• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3081


นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทขยายความร่วมมือใหม่ ในกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ ภายใต้บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ด้วยการร่วมทุนกับบริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ในสัดส่วน 51:49 เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส "วันพญาไท" มูลค่า กว่า 3,600 ล้านบาท

"โตคิว แลนด์ เอเชีย เป็นพันธมิตรรายใหญ่ที่มีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับเราในการพัฒนาอสังหาฯ ครบวงจร เพื่อสร้างอีโคซิสเท็มแห่งการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดเพื่อผู้บริโภค"

นายมาซาโอกิ คาเนมัตซึ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า การร่วมทุนพัฒนาโครงการวัน พญาไท เป็นการเข้ามาลงทุนในไทยเป็นครั้งแรกของบริษัทหลังจากพิจารณามองหาพันธมิตรที่เหมาะสมและมีชื่อเสียงในไทยมายาวนาน บริษัทหวังว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน และเป็นรากฐานสำคัญสู่โอกาสสร้างความร่วมมือในธุรกิจด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจพลังงานทดแทน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถสร้างการเติบโตในอนาคตในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างประเทศไทย

โครงการวัน พญาไท เป็นโครงการมิกซ์ยูส สูง 31 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ 1-3-0 ไร่ ตั้งอยู่ติดกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่พาร์ค ออริจิ้น พญาไท พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด 'ONE STEP JOURNEY' เป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตจากส่วนคอนโดที่พักอาศัย ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส และแอร์พอร์ต เรลลิงก์ สถานีพญาไทย 200 เมตร

และยังเป็นโครงการแรกในไทยที่จะมีแบรนด์โรงแรมระดับโลก 2 แบรนด์ภายในอาคารเดียวกัน คือ โฮเทล อินดิโก โรงแรมในแนวคิดบูทีคโฮเทล มีห้องพัก 210 ห้อง และ ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส มีห้องพัก 202 ห้อง โดยทั้ง 2 แบรนด์ภายใต้เครือ IHG Hotels & Resorts จะช่วยตอบสนองความต้องการที่แตกต่างให้กับทั้งนักเดินทางที่มาท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจย่านใจกลางเมือง

นอกจากนี้ ภายในอาคารยังมีพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับร้านค้าและอาคารสำนักงาน 2,200 ตารางเมตร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมพื้นที่ใช้สอยกว่า 26,880 ตารางเมตรโดยจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3 ปีนี้ และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าสถานการณ์โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว

สำหรับโตคิว แลนด์ เอเชียเป็นบริษัทพัฒนาและลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาฯ จากประเทศญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ 67 ปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจของโตคิว ฟูโดซัง โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งติดหนึ่งในบริษัทดัชนี นิกเคอิi 225 มีมูลค่าทรัพย์สิน ณ สิ้นปีงบการเงินล่าสุดของญี่ปุ่น (31 มี.ค.2564) ประมาณ 2,652,000 ล้านเยน หรือราว 790,000 ล้านบาท
#3082


ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประกาศเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม จาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด จังหวัดในกลุ่มนี้ มีมาตรการที่เกี่ยวโดยตรงเกี่ยวกับกิจกรรมกีฬา คือ ห้ามรวมกลุ่มมากกว่า 5 คน และปิดสนามกีฬา ซึ่งสำหรับวงการฟุต.ไทยนั้น เฉพาะในไทยลีก 1 มีถึง 11 สโมสร จากทั้งหมด 16 สโมสร ติดร่างแหอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม ที่จะมีมาตรการถึงอย่างน้อยวันที่ 31 ส.ค. มีเพียง 5 สโมสร ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สิงห์ เชียงราย และ 3 น้องใหม่ หนองบัว พิชญ, เชียงใหม่ ยูไนเต็ด และ ขอนแก่น ยูไนเต็ด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัท ไทยลีก จำกัด ได้ประชุมสโมสร และเลื่อนวันเปิดฤดูกาลจากกลางเดือน ส.ค. เป็นต้นเดือน ก.ย. และเตรียมทำแผนการจัดมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด เสนอให้ ศบค.อนุมัติ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการประชุมก่อนประกาศล่าสุดของ ศบค.


หลังการประกาศเพิ่มจังหวัดสีแดงเข้ม และขยายเวลามาตรการไปถึง 31 ส.ค. ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.ไทยลีก ได้ข้อมูลว่า ตอนนี้กำลังรอไปคุยกับศบค. คิดว่าจะได้คิวภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ซึ่งมาตรการที่ออกมาเพิ่มเติม คิดว่าต่อให้เพิ่มจังหวัดล็อกดาวน์ หรือล็อกดาวน์ทั้งประเทศก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะอย่างไรก็ต้องทำแผนส่งอยู่แล้วแค่ต้องมาปรับแผนงานต่างๆ แล้วเอามาตรการนั้นไปเสนอกับศบค.หากได้อนุมัติ ก็ไปให้แต่ละสโมสร เอาแผนงานไปคุยกับทางจังหวัด

นายกรวีร์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องนี้ หากเป็นกรณีเลวร้ายสุดคือไม่ได้รับอนุมัติแผนงาน ก็ต้องเลื่อนแข่งขันออกไปเรื่อยๆ ทั้งนี้โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้ฟุต.กลับมาแข่งขันให้ได้ และยังเชื่อว่าศบค.คงไม่ถึงกับจะไม่ให้จัดแข่งขัน แต่อยู่ที่มาตรการว่ารัดกุมเพียงใด
#3083


ตามที่ บริษัท ไทยลีก จำกัด ได้ประกาศเรื่อง การแข่งขันฟุต.โตโยต้า ไทยลีก ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3 กันยายน 2564 นั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขัน ไทยลีก จึงขอแจ้งการประกบคู่การแข่งขันทั้ง 30 แมตช์ ของฤดูกาลนี้ ให้รับทราบโดยทั่วกัน

การแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล (แมตช์เดย์ 1) ในวันที่ 3-5 กันยายน 2564 มีคู่แข่งขันดังนี้

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบ สุพรรณบุรี เอฟซี
นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี พบ หนองบัว พิชญ เอฟซี
การท่าเรือ เอฟซี พบ โปลิศ เทโร เอฟซี
ราชบุรี มิตรผล เอฟซี พบ ขอนแก่น ยูไนเต็ด
เชียงใหม่ ยูไนเต็ด พบ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
พีที ประจวบ เอฟซี พบ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ชลบุรี เอฟซี พบ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
สมุทรปราการ ซิตี้ พบ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันฤดูกาล 2564/65 ของฟุต.ลีกอาชีพ รายการโตโยต้า ไทยลีก (ไทยลีก 1) ทั้ง 30 แมตช์นั้น สามารถดาวน์โหลดได้จากลิงค์ในเว็บข่าว >>> https://bit.ly/3ypfAKz



ทั้งนี้ ส่วนของการแข่งขันฟุต. M-150 แชมเปี้ยนชิพ และ มังกรฟ้า ลีก ฤดูกาล 2564/65 จะมีการแจ้งโปรแกรมและการประกบคู่แข่งขันต่อไป

หมายเหตุ* การประกาศครั้งนี้เป็นการแจ้งการประกบคู่การแข่งขันฟุต.ลีกอาชีพรายการโตโยต้า ไทยลีก (ไทยลีก 1) ที่ได้มีการประกบคู่สำหรับฤดูกาล 2564/65 ตามความเหมาะสม แต่ยังไม่ใช่โปรแกรมการแข่งขันที่แจ้งวันและเวลาสำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เนื่องด้วยเหตุผลตามมาตรการการควบคุมในแต่ละพื้นที่ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต โดยไทยลีกจะมีการแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดดังกล่าวในประกาศต่อไป

หมายเหตุ 2* การจัดโปรแกรมและประกบคู่แข่งขันฟุต.ลีกอาชีพ จัดทำโดยความร่วมมือของไทยลีกและ GOTPRO โดยจัดเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ซึ่งมีเงื่อนไขที่สำคัญ อาทิ
- สโมสรจะต้องสลับแข่งขันเป็นเจ้าบ้านและทีมเยือนตลอดฤดูกาล
- หากสโมสรมีการแข่งขันนัดกลางสัปดาห์ เกมต่อไปจะต้องลงแข่งขันในวันอาทิตย์เสมอ
- จะต้องมีการจัดสรรให้ได้เล่นในเวลา 17.00, 18.00 และ 19.00 ครบทุกสโมสร
- ในแมตช์ที่ 30 ทุกสโมสรจะลงแข่งขันในเวลา 18.00 น.

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075741
#3085


ไม่มีแผ่วเลยสำหรับวงการซีรีส์ของทางฝั่งจีนที่ช่วงนี้ก็ไม่วายมีผลงานเรื่องใหม่ ๆ ปล่อยออกมาให้เราได้รับชมกันแบบรัว ๆ เหมือนเช่นเคย โดยจากการไปตามส่องเก็บข้อมูล ในส่วนของนักแสดงซึ่งเป็นปัจจัยที่ดึงดูดผู้ชมได้เป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่โต๊ะฯจีนแอบไปสังเกตเห็นและพบว่าน่าสนใจมาก นั่นก็คือ จากบรรดาซีรีส์จีนที่กำลังออกอากาศและได้รับความนิยมอยู่ในช่วงนี้ มีนักแสดงสาวสวยอยู่คนหนึ่งที่ได้ร่วมแสดงและครองบทเด่นไปรวดเดียวถึง 3 เรื่องด้วยกัน!! ซึ่งเธอคนนั้นมีนามว่า 'จินเฉิน' นั่นเอง...

'จินเฉิน' (金晨) นางแบบ นักแสดงสาวชาวจีนวัย 31 ปี เกิดที่เมืองจี่หนาน มณฑลชานตง ประเทศจีน เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2011 ในผลงานซีรีส์จีนแนวกำลังภายในเรื่อง "เจ็ดยอดศาสตรา ตอนเดชขนนกยูง" (Kong Que Ling: 孔雀翎) นอกจากนั้นในปีเดียวกัน 'จินเฉิน' ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการประกวดเต้นชื่อดังอย่าง "China's Strictly Come Dancing" ซีซั่น 3 (舞动奇迹 3) จนในที่สุดสามารถคว้าแชมป์ของซีซั่นนั้นไปครองได้อีกด้วย

ต่อมาหลังจากเริ่มมีชื่อเสียง 'จินเฉิน' ได้มีผลงานการแสดง โดยเฉพาะในฝั่งของซีรีส์ออกมาให้ได้รับชมกันอีกหลายเรื่อง ที่เด่น ๆ ก็อย่างเช่น "หมอผีไร้ใจ" (WuXin The Monster Killer: 无心法师) ปี 2015 "พระสนมเหมิงเฟยเสด็จแล้ว" (Mengfei Comes Across: 萌妃驾到) ปี 2016 และ "มหาอำนาจแห่งความลับ" (Fearless Whispers: 隐秘而伟大) ปี 2020

ล่าสุดหากบอกว่าช่วงนี้เป็น "จังหวะทอง"ของนักแสดงสาวหน้าสวย 'จินเฉิน' ก็ดูเหมือนจะไม่เกินจริงเสียเท่าไหร่นัก เนื่องจากในบรรดาซีรีส์กระแสดีที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้ เธอได้มีโอกาสร่วมแสดงในบทบาทเด่น ๆ ที่จะทำให้ผู้คนได้จดจำความสวยปังที่มาพร้อมกับทักษะการแสดงสุดยอดเยี่ยมของเธอไปแล้วถึง 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่างานนี้โต๊ะฯจีนก็ไม่พลาด ขออาสาพาคุณผู้อ่านไปส่องกันเสียหน่อยสิว่า ในบรรดาซีรีส์ 3 เรื่องที่ว่านี้ 'จินเฉิน' ของเราจะได้เล่นเป็นใคร และต้องถ่ายทอดบทบาทแบบไหนออกมากันบ้าง

'จินเฉิน' กับบท "ไต้เสียวอวี่" หญิงสาวสุดอาภัพในซีรีส์สร้างแรงบันดาลใจ "เพื่อนหญิง วิ่งตามฝัน"

สำหรับในซีรีส์เรื่อง "เพื่อนหญิง วิ่งตามฝัน" หรือ "Crossroad Bistro" (北辙南辕) 'จินเฉิน' ได้รับบทเป็น "ไต้เสียวอวี่" หญิงสาวคนหนึ่งที่แทบจะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตาดี ฉลาด การศึกษาสูง แต่แล้วชีวิตของเธอกลับมีโชคชะตาความรักที่แสนจะอาภัพ โดยจุดเริ่มต้นของความอาภัพที่ว่านี้มาจากที่วันหนึ่งเธอได้พบว่าแฟนที่คบกันมากว่า 5 ปีและกำลังจะแต่งงานด้วยนั้น มีภรรยาอยู่แล้ว อีกทั้งด้วยความกระทบกระเทือนจิตใจเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนรัก ยังทำให้เธอได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนสุดท้ายต้องตัดมดลูกทิ้งและสูญเสียลูกในท้องไป

ถึงแม้ต่อมาบท "ไต้เสียวอวี่" ที่รับบทโดย 'จินเฉิน' จะยังคงยืนหยัดลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง แต่ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้เป็นเสน่ห์ให้ชวนน่าติดตามมากว่าท้ายที่สุด 'จินเฉิน' จะถ่ายทอดบทบาทตัวละครของผู้หญิงที่มีปมจากการเคยประสบกับภาวะอ่อนแอในชีวิตเข้าอย่างจังให้กลับมาเป็นคนใหม่ได้เป็นอย่างไร

'จินเฉิน' กับบท "เซี่ยฉิง" แฟนเก่าพระเอกในซีรีส์รักโรแมนติก "ดุจดวงดาวเกียรติยศ"

ในซีรีส์สุดฮิตที่กำลังดังเป็นพลุแตกอย่าง "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" หรือ "You Are My Glory" (你是我的荣耀) 'จินเฉิน' รับบทเป็น "เซี่ยฉิง" อดีตแฟนสาวของ "อวี๋ถู" หรือพระเอกของเรื่องที่รับบทโดย 'หยางหยาง'(杨洋) โดยตามพล็อตเรื่องแล้วตัวละคร "เซี่ยถิง" ที่รับบทโดย 'จินเฉิน' นั้นจัดอยู่ในหมวดของผู้หญิงสวย เก่ง สุดมั่นใจ ตัวเธอกับอวี๋ถูคบหากันในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องเลิกรากันไปเนื่องจากต่างคนต่างมีความฝันและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จนกระทั่งในคราที่ต้องวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เมื่อเธอพบว่า "อวี๋ถู" และ "เฉียวจิงจิง" (นางเอกของเรื่องรับบทโดย 'ตี่ลี่เร่อปา') ต่างเริ่มมีความรู้สึกดีต่อกัน จึงพยายามทำบางอย่างเพื่อขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขา

ว่ากันว่า ณ ปัจจุบันแม้บทของ "เซี่ยฉิง" จะขึ้นชื่อว่าเป็นบทรับเชิญ แต่จุดเริ่มต้นของความสำเร็จของ 'จินเฉิน' ในบทบาทนี้ก็เริ่มปรากฎให้เห็นกันในระดับหนึ่งแล้ว พิสูจน์ได้จากที่ว่าตัวของ 'จินเฉิน' สามารถถ่ายทอดตัวละคร "เซี่ยฉิง" ซึ่งเดิมทีในเวอร์ชั่นนิยายต้นฉบับไม่ได้มีบทบาทมากมายอะไรนัก ออกมาได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นที่จับตามองไม่แพ้ตัวละครอื่น ๆ เลยล่ะจ๊ะ
'จินเฉิน' กับบท "สวี่เฟิ่งเฉียว" ลูกสะใภ้สายโหดในซีรีส์พีเรียดย้อนยุค "Song of Youth"

สำหรับซีรีส์เรื่อง "Song of Youth" (玉楼春) 'จินเฉิน' รับบทเป็น "สวี่เฟิ่งเฉียว" ลูกสะใภ้คนที่สามของบ้านตระกูลซุน (พี่สะใภ้พระเอก) ซึ่งด้วยความที่มีชาติกำเนิดอันสูงส่ง บวกกับบุคลิกสุดเข้มแข็ง เป็นนักวางแผนมีความชำนาญกับการจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในบ้าน ทำให้สถานะในบ้านของสวี่เฟิ่งเฉียวต่างเป็นที่น่าเคารพนับถือมาก ถึงขนาดที่ว่าสามีของตัวเองยังต้องเกรงกลัว

จากทักษะการแสดงและความโดดเด่นของ 'จินเฉิน' ในซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้ทั้งตัวเธอและตัวละคร "สวี่เฟิ่งเฉียว" ได้รับกระแสตอบรับและการถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยทางแหล่งข่าวจาก Tencent News ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากซีรีส์ "Song of Youth" เริ่มออกอากาศไปได้ไม่นาน ชื่อของ 'จินเฉิน' นั้นก็แทบจะขึ้นเป็นรายการค้นหายอดนิยมบนโลกโซเชียลของจีนในทันทีทันใดเลยล่ะจ้า

เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ 3 เรื่อง 3 รสที่เราจะได้เห็น 'จินเฉิน' ใน 3 บทบาทที่ต่างกันสุดขั้วอย่างแน่นอน งานนี้ใครที่สนใจอยากจะตามส่องความสวยปังที่มาพร้อมกับทักษะการแสดงสุดเลิศแบบจัดเต็มของ 'จินเฉิน' นักแสดงสาวมากความสามารถคนนี้ล่ะก็ สามารถเช็คลิสต์ติดตามรับชมซีรีส์ทั้ง 3 เรื่องได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยนะจ๊ะ
#3086


"โรบินฮู้ด" แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีสัญชาติไทย มุ่งมั่นช่วยเหลือ "คนตัวเล็ก" อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ส่งแคมเปญใหม่ "เหมาจ่ายค่าส่งอัตราพิเศษ 5 กิโลเมตรแรก 10 บาท" เป็นระยะเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 3-16 สิงหาคม 2564 เพิ่มเติมจากนโยบายหลักของโรบินฮู้ดที่ไม่เก็บ GP ร้านค้า หวังช่วยต่อลมหายใจร้านเล็กให้มีออเดอร์ มีรายได้พยุงธุรกิจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพิ่มโอกาสในการสร้างงานสร้างรายได้ให้ไรเดอร์

นายสีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ผู้พัฒนาและให้บริการ "โรบินฮู้ด" แพลตฟอร์มฟูดเดลิเวอรีสัญชาติไทย กล่าวว่า จากมาตรการพิเศษส่งฟรีทุกออเดอร์ในช่วงที่ผ่านมาลูกค้าให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก ช่วยกันสั่งอาหารจากร้านค้าโดยเฉพาะร้านเล็กๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราสามารถช่วยร้านที่ไม่เคยมีออเดอร์มาก่อนและร้านที่เพิ่งสมัครเข้ามาใหม่ได้ถึง 18,000 ร้าน นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ผู้ที่สนใจด้วยการรับไรเดอร์ใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 คน และเมื่อรวมค่าอาหารที่ลูกค้าสั่งและค่ารอบที่ไรเดอร์ได้รับตลอดระยะเวลามาตรการ ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 600 ล้านบาท

"แม้ว่ามาตรการพิเศษที่ผ่านมาโรบินฮู้ดจะสามารถช่วยเหลือคนตัวเล็กได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังให้บริการลูกค้าได้ไม่ดีพอ ซึ่งทีมงานได้นำเอา feedback ที่ได้จากร้านค้า ลูกค้า และไรเดอร์มาปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้การบริการดีขึ้นทั่วถึงขึ้น จนเป็นแคมเปญล่าสุด "เหมาจ่ายค่าส่งอัตราพิเศษ 5 กิโลเมตรแรก 10 บาท" เป็นระยะเวลา 14 วัน เพิ่มเติมจากนโยบายหลักของโรบินฮู้ดที่ไม่เก็บ GP ร้านค้า มุ่งเน้นช่วยเหลือร้านเล็กใกล้บ้าน รวมถึงช่วยไรเดอร์ให้มีงานมีรายได้จากการส่งอาหารอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าทุกออเดอร์จากแคมเปญนี้จะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ลูกค้าได้มีส่วนช่วยกันสนับสนุนร้านเล็กให้รอดไปด้วยกัน" นายสีหนาท กล่าวทิ้งท้าย
#3087


ลามอนต์ มาร์เซลล์ จาค็อบส์ ลมกรดหนุ่มชาวอิตาเลียน จารึกชื่อตัวเองในฐานะแชมป์กรีฑา 100 เมตรชายคนใหม่ หลังโชว์พลังสปรินต์เข้าเส้นชัยแบบไร้เทียมทาน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2564

การแข่งขันกรีฑา โอลิมปิก 2020 ที่สนาม โอลิมปิก สเตเดียม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การชิงแชมป์ 100 เมตรชาย โดยเป็นครั้งแรกที่ขาดซูเปอร์สตาร์อย่าง อูเซน โบลต์ แชมป์ 3 สมัย ที่ประกาศรีไทร์ไปแล้ว

ปรากฏว่าแชมป์ปีนี้เป็นหน้าใหม่ป้ายแดงอย่าง ลามอนต์ มาร์เซลล์ จาค็อบส์ นักวิ่งหนุ่มจากอิตาลี ที่ออกสตาร์ทจากลู่ 3 ก่อนสับสปีดวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 9.80 วินาที ตามด้วย เฟรด เคอร์ลี จากสหรัฐอเมริกา อันดับ 2 และ อังเดร เดอ กราสเซส อันดับ 3 จากแคนาดา

"สิ่งนี้คือความฝัน มันน่าทึ่งมาก ผมรู้เลยว่าวันรุ่งขึ้นทุกคนจะพูดว่าอะไร แต่วันนี้มันน่าทึ่งสุดๆ มันคือความฝันของผมเลยสำหรับการได้แชมป์โอลิมปิก ซึ่งหลายครั้งฝันมันกไม่เป็นจริง แต่วันนี้การได้ลงสนามชิงชนะเลิศ และได้แชมป์ ฝันกลายเป็นจริงแล้ว" จาค็อบส์ เผยด้วยความตื้นตัน
#3088


วันนี้ (2 ส.ค.) ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ที่สั่งการให้หน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต่อระบบนิเวศทางทะเลและพี่น้องประชาชนในพื้นที่มีความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมของประเทศในปัจจุบันยังคงเหลือพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีกประมาณ 87 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้หารือกับอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่ต้องประสานกับหน่วยงานภายนอก รวมถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบูรณาการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

ดร.ยุทธพล กล่าวต่อว่า สำหรับแนวปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นที่ได้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2564 มีระยะทางการปักทั้งสิ้นจำนวน 11,150 เมตร ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตราด 3,000 เมตร จังหวัดจันทบุรี 1,600 เมตร จังหวัดสมุทรสงคราม 800 เมตร จังหวัดเพชรบุรี 1,750 เมตร และจังหวัดนครศรีธรรมราช 4,000 เมตร ซึ่งในปัจจุบันดำเนินการปักแล้วเสร็จประมาณ 9,500 เมตร หากไม่มีมรสุม หรือพายุคลื่นลมที่รุนแรงเกิดขึ้นสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นและพร้อมส่งมอบภายในเดือน ส.ค.นี้แน่นอน สำหรับการดำเนินการดังกล่าวใช้งบประมาณจำนวน 42,300,000 บาท โดยประโยชน์จากแนวปักไม้ไผ่ดังกล่าว นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่หาดโคลนแล้ว ยังมีส่วนช่วยเร่งการตกตะกอนและเพิ่มพื้นที่หาดเลนหลังแนวไม้ไผ่ อันจะส่งผลให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ดร.ยุทธพล กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นลูกหลานชาวเพชรบุรี ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี จังหวัดเพชรบุรี นอกจากความโดดเด่นเรื่องประเพณีและธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายแล้ว ในเขตอำเภอบ้านแหลมยังมีพื้นที่ป่าชายเลนและหาดโคลนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นแหล่งประกอบอาชีพประมงที่สำคัญได้แก่ อาชีพการจับหอยทะเลทั้งหอยแครง หอยเสียบ หอยลาย อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่หาดโคลนดังกล่าวก็ประสบปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 60-63 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นเป็นระยะทาง 5,010 เมตร คงเหลือพื้นที่ประสบปัญหากัดเซาะพื้นที่หาดโคลนในพื้นที่ ตำบลบางแก้ว ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในปี 64 เป็นระยะทางไม้ไผ่ 1,750 เมตร

"ในขณะนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นในพื้นที่ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วและพร้อมส่งมอบให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในวันที่ 3 ส.ค.นี้ เพื่อรักษาระบบนิเวศชายฝั่งและป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และผมขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวจังหวัดเพชรบุรีช่วยกันดูแลรักษาแนวไม้ไผ่ดังกล่าวเพื่อใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าด้วย" ดร.ยุทธพล กล่าว

ด้าน นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่เข้ามาดำเนินการลักษณะต่างคนต่างทำ มีความซ้ำซ้อน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด แก้จุดหนึ่งส่งผลกระทบอีกจุดหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงที่ตนเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดี โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีแนวคิดในการกำหนดหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งขึ้น เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมเจ้าท่า กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้นำไปใช้ประกอบการจัดทำแผนงานโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งสำนักงบประมาณได้นำไปใช้ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้มีความเหมาะสมแต่ละพื้นที่

"ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 9 ก.พ.64 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในปีงบประมาณ65นี้ ทาง ทช.ได้นำร่องในการใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยใช้กลไกของคณะทำงานกลั่นกรองโครงการฯ ซึ่งจัดตั้งภายใต้คณะอนุกรรมการบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง พิจารณาโครงการฯที่หน่วยงานเสนอเข้ามาทั้งหมด 64 โครงการ โดยมีโครงการที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ข้างต้นเพียง 17 โครงการเพื่อเสนอต่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรค์งบประมาณต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เกิดความซ้ำซ้อนอย่างแน่นอน"

อธิบดีกรม ทช. กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของ ทช.ได้ดำเนินการ ตามแนวทางของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดี ทช.ที่ยึดมาตรการสีเขียว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 16 ม.ค.61 โดยการนำวัสดุทางธรรมชาติมาใช้ในการแก้ไขปัญหาโดยวิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 50 ถึงปี 64ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง และกระบี่ รวมระยะทางไม้ไผ่ทั้งสิ้น 94.66 กิโลเมตร ซึ่งผลที่ได้จากการดำเนินการดังกล่าวสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนหลังแนวไม้ไผ่ได้ไม่ต่ำกว่า 450ไร่ โดยป่าชายเลนเหล่านี้จะกลายเป็นปราการทางธรรมชาติในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งนอกจากนี้ประชาชนยังได้ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจากพืชและสัตว์ที่เกิดบริเวณป่าชายเลน สามารถสร้างอาชีพและรายได้อีกด้วย
#3089


แม้จะอยู่ในช่วงเวลาของสถานการณ์โควิด-19 แต่บทสนทนาเกี่ยวกับวงการเพลง K-Pop ยังคงครองใจผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั่วโลก เมื่อเหล่าแฟนเพลงหันมาใช้ทวิตเตอร์เพื่อคอนเน็คกับศิลปิน K-Pop ที่ชื่นชอบ และคอมมูนิตี้ #KpopTwitter ทั่วโลก

K-Pop เขย่าโลก 7.5 พันล้านทวีตในทวิตเตอร์

ในปีที่ผ่านมาระหว่าง 1 กรกฎาคม 2563 - 30 มิถุนายน 2564 มีทวีตกว่า 7.5 พันล้านทวีตเกี่ยวกับ K-Pop ซึ่งถือว่าเป็นสถิติใหม่ที่มากที่สุดในประวัติการณ์ 

หากย้อนดู 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นการเติบโตของ K-Pop บนทวิตเตอร์ที่มากขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ โดยจำนวนทวีตเกี่ยวกับ K-Pop ย้อนหลัง 10 ปีมีดังนี้

2010=5.1 ล้านทวีต
2011=15.7 ล้านทวีต
2012=42 ล้านทวีต
2013=214 ล้านทวีต
2014=445 ล้านทวีต
2015=795 ล้านทวีต
2016=1.4 พันล้านทวีต
2017=4.1 พันล้านทวีต
2018=5.6 พันล้านทวีต
2019=6.1 พันล้านทวีต


ประเทศที่มีการทวีตเกี่ยวกับ K-Pop มากที่สุด
การที่แฟนเพลง K-Pop เข้ามาเชื่อมต่อกันบนทวิตเตอร์ ทำให้บทสนทนาที่เกี่ยวกับ K-Pop ส่งเสียงสะท้อนดังออกไปทั่วทั้งโลก โดยประเทศที่มีจำนวนทวีตที่พูดถึงแวดวง K-Pop มากที่สุด (เก็บข้อมูลจากจำนวนทวีตที่เกี่ยวกับ K-Pop ของประเทศต่างๆ ระหว่าง 1 ก.ค.2020 - 30 มิ.ย.2021) 20 ประเทศที่ติดอันดับได้แก่

1.อินโดนีเซีย 2.ฟิลิปปินส์ 3.ไทย 4.เกาหลีใต้ 5.สหรัฐอเมริกา 6.บราซิล 7.มาเลเซีย 8.เม็กซิโก 9.ญี่ปุ่น 10.อินเดีย 11.อาร์เจนตินา 12.เปรู 13.สหราชอาณาจักร 14.เวียดนาม 15.ตุรกี 16.ฝรั่งเศส 17.ชิลี 18.แคนาดา 19.ซาอุดีอาระเบีย 20.สิงคโปร์


ซึ่งกระแสความนิยมของ K-Pop ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฐานแฟนคลับของ K-Pop ที่มีอยู่ทั่วโลกบนทวิตเตอร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทวีปอเมริกาใต้ 

ขณะที่ 20 อันดับประเทศที่มีจำนวนแฟน K-Pop บนทวิตเตอร์มากที่สุด โดยทวิตเตอร์เก็บข้อมูลจากจำนวนผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศต่างๆ ที่พูดถึง K-Pop ระหว่าง 1 ก.ค.2020 - 30 มิ.ย.2021 มีดังนี้

1.อินโดนีเซีย 2.ญี่ปุ่น 3.ฟิลิปปินส์ 4.เกาหลีใต้ 5.สหรัฐอเมริกา 6.บราซิล 7.ไทย 8.เม็กซิโก 9.มาเลเซีย 10.อินเดีย 11.ตุรกี 12.อาร์เจนตินา 13.สหราชอาณาจักร 14.ฝรั่งเศส 15.สเปน 16.ซาอุดีอาระเบีย 17.แคนาดา 18.เวียดนาม 19.เปรู 20.โคลอมเบีย


ศิลปิน K-Pop ที่มีแฟนคลับทวีตถึงมากที่สุด
เป็นครั้งแรกที่ทวิตเตอร์ประกาศ ศิลปิน K-Pop 20 อันดับแรกที่ถูกทวีตถึงมากที่สุด เพื่อให้แฟนๆ บนทวิตเตอร์สามารถร่วมฉลองให้กับศิลปินวงโปรดของพวกเขาร่วมกัน ได้แก่

1. BTS (@BTS_twt)
2. NCT (@NCTsmtown)
3. BLACKPINK (@BLACKPINK)
4. EXO (@weareoneEXO)
5. TREASURE (@treasuremembers)
6. TOMORROW X TOGETHER (@TXT_members)
7. ENHYPEN (@ENHYPEN)
8. GOT7 (@GOT7Official)
9. TWICE (@JYPETWICE)
10. SEVENTEEN (@pledis_17)



11. ATEEZ (@ATEEZofficial)
12. Stray Kids (@Stray_Kids)
13. THE BOYZ (@WE_THE_BOYZ)
14. Red Velvet (@RV_smtown)
15. MONSTA X (@OfficialMonstaX)
16. iKON (@YG_iKONIC)
17. IZ*ONE (@official_izone)
18. DAY6 (@day6official)
19. ASTRO (@offclASTRO)
20. SHINee (@SHINee)

5 อันดับทวีตของศิลปิน K-Pop ที่มีรีทวีตมากที่สุด
5 อันดับทวีตยอดนิยมของศิลปิน K-Pop ที่มีคนรีทวีตมากที่สุด (ระหว่าง 1 กรกฎาคม 2563 - 30 มิถุนายน 2564)

• BTS

• NCT

• BLACKPINK

• EXO

• TREASURE

https:// www.thairath.co.th/entertain/news/2153288
#3090


บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดโครงการ "พี่ไปรฯ ชวนแปลงร่าง ทางรอดในยุคโควิด ชวนคนไทยขายของออนไลน์" โครงการช่วยจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เว็บไซต์ Thailandpostmart ให้พ่อค้า แม่ค้ามือใหม่ รวมทั้งผู้ประกอบการที่อยากเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในช่วง COVID-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการสมัคร

ช่องทางดังกล่าวเป็น e-Marketplace ที่รวบรวมสุดยอด ของดีของเด่นจาก 77 จังหวัดทั่วไทย โดยร้านค้าที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.thailandpostmart.com หรือติดต่อได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์จังหวัดทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เว็บไซต์ Thailandpostmart ยังเตรียมจำหน่ายสินค้าเพื่อป้องกัน COVID-19 สินค้าสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวเองที่บ้าน หรือ Home – Isolation ในราคาผู้ผลิต พร้อมจัดส่งถึงบ้านด้วยบริการ EMS

นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า จากมาตรการในการจำกัดและควบคุมสถานที่ต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการ เกษตรกร ผู้ที่มีอาชีพค้าขายต้องประสบปัญหาในการจำหน่ายสินค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ไปรษณีย์ไทย จึงเชิญชวนคนไทย หรือ พ่อค้า แม่ค้า เกษตรกร รวมทั้งผู้ที่อยากหาช่องทางในการสร้างรายได้ แปลงร่างมาเป็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ในโครงการ "พี่ไปรฯ ชวนแปลงร่าง ทางรอดในยุคโควิด ชวนคนไทยขายของออนไลน์"


ไปรษณีย์ไทยได้เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ Thailandpostmart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุด มีสินค้ามากกว่า 17,000 รายการจากทุกภูมิภาค มีผู้ประกอบการกว่า 6,500 รายเข้าร่วมขายสินค้า โดยผู้ประกอบการจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป


โดยเข้าไปในเว็บไซต์ Thailandpostmart.com เลือกเมนู ติดต่อขายสินค้า อ่านข้อตกลงในการขายสินค้าอย่างละเอียดก่อนกดยืนยัน เพื่อให้ขั้นตอนการสมัครขายสินค้าเสร็จสมบูรณ์ หรือหากไม่สะดวกลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ สามารถไปลงทะเบียนได้ที่ไปรษณีย์จังหวัดใกล้บ้าน

โครงการดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่ประกอบธุรกิจค้าขาย เกษตรกร และประชาชนทั่วไปที่อยากมีช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เข้าถึงกลุ่มเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม 


นอกจากการเปิดพื้นที่ในการช่วยจำหน่ายสินค้าแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังพร้อมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องกักตัว สามารถสั่งซื้อสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งเป็นสินค้าดีจากทั่วประเทศ ผลไม้สดส่งตรงจากสวน รวมทั้งสินค้าป้องกันโควิด เช่น เจล/สเปรย์แอลกอฮอล์ รวมถึงกลุ่มสินค้าเพื่อผู้ป่วย COVID-19 ที่ต้องรักษาตัวเองที่บ้าน หรือ Home – Isolation ที่ในขณะนี้ผู้ป่วยที่รับการรักษาแบบนี้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย"

ไปรษณีย์ไทยเชื่อว่าการขยายช่องทางการซื้อ/ขายสินค้าให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกร ไปสู่ e-Marketplace ผ่านช่องทางของ Thailandpostmart.com จะทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ผู้ประกอบการโดยตรง และส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในระดับฐานรากต่อไป
#3091


นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศที่ยังขยายตัวในวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก ทั้งปัญหายอดขายและรายได้ลดลง SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อเอสเอ็มอีไทย จึงออกมาตรการทางการเงินเสริม ด้วยแพคเกจสินเชื่อ "เติมทุน SMEs มีสุข ยิ้มได้" วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ภายใต้ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ ได้แก่ "SMEs D เติมทุน" "SMEs มีสุข" และ "SMEs ยิ้มได้" ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีวงเงินเพิ่มขึ้น นำไปใช้เสริมสภาพคล่อง และลดต้นทุนทางการเงิน


สำหรับจุดเด่นของ 3 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ เปิดกว้างเอสเอ็มอีทุกกลุ่มธุรกิจ คุณสมบัติกู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ วงเงินกู้สูงขึ้นถึง 15 ล้านบาทต่อราย ได้แก่ "สินเชื่อ SMEs D เติมทุน" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี เปิดโอกาสรับรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินเดิม ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ผ่อนนานถึง 10 ปี


"สินเชื่อ SMEs มีสุข" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต ผ่อนนานถึง 10 ปี และ "สินเชื่อ SMEs ยิ้มได้" วงเงิน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.5% ต่อปี ทบทวนวงเงินได้ทุกปี ช่วยเติมทุนหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถบริหารจัดการธุรกิจไม่มีสะดุด โดยเปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565


"SME D Bank ตระหนักดีถึงพันธกิจสำคัญในการเป็นกลไกของรัฐพาเอสเอ็มอีไทยให้เข้าถึงแหล่งทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง ธนาคารจึงดำเนินนโยบายให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการออกแพคเกจสินเชื่อใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีเงินทุนเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง สามารถนำไปใช้เสริมสภาพคล่องเพียงพอสูงถึงรายละ 15 ล้านบาท ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้" นางสาวนารถนารี กล่าว
#3092



นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการแพร่ระบาดมากขึ้น ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่สถานพยาบาลที่รองรับการรักษาผู้ป่วยมีไม่เพียงพอ

ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19  ในรูปแบบ Home Isolation หรือแบบ Community Isolationของกระทรวงสาธารณสุข และคำสั่งนายทะเบียนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)  ตลอดจนเป็นการมอบความอุ่นใจ รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการดูแลที่ครอบคลุม พร้อมรองรับสถานการณ์ในปัจจุบันได้อย่างเหมาะสมนั้น 

ล่าสุด  บริษัทฯ ได้ขยายความคุ้มครองการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันภัยที่มีความคุ้มครองสุขภาพทุกแบบที่มีค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD)  ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) และชดเชยรายวัน ในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 และแพทย์ผู้ดูแลรักษาของหน่วยบริการสาธารณสุขเห็นสมควรให้สามารถแยกกักตัวในที่พัก (Home Isolation) หรือแยกกักตัวในชุมชน (Community Isolation) ได้ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด


ทั้งนี้บริษัทฯ จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้เอาประกันภัยที่ติดโควิด 19  ที่เข้าระบบการรักษาในรูปแบบ
Home Isolation หรือแบบ Community Isolation  ในกรณีที่เข้ารับการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน โดยจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามความจำเป็นทางการแพทย์และที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจำนวนผลประโยชน์สำหรับค่าใช้จ่าย ซึ่งเกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลตามที่ระบุไว้ในตารางผลประโยชน์ของกรมธรรม์ประกันภัย 

สำหรับการจ่ายค่าชดเชยรายวันสำหรับผู้เอาประกันภัยที่ติดเชื้อโควิด 19 ผู้เอาประกันภัยต้องมีเอกสารที่แสดงว่าเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด 19 โดยแพทย์ผู้ดูแลรักษา และมีความจำเป็นทางการแพทย์ที่ต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในในสถานพยาบาล แต่ไม่มีสถานพยาบาลรองรับ  โดยบริษัทฯ จะจ่ายค่าชดเชยรายวันไม่เกิน 14 วันนับแต่วันที่ปรากฎในหลักฐานที่แสดงถึงความจำเป็นทางการแพทย์ที่ต้องรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ในสถานพยาบาลแต่ไม่มีสถานพยาบาลรองรับ

 
"เรายังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้นโยบาย "MTL Trusted Lifetime Partner" ที่พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ซึ่งการขยายความคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลสำหรับลูกค้าที่ติดเชื้อโควิด 19 และได้เข้ารับการดูแลรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation หรือแบบ Community Isolation นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เมืองไทยประกันชีวิต ได้นำออกมาเพื่อสร้างความอุ่นใจและบรรเทาความเดือนร้อนให้กับลูกค้าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19  นี้" นายสาระ กล่าว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ โทร. 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง 

หมายเหตุ :

เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์
อ้างอิงคำนิยาม Home Isolation หรือ Community Isolation ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 43/2564 เรื่อง การจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันภัย ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และได้เข้ารับการดูแลรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation หรือแบบ Community Isolation สำหรับบริษัทประกันชีวิต ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564
#3093



นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สายการบินไทยแอร์เอเชียได้รับผลกระทบการระบาดหลายระลอกจากวิกฤติโควิด-19 มานานกว่า 1 ปีครึ่ง โดยเฉพาะการระบาดระลอก 4 ส่งผลให้ไทยแอร์เอเชียประกาศหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.-8 ส.ค.นี้

ล่าสุดทางไทยแอร์เอเชียได้ออกมาตรการระยะสั้นเพื่อควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อเลื่อนและแบ่งจ่ายเงินเดือนพนักงาน โดยสายการบินฯได้ขอความร่วมมือจากพนักงานเพิ่มเติม สำหรับเดือน ก.ค.2564 ดังนี้

พนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไป รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เลื่อนการจ่ายเงินเดือนทั้งหมดไปในเดือน ก.ย. 2564

พนักงานระดับปฏิบัติการขึ้นไปที่ Active (ปฏิบัติงานอยู่) จ่ายเงินเดือน 50% และเลื่อนการจ่าย 50% ที่เหลือไปในเดือน ก.ย.2564

พนักงานที่ Inactive (ไม่ได้ปฏิบัติงาน) เลื่อนการจ่ายเงิน 25% ไปในเดือน ก.ย.2564

หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการรัฐ เมื่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกประกาศระงับทำการบินขนส่งผู้โดยสารเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) เป็นการชั่วคราว มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

นายธรรศพลฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าแนวโน้มตลอดเดือน ส.ค.นี้ ไทยแอร์เอเชียจะยังคงหยุดทำการบินเส้นทางในประเทศเป็นการชั่วคราวตลอดทั้งเดือน ถึงแม้ว่ารัฐบาลยังไม่ประกาศล็อกดาวน์เกี่ยวกับระงับเที่ยวบินชั่วคราวเพิ่มเติม ณ ปัจจุบัน แต่จากการประเมินแนวโน้มและสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อในไทยที่พุ่งสูงแล้ว น่าจะล็อกดาวน์ต่อ ถึงอนุญาตให้ทำการบิน สายการบินก็คงทำการบินกันน้อยมาก เพราะไม่คุ้มทุน มีเพียงการเดินทางตามความจำเป็น ทำธุระ หรือค้าขาย ยังไม่สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ

"อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูประกาศของรัฐบาลอีกที แต่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะล็อกดาวน์ต่อ ไม่สามารถทำการบินได้ เพราะฉะนั้นในเดือน ส.ค.นี้ทำให้สายการบินไทยแอร์เอเชียมีรายได้เป็นศูนย์ และอาจจะไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานเลย โดยจะยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคมให้ช่วยจ่ายรายได้ชดเชยแก่พนักงานของไทยแอร์เอเชียซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 5,000 คน"

สำหรับแผนการปรับโครงสร้างกิจการเพื่อมุ่งเสริมสภาพคล่องของไทยแอร์เอเชียที่ประกาศเมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา น่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ย.นี้ เงินทุนก้อนแรกน่าจะเข้ามาเสริมสภาพคล่องแก่ไทยแอร์เอเชียในเดือนดังกล่าว แล้วนำมาจ่ายเงินเดือนพนักงานย้อนหลังที่ติดค้างไว้

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952173
#3094



นิสสัน เปิดตัว อัลเมร่า สปอร์ตเทค ตกแต่งพิเศษด้วยฝีมืของ ออเทค เจแปน (Autech Japan) บริษัทในเครือ นิสสัน มอเตอร์ ที่ฝากผลงานตกแต่งกันรถหลายๆ รุ่น

บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมตลาดอีโค คาร์ เปิดตัว อัลเมร่า สปอร์ตเทค ที่ตกแต่งพิเศษเติมความสปอร์ต พรีเมียม แบบญี่ปุ่นทั้งภายในและภายนอก ด้วยผลงานของ ออเทค เจแปน  (Autech Japan, Inc) สำหรับลูกค้าที่ชอบความเรียบหรู ซึ่งนิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค จะใช้วัสดุตกแต่งที่

ออเทค เจแปน เป็นบริษัทในเครือ นิสสัน มอเตอร์ ญี่ปุ่น ซึ่งมีชื่อเสียงด้านงานออกแบบสไตล์สปอร์ตพรีเมียม และทำงานร่วมกับฐานการผลิตนิสสันในประเทศต่างๆ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละตลาด ทำให้ได้รถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

โดยการตกแต่งพิเศษให้กับ อัลเมร่า สปอร์ตเทค ประกอบด้วย

กันชนหน้าและกันชนหลังใหม่ตกแต่งด้วยสีเงิน
กระจังหน้าแบบโครเมียมดำเงา
สปอยเลอร์หลังใหม่
ตราสัญลักษณ์ สปอร์ตเทค ที่ฝาท้าย
กระจกมองข้างสีเงินพร้อมไฟเลี้ยว
ล้ออัลลอยสีดำปัดเงาขนาด 15 นิ้ว ลายใหม่ 

อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย กล่าว นิสสันทำงานอย่างเต็มที่เพื่อศึกษาความต้องการของลูกค้า ด้วยรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ วัสดุที่มีคุณภาพ ที่เหมาะกับการใช้งานทุกวัน

สำหรับนิสสัน อัลเมร่า สปอร์ตเทค  ราคาเริ่มต้นที่ 629,000 บาท

และนอกจาก อัลเมร่า สปอร์เทค ใหม่แล้ว ออเทคยังนำเสนอผลงานการออกแบบ และตกแต่ง รถยนต์รุ่นพิเศษต่าง ๆ ของนิสสัน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อเพิ่มอารมณ์สปอร์ต หรือการดัดแปลงเพื่อการใช้งานเฉพาะในรูปแบบต่างๆ ต่างๆ เช่น รถที่ผู้ใช้ วีลแชร์สามารถเข้าออกได้ง่าย เป็นต้น

โดยตัวอย่างผลงานเด่นๆ จาก ออเทค  ในญี่ปุ่น ได้แก่  

นิสสัน ลีฟ ออเทค

นิสสัน เซเรน่า ออเทค 

นิสสัน มาร์ช โบเลโร่

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951728
#3095



สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันเสาร์ (31 ก.ค.) ว่า ทางการญี่ปุ่น เปิดเผยยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อยู่ที่ 4,058 ราย ทะลุเกิน 4,000 รายเป็นครั้งแรก โดยยอดผู้ติดเชื้อดังกล่าว ตรวจพบหนึ่งวัน หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศขยายภาวะฉุกเฉินกรุงโตเกียว ออกไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งครบคลุม 3 จังหวัดใกล้กับกรุงโตเกียว และจังหวัดทางตะวันตกของโอซากา

ขณะที่ มาเลเซีย รายงานในวันเสาร์ พบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 17,786 ราย โดยเป็นการติดเชื้อหลากหลายสายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์

ท่ามกลางผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น มีประชาชนมากกว่า 100 คนรวมตัวกันในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แสดงความไม่พอใจรัฐบาลมาเลเซียจัดการกับโรคระบาดใหญ่ และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ยุติหน้าที่ผู้นำประเทศ

ส่วนประเทศไทย รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 18,912 ราย ส่งผลให้จำนวนสะสมของประเทศอยู่ที่ 597,287 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4,857 ราย โดยทั้งผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์


นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีสัดส่วนมากกว่า 60% ของกรณีตัวอย่างในประเทศ และ 80% ของกรณีตัวอย่างในกรุงเทพฯ 

"สายพันธุ์เดลตาไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต มากกว่าโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ แต่สายพันธุ์เดลตาแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า" นายแพทย์ศุภกิจ ระบุ

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน กำลังรับมือกับสายพันธุ์เดลตาในเมืองหนานจิง สืบเนื่องจากพนักงานทำความสะอาดของสนามบินเมืองนี้ ติดเชื้อโควิดที่มีต้นตอจากเที่ยวบินของรัสเซีย โดยล่าสุด พบผู้ติดเชื้อโควิดในเมืองหนานจิงเพิ่มขึ้น 55 ราย

ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวในวันศุกร์ (30 ก.ค.) ว่า ยอดติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 80% ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก จากในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ 

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952160
#3096



ข้อมูลจากแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) ณ วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมระลอกเมษายนถึง 549,512 ราย ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มการระบาด 578,375 ราย มีผู้เสียชีวิตรวม 4,679 คน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การคาดการณ์เหตุการณ์การระบาด รวมทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทำได้ยาก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงแม้รัฐบาลจะใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อคุมการระบาดในพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด และขยายเป็น 13 จังหวัดมานานกว่า 2 สัปดาห์ หากแต่การระบาดของโรคขณะนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการระบาดระลอกล่าสุด 

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ในไทยสามารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 หมื่นคนต่อวันในช่วงกลางเดือน ก.ย.หากไม่มีมาตรการที่เข้มข้นเพียงพอ และถึงแม้มีมาตรการที่เข้มข้นกว่าที่ผู้ป่วยจะลดจำนวนลงก็ใช้เวลานานหลายเดือน 

ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับโรคระบาดทำได้อย่างยากลำบากช่วงเวลา 3 เดือนต่อจากนี้ (ส.ค. - ต.ค.) ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงทั้งในด้านความสามารถของระบบสาธารณสุขที่ตึงตัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจที่จะทรุดตัวลงจากการแพร่ระบาดที่ขยายออกไปในหลายพื้นที่ และลามไปยังภาคการผลิต และที่เป็นผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาก็คือเรื่องของการตกงานของแรงงานจำนวนมากเป็นผลกระทบที่ตามมาต่อเนื่อง 

"กรุงเทพธุรกิจ" รวบรวมความเห็นของนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ ที่ติดตามสถานการณ์และคาดการณ์ถึงภาพอนาคตระยะสั้นของประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นภาายใน 3 เดือนข้างหน้าทั้งในเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมทั้งข้อเสนอแนะที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการเพื่อแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น ดังนี้ 



นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปแล้วกว่า 9 แสนล้านบาท โดยเศรษฐกิจในปีนี้เมื่อเจอการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อจะหวังให้เติบโตสัก 1% ก็ยากและเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจปีนี้จะไม่ขยายตัวเลย

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวมากคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 15% ของจีดีพี และมีการจ้างงานมากถึง 10 ล้านคน การที่ภาคการท่องเที่ยวปิดไปเกือบหมดนั้นหมายความว่าคนเกือบ 10 ล้านคนตกงานไม่มีรายได้ ซึ่งกระทบการใช้จ่ายของประชาชนมาก

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วงเนื่องจากเราต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กลายพันธุ์มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วคือสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งตัวอย่างที่มีการระบาดในหลายประเทศคือในอินเดีย และล่าสุดในอินโดนิเซียมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้น 10 เท่าภายใน 5 สัปดาห์จนมีผู้ป่วยรายใหม่หลายหมื่นคนต่อวัน 

"เมื่อสายพันธุ์ชนิดนี้ของโควิด-19 เข้ามาเป็นสายพันธุ์หลักในไทยทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีความเสี่ยงที่จะรับไม่ไหวเห็นได้จากสัญญาณว่าเริ่มมีการขาดแคลนถังออกซิเจน เริ่มมีการให้ผู้ป่วยออกมานอนนอกอาคารของโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์เริ่มติดโควิด-19 รวมทั้งต้องเอานักศึกษาแพทย์มาช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด ส่วนเมรุที่เผาศพก็เผาศพต่อเนื่องกันจนบางที่พัง"

ทั้งนี้การประกาศล็อคดาวน์เพื่อต่อสู้กับโควิดของรัฐบาลถือว่ามีความจำเป็นและเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในระลอกต่อไป ซึ่งมีระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นที่จะเตรียมตัว เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากสถานะประเทศที่รับมือกับโควิด-19 ไม่ได้เป็นประเทศที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ได้อีกครั้ง 

โดยมี 3 เรื่องที่รัฐบาลต้องทำคือ 1.เร่งรัดการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความพร้อมรับมือกับการกลายพันธุ์ของโควิด-19 

2.เร่งรัดการจัดหาและนำเข้าวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน โดยในเรื่องนี้รัฐบาลและเอกชนควรร่วมมือกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดหาวัคซีนทางเลือกหลายๆยี่ห้อเข้ามาในประเทศไทย

และ3.การบริหารจัดการวัคซีนซึ่งจำเป็นที่จะต้องจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ที่สำคัญ ในจุดพื้นที่อ่อนไหวต่อการแพร่ระบาด ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ รวมทั้งพื้นที่ซึ่งมีการแออัดของผู้คนจำนวนมาก ที่มีความเสี่ยงที่จะติดต่อกันง่าย 

"โจทย์ใหญ่ของปีนี้คือการพยุงเศรษฐกิจให้ไปได้ก่อน ระยะเวลา 3 เดือนนี้สำคัญมากๆหัวใจของการฟื้นเศรษฐกิจอยู่ที่วัคซีน หากสามารถจัดการทั้ง 3 ส่วนนี้ได้ดี เมื่อเริ่มเปิดเมืองแล้ว ประเทศไทยจะอยู่ในฐานะที่สามารถรับมือกับการระบาดของโควิดได้อีกครั้ง"นายกอบศักดิ์ กล่าว 


นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันถือว่าวิกฤติมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีควรจะต้องตัดสินใจใช้ "ยาแรง" ในการแก้ไขปัญหา หมายถึงการล็อคดาวน์นั้นต้องทำจริงจัง กำหนดให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านแล้วให้มีระบบการส่งอาหาร ยา ให้ซึ่งสามารถที่จะใช้กำลังพลในกองทัพมาช่วยเหลือเรื่องนี้ได้เพราะนายกรัฐมนตรีเองก็เป็น รมว.กลาโหมซึ่งจะสามารถจัดการได้ 

ทั้งนี้การใช้มาตรการล็อคดาวน์แบบเข้มข้นต้องสื่อสารให้ประชาชน และภาคเอกชนเข้าใจตรงกันว่าเป้าหมายคือรัฐบาลต้องการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ภายใน 3 เดือน ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้ต้องกำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีนและติดตามการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย โดยกำหนดไว้ที่เดือนละ 10 ล้านโดสเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่โดยการเร่งฉีดให้ประชาชนให้ได้อย่างน้อย 70% ของประชากรในประเทศ ซึ่งการที่จะฉีดได้รวดเร็วตามแผนดังกล่าวภายใน 3 เดือนนี้จะต้องกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆไม่ควรกระจุกการฉีดอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่งเฉพาะ 

"ใน 3 เดือนนี้ต้องคุมโควิดให้อยู่ก่อน แม้จะต้องใช้ยาแรง แต่หากทำเพื่อให้โรคนี้มันจบลง เอกชน  กับประชาชนก็น่าจะเข้าใจเพราะไม่มีใครอยากให้การระบาดเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ เมื่อคุมโควิดอยู่ได้หลังจากนั้นก็กลับมาฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย ท่องเที่ยวในประเทศซึ่งหากสามารถทำได้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายก็ยังสามารถที่จะขยายตัวได้" นายมนตรี กล่าว 

นายมนตรีกล่าวด้วยว่าในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณ 1% หรือต่ำกว่า 1% ซึ่งการที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้มาจากภาคการส่งออกแต่ การส่งออกที่ขยายตัวได้มากก็มาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการส่งออกที่ได้อานิสงค์จาการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก 

ซึ่งในขณะนี้หากรัฐบาลสามารถควบคุมโควิด-19 ได้ในระย 3 เดือน ก็จะยังคงมีช่วงเวลาที่สามารถจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งมาตรการที่สามารถทำได้คือการนำเอามาตรการการจูงใจการใช้จ่ายของผู้มีรายได้สูงซึ่งเป็นส่วนบนของ "ปิดรามิด" ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ได้แก่ มาตรการช็อปดีมีคืน ซึ่งสามารถเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อรายได้ถึง 1แสนบาทต่อราย

หากมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านรายก็จะมีเงินหมุนเวียนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีอย่างน้อย 3 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะจัดเก็บรายได้เพิ่มจากภาษีได้ประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาทนำมาใช้จ่ายในด้านต่างๆ ส่วนการคืนภาษีให้กับประชาชนก็จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2565 

ขณะที่ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้กล่าวในการเสวนาทางคลับเฮาส์ : CEO โซเซ Just Say SO" จัดเสวนา "CEO โซเซ The Legend..สร้างตำนานผ่านวิกฤติ" จัดโดยฐานเศรษฐกิจและกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.2564 ว่าช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้ หากรัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ได้อย่างทันจะลามสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยภาคการผลิตจะหยุดชะงักมากขึ้น และหากลามถึงการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวเดียวแล้วจะน่าห่วงมาก และหากผลิตไม่ได้เศรษฐกิจไม่โตคนขาดรายได้ คนไม่มีเงินไปจ่ายหนี้แบงก์ ผลกระทบจะลามถึงสถาบันการเงินในที่สุด

"เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติและวิกฤติยังแย่กว่านี้ได้ เพราะวิกฤติโควิดรอบนี้กระทบเศรษฐกิจจริง มีคนล้มตายและเจ็บป่วย ต่างจากวิกฤติปี 2540 ที่กระทบภาคการเงินและคนรวยเท่านั้น"

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าเห็นเค้าพายุกำลังจะมา เพราะต้นปี 2564 นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ประเมินจีดีพี 3.5% แต่ผ่านมาครึ่งปีลด 3-4 ครั้งแล้ว จนเหลือ 1.5% หรือตอนนี้อาจเหลือไม่ถึง 1%

ส่วนการประเมินเศรษฐกิจระยะข้างหน้าทำได้ยาก เพราะไม่รู้จริงว่าสายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงแค่ไหน รวมทั้งเรามีชุดตรวจไม่พอและสุดท้ายปัญหาแก้ไม่ทันจะลามไปกระทบสถาบันการเงิน รวมทั้งหากรัฐบาลยังทำเช่นนี้แล้วโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าระบาดแรงมากเหมือนต่างประเทศ จะทำให้ปัญหาใหญ่ขึ้น และมองว่าโควิด-19 ยังติดคนไทยได้อีก 50 ล้านคน เพราะคนฉีดวัคซีนครบ 2 โดส มีแค่ 3-4 ล้านคน สมมติคนติดเชื่อแต่ไม่รู้ว่าติดเชื้อก็นำเชื้อไปติดให้คนที่เหลืออีก 60 ล้านคนได้

ปัญหาในวิกฤติโควิด-19รอบนี้ เห็นด้วยว่า ปัญหาอยู่ที่การบริหารของรัฐบาล แต่ยังมีทางออกเพื่อแก้ไข 3 ปัญหา ตอนนี้ คือ

1.เมื่อวัคซีนไม่พอแล้วจะแบ่งให้ใครอันดับแรก ซึ่งต้องแบ่งให้บุคคลการด้านการแพทย์และสาธารณสุขก่อน ที่ผ่านมาฉีดแล้ว 7 แสนราย และต้องฉีดซ้ำ ทำให้ต้องใช้วัคซีนเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้วัคซีนขาดแคลนมากขึ้นไปอีก และตอนนี้รัฐบาลต้องถามตัวเองว่าจะฉีดให้ผู้สูงอายุที่ไม่อยู่ในภาคการผลิต หรือฉีดให้ผู้อยู่ภาคการผลิตคนวัยทำงานเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อ

"เมื่อวัคซีนไม่พอแล้ว ทำให้รัฐบาลมาถึงจุดบีบบังคับ ให้ตัดสินใจแม้เป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจ แต่ถ้าบอกประชาชนให้ชัดเจนได้ก็ดี ว่าจุดยืนของรัฐบาลอยู่ตรงไหนในเรื่องนี้ หากยังพูดกล้อมแกล้มแบบนี้ ในความกล้อมแกล้ม ยิ่งทำให้เราไม่รู้ทิศทาง"

2.ชุดตรวจยังไม่มากพอเพราะหากเลือกฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุก่อน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนที่อายุน้อย 30-100 เท่า ดังนั้น รัฐบาลต้องพยายามแยกระหว่างคนติดเชื้อ กับคนไม่ติดเชื้อ เพื่อให้คนไม่ติดเชื้อยังสามารถเข้าไปทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะคนในภาคการผลิต ที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

 สำหรับทางออกของปัญหานี้ เสนอว่า หากวัคซีนยังไม่พอแล้ว ก็ต้องตรวจให้มาก ทำชุดตรวจโควิด-19 ราคา 5-10 บาท หรือแจกฟรีได้หรือไม่ เพราะโรงงานที่มีแรงงานหลักพันคนจะได้ตรวจกันทุกวัน ต้องแจกชุดตรวจให้มากที่สุด

3.การเยียวยาทันหรือไม่ เพราะสุดท้ายหากยังเกิดปัญหาวัคซีนไม่พอ ชุดตรวจเชื้อยังทำช้าไปอีก คนทำงานไม่ได้ ไม่มีรายได้ ถ้าทุกคนเป็นหนี้แบงก์แล้ว สุดท้ายปัญหาที่สะสมทั้งหมด จะส่งผลกระทบกลับเป็นความเสี่ยงต่อธนาคาร ซึ่งต้องเร่งเยียวยาให้ทัน

"นโยบายการเงินถ้ามองแง่บวก เงินเฟ้อต่ำหนี้ต่างประเทศก็ไม่มี มองว่า ยังใช้นโยบายการเงินได้ พิมพ์เงินมาช่วยเหลือได้ แต่ต้องรู้ว่าจะทำเอาสิ่งนี้มาให้ทันท่วงที อย่าเป็นมาตรการที่ตามปัญหา เพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้เราเห็นรัฐบาลมีแต่มาตรการตามปัญหา ไม่เคยมีมาตรการที่แก้ปัญหาก่อนที่จะเกิดเลย" นายศุภวุฒิกล่าว 
#3097



แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศยกเลิกเกมอุ่นเครื่องกับ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ในวันเสาร์นี้ หลังมีรายงานว่านักเตะและสตาฟฟ์โค้ช รวม 9 คน มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก

ขุนพลทีม "ปีศาจแดง" มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลังเกมอุ่นเครื่องที่เจอกับ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยทีมลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ราว 30,000 คน และผลการแข่งขันจบลงที่ผลเสมอ 2-2

ซึ่งการทดสอบหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นหลังเกมดังกล่าว โดยมีการตรวจเจอผลเป็นบวกในการทดสอบหาเชื้อครั้งแรก และพวกเขาได้ทำการ PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง สรุปว่ามีผู้ติดเชื้อ 9 คนจริง ทั้งนักเตะและสตาฟฟ์โค้ช

โดย แมนฯ ยูไนเต็ด มีการฝึกซ้อมกันในช่วงเช้าที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน แต่หลังจากมีข่าวดังกล่าวพวกเขาได้หยุดซ้อมทันที และนักเตะทุกคนถูกส่งตัวกลับบ้านในช่วงบ่ายสองเพื่อทำการกักตัว ก่อนจะมีการตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดกันอีกครั้ง
#3098
 
 มากกว่าคำว่ากาแฟ Room Coffee อร่อยดี ไม่มีอ้วน




ประโยชน์เพียบจากสารสกัด 36 ชนิด
เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย ชงง่าย
ชงได้ทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น อยากกินต้องได้กิน

มีสารสกัดทั้งหมดมากถึง 36 ชนิด
เช่น โสม ถั่วเช่า เห็ดหลินจือ เมล็ดเจีย คอลลาเจน (สูตรเจ) และอีก...เยอะ
ที่ให้คุณ 5 คุณประโยชน์
Detox ขับสารพิษ
Block บล็อกแป้งและน้ำตาลที่มาใหม่
Burn ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ
Build  ช่วยสร้างเสริมกล้ามเนื้อให้กระชับ
Boost  เพิ่มพลังงานให้กระฉับกระเฉง

และยังช่วยเสริมภูมิต้านทาน ให้ไกลจากโรคหวัดและโรคต่างๆอีกด้วย ทุกอย่างรวมไว้ให้คุณขนาดนี้
บอกเลย คุ้ม

Room Coffee 1 ห่อ มี 10 ซอง ราคา 299 บาท

สนใจติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ
Tel. 0846623662
Line id : teerapat999

ข้อมูลเพิ่มเติม/รีวิวสินค้า https://teerapat99.iconroomcoffee.com/ 
#3099



ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา พันโทหญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เชื้อสายไทย เปิดเผยผ่านงานเสวนาออนไลน์ภายใต้หัวข้อ "U.S. and Thailand Perspectives on Geostrategic Landscape and Regional Architecture" จัดโดยสถาบัน East-West Center ในกรุงวอชิงตันและสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ว่า มีเป้าหมายที่จะบริจาควัคซีนโควิด-19 ให้กับไทย รวม 2.5 ล้านโดส โดยยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้ สถานเอกอัครทูต ณ กรุงวอร์ชิงตัน อยู่ระหว่างการติดตามพัฒนาการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด


จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการจัดสรรไปยังกลุ่มเป้าหมายเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2564 ดังนี้

1. บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ (เข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน) จำนวน 700,000 โดส

2. ผู้มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่มีสัญชาติไทย จำนวน 645,000 โดส

    - ผู้สูงอายุ

    - ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค อายุ 12 ปีขึ้นไป

    - หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

3. ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ และโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป และผู้เดินทางไปต่างประเทศ ที่จำเป็นต้องรับวัคซีนไฟเซอร์ เช่น นักการทูต นักศึกษา จำนวน 150,000 โดส

4. ทำการศึกษาวิจัย (ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการวิจัยจริยธรรม) จำนวน 5,000 โดส

5. สำรองส่วนกลางสำหรับตอบโต้การระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ จำนวน 40,000 โดส

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951850
 
#3100



นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ โฆษกคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (บอร์ดแข่งขันทางการค้า) เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) ได้เปิดการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศแนวทางในการพิจารณากำหนดมาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (Credit term) สืบเนื่องมาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่กับผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ล่าสุด สขค. ได้ออกประกาศคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เรื่อง แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า กรณีผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการ โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันถัดจากวันประกาศในประกาศราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 16 ธ.ค.2564

สำหรับสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวครอบคลุมประเด็นทั้งในด้านเนื้อหาและกระบวนการ ตั้งแต่นิยามของผู้ประกอบธุรกิจ SMEs นิยามสินเชื่อการค้า พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้าสำหรับภาคการค้า การผลิต และภาคบริการ ไว้ไม่เกิน 45 วัน   โดยในส่วนของภาคการเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปขั้นต้นที่มีกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน กำหนดไว้ไม่เกิน 30 วัน หรืออาจมีการกำหนดระยะเวลาเป็นระยะเวลาอื่นได้ แต่ต้องมีเหตุผลอันสมควรที่สามารถรับฟังได้

รวมถึงกำหนดให้มีการแสดงขั้นตอนการจ่ายเงินตามแนวทางการค้าปกติให้ชัดเจนระหว่างผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นคู่ค้ากับ SMEs รวมทั้ง SMEs ต้องแสดงเอกสารหลักฐานแสดงจำนวนการจ้างงาน  เอกสารแสดงรายได้เพื่อยืนยันสถานะการเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้คู่ค้าทราบ

นอกจากนี้ ยังกำหนดประเด็นเรื่องการนับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้าที่จะต้องเริ่มต้นนับตั้งแต่วันส่งมอบสินค้าหรือให้บริการที่มีความถูกต้องครบถ้วน หรือในกรณีฝากขาย (Consignment) ต้องนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ขายสินค้าครบตามจำนวนหรืออัตราที่ตกลงกัน ซึ่งหากผู้ประกอบธุรกิจมีพฤติกรรมทางการค้าที่เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 จะมีโทษความผิดทางปกครองในอัตราค่าปรับไม่เกิน 10 % ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด


ทั้งนี้การออกประกาศแนวทางดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยคำนึงถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นการใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่า ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ SMEs และผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ อันนำไปสู่การสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจ และเป็นการสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติทางการค้าที่ชัดเจนและเป็นธรรม อีกทั้งยังช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ได้มีโอกาสในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ต่อไป