเป็นสถานการณ์ทั่วโลกที่องค์กรใหญ่จะทำเองมากขึ้น เพราะวิธีการทำงานที่สามารถเรียนรู้กันได้ แต่ส่วนตัวมองว่า เทคคัมพานีกลุ่มธนาคารยังช้า เพราะ ฟินเทค สตาร์ทอัพในไทยยังไม่เกิด ทำให้แรงผลักให้ธนาคารใหญ่วิ่งไม่เร็วเท่าที่ควร

นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซลาร์ คอนซัลติ้ง จำกัด
นายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซลาร์ คอนซัลติ้ง จำกัด


"การสร้างเทคคัมพานียังมีปัญหาระบบนิเวศน์ (ecosystem) อีกหลายเรื่องที่จะต้องแก้อีกมาก จึงยังไม่ค่อยเห็นเทคคัมพานีใหญ่ในโลกเข้ามาตั้งสาขาในไทย เพื่อทำงานด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่บรรยากาศเอื้อมากกว่า หน่วยงานกำกับเข้าใจและให้การสนับสนุน รวมทั้งรัฐบาลเขากล้าให้แรงจูงใจด้วย" นายธีรนันท์ กล่าว

 

สำหรับบทบาทของรัฐบาลไทย ถ้าจะสร้างให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (ฮับ)เทคโนโลยีแล้ว ประการแรกต้องเลือกก่อนว่า จะเป็นฮับด้านไหน เช่น ถ้าพูดถึง Biotech Food หรือ Agri ก็เห็นด้วย เพราะไทยมีฐานอยู่แล้วและใกล้กับสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เกิด แต่ไทยยังไม่เคยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Center) เหมือนสิงคโปร์ที่มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยมากกว่า

 

ประการที่สองต้องดู ecosystem ทั้งระบบ เช่น การดึงดูด "ทุน" ขณะนี้กฎหมายไทยยังเป็นอุปสรรค เพราะกฎหมายที่มีอยู่เน้นโปรโมทเฉพาะ Venture Capital หรือ VC ที่ลงทุนเฉพาะบริษัทไทย ทำให้ "VC" ต่างประเทศไปที่อื่น หรือการดึงคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีจริงๆ

 

"เชื่อว่า รัฐบาลได้ทำไประดับหนึ่งแล้ว แต่ขาดการสร้างระบบนิเวศน์และแรงจูงใจ และส่วนหนึ่ง วงวิชาการเมืองไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยียังไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะคนที่เขาจะมาต้องการมีเพื่อนได้เรียนรู้ด้วย อันนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่เหมือนกัน" นายธีรนันท์ ระบุ

อีกเรื่องคือ "การลงทะเบียน" ที่ไทยยังขาดระบบให้เทคคัมพานีเกิดขึ้นได้ เช่น Digital ID ซึ่งสำคัญมากในการลงทะเบียนลูกค้า แต่ตอนนี้ยังไปไม่ถึงไหน ส่วนเรื่อง Digital ID ของประเทศ แม้จะมี NDID แต่เป็นการใช้ในภาคธนาคาร และค่าบริการค่อนข้างแพงสำหรับบุคคลอื่นที่จะเข้าไปใช้

 

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เทคคัมพานีใหม่ที่เกิดขึ้นมา เวลาจะลงทะเบียนลูกค้า ต้องมีภาระหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูล โดยเฉพาะฟินเทค ต้องมีกระบวนการทำความรู้จักกับลูกค้าหรือ KYC หรือ AML (ส่วนหนึ่งของกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) ซึ่งต้นทุนสูง แต่หากมี Digital ID ที่ดีจะลดภาระของสตาร์ทอัพใหม่ๆ และเกิดได้ง่ายขึ้น

 

ส่วนฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้วิเคราะห์นั้น ถ้าพูดถึงเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ไทยก็ไม่ต่างจากทั่วโลก อย่างข้อมูลระบบธนาคารในอังกฤษ จะมีคอนเซ็ป Open Banking ซึ่งคนอื่นสามารถใช้ได้ ตราบใดที่ไม่ขัดกฎหมาย ทำให้เกิดสตาร์ทอัพด้าน Data Analytics หรือแม้แต่ข้อมูลในเครดิตบูโร ก็ยังติดข้อจำกัดสำหรับสตาร์ทอัพที่จะเข้าเป็นสมาชิก

 

สำหรับบางส่วนที่ทำไปแล้ว จะเห็นประโยชน์ชัดขึ้น เช่น ข้อมูล โรงพยาบาลภาครัฐ ทำเรื่องการแชร์ข้อมูลคนไข้ทำให้สามารถดึงข้อมูลคนไข้ไปให้โรงพยาบาลใหม่ให้เห็นข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความคล่องตัว แนวโน้มจะค่อยๆ เกิดเป็นหย่อมๆ ขึ้นอยู่กับกระทรวงไหนตื่นตัว หรือกรมสรรพากรก้าวเข้าสู่ดิจิทัลได้เร็ว

 

อย่างระบบ "พร้อมเพย์" เกิดขึ้นทำให้ฟินเทคด้านการชำระเงินหาย ไม่มีช่องให้เกิด เพราะธนาคารให้บริการ โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม แต่เชื่อว่า ฟินเทคกับกลุ่มธนาคารจะอยู่ร่วมกัน เพราะธนาคารเองยังมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ตัวเองไม่สามารถก้าวข้ามหรือเดินได้เร็ว แต่บางพื้นที่ธนาคารจะกลับมายึดพื้นที่คืน เช่น กรณีของ SCBx

 

ในแง่ของนักพัฒนาเทคโนโลยีเทียบกับทั่วโลก เมืองไทยยังขาดหนักกว่าอีกมาก ไม่ว่า Data Analytics, Data Information หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Block Chain Developer ก็มีน้อย และการปั้นคนออกมาแต่ละปีก็น้อย ขณะเดียวกันยังไม่สามารถดึงคนต่างชาติเข้ามานั่งทำงานในไทย

 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,720 วันที่ 7 - 9 ตุลาคม พ.ศ. 2564