• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Fern751

#3201


มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ของรัฐบาลตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนย้ายมาอยู่บนหน้าจอในโลกออนไลน์เกือบ 100%

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากพฤติกรรมดังกล่าวก็คือ ร่องรอย หรือ "รอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint)" ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม ทำให้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้นำมาสร้างกลลวงโดยฉวยโอกาสจากสถานการณ์ปัจจุบัน


นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS อธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมา AIS พบว่ามีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับการร้องเรียนเกี่ยวกับการโดนหลอกลวง และภัยไซเบอร์ต่างๆ จากผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ฟิชชิ่ง โดยปลอมลิงค์จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้คนสนใจเข้าไปกรอกข้อมูล หรือแม้แต่ SMS ลวง ที่อาศัยเหตุการณ์ปัจจุบันเช่น ไฟไหม้, โรคระบาด, เงินเยียวยา, วัคซีน มาเป็นตัวล่อ ทำให้คนที่ไม่ทันต่อเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพเกิดความเสียหายจากการใช้งานขึ้นอย่างมากมาย

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ AIS ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยจากการทำงานของ AIS อุ่นใจ Cyber พบข้อมูลสำคัญว่า ทุกๆ การใช้งานบนออนไลน์ ทำให้เกิด รอยเท้าดิจิทัล หรือ Digital footprint ทิ้งไว้ในทุกที่ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสารตั้งต้นที่ทำให้ผู้ใช้งานฝากข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้โดยไม่รู้ตัว มีผลทำให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ประโยชน์ตรงนี้มาสร้างรูปแบบการหลอกลวงจนสร้างความเสียหายได้"

AIS อุ่นใจCyber มีความห่วงใยลูกค้าและคนไทยในการใช้งานอินเตอร์เน็ตและออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงขอย้ำเตือนถึงช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นจากการเหยียบย่ำบนออนไลน์จนสร้างเป็นรอยเท้าข้อมูลในทุกที่อาจทำให้มิจฉาชีพ หรือผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลของเราไปใช้งานในทางที่ผิดทั้งไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือผู้ใช้งานอื่นก็ตาม


ฉะนั้นเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตทุกรูปแบบต้องมีสติ ไม่โพสรูปหรือข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการบอกที่ตั้ง รวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ และบอกตัวเองเสมอว่าทุกกิจกรรมที่เราทำมีรอยเท้าฝากไว้เสมอ เพื่อการใช้งานที่อุ่นใจไร้ภัยไซเบอร์

"เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า Digital footprint ทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกมุมที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ Digital footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในสารพัดรูปแบบได้ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการใช้งานทุกขั้นตอนเพื่อลดช่องโหว่ในการใช้ประโยชน์จากการใช้งานของมิจฉาชีพ"
#3202


การจับมือกันครั้งแรกของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่น ระหว่าง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ แบรนด์จิวเวลรีชั้นนำระดับโลก คาร์เทียร์ ที่มาร่วมถ่ายทอดผลงานคอลเลคชันใหม่ล่าสุดขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง L'officiel Wedding Thailand ซึ่งครั้งนี้ทาง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส ได้เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ล่าสุดกว่า 12 ชุด ด้วยสองนางแบบ ชื่อดัง อแมนด้า ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2563 และ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์ชั้นนำแถวหน้าของเมืองไทยที่ถูกยกให้เป็น Luxury Wedding ภายใต้การกำกับดูแลของ สรรค์ สุดเกตุ เจ้าของห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ โดยคอนเซปต์ของชุดที่ทางดีไซเนอร์ ได้วางเอาไว้ถ่ายแบบร่วมกับ คาร์เทียร์ ในครั้งนี้ ต้องการที่จะสื่อถึงความเป็นเจ้าสาวโซนเอเชีย ถึงแม้นางแบบที่เลือกใช้จะเป็นสาวไทยลูกครึ่ง ทั้ง อแมนด้า และ แพทริเซีย แต่ทั้งสองสาวก็สามารถ่ายทอดผลงานชุดแต่งงานออกมาได้อย่างงดงาม มีความสวยหวานละมุน และโดดเด่นแบบชาวตะวันออก ซึ่งมูลค่าของชุดที่นางแบบทั้งสองใส่นั้นมีมูลค่ารวมสูงถึงหนึ่งล้านบาท เลยทีเดียว



สรรค์ สุดเกตุ ได้กล่าวถึงคอลเลคชันชุดแต่งงานในครั้งนี้ว่า "นับเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่ห้องเสื้อของเราได้ร่วมงานกับ แบรนด์ใหญ่ ๆ ระดับโลก อย่าง คาร์เทียร์ ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นและหัวใจพองโตมาก ๆ เราอยากให้ทุกคนได้เห็นและได้สัมผัสผลงานของเราที่พัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในคอลเลคชันนี้ที่เราเน้นความพรีเมียมและหรูหราเป็นพิเศษด้วยงานปักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น คริสตัล ไข่มุก และหินต่างๆ รวมทั้งรูปแบบของชุดที่มีความหลากหลายและมีสไตล์เฉพาะตัว ดีเทลของชุดเราเน้นเลเยอร์ของผ้า และ การนำผ้ามาจับเดรป หรือ ขยุ้มให้มีระบาย เป็นสไตล์ของแฟชั่นชุดแต่งงานแบบเอเชียนลุคที่เหล่าแฟชั่นนิสต้านิยมสวมใส่ในงานแต่งงาน และครั้งนี้เราได้นางแบบสาวลูกครึ่ง คุณอแมนด้า และ คุณแพทริเซีย สองสาวสองสไตล์ที่สามารถถ่ายทอดผลงานออกมาได้สวยงาม ตรงคอนเซ็ปต์ และ ตรงใจเรามากที่สุด และด้วยความเพอร์เฟคทั้งหมดนี้ ทำให้ห้องเสื้อของเราได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ มากเลยทีเดียว แถมยังได้แฟนคลับมากขึ้นอีกด้วยสำหรับใครที่ชื่นชอบชุดแต่งงานของทางห้องเสื้อ วนัชเฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ สามารถติดตามผลงานทั้งหมดได้ผ่านทาง https:// www.facebook.com/Vanus-First และ www.facebook.com/vanuscouture ขอบคุณแฟน ๆ ทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอมาครับ"
















 
#3203


ขึ้นชื่อว่าเป็นรายการ "Survival Audition" ที่มีกติกาและหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเด็กสาวที่ฝันอยากเป็นไอดอลมาร่วมรายการแบบเฉพาะตัว โดยให้สิทธิ์ขาดในกรรมการคนเดียวชี้ชะตาเด็กสาวผู้มีฝันว่าใครจะรอดหรือร่วง! ทำให้วันอาทิตย์ที่ผ่านมารายการ "Last Idol Thailand Presented by True 5G" (ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์) ทางช่อง 7 HD ถูกจับตามองเรื่องการเกณฑ์ในการคัดเลือกของกรรมการที่มาร่วมรายการในแต่ละครั้ง

รูปแบบของ "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" เน้นเฟ้นหาเด็กสาวธรรมดาที่มีออร่า ไม่จำเป็นต้องร้องเก่ง เต้นดี แต่ต้องมีเสน่ห์บางอย่างประกายออกมาในระหว่างที่พวกเธอวาดลีลาบนเวที โดยทางรายการจะคัดสมาชิกชั่วคราว 7 คน และให้ผู้ท้าชิงเลือกเอาว่าต้องการจะแข่งขันกับสมาชิกชั่วคราวคนไหน เมื่อโชว์ของทั้ง 2 คนจบลง ทางรายการจะประกาศหมายเลขที่กำหนดเอาไว้ว่าสัปดาห์นี้กรรมการที่จับได้ลูก.หมายเลขไหนเป็นผู้ตัดสิน เช่น ทางรายการกำหนดให้กรรมการที่จับได้ลูก.หมายเลข 3 เป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ สมาชิกชั่วคราว หรือ ผู้ท้าชิง จะได้ไปต่อในรายการ ถ้าสัปดาห์นั้นผู้ท้าชิงสามารถชนะใจกรรมการได้ สมาชิกชั่วคราวคนนั้น ๆ ก็ต้องออกจากรายการไป แต่ถ้ากรรมการคนนั้น ๆ เทใจให้สมาชิกชั่วคราวมากกว่า ผู้ท้าชิงก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไป ด้วยกติกาที่ยกสิทธิ์ขาดในการตัดสินให้กับกรรมการเพียงคนเดียว

เรียกว่าคนที่จะได้ไปต่อในรายการนี้ "เก่งอย่างเดียวไม่พอ ดวงต้องรุ่ง" ด้วย ขณะเดียวกันก็ยังสร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับกรรมการมาแล้วหลายต่อหลายคน เช่น สัปดาห์ที่นางเอกสาวมากฝีมือ หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ มาเป็นกรรกมการ เจ้าตัวถึงขั้นปาดน้ำตามาแล้ว หลังเธอแจ็กพ็อตต้องทำหน้าที่กรรมการติดต่อกัน 2 ครั้งรวด ดังนั้นไปฟังความรู้สึกของกรรมการหลาย ๆ คนที่เคยผ่านช่วงเวลาอันสุดโหดกันดีกว่าว่าพวกเขามีเกณฑ์ในการเป็นกรรมการให้กับ "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" นั้น

เริ่มที่ หนึ่ง ETC กล่าวว่า "การเป็นกรรมการรายการนี้ก็ไม่ได้สนุกนะ เครียด กดดัน แต่ก็อยากมาอีก เพราะในความเครียดความกดดันมันมีเสน่ห์บางอย่างของรายการที่รู้สึกว่าไม่เหมือนการประกวดที่ไหน ทำให้เราได้เห็นคนหลาย ๆ แบบและได้ลองวิเคราะห์คนที่แตกต่างกันไป ในช่วงเวลาที่น้อง ๆ ร้องเพลงให้เราฟัง พยายามรับสารที่เขาต้องการส่งมาถึงเราให้มากที่สุด เพราะเราต้องใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เพราะว่าบางคนอาจร้องเพี้ยนทั้งเพลง แต่ทัศนคติดี คาริสม่าได้ คุณสมบัติของไอดอลที่จะมัดใจผมได้ ต้องมีความเป็นธรรมชาติ มีพลังงานบวกในตัว คนเหล่านี้เวลาเจอสถานการณ์ที่บีบคั้นจะทำให้เรารู้เลยว่าเขามีทัศนคติที่ดีอย่างไรในสถานการณ์ที่กดดัน รายการนี้ ไม่ได้มองหาคนที่เก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่เรามองหาคนที่พร้อมจะพัฒนาต่อครับ"

ฟาก แทน ลิปตา เผยว่า "สำหรับมองว่าคนที่จะเป็นไอดอลได้ ผมมองหาสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า "X Factor" เป็นปัจจัยที่บางครั้งเราไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ มันคือประกายหรือเสน่ห์ในตัวน้อง ๆ รายการนี้ไม่ใช่รายการประกวดการเต้นหรือร้องเพลง ที่เราจะมาจับผิดเสียงร้องน้องว่าเพี้ยนตรงไหนไหม แต่มันมากกว่าการร้องเพลงดีหรือเต้นเก่ง มันคือการทำให้คนอื่นรักเรา เรามอบความสุขให้เขามากแค่ไหน สำหรับผมชอบคนที่ทัศนคติดี ซึ่งผมมักจะเห็นในไอดอลที่เก่ง ๆ ได้รับความนิยมสูง ๆ ครับ กับหน้าที่กรรมการในรายการนี้ ผมต้องพยายามมีสติกับตัวเอง ระมัดระวังคำพูด ต้องใช้ประสบการณ์และ feeling เพื่อมาดูว่าใครควรจะได้ไปต่อ รายการนี้โหดมาก ถ้าสติไม่อยู่กับตัวมันมีโอกาสที่จะเป็นประเด็นดราม่าได้ครับ"


ด้าน หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ กล่าวว่า "ก่อนมาอัดรายการคิดว่าน่าจะเป็นรายการไอดอลน่ารักสนุกสนาน ไม่คิดว่าทุกอย่างจะเข้มข้น ดุเดือดแบบนี้ รายการนี้ไม่ใช่ว่าคุณร้องเก่งเต้นเก่งแล้วคุณจะได้ตำแหน่งนั้น แต่มันคืออะไรบางอย่างที่เรารู้สึกแล้วมันมากระแทกใจเรา จริง ๆ หนูนาก็เคยผ่านการเป็นกรรมการต่าง ๆ มาบ้าง แต่รายการนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ยากและกดดันมาก ด้วยความที่ทั้งหมดมันคือความใฝ่ฝันของพวกเขา น้อง ๆ อาจจะเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน แต่เราต้องเป็นคนที่ตัดสินชี้ชะตาของเขา ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะไม่ได้ถูกต้องไปซะทั้งหมด เราไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือทำผิด แต่เราคือคนที่ต้องทำตรงนั้น เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบของเราตรงนี้มันหนักมากค่ะ"

ต่อกันที่ ณัฐ วง "เคลียร์" เผยว่า "จริง ๆ ตอนแรกก็ลังเล แต่ก็อยากลองมาสัมผัสอีกโลกหนึ่งที่ใกล้ตัวแต่เรายังไม่เคยได้ก้าวเข้าไป เกณฑ์การตัดสินจะเป็นเรื่องคาริสม่ามากกว่าการร้องและเต้นดี ผมเน้นไปตรงที่ใครที่ให้ความสุขเราได้มากกว่าเวลาที่เขาอยู่บนเวที บางคนร้องเพี้ยนแต่ทำไมน้องคนนั้นทำให้เราขนลุกได้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจริง ๆ มันต้องมาสัมผัสเอง ผมขอเรียกว่า "เสน่ห์" แล้วกัน ถามว่าผมใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสิน มันไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งสิ้น มันมีรายละเอียดหลาย layer มากในการที่จะเลือกตัดสิน อย่างผมเองก็แทงสวนกับกรรมการหลายคนไป 2-3 รอบเหมือนกัน แต่พอเรามาคุยกันเราก็จะรู้ว่ากรรมการแต่ละคนอาจมองคนละมุมกัน มีความชอบต่างกัน บางทีก็มีเรื่องดวงมาประกอบด้วย แต่สำหรับผมนอกจากจะมองหาน้อง ๆ ที่มอบความสุขให้ผู้ฟังได้แล้ว ผมยังมองหาความเป็นนักสู้ในตัวของพวกเขาครับ"



ฟาก โบ ไทรอั้มพ์ คิงดอม กล่าวว่า "รายการนี้เขาเน้นดูที่คาริสม่ากับคาแร็คเตอร์ว่าเขาชัดเจนมากแค่ไหนค่ะ สำหรับโบคิดว่าคนที่จะมาเป็นไอดอลต้องมีเซอร์วิสมายด์ ที่จะเติมตัวเองเต็มและมอบให้กับคนอื่น นอกจากนี้ต้องมีความเป็นนักสู้ มันมาด้วยการฟาดฟันกัน ไม่ว่าจะออกมาหน้าจอหรือหลังจอมันมีกระบวนการที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถามว่าการเป็นกรรมการในรายการนี้เป็นยังไงบ้าง คือน้ำตาจะไหล กดดันมาก มันคือความฝันของเขา เหมือนเราไปทำลายความฝันของเขา โบเชื่อว่ามันยังไม่เป็นการเดบิวต์ เราให้โอกาสอีกคนด้วย เราพยายามทำเพื่อให้ ลาสต์ ไอดอล ดีขึ้นจริง ๆ ภาพรวมของวงเป็นสิ่งสำคัญ คุณสมบัติที่โบมองหาในตัวน้อง ๆ คือ ทัศนคติที่ดี ความมีเสน่ห์มีออร่า อย่างโบเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน ไม่ได้เต้นเก่ง โบรู้ว่าเรื่องพวกนี้ฝึกกันได้ค่ะ"


ปิดท้ายกันที่ มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ เผยว่า "มดไม่เคยเป็นกรรมการตัดสินใด ๆ มาก่อน แต่พอเป็น "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" มดเชื่อว่าเราสามารถเอาประสบการณ์ในการเป็นนักร้องของเรามาใช้ได้ เรารู้ว่าการที่จะแสดงให้คนรู้สึกสนุกไปกับเรา ต้องทำยังไง รายการนี้เป็นกลุ่มเด็กไอดอล มดรู้สึกว่าคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพื่อให้คนรู้สึกว่าฉันชอบคนนี้เพราะคาแร็คเตอร์แบบนี้ มันจะยิ่งดึงคนได้มากกว่าเดิม แต่ด้วยกติกาการตัดสินของรายการนี้ไม่เหมือนรายการอื่น ๆ มดว่าอยู่ที่ดวงด้วย เพราะกรรมการไม่ได้ประชุมเพื่อหามติส่วนข้างมากเป็นหลัก รายการนี้เขาให้กรรมการคน ๆ เดียวตัดสิน แล้วตัวกรรมการก็ยังต้องจับลูก.นำโชคเลย รายการนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ มดว่าการจะเป็นไอดอลได้ นอกจากบุคลิกภาพจะต้องดี มีเสน่ห์ ก็มีเรื่องดวงด้วย มันเหมือนจังหวะชีวิตของคนว่าเขาจะได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ไหมค่ะ"

ติดตามชม "Last Idol Thailand Presented by True 5G" (ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์) ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.30-13.30 น. ทางช่อง 7 HD
#3204


ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้หลังขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน ขณะที่นักลงทุนรอดูการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,465.48 จุด ลดลง 1.07 จุด หรือ -0.03%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,709.22 จุด ลดลง 18.90 จุด หรือ -0.07% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,262.97 จุด เพิ่มขึ้น 58.28 จุด หรือ +0.22%

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานจะพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 366,000 ราย สู่ระดับ 2.93 ล้านราย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องอยู่ที่ต่ำกว่าระดับ 3 ล้านรายนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.2563

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิ.ย.ของเกาหลีใต้และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมิ.ย.ของญี่ปุ่น
#3205


ลิเวอร์พูล ลงสนามอุ่นเครื่องปรีซีซั่น เตรียมความพร้อมก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ ที่สต๊าด กามิลล์ ฟูร์นิเยร์ เมืองเอวิยอง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา พบ โบโลญญ่า ทีมในกัลโช เซเรีย อา อิตาลี

เกมนี้เป็นการลงเล่นแบบมินิแมตช์ ฟาดแข้งกันแค่ 60 นาที "หงส์แดง" ส่ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังที่เพิ่งหายบาดเจ็บ ลงเล่นเป็นตัวจริง ขณะที่ในแดนหน้า ใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา และซาดิโอ มาเน่ เป็น 3 ประสาน

ปรากฎว่า ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะ โบโลญญ่า ไปด้วยสกอร์ 2-0 จากการทำประตูของ ดิโอโก โชตา ในนาที่ 7 และซาดิโอ มาเน่ ในนาทีที่ 13

สำหรับโปรแกรมต่อไป ลิเวอร์พูล จะลงเล่นเกมอุ่นเครื่องอีก 2 นัด พบ แอธเลติก บิลเบา วันที่ 8 สิงหาคม และพบ โอซาซูน่า วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่รังแอนฟิลด์ และจะปล่อยให้แฟน.เข้าชมเกมในสนามได้ 75 เปอร์เซนต์ของความจุ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของลิเวอร์พูล : ควีวิน เคลเลเฮอร์ (GK), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิตา, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา, ซาดิโอ มาเน่
#3206


จะดีแค่ไหน ?หากประเทศไทยมี Open Data แพลตฟอร์มสาธารณะด้านข้อมูล ซึ่งในวันนี้เนคเทค สวทช.ดัน 'Open-D' ขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AIFORTHAI , NETPIE IoT Platform ,HandySense ไปแล้ว มาในวันนี้ได้ส่งมอบแพลตฟอร์มด้านข้อมูลเปิดแก่สาธารณะ

เพื่อที่จะช่วยภาครัฐมีเครื่องมือ หรือระบบที่สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐหรือองค์กรให้กับประชาชนได้รับทราบ และเป็นการผลักดันให้นักพัฒนาระบบหรือผู้ประกอบการด้านธุรกิจสาสนเทศ สามารถนำไปต่อยอดให้บริการพัฒนาระบบเปิดเผยข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆที่ไม่สามารถดำเนินการเองได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคที่สำคัญในการพัฒนาความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย


โดยตัวอย่างข้อมูลภาครัฐที่มีคุณค่าสูงหากนำมาเปิดเผยได้ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งเป็นชุดข้อมูลที่มีผู้สนใจนำไปใช้งาน อาทิ ภูมิอากาศ การใช้จ่ายของภาครัฐ


มาวันนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปรู้จักกับแพลตฟอร์ม Open-D และลงลึกถึงทิศทางการวิจัยเทคโนโลยีด้าน Open Data ที่พร้อมเปิดให้ Download CKAN Open-D ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดทำ Open Data แล้ววันนี้

แต่เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องรู้ว่า "ข้อมูลเปิด (Open Data)" คือ ข้อมูลในแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้ และเปิดให้นำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดมูลค่าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างนวัตกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถือเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนและปรับรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ซึ่งในประเทศไทยมีเว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือ Data.go.th ที่ริเริ่มและดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Agency: DGA) ตั้งแต่ปี 2558


แต่กระนั้นภาครัฐก็ยังขาดซอฟต์แวร์สนับสนุนการดำเนินงานเปิดเผยข้อมูลอย่างครบวงจร ขาดโปรแกรมเครื่องมือสนับสนุนการใช้ประโยชน์ข้อมูลเปิด ตั้งแต่เรื่องของการนำเข้า การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นอัตโนมัติ และสุดท้ายการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ยังมีไม่มาก

จากความสำคัญดังกล่าว ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลที่ชื่อ Open-D เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วนที่ต้องการให้บริการข้อมูลเปิดของตัวเอง โดยมีเป้าหมายให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถจัดทำบัญชีข้อมูลของหน่วยงานและให้บริการข้อมูลเปิดที่เป็นไปตามมาตรฐานระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ

และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยัง Data.go.th ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยได้มีข้อมูลแบบเปิดที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยนักพัฒนาโปรแกรม นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ผู้วางแผนและกำกับนโยบาย และ ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เสาหลักสาธารณูปโภคด้านข้อมูลเปิด


"Open-D คือ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับข้อมูลแบบเปิดถูกพัฒนาขึ้นตามหลักการของความเป็นสากลด้าน Open Data เป็นผลงานการวิจัยของทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค" มารุต บูรณรัช กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ กล่าว

โดยในครั้งนี้ได้พัฒนาต่อยอดจากซอฟแวร์ CKAN (https://ckan.org/) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ระบบจัดการข้อมูล (Data Management System) ชนิดโอเพนซอร์ส ที่ได้รับความนิยมในการนำไปให้บริการเว็บไซต์บัญชีข้อมูล สำหรับข้อมูลเปิดทั่วโลก ที่สำคัญได้แก่ เว็บไซต์ Data.gov, Data.gov.sg , Data.gov.au, Data.go.th เป็นต้น

ทั้งนี้ Open-D ได้ปรับปรุงเพิ่มความสามารถของ CKAN หลายฟังก์ชันได้แก่ Data Catalog สนับสนุนการจัดทำบัญชีข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ 2.Data playground สนับสนุนการใช้ข้อมูลเปิด เพื่อวิเคราะห์ จัดทำรายงานเชิงสรุปในรูปแบบตาราง แผนที่ กราฟ 3.Data Governance สนับสนุนการทำงานของบริกรข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลขององค์กร 4.Data Connect สนับสนุนการสร้างชุดข้อมูลเปิดจากแหล่งข้อมูลของหน่วยงานในแบบฐานข้อมูลหรือ API

ขณะที่ Open-D เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมความสามารถของระบบ CKAN ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยทั้งในด้านความสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดทำบัญชีข้อมูลที่กำหนดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ การรองรับการสืบค้นข้อมูลภาษาไทย และเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในด้านต่างๆ ในด้านการจัดการข้อมูล

เช่น เครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างกราฟชนิดต่างๆ เครื่องมือสนับสนุนการนำเข้าข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นต้น โดยซอฟแวร์ Open-D ให้บริการทั้งในรูปแบบของส่วนขยายของ CKAN และซอฟแวร์ที่สามารถนำไปติดตั้งใช้งานในหน่วยงานได้

ทั้งนี้ Open-D จะช่วยให้หน่วยงานสามารถประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการเปิดเผยข้อมูล ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ รองรับการเชื่อมโยงบัญชีข้อมูล ตอบสนองการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการนำข้อมูลไปต่อยอดใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

มารุต ยังเล่าต่อไปว่า แพลตฟอร์ม Open-D ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนทิศทางการวิจัยในอนาคตจะเป็นการเข้าไปสนับสนุนทั้งต้นน้ำ Data Catalog กลางน้ำ Data Governance และปลายน้ำ Open Data ซึ่งการพัฒนา Open-D เพื่อสนับสนุนในทุกขั้นตอนเพื่อที่เนคเทคจะขยับตัวเองมาเป็นผู้พัฒนา Software Platform เพื่อให้กลางน้ำและปลายน้ำคือ บริษัทซอฟแวร์เอกชนและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดด้วยตนเองให้มากที่สุด เมื่อหน่วยงานส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานเครื่องมือเดียวกันการเชื่อมโยงจะง่ายมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีทิศทางการดำเนินงานเพิ่มเติมคือการเพิ่มความชาญฉลาดในเรื่องของภาษาไทย การประมวลข้อมูลที่มีความไดนามิกให้สามารถรองรับการนำเข้าข้อมูลอย่างอัตโนมัติซึ่งจะเป็นการพัฒนาในลำดับต่อไป


"ข้อมูลเปิดที่ Open-D กับ Data.go.th อยู่คนละบทบาทกัน ทั้งนี้การใช้ Ckan จะมี learning curve ประมาณนึง และจะต้องมีทักษะของระบบโอเพนซอร์ส แต่ Open-D แฮกระบบยากๆให้แล้วเบื้องต้น ทั้งนี้ทางเนคเทคจะมีการจัดอบรมแบบเชิงลึก "NSTDA career for the future" โดยหลักสูตรจะมีการจัดในเดือนกันยายนนี้ผ่านช่องทางออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ"
#3207


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3208


ทำเนียบขาวแถลงในวันพุธ(4ส.ค.)ว่า รัฐบาลสหรัฐยังคงพร้อมที่จะดำเนินการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชน หากมีความจำเป็น แม้ว่าองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ออกมาเรียกร้องให้นานาชาติระงับโครงการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นการชั่วคราว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการฉีดวัคซีนทั่วโลก

"นี่เป็นทางเลือกที่ผิด โดยสหรัฐสามารถดำเนินการได้ทั้งสองอย่าง ด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชน หากวัคซีนดังกล่าวได้รับการอนุมัติในสหรัฐ และสหรัฐยังสามารถบริจาควัคซีนส่วนเกินให้แก่ชาติอื่นๆ" นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวกล่าว

ด้านดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า ชาติที่ร่ำรวยควรระงับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น อย่างน้อยเป็นเวลา 2 เดือน เพื่อให้ดับเบิลยูเอชโอบรรลุเป้าในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากร 10% ของทุกประเทศภายในสิ้นเดือนก.ย.

ดับเบิลยูเอชโอ ยังระบุว่า อาจมีการขยายเวลาระงับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 มากกว่า 2 เดือน หากการฉีดวัคซีนในประเทศที่มีอัตราการฉีดต่ำยังคงไม่เพิ่มขึ้น

"เราจำเป็นต้องพลิกสถานการณ์อย่างเร่งด่วนจากการส่งวัคซีนส่วนใหญ่ให้แก่ชาติที่ร่ำรวย ไปสู่การส่งวัคซีนส่วนใหญ่ให้แก่ชาติที่ยากจน" นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของดับเบิลยูเอชโอ กล่าว

นอกจากนี้ นายแพทย์ทีโดรสยังมีแผนที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชากรโลก 40% ภายในเดือนธ.ค.

การเรียกร้องของดับเบิลยูเอชโอในวันนี้ สอดคล้องกับที่ดับเบิลยูเอชโอ ระบุก่อนหน้านี้ว่าไม่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็ม 3 เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ แพทย์หญิงเคท โอไบรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิคุ้มกัน, วัคซีน และชีววิทยาของดับเบิลยูเอชโอ กล่าวว่า ดับเบิลยูเอชโอไม่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย "ในขณะนี้" เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนประสิทธิภาพในการดำเนินการดังกล่าว

แพทย์หญิงโอไบรอันกล่าวว่า ดับเบิลยูเอชโอกำลังทำการวิจัยว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มีความจำเป็นหรือไม่ในการป้องกันไวรัสที่มีการกลายพันธุ์

อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของบริษัทไฟเซอร์, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ต่างสนับสนุนให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากที่ได้รับวัคซีนครบโดสก่อนหน้านี้แล้ว
#3209


โบรกเกอร์ประสานเสียงขยายล็อกดาวน์ เสี่ยงจีดีพี กำไร บจ.ลด ASPS ประเมินกระทบ GDP ไตรมาส 3 เดือนละ 3 แสนล้านบาท ฉุดจีดีพีทั้งปีโตไม่ถึง 1% คาดอีกหลายค่ายหั่นเป้า GDP ส่วนทรีนีตี้คาดอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ. ขณะตลาดหุ้นเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัว ด้านยูโอบีฯ ประเมินธีมลงทุนระยะสั้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร - REITs เป็นแหล่งพักเงินที่ดี ส่วนโนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening แนะตั้งรับ และวิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งการระบาดได้และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สุดท้ายรัฐได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด และนั่นเท่ากับเป็นการแสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ แม้ก่อนหน้านั้นได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 14 วัน ใน 13 จังหวัดก็ไม่เป็นผล กระทั่งในเดือนสิงหาคมรัฐประกาศการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักและสาหัสเพิ่มมากขึ้น ทำให้แทบทุกภาคส่วนมิอาจขยับขยายธุรกิจ ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้ทั้งระบบย่ำแย่ บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งรับผลกระทบเต็มๆ เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทุกอย่างย่อมติดลบ ตัวเลขจีดีพีที่ก่อนหน้านั้นมีแนวโน้มจะดีขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่า ย่อมให้ความไม่นิ่งในการประเมินตัวเลขจีดีพีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ASPS ประเมินจีดีพีโตไม่ถึง 1% หลายค่ายเตรียมหั่นเป้า

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า การล็อกดาวน์ต่อถึงสิ้นเดือน ส.ค. เพิ่ม Downside ปรับลด GDP Growth ไทยปี 64 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยตัวเลขล่าสุด ประกาศออกมาเพิ่มขึ้นอยู่บริเวณ 1.8 หมื่นราย ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โดย ASPS ประเมินเป็นการเปิด Downside เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 คาดหดตัวมากกว่า โดยหอการค้า คาดผลกระทบต่อ GDP ค่าเฉลี่ยราว 3 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.75%ต่อ GDP (จากเดิมคาด 2.75 แสนล้านบาท) x ประเมินว่าค่อนข้างแน่ชัดปีนี้ GDP ไทยอาจจะโตไม่ถึง 1% เทียบปีก่อน และจะเห็นการทยอยปรับลด GDP Growth ลงเพิ่มขึ้นอีกจากหลายสำนักเศรษฐกิจ

ขณะที่อีกฝั่งคาดจะกดดันตลาดหุ้นไทยและหุ้นเปิดเมืองในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าราคาหุ้นได้ปรับฐานลงไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เคยนำเสนอว่าตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อ (New case) ที่เพิ่มสูงกว่าจำนวนผู้รักษาหาย (Recovered case) โดยเชื่อว่าสัญญาณซื้อ (Buy Signal) สำคัญของตลาดหุ้นจะมาจากช่วงจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้รักษาหาย (กราฟ New case ตัด Recovered case ลด) ส่งผลให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยต้องรอ Buy Signal ต่อไป

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญโควิด-19 ระลอกแรกหุ้นตกหนักมากถึง -38% ตามมาด้วยระลอก 2 และ 3 ปรับตัวลงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ราว -7% และ 5% ตามลำดับ จากนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับมาด้วยความคาดหวังการกระจายวัคซีน และมาตรการภาครัฐน่าจะยับยั้งโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาได้เหมือนกับระลอกแรก ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญกับโควิด-19 ระลอกที่ 4 สายพันธุ์เดลตา (แพร่ระบาดเร็ว) โดยปรับฐานลงมาแล้วมากกว่า 7% ถือว่าลดลงมากสุดเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 4 รอบที่ผ่านมา และยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อจากมาตการที่คุมเข้ม หรือล็อกดาวน์ที่ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 29 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม หลังการล็อกดาวน์ต้องรอติดตามดูว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อทยอยลดลง จนต่ำกว่าผู้ที่รักษาหายจะเป็นจุดที่เข้าสะสมหรือเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยโดยคาดหวังการฟื้นตัวตามความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดีย

ทรีนีตี้มองสู่ Downsid ของ GDP-กำไร บจ.

บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปัจจัยเชิงลบล่าสุดที่เกิดขึ้น และมีผลทำให้สมมติฐานก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไปก็คือการที่ ทาง ศบค.ได้มีมติให้ขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไปถึงวันที่ 18 ส.ค.เป็นอย่างน้อย แถมยังมีการเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจากเดิม 13 จังหวัดขึ้น ถึงเท่าตัวเป็น 29 จังหวัด ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับการเคลื่อนย้ายของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงจากเดิมที่ประเมินไว้ และอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ.ได้

ทั้งนี้ แม้อาจมี Sentiment เชิงบวกเล็กๆ จากการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสามารถเปิดจำหน่ายเพื่อบริการ Delivery แต่เหตุการณ์ล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ Sentiment การลงทุนในระยะสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของสภาพคล่องที่เริ่มหดหายไปจากตลาด สะท้อนผ่านการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั่วไปที่ลดลง และระดับปริมาณเงินในประเทศหรือ M2 ที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัวลงก่อนในช่วงต้นเดือน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการล็อกดาวน์ที่ยาวนานและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้น ปัจจัยต่างประเทศที่อาจเข้ามากดดันตลาดในช่วงต้นเดือนอีกก็คือ ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่เริ่มแผ่วลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลังคาดอาจมี Sentiment เชิงบวกขึ้นมาบ้าง หากในที่ ประชุมผู้นำธนาคารกลางโลกที่เมือง Jackson Hole ไม่ได้มีการส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายการเงินใดๆ ออกมา โดยเฉพาะจากทางฝั่งของ Fed

สำหรับในเชิงกลยุทธ์ สำหรับพอร์ตที่ทยอยสะสมหุ้นมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณดัชนีต่ำกว่า 1,550 จุดลงมา มองว่าสามารถถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ ส่วนการเข้าสะสมครั้งใหม่อาจรอจังหวะการย่อตัวแถวบริเวณแนวรับประจำเดือนนี้ที่ให้ไว้ที่ 1,480-1,500 จุด น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation อยู่ต่ำแล้ว โดยซื้อขายเพียงแค่ Forward PE 15.5 เท่าเท่านั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 17.2 เท่าอยู่พอสมควร

ยูโอบีฯ แนะลงทุนระยะสั้น สื่อสาร-REITs

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน เปิดเผยว่า การประกาศขยายเวลาและพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวดอีก 14 วัน (ตั้งแต่ 3 ส.ค.และอาจถึงสิ้น ส.ค.) ของ ศบค. และเพิ่มพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีแดง) ขึ้นเป็น 29 จังหวัด (จากเดิม 13 จังหวัด) ขณะที่มาตรการควบคุมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ยกเว้นมีการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้เพื่อให้บริการแบบจัดส่งเท่านั้น

โดยมองว่าภาพรวมประกาศสอดคล้องกับที่เคยประเมินรัฐจะขยายเวลาล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะ 1-2 เดือน (หรือน่าจะมีการต่อมาตรการล็อกดาวน์ทุก 14 วันออกไปเรื่อยๆ) เนื่องจาก ประการแรก อ้างอิงผลการศึกษาจากกองระบาดวิทยาที่เสนอการล็อกดาวน์ 1-2 เดือน ควบคู่กับการฉีดวัคซีน และประการที่สองคือข้อจำกัดของวัคซีนที่มีคุณภาพสูง (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัคซีนที่ไม่สามารถหยุดการระบาดได้)

สุดท้ายคือ ความต้องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่เพิ่มจนใกล้ถึงระดับการผลิตที่เป็นข้อจำกัดขององค์การเภสัชในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า จะทำให้รัฐต้องคงมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อกดการเพิ่มของผู้ป่วย และชะลอการเสียชีวิตที่มีโอกาสจะเร่งตัวขึ้น

ดังนั้น ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง มองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT

ทั้งนี้ แนะให้ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC

ระวังหุ้นการผลิต กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เสี่ยง  
นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มความระวังหุ้นการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สถานการณ์ระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นทำให้ต้องระวังว่านอกจากจะกระทบต่อการบริโภคเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์แล้ว การระบาดอาจจะกระทบต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ภาคการผลิตอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานหรือส่วนของการผลิตหากพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 3/64 อย่างมีนัยสำคัญได้

ถึงแม้มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 และ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี ทำให้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะแบ่งทำกำไรหรือเพิ่มความระวังในการลงทุน

โนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุ การปรับเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด และให้ขยายมาตรการล็อกดาวน์ต่อไปอีก 14 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป เป็นแรงกดดันต่อกลุ่ม Domestic และ Re-Opening อย่างต่อเนื่อง ส่วนการผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดจำหน่ายเฉพาะ Delivery โดยให้เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.นั้น มองไม่ได้บวกต่อกลุ่มร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ทำให้จำนวนสาขาที่ห้ามรับประทานที่ร้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้โดยรวมเป็นลบต่อกลุ่มร้านอาหาร

ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังสูง ขณะที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์ต่ออีก 1 เดือน กดดันกลุ่ม Domestic และ Re-Opening ต่อเนื่อง กลยุทธ์แนะตั้งรับ Selective เน้นกลุ่ม Earnings ดี โดยปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (BDMS, BCH, CHG, EKH, SMD, WINMED) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากพลังงานน้ำ (GPSC, BCPG, CKP) เด่น ผสานกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (ชิ้นส่วน-อาหาร KCE HANA TU PM ASIAN) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) และหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาล (TVO) คงน้ำหนักหุ้นที่ 50%

วิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

วิจัยกรุงศรีรายงานว่า อุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ส่วนภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง คือ 46.1% เทียบจากปีก่อน ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ

ทั้งนื้ เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของ โควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา ผลจากมาตรการควบคุมการระบาดเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าไตรมาส 2

ขณะคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้น 4-5% ในปี 2565 ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยปีนี้เติบเติบโต 15% แม้ช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง

โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า
#3210


นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (เอ็นไอเอไอดี) เปิดเผยในวันพุธ (4 ส.ค.) ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนแตะที่ 200,000 รายต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

"จำได้ไหมครับว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ติดเชื้อ 10,000 รายต่อวัน ผมคิดว่ามีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย" นายแพทย์เฟาชีกล่าว

นายแพทย์เฟาชียังกล่าวว่า "ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐ และสถานการณ์อาจเลวร้ายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เว้นเสียแต่ว่าชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนซึ่งมีอยู่มากจะตัดสินใจไปฉีดวัคซีน"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"สถานการณ์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอัตราการติดเชื้อที่รวดเร็ว และยังมีคนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ยังไม่ไปฉีดอีกประมาณ 93 ล้านคนทั่วประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง"

นายแพทย์ใหญ่ยังแสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์ที่ต้านทานต่อวัคซีนได้มากขึ้น

"หากเราไม่หยุดยั้งการแพร่ระบาดด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ไวรัสจะระบาดในฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ได้"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันอยู่ที่ 84,389 ราย
#3211


LINE MAN ประกาศมาตรการดูแลเพิ่มเติมแก่ไรเดอร์ทั่วประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มอบความคุ้มครองชดเชยรายได้รายวัน และค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีน เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

LINE MAN ต้องการสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ ด้วยการมอบประกันโควิด-19 ที่ชดเชยรายได้รายวันอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 25,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในภาวะโคม่าจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท และภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับไรเดอร์ทั่วประเทศที่ลงทะเบียนและเข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนด* โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และจะเริ่มคุ้มครองตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564

นอกจากนี้ LINE MAN ได้จับมือร่วมกับ Shell GO+ มอบประกันโควิด-19 แก่ไรเดอร์เพิ่มอีกช่องทาง ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีนไปจนถึงอาการโคม่าด้วยเช่นเดียวกัน โดยเริ่มคุ้มครองระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม 2564



นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ไรเดอร์ถือเป็นฮีโร่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนทั่วไปในการขนส่งอาหารหรือสิ่งของต่างๆ ในช่วงล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น การดูแลเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยของไรเดอร์จึงเป็นเรื่องที่ LINE MAN ให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ของเรา โดย LINE MAN พร้อมเดินหน้าออกมาตรการดูแลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการมอบประกันโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การมอบเงินเยียวยาให้แก่ไรเดอร์ที่ต้องกักตัว หรือติดเชื้อโควิดสูงสุดครั้งละ 9,000 บาท รวมถึงมีการแจกหน้ากากอนามัยให้ไรเดอร์ทั่วประเทศมากถึง 1 ล้านชิ้น เพื่อให้ไรเดอร์ของเราสามารถให้บริการอย่างดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

ทั้งนี้ เงื่อนไขของประกันโควิด-19 เป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด และไรเดอร์ที่จะได้รับประกันโควิด-19 จะต้องลงทะเบียนในระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2564 โดยขับ 15 วันทำงานขึ้นไป รวมไม่ต่ำกว่า 30 เที่ยวในเดือนกรกฎาคม 64 หรือตามเงื่อนไขในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งจะประกาศผ่านช่องทางแอปฯ LINE MAN Rider
#3212


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโควิด-19 ยังแพร่ระบาดทั่วโลก แต่หลายประเทศเริ่มปรับตัวและรับมือเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึง 6% โดยได้อานิสงส์จากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ สหรัฐฯ จีน และบางประเทศในยุโรป โตมากกว่า 6% ซึ่งประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของ GDP โลก เป็นผลจากความพร้อมในการผลิตวัคซีนเองและฉีดให้แก่ประชาชนของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความพร้อมของเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ โรงงานในบางพื้นที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนต้องหยุดการผลิต ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่ยังมีความเปราะบาง จนหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญหลายแห่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียงราว 1% ขณะที่การท่องเที่ยวยังรอวันฟื้น "การส่งออก" จะกลายเป็นพระเอกประคับประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.5% โดยได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาดี สินค้าไทยบางส่วนตอบรับกระแส New Normal ได้ดี และเงินบาทอ่อนค่า โดยคาดว่าในปี 2564 ภาคส่งออกจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 10% ขณะที่ปัจจัยลบที่ยังต้องจับตามองได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย การขาดแคลนวัตถุดิบและตู้คอนเทนเนอร์สำหรับธุรกิจส่งออก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความชะงักงันของกิจการ Logistics ที่มีผู้ติดเชื้อและการตรวจสอบที่เข้มงวด จนทำให้จำนวนตู้คอนเทนเนอร์กลับเข้าสู่ภาวะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน

ดร.รักษ์ กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนธุรกิจของผู้ประกอบการไทยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ จึงขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เร่งขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างรวดเร็วตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ โดย "พัฒนา 4 ปัจจัยสู้วิกฤตโควิด-19 ควบคู่กับการตอบโจทย์โลกวิถีใหม่" เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ดังนี้



1. พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ตอบรับกระแส New Normal EXIM BANK จะเป็น Lead Bank สนับสนุนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ พลังงานทดแทน พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมสีเขียว ดิจิทัล และสุขภาพ (Green, Digital, Health : GDH)

2. พัฒนา SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกรายใหม่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ของไทยในปัจจุบันมีไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งประเทศซึ่งมีจำนวน 3.1 ล้านราย EXIM BANK พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำและอบรมบ่มเพาะผู้ประกอบการ SMEs ในทุกระดับ ผ่านกิจกรรมของศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้าของ EXIM BANK (EXIM Excellence Academy : EXAC) รวมทั้งให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะทำให้ SMEs เข้าสู่ธุรกิจส่งออกได้ทันที อาทิ สินเชื่อเครือข่ายครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SMEs ที่เป็น Suppliers ของผู้ประกอบการรายใหญ่โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม

3. พัฒนา Pavilion สำหรับการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "EXIM Thailand Pavilion" เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยรายเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการค้าขาย การโพสต์สินค้า ตลอดจนขีดจำกัดด้านเงินทุน มีโอกาสค้าขายกับคู่ค้าในต่างประเทศทางออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินจาก EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตรควบคู่ไปด้วย

4. พัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อเสริมสภาพคล่องและป้องกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย รวมทั้งมาตรการ "พักหนี้" และ "เติมทุน" เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง ผู้นำเข้า และนักลงทุนจากผลกระทบของโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับนโยบาย Dual-track Policy ของ EXIM BANK ในการทำหน้าที่เป็น "ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)" ขับเคลื่อนการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านภาวะวิกฤตและมีโมเมนตัมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และยั่งยืน มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในโลกยุค ใหม่

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังทำหน้าที่เป็น
"ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)" ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจสามารถผันตัวเป็นผู้ส่งออกและขยายธุรกิจส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืน โดย EXIM BANK จะเร่ง 'ซ่อม' ด้วยการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่วิกฤตและกระตุ้นให้ตลาดกลับมาน่าสนใจ 'สร้าง' อุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจในโลกอนาคต 'เสริม' ความสมดุลของการค้าและการลงทุนในตลาดหลักควบคู่กับตลาด New Frontiers รวมทั้งบุกเบิกโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ ขณะเดียวกัน จะเป็นผู้ให้บริการครบวงจรร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรในการเติมความรู้ ทุน และศักยภาพ เพื่อช่วยให้ SMEs ค้าขายระหว่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จและเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างมั่นใจ

"EXIM BANK จะเร่งพัฒนาปัจจัยต่าง ๆ ที่จะทำให้ภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤตและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่ง EXIM BANK พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและให้เครื่องมือทางการเงินสำหรับบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า แม้ว่าผู้ส่งออกจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะสั้น แต่ภูมิคุ้มกันของผู้ส่งออกคือ ความแตกต่างอย่างโดดเด่นของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ภายใต้วิถีใหม่ในระยะข้างหน้าได้" ดร.รักษ์ กล่าว
#3213


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ ประกอบกับการมีข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ขอความร่วมมือให้ประชาชนชะลอหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น

การรถไฟฯ จึงออกแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการยกเลิกการเดินทางตามนโยบายของภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ - 31 ส.ค.2564 ดังต่อไปนี้

- ให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถโดยสารไว้ล่วงหน้า หากไม่มั่นใจในการเดินทางในช่วงดังกล่าวสามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ


- กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสาร ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ

- กรณีมีการจองซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและไม่สะดวกในการคืนเงินค่าตั๋วผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้อนุญาตคืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยยื่นคำร้องขอคืนเงินได้ที่สถานี

ทั้งนี้ นายนิรุฒ กล่าวว่า การรถไฟฯ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ เพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในขบวนรถโดยสารทุกขบวน และทุกสถานีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคัดกรองพนักงานรถไฟ ผู้ใช้บริการรถไฟ รวมทั้งผู้ประกอบการ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกคน และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติงานหรือใช้บริการอย่างเคร่งครัด
#3214


กรุงเทพฯ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564 – ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) ประกาศแต่งตั้ง ดร. สร เกียรติคณารัตน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย (Initiative Thailand) อย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อความสำเร็จล่าสุดของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในฐานะมีเดีย เอเยนซี่ ด้านคุณภาพอันดับ 1 ของประเทศไทยในปี 2020 ซึ่งจัดอันดับโดย RECMA บริษัทวิจัยระดับโลกที่ประเมินผลงานเชิงคุณภาพการให้บริการของมีเดีย เอเยนซี่ในระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ


ดร. สร ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เพื่อเป็นแม่แรงสำคัญในการขับเคลื่อนและขยายขีดความสามารถของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด - 19   ซึ่งอินิชิเอทีฟมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการเป็นพาร์ทเนอร์ในการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้าผ่านกรอบการทำงานแบบ Cultural Velocity - การเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และความเป็นตัวตนของผู้บริโภค ผ่าน ดาต้าและเครื่องมือต่างๆที่ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนธุรกิจและการสื่อสารให้เข้ากับยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของวัฒนธรรมการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา

ด้วยประสบการณ์มากกว่า 23 ปี ในแวดวงสื่อและโฆษณา รวมทั้งการให้คำปรึกษาด้านแบรนด์ ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวเรือใหญ่ของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยนั้น ดร. สร เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย และนับตั้งแต่ ดร. สร เข้าร่วมไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555  เขากลายเป็นนักกลยุทธ์สำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเป็นผู้นำทางความคิด ในการพัฒนาแนวคิดและกลยุทธ์ให้กับสินค้าและบริษัทชั้นนำของประเทศไทย ดร. สร จึงได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจของเครือข่าย ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งจนถึงปัจจุบัน

คุณเอมี่ อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด อินิชิเอทีฟ โกล. (Global CEO) กล่าวว่า "ดร. สร เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล และมีความเฉียบแหลมทางด้านธุรกิจ ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็น ดร. สร เป็นผู้นำทัพ ขับเคลื่อนสร้างการเติบโตและนำความสำเร็จมาสู่ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทยในอนาคต" ขณะที่คุณลีห์ เทอร์รี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (IPG Mediabrands APAC) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก (Initiative APAC) กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ดร. สร เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เพราะ ดร. สร เป็นทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญและรักในงานวางแผนกลยุทธ์ และเป็นผู้นำในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่ง ดร. สร มีผลงานโดดเด่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจและวิธีแก้ปัญหาโดยสร้างวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในตลาดประเทศไทย ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นพัฒนาการด้านความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จนตัวเขาได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำสำคัญที่สุดคนหนึ่ง และจากผลงานที่ผ่านมา ดร. สร เป็นแรงผลักดันสำคัญ ผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเอเยนซี่ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ผมเชื่อว่าเขาจะสานต่อแรงผลักดันที่แข็งแกร่งนี้ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยต่อไปได้อย่างแน่นอน"


ดร. ธราภุช จารุวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย กล่าวถึงผู้นำอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนใหม่ว่า จากบทบาทก่อนหน้านี้ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ดร. สร พิสูจน์แล้วว่า เขาเป็นนักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้า ในขณะเดียวกัน ดร. สร ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างผลงานให้กับลูกค้าจนได้รับรางวัลทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศอย่างมากมาย ทั้งนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ดร. สร จะเดินหน้าสร้างความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ต่อจากคุณวรรณี รัตนพล ผู้ก่อตั้งและเป็นตำนานของอินิชิเอทีฟ และคุณมาลี กิตติพงศ์ไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนก่อนหน้า

ดร. สร เกียรติคณารัตน์ ยืนยันถึงการสานต่อความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในทศวรรษที่ 3 นี้ว่า "ความก้าวหน้าและวัฒนธรรมเป็นรากฐานสำคัญของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย มาโดยตลอด ผมมุ่งมั่นที่จะยกระดับจากการแก้ปัญกาเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ พร้อมพัฒนานวตกรรมการบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าของเรานำหน้าคู่แข่งทางธุรกิจอยู่เสมอ โดยผมจะเน้นเรื่องการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าทางธุรกิจ และเน้นการสร้างความสุขและพัฒนาศักยภาพพนักงานของเรา ให้เติบโต มีความคล่องตัวและก้าวนำสถานการณ์โลก การสร้างความสุขในการทำงานจะเป็นตัวจุดประกายสำคัญที่จะช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ดีในฐานะพาร์ทเนอร์ทางความคิดเชิงรุกให้กับลูกค้า ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักของผม คือ การทำให้ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดสำหรับคนที่รักความก้าวหน้า เป็นเอเยนซี่ที่ดีที่สุดของลูกค้าที่รักและพันธมิตรทางธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้แบรนด์สร้างสิ่งใหม่ๆที่โดนใจในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค – we help brand takes initiative into the culture"

ด้านคุณมาลี กิตติพงศ์ไพศาล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย หนึ่งในผู้สร้างความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย จะยังคงดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านธุรกิจฝ่ายบริหาร ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ต่อไปในปี 2021

 

เกี่ยวกับ ดร. สร เกียรติคณารัตน์

ดร. สร เริ่มต้นการทำงานในปี พ.ศ. 2540 ที่ เดนท์สุ ยังก์ แอนด์ รูบิแคม (Dentsu Young & Rubicam) ในฐานะนักวางแผนกลยุทธ์ ก่อนมาร่วมงานกับ โลว์ (ลินตาส) (Lowe (Lintas) ในปี พ.ศ. 2543 เพื่อร่วมบุกเบิกการเป็นเอเยนซี่ที่ให้คำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ แห่งแรก ๆ ของประเทศไทย ดร. สร ทำงานด้านกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจที่โลว์ เป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อนเข้าร่วมกับยูโร อาร์เอสซีจี (ฮาวาส) (Euro RSCG (HAVAS) ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และในปี พ.ศ. 2555 ดร. สร เข้าร่วมงานกับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส โดยดำรงตำแหน่งแรก คือ กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรม ของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ซึ่ง ดร. สร เป็นผู้จัดตั้งแผนกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการสื่อสารให้กับเอเยนซี่ต่าง ๆ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส

ดร. สร เป็นผู้บริหารที่มีแนวคิดบวก เปิดกว้างและพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่เสมอ (Growth Mindset) และเป็นคนที่ชอบเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) อย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากการที่ ดร. สร ได้สำเร็จการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขานิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพในปี พ.ศ. 2563 โดยเชี่ยวชาญเรื่องนวัตกรรมสังคมองค์กร (Corporate Social Innovation) นอกจากบทบาทใหม่ที่ อินิชิเอทีฟ (Initiative) ประเทศไทย แล้ว ดร. สร ยังดำรงตำแหน่งกรรมการสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (MAAT) และเป็นกรรมการอิสระและกรรมการที่ปรึกษาภายนอกของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง

 

เกี่ยวกับ อินิชิเอทีฟ

อินิชิเอทีฟ เป็นมีเดีย เอเยนซี่ระดับโลก ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแบรนด์ให้เติบโตผ่านวัฒนธรรม และในช่วงสามปีที่ผ่านมา เราได้รับการเสนอชื่อให้เป็น มีเดีย เอเยนซี่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จัดอันดับโดย RECMA หน่วยงานอิสระในการจัดอันดับคุณภาพมีเดีย เอเยนซี่ กุญแจสู่ความสำเร็จของเรา คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า มีเดีย เอเยนซี่ส่วนใหญ่เน้นการสร้าง การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) โดยอาจมีอคติกับการใช้เงินลงทุนกับสื่อ ซึ่งเราแตกต่างจากมีเดีย เอเยนซี่นั้น เพราะเราเป็นมีเดีย เอเยนซี่ ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค (Brand Relevance) โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ Cultural Velocity การใช้วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขับเคลื่อนแบรนด์ เราเชื่อว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องให้ความสำคัญ และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยแบรนด์ต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งและแทรกซึมในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เราเรียกสิ่งนี้ว่า Cultural Velocity™ ซึ่งเป็นมาตราวัดความเร็วที่แบรนด์เคลื่อนผ่านวัฒนธรรมในสังคม และสร้างความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง ยิ่งแบรนด์ก้าวไปพร้อมกับวัฒนธรรมได้เร็วเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคได้มากขึ้นเท่านั้น และส่งผลต่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด  

ดูข้อมูลเพิ่มเติมของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https:// ipg-connect.com/th/cultural-agency-initiative-thailand/

 

เกี่ยวกับไอพีจี มีเดียเบรนด์ส

IPG MEDIABRANDS คือ องค์กรระดับโลก ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารและการวิเคราะห์ข้อมูล ในเครือ Interpublic Group (NYSE: IPG) เราบริหารและดูแลการลงทุนทางด้านการสื่อสารการตลาดให้กับลูกค้า โดยมีมูลค่ารวมกันกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 130 ประเทศทั่วโลก และเรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารรวมตัวกันมากกว่า 13,000 คน เรามีการให้บริการแบบครบวงจรในทุกมิติของการเป็นเอเยนซี่ระดับโลก โดยภายใต้เครือข่ายของ IPG Mediabrands นั้นรวมไปถึงบริษัทสำหรับการวางแผนสื่อและการตลาดชั้นนำอย่าง UM, Initiative และ BPN และกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลและการวิจัยอย่าง MAGNA, Matterkind และ ดิจิทัลเอเยนซี่ อย่าง Reprise www.ipgmediabrands.com , LinkedIn, Twitter or Instagram.
#3215


นับเป็นการแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ด้วยสีหน้าที่ "เคร่งเครียด" อย่างมาก สำหรับแม่ทัพอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทยอย่าง ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หลังเผชิญมรสุมครั้งใหญ่ เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษา เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ "แอชตัน อโศก" มูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง "บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นอาคารชุด 51 ชั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 666 ยูนิต ห้องชุดส่งมอบแล้ว 87% มูลค่ากว่า 5,639 ล้านบาท และมีจำนวนครัวเรือนอยู่อาศัย 578 ครอบครัว เป็นคนไทย 438 ราย และลูกค้าต่างชาติ 140 รายจากทั้งสิ้น 20 ประเทศ 

คำสั่งศาลปกครองกลาง ที่พิพากษาถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก รวมถึง "ลูกบ้าน" แสดงความกังวลใจให้ผู้บริหารรับทราบผ่านการประชุมออนไลน์เมื่อคืนนี้ โดยมีคำถามมากมายประเดประดังเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น..เราคือคนที่มาซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยนะ ไม่ได้มาเพื่อเก็งกำไรแล้วมีปัญหาก็มาโวยวาย, เค้าจะทุบหมดเลยใช่ไหม, จะครบ 3 ปีจะรีไฟแนนซ์ได้ไหม เป็นต้น ซึ่งผู้บริหารเองก็มืดแปดด้าน และเร่งหาทางออก แต่ระหว่างทางยืนยันจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน 

นอกจากการออกตัวอยู่เคียงข้างลูกค้าที่ซื้อโครงการ สิ่งที่บริษัทจะดำเนินการต่อจากนี้ คือเตรียมข้อมูล หลักฐานต่างๆ เพื่อยื่นอุทรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วัน ซึ่งตามกระบวนการศาลคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี เร็วสุดอาจเป็น 2 ปี 

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ถือโอกาสชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า กระบวนการพัฒนาโครงการ มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เช่น อนุมัติจาก 8 หน่วยงานราขการ ทั้งสำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน เป็นต้น


และได้รับใบอนุญาต 9 ฉบับ เช่น ใบอนุญาตใช้ทางของรฟม. ใบอนุญาติเชื่อมทางสาธารณะ ใบรับแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ 3 ใบ ฯ นอกจากนี้ ยังขอความเห็นก่อนดำเนินการ 7 หน่วยงาน เช่น รฟม. กองควบคุมอาคาร สำนักการจราจร สำนักงานที่ดินฯ ผ่านความเห็นชอบจาก 5  คณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการ รฟม. คณะกรรมการ พิจารณาแบบของสำนักงานควบคุมอาหาร ว่าแบบก่อสร้างถูกต้อง เป็นต้น

ขณะที่ทางเข้า-ออก โครงการ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ เดิมที่ดินของโครงการนั้นมีทางเข้าออกถนน แต่ภายหลังถูกเวนคืน ตามพ.ร.บ.เวนคืนที่ดิน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณะ ซึ่งส่งผลให้บริษัทและรฟม.สามารถใช้ที่ดินสำหรับเป็นทางเข้า-ออกโครงการเทียบเท่าสาธารณะได้ กรณีนี้บริษัทได้เสนอค่าตอบแทนให้แก่รฟม.มูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท ด้วยการสร้างอาคารจอดรถสูง 7 ชั้น เพื่อรองรับการบริการรถไฟฟ้า 

"บริษัทฯ ดำเนินงานอย่างระมัดระวัง รอบคอบให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ทางเข้า-ออก ของ รฟม. จากโครงการอื่นๆด้วย" 

พร้อมกันนี้ บริษัทให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการ แอชตัน อโศก ไม่ใช่รายแรกที่ใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. รวมถึงเรื่องการดำเนินงานขออนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัด และได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน จึงทำให้บริษัทฯ มั่นใจอย่างยิ่งว่าในกระบวนการดำเนินโครงการแอชตัน อโศก ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและสุจริต ชอบด้วยกฎหมายทุกขั้นตอน

ทว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากโครงการแอชตัน อโศก ถือเป็นหน้าเป็นตาขององค์กร 

"แอชตัน อโศก เป็นโครงการเรือธงของบริษัท กรณีที่เกิดขึ้น เหมือนเราโดนเสียบหัวใจ อยากให้เราตายเลย ลูกค้า นักลงทุน จะคิดกับเรายังไง"
#3216



จากโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศ "ไทยออยล์" ตั้งปณิธานสานต่อความตั้งใจไม่หยุดยั้ง พร้อมอยู่เคียงข้างสังคมไทย สร้างความมั่นคงทางพลังงานและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน มุ่งสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

กล่าวได้ว่า "ไทยออยล์" เป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันในไทย เพราะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันเอกชนรายแรกของประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ด้วยกำลังการผลิต 35,000 บาร์เรล/วัน

ตลอดระยะเวลา 60 ปี ไทยออยล์ยังคงมุ่งมั่นสานต่อไม่ลดละเพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ จนในปัจจุบันเป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดในประเทศ ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปออกมาจำหน่ายประมาณร้อยละ 31 หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายทั้งหมดในประเทศไทย

เรื่องราวความสำเร็จของ "ไทยออยล์" ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้วนสร้างหลักไมล์ในโลกพลังงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น...การเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย มีความซับซ้อนในเชิงกระบวนการผลิตที่อยู่ในระดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดในสัดส่วนที่มาก, เป็นโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วและน้ำมันเกรด Euro4 ได้ทุกผลิตภัณฑ์ เป็นรายแรก เป็นต้น

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนแก่เศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยออยล์ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับโลก อย่าง DJSI ในเวทีระดับโลกด้วย



ยืนหนึ่ง โรงกลั่นทันสมัยระดับภูมิภาค เติบโตและอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นมิตร

ปัจจุบัน นอกจากการเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในประเทศแล้ว ไทยออยล์ยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการเติบโตไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคซึ่งมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังได้มีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจอะโรเมติกส์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และเอทานอล เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน พร้อมรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรายแรกและรายเดียวของประเทศที่ผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ที่จำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

แม้ว่าจะเติบโตทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค แต่ไทยออยล์ก็ไม่ลืมชุมชนรอบๆ โรงกลั่นที่อยู่ร่วมกันมา เพราะไทยออยล์เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่เกิดขึ้นกลางชุมชน การให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ไทยออยล์คำนึงมาโดยตลอด จนกระทั่งได้รับการยกย่องในฐานะบริษัทต้นแบบของการดำรงอยู่ร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับชุมชน โดยได้รับการประเมินวัดระดับความผูกพันระหว่างชุมชนกับไทยออยล์อยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด

หลักการสำคัญที่ไทยออยล์ยึดมั่นมาโดยตลอดเพื่อดูแลชุมชนรอบโรงกลั่น ทั้ง "หลัก 3 ประสาน" โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือที่ดีระหว่าง "ไทยออยล์", "ชุมชน" และ "ส่วนราชการท้องถิ่น" และ "5 ร่วม" ได้แก่ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมรับผล และร่วมพัฒนา โดยตัวแทนจากทั้ง 3 ภาคส่วนจะมีการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อสื่อสารข้อมูลของบริษัทไปยังชุมชนได้อย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสให้ตัวแทนแต่ละชุมชนเสนอข้อมูลที่เป็นปัญหาหรือข้อคิดเห็นต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อมาหาวิธีแก้ไขปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาระยะยาวไม่ให้เกิดซ้ำอีก

นอกจากนี้แล้ว ไทยออยล์ยังได้จัดทำโครงการดีๆ เพื่อชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เช่น การมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาเยาวชนดีเด่นในพื้นที่ (Thaioil Scholarship for Community's Talent Student) การจัดค่ายอบรมความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น

ขณะที่ในด้านสุขภาพและสาธารณสุข ก็มีการจัดทำโครงการมากมาย เช่น การสร้างศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน ที่จัดกิจกรรมออกกำลังกายแอโรบิก รวมทั้งจัดให้มีเครื่องเล่นเด็กและอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับชุมชน, การจัดคลินิกทันตกรรม, สร้างลานกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 5 ชั้นให้แก่โรงพยาบาลแหลมฉบัง ฯลฯ

นอกจากนั้น ยังให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียว การปลูกป่าชายเลน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ หลอมรวมให้ไทยออยล์สามารถอยู่ร่วมและเป็นมิตรกับชุมชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งแก่องค์กร และชุมชนก็เข้มแข็งเติบโตไปด้วยกันมาจนปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต



เดินหน้าสู่องค์กร 100 ปี สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน

จากเรื่องราวความสำเร็จตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจความมั่นคงยั่งยืนด้านพลังงาน โดยหนึ่งในนั้นคือการต่อยอดจากธุรกิจปิโตรเลียม ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาด มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตามแผนการเพิ่มการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจการกลั่นน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และลงทุนในธุรกิจที่เป็นไปตามแนวโน้มของโลก รวมทั้งธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจพลังงานทางเลือกใหม่อื่นๆ

ไทยออยล์มีแผนกลยุทธ์ที่จะผลักดันไปสู่เป้าหมายความสำเร็จในอนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยวางแผนที่จะเร่งหาโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี กลุ่มโอเลฟินส์ เพิ่มเติมจากกลุ่มอะโรเมติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่หลากหลายกว่า ถือเป็นการต่อยอดห่วงโซ่คุณค่าจากสารแนฟทา และแอลพีจี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่น รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High-value Products) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและลูกค้าอีกด้วย

กลยุทธ์การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อแสวงหาโอกาสการเติบโตของธุรกิจในอนาคตในภูมิภาคผ่านการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น

กลยุทธ์การกระจายความเติบโตเพื่อลดความผันผวนของกำไรจากธุรกิจการกลั่นน้ำมันโดยเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้ที่มั่นคง รวมถึงธุรกิจใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือธุรกิจใหม่เชิงนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต (New S Curve) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พอร์ตการลงทุนและเพิ่มเสถียรภาพของกำไร รองรับความผันผวนจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่เกิดขึ้นจากปัจจัยรอบด้าน

ควบคู่กับแผนกลยุทธ์ข้างต้น ไทยออยล์ยังได้วางแนวทางในการผลักดันให้กลยุทธ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จด้วยแนวทาง 4P ที่เริ่มต้นด้วย People คือ การพัฒนาศักยภาพบุคลากรภายในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ตามมาด้วย P ที่ 2 คือ Patronage ซึ่งหมายถึงผู้มีอุปการคุณทางธุรกิจที่ไทยออยล์ได้ส่งมอบคุณค่าให้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค่า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น รัฐบาล รวมถึงชุมชน ซึ่งมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เพื่อยอดธุรกิจ

สำหรับ P ที่ 3 คือ Partner หรือ "หุ้นส่วน" ผู้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและนอกประเทศที่ร่วมสร้างธุรกิจร่วมกัน และ P สุดท้าย คือ Platform ที่ไทยออยล์มุ่งใช้ประโยชน์สูงสุดจากแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งแพลตฟอร์มทางธุรกิจที่มีอยู่เดิม แพลตฟอร์มทางความรู้ และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จ

เหนืออื่นใด คือนโยบายด้านความยั่งยืนที่ไทยออลย์ยึดถือเป็นเข็มทิศในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต สู่การเป็นองค์กร 100 ปี นั่นก็คือ ESG ที่หมายถึง

ด้าน E - Environment: Towards Green Economy เพื่อตอบสนองต่อทิศทางของโลกในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ไทยออยล์จึงมุ่งเน้นให้กระบวนการผลิตของไทยออยล์มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ใช้พลังงานให้คุ้มค่า มีการนำกลยุทธ์ 3Rs มาใช้ (Reuse, Reduce, Recycle) และมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เป็นต้น

ด้าน S - Social: Towards .ter Quality of Life นอกจากการบริหารความสัมพันธ์กับชุมชนแล้ว ไทยออยล์ยังมุ่งเน้นในการสร้างประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ให้เป็นรูปธรรม ผ่านโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคมที่อาศัยองค์ความรู้ของบุคลากรของไทยออยล์ด้านพลังงานและวิศวกรรมเข้าไปสนับสนุน เช่น โครงการติดตั้ง Solar cell ให้กับโรงพยาบาล เป็นต้น

ด้าน G - Governance: Towards Good Governance เน้นเรื่องระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้เสีย มุ่งสร้างความโปร่งใสโดยทำระบบบริหารจัดการ Integrated GRC (Governance, Risk and Compliance) มาใช้ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การปลุกจิตสำนึกและค่านิยมของบุคลากรในองค์กร 2. การสร้างระบบที่แข็งแรง 3. การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมกับประสิทธิภาพ และคล่องตัวในการดำเนินงาน โดยไทยออยล์มุ่งเน้นการมีบรรษัทภิบาล (G:governance) ที่เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ในทุกๆ กิจกรรมในการดำเนินธุรกิจ

จากจุดเริ่มต้น จนกระทั่งครบรอบ 60 ปีใน พ.ศ.นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยออยล์ คือบริษัทด้านพลังงานที่มีการเติบโตมั่นคงมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนที่อยู่ร่วมกัน รวมทั้งคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวเดินต่อไปด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยไปพร้อมๆ กันด้วย
#3217


ANAN ยัน"คอนโดแอชตันอโศก" ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศ และคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบทุกขั้นตอน เตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ ANAN แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่าตามที่มีข่าวปรากฎในหนังสือพิมพ์หลายฉบับเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางของโครงการ แอชตันอโศก ที่ดำเนินการโดยบริษัทอนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 51 นั้น


บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทไม่ได้เป็นผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวโดยตรงและไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาแต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายจากการแพ้คดีของหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้อง

อีกทั้งบริษัทยังมีความเห็นที่แตกต่างจากคำพิพากษาในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สำคัญ โดยบริษัทจะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปไปยังศาลปกครองสูงสุด


ทั้งนี้คำพิพากษา ของศาลปกครองกลางซึ่งเป็นศาลชั้นต้นยังไม่มีผลบังคับจนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด บริษัทได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ประกาศ และคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบทุกขั้นตอน และบริษัทจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ต่อบริษัทและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
#3218



จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีตัวเลขผู้ป่วย New High เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีผู้ป่วยที่ต้องการเตียงพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจำนวนมาก เพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว 'บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)' จึงได้จับมือร่วมกับ 'มูลนิธิมาดามแป้ง' ดำเนินภารกิจสู้วิกฤตโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยสมทบทุนจัดตั้งศูนย์ Community Isolation จำนวน 400 เตียง และจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มูลค่ารวมกว่า 4 ล้านบาท ใน 4 แห่งรอบกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว หวังบรรเทาวิกฤตเตียงไม่เพียงพอ ลดวงจรการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต เริ่มเปิดบริการต้นเดือนสิงหาคมนี้ เป็นต้นไป



'มาดามแป้ง' นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง กล่าวถึงการทำงานครั้งนี้ว่า "นับเป็นการบูรณาการความช่วยเหลือให้เท่าทันสถานการณ์ ในวินาทีที่สังคมต้องการความช่วยเหลือ เราพร้อมหมุนตัว 360 องศาช่วยเต็มที่ ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ทั้งเอกชน หน่วยงานท้องถิ่น วัด โรงเรียน ชุมชน อาสาสมัคร โดยในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงมีพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมกับเราอีกหลายองค์กร แน่นอนว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการแก้ไขวิกฤตของประเทศ"



สำหรับ Community Isolation ทั้ง 4 แห่งนั้น สามารถรองรับผู้ป่วยได้แห่งละ 100 เตียงต่อรอบการรักษา ซึ่งกระจายอยู่ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย เขตวังทองหลาง โดย รพ.ลาดพร้าว, ร.ร.สุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ เขตบึงกุ่ม โดย รพ.พญาไท นวมินทร์, โกดังเก็บของ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เขตราษฎร์บูรณะ โดย รพ.ประชาพัฒน์ และวัดกำแพง (บางแวก) เขตภาษีเจริญ โดย รพ.มิตรประชา (เพชรเกษม 2) โดยจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในช่วงต้นเดือนสิงหาคม



นางนวลพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัญหาใหญ่หนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมองอย่างไรก็ไม่มีทางเพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายวัน ดังนั้น นอกจากสนับสนุนการตั้งศูนย์ขึ้นแล้ว เรายังมีแผนสร้างทีมอาสากล้าใหม่มูลนิธิมาดามแป้งขึ้นมาเป็นผู้ช่วยหมอ พยาบาล ในการดูแลผู้ป่วยหน้างานอย่างเร่งด่วน ด้วยรูปแบบการอบรมระยะสั้นตามมาตรฐาน หากเราทำได้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระงานของหมอ พยาบาลไปได้อีกมาก และยังสามารถขยายโมเดลนี้ได้ทั่วประเทศในอนาคตอีกด้วย"
#3219

ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 แขวงวังทองหลาง ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง
ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 แขวงวังทองหลาง กทม  ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง สภาพสวย เหมือนใหม่ ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิตผู้กู้
ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58 ตรงข้ามตลาดโชคชัย4  วังทองหลาง กู้ได้เต็ม กู้ได้สูง 
ขายถูกกู้ได้สูงอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58  ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 รายได้ดี ใกล้รถไฟฟ้า (กำลังก่อสร้าง) แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม ขนาด33ห้อง  เนื้อที่130ตรว.อพาร์มเม้นท์สภาพสวย เหมือนใหม่ ขายถูกกู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิตผู้กู้

ขายอพาร์ทเม้นท์วังทองหลาง ลักษณะ: อพาร์ทเม้นท์ 4 ชั้น 33 ห้อง พื้นที่ทั้งหมด130ตรว (ตัวอาคาร 100ตรว ที่จอดรถ 30ตรว)

จุดเด่นทำเล: อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย 4 จากปากซอยเข้าเข้ามาในตึกประมาณ800 เมตร / ทำเลดีกำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า

ที่ตั้งอพาร์ทเม้นท์
ที่อยู่: สมชัย อพาร์ทเม้นท์ 124/3 ซ.ลาดพร้าว 58 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม

อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย4 ขายอพาร์ทเม้นท์ทำเลทอง| กู้ได้เต็ม กู้ได้สูง ตามเครดิต
 ราคาขายทั้งหมด: 40 ล้านบาท

สนใจติดต่อ ชญานิน 0886293244/ ก้อย 0954149923

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://hawpak.com/ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้า/

คำค้น
ขายอพาร์ทเม้นท์วังทองหลาง, ขายอพาร์ทเม้นท์ลาดพร้าว58, ขายอพาร์ทเม้นท์อยู่ตรงข้ามตลาดโชคชัย4, ขายอพาร์ทเม้นท์แขวงวังทองหลาง, ขายอพาร์ทเม้นท์เขตวังทองหลาง,
#3220



ก่อนจะมาเป็นนักศึกษาแพทย์ได้ยินคำพูด เช่น "เรียนแพทย์จะได้ช่วยชีวิตคน" หรือ "ตั้งใจเรียนแพทย์จะได้รักษาคนไข้ได้" ไปจนถึง "ความเป็นความตายคนไข้ขึ้นกับเรา"

นักศึกษาแพทย์ ปี 5 กมลชนก กุลชุติสิน คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช จะค่อยๆช่วยให้พอนึกภาพออกว่ามันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่ทุกคนคิด และลองมองไปถึงว่าเดิมคนไข้ก็มากมายอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีคนไข้โควิดเพิ่มขึ้นมาอีก ล้นโรงพยาบาลทั้งประเทศ

เราจะทำได้ถึงแค่ไหนที่จะดูคนไข้ได้ทั้งคน ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรและไม่ได้ดูแค่ความเจ็บป่วย

ค่อยๆนึกภาพเบื้องหลังของชีวิตคนป่วยคนหนึ่งมาพบแพทย์เพราะอาการของโรคที่เกิดขึ้นและรบกวนชีวิตประจำวัน การพูดคุยกับคนไข้ การซักประวัติอาการของโรคถือเป็นการซักถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่การไถ่ถามถึงเรื่องราวเบื้องหลังนั้น มีความสำคัญไม่แพ้กัน

แต่...มักจะถูกมองข้ามด้วยเวลาอันจำกัดของแพทย์


สำหรับเรื่องราวเบื้องหลังนั้นคือ การรับฟังเรื่องราวประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของคนไข้ ซึ่งบางครั้งสำคัญและอาจเป็นสาเหตุของโรคที่นำคนไข้มาพบแพทย์ เช่นในคนไข้จิตเวช จะต้องถามถึงการใช้ชีวิตที่ผ่านมา

ซึ่งอาจจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและยากต่อการปลอบประโลม แต่ถ้ามีเวลาการรับฟังและใส่ใจในจุดนี้ จะช่วยในความสัมพันธ์ระหว่างหมอและคนไข้อย่างมาก นำไปสู่การรักษาที่ดีขึ้นหรือคนไข้ในสาขาอื่นๆ

การรับฟังเรื่องราวเบื้องหลังอาจจะนำมาสู่การวินิจฉัยที่แม่นยำ

ก่อนมาเป็นนักศึกษาแพทย์จะนึกถึงคุณค่าในตัวตนของทุกคนเสมอ เพราะทุกคนย่อมมีคุณค่าของตัวเอง การยอมรับและเคารพในตัวตนของผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่แพทย์พึงระลึกไว้เสมอ แต่การเรียนแพทย์นั้นมุ่งเน้นถึงการวินิจฉัยและรักษาโรคซึ่งซับซ้อนขึ้นทุกปีตามความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ร่วมกับเวลาอันน้อยนิด


จนบางครั้งคุณค่าในตัวตนของผู้ป่วยจึงเจือจางลงไป เช่นในวอร์ดอายุรศาสตร์มีผู้ป่วยหลายคนที่คิดว่าอาการเจ็บป่วยของเขาสร้างความลำบากแก่ครอบครัวหรือการป่วยเป็นโรครุนแรงทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหว ลองนึกดูว่าถ้าวันนึงไม่สามารถแม้แต่จะกินข้าวเองได้จะรู้สึกยังไง

สิ่งเหล่านี้บั่นทอนกำลังใจและคุณค่าในตัวผู้ป่วยลง จนอาจคิดว่าตนเองนั้นด้อยค่า ไม่อาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญใดๆได้อีก

ซึ่งความจริงแล้วผู้ป่วยมีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องการรักษา มีสิทธิที่จะเลือกชีวิตในบั้นปลายที่เหลืออยู่ และมีสิทธิที่จะให้ผู้อื่น เข้าใจและเคารพในการตัดสินใจของเขา ซึ่งแพทย์ก็ควรจะพยายามถามถึงความต้องการของผู้ป่วย เน้นว่าผู้ป่วยและไม่ใช่ถามแต่ญาติ

จากนั้นเคารพในการตัดสินใจของผู้ป่วย หรือพยายามทำตามความต้องการที่อยู่ในขอบเขตของเหตุผล เนื่องจากในบางครั้งทางเลือกที่แพทย์เห็นว่าดีหรือญาติคิดว่าดีอาจไม่ได้ดีที่สุดสำหรับคนไข้เสมอไป

นอกจากการเคารพในคุณค่าและการตัดสินใจของผู้ป่วยแล้ว การมองตัวโรคและตัวตนของผู้ป่วยแยกกัน เพราะตัวโรคอาจทำให้สภาพร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลงไปมาก

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการรักษาคือการใส่ใจคุณค่าและตัวตนเหมือนดังเช่นในยามที่มีสุขภาพร่างกายและจิตใจ
ที่แข็งแรง เพื่อการแนะนำคนไข้สู่การตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่เหมาะสมที่สุด เพราะในช่วงเวลาคาบเกี่ยวความตาย ไม่ใช่เวลาที่จะมาตัดสินใจ

ควรที่จะคุยและตัดสินใจเรื่องสำคัญต่อการรักษาและชีวิตไว้ให้เรียบร้อยในขณะที่ยังมีเวลา เพื่อที่จะไม่ให้เป็นการตัดสินใจที่ฉุกละหุกและไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน


บ่อยครั้งไม่ได้มีการคุยเพราะเป็นเหตุฉุกเฉิน แต่บ่อยครั้งก็เป็นเพราะว่าแพทย์ไม่มีเวลา ไม่ก็ผู้ป่วยหรือญาติยังตัดสินใจไม่ได้ จะพูดถึงในกรณีที่คุยตกลงกันไว้แล้วเพราะเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ครั้งแรกในชีวิตของ นศพ. ที่จำได้ดี ขณะอยู่เวรที่หอผู้ป่วยหนัก พยาบาลประจำวอร์ดได้แจ้งว่าคนไข้คนหนึ่งไม่มีสัญญาณชีพ "น้อง นศพ.ช่วยไปยืนยันว่าคนไข้ไม่มีชีพจรและแจ้งพี่แพทย์ประจำบ้านด้วยนะคะ" ซึ่งคนไข้คนนั้นเป็นคนไข้ที่ทางวอร์ดได้คุยกับญาติแล้วเรื่องปฏิเสธการกู้ชีพและให้เป็นไปตามธรรมชาติ

สิ่งที่ทำคือขออนุญาตคนไข้ตรงหน้าเหมือนที่เคยทำในทุกๆครั้งและดูการตอบสนองต่อเสียงและใช้หูฟัง ฟังเสียงการเต้นของหัวใจ หน้าอกยังเคลื่อนขึ้นลงช้าๆ

เพราะเครื่องช่วยหายใจไม่ได้มีการหายใจเองและไม่มีเสียงสัญญาณชีพอื่นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิต คนไข้เสียชีวิตแล้ว

และสิ่งที่ทำได้ในวันนั้นคือการเดินไปบอกพี่แพทย์ประจำบ้านให้ทางวอร์ดแจ้งการเสียชีวิตกับญาติคนไข้เพราะว่าดูแลคนไข้คนนี้มานาน จึงมีความผูกพัน ถึงรู้ว่าเป็นระยะสุดท้ายและเป็นตัวอย่างที่ดีของการคุยไว้ก่อนจะได้มีการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

แต่ก็อยากให้รอดและกลับมาดีขึ้น

ฉะนั้นที่ว่าแพทย์เป็นผู้กำหนดความเป็นความตายของผู้ป่วยคงจะเป็นคำพูดที่เกินจริง เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะตัดสินใจในชีวิตของตัวเอง ยกตัวอย่างว่าถึงจะอยากมีชีวิตแต่แพทย์เป็นคนเหมือนกัน ที่ตั้งใจจะใช้ความรู้ ความสามารถเท่าที่มีเพื่อดูแลคนไข้ และจะพยายามเคารพในคุณค่าและตัวตนของทั้งญาติและคนไข้

แต่ถ้าตัวโรคได้ถึงระยะสุดท้ายแล้ว หรือระบบสาธารณสุขรวมถึงบุคลากรในนั้นได้มาถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว ทุกอย่างจะค่อยๆเจือจางหายไป โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้.

หมอดื้อ

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2114195