• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3021


ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประชาชนในช่วงก่อนหน้านี้ มีการกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นที่ต้องประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ ป้องกันการแพร่ระบาด ส่งผลให้ประชาชนลำบากในการใช้ชีวิต บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องปิดกิจการ คนงานตกงานขาดรายได้

แต่ ณ เวลานี้ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดูจะมีแนวโน้มลดลง ซึ่งมาจากการที่ประชาชนมีโอกาสได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้กับภาคการลงทุนมากขึ้น

โดยในมุมมองตัวแทนภาคอุตสาหกรรม "นายสุพันธุ์ มงคลสุธี" ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การะบาดของโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤติและส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนของประเทศ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเกิดการติดเชื้อในโรงงานเป็นจำนวนมากเช่นกัน สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ได้จัดทำ "มาตรการควบคุมโควิดในภาคอุตสาหกรรม" เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและอาการรุนแรง พร้อมรักษากำลังการผลิตให้มากที่สุด ซึ่งโรงงานที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง จะไม่ถูกปิด หากยังสามารถดำเนินการต่อได้โดยไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ติดโควิดไม่ต้องปิดโรงงาน" แบ่งออกเป็น 4 ข้อดังนี้

1.มาตรการ Bubble and Seal สำหรับภาคอุตสาหกรรมต้องมีความชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทุกพื้นที่ โดยให้สุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK สม่ำเสมอ 10% ของจำนวนพนักงานทุก 14 วัน โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้พนักงานผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำสามารถกลับเข้ามาทำงานใน Bubble ในโรงงานตามปกติ

2.สถานประกอบการที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไป เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้ง Factory Quarantine และ Factory Accommodation Isolation โดยให้มีจำนวนเตียงๆไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงาน และเสนอให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งโรงพยาบาลแม่ข่ายในแต่ละพื้นที่ประกันสังคม เพื่อให้บริการโรงงานในพื้นที่ ณ จุดเดียว ตั้งแต่การตรวจหาเชื้อไปจนถึงส่งต่อผู้ป่วยเข้าไปในระบบการรักษา เพื่อลดขั้นตอนในการหาโรงพยาบาล

3.สำหรับสถานประกอบการที่มีพนักงานต่ำกว่า 300 คน ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมจัดตั้ง Community Quarantine (CQ), Community Isolation (CI) (ศูนย์พักคอยและแยกกักตัว) ให้เพียงพอกับแรงงาน โดยให้มีจำนวนเตียงไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวนพนักงานในพื้นที่

4.จัดสรรวัคซีนตามเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต โดยจัดสรรตามลำดับความสำคัญทางสาธารณสุข การป้องกันโรค และเศรษฐกิจใน 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุ 40-59 ปี กลุ่มพนักงานในสถานประกอบการที่มีติดเชื้อมากกว่า 50% จนต้องปิดกิจการ และกลุ่มพนักงานในอุตสาหกรรมสำคัญยิ่งยวด

ขณะที่มุมมองของ "รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง นำเสนอแง่คิดที่น่าสนใจว่า รัฐบาลควรเดินหน้าคลายล็อกดาวน์ในทุกพื้นที่ในบางกิจกรรม หากตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้ได้รับการรักษาหายป่วยมากพอ และสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ต้องรักษาในระบบสาธารณสุขลดลงมาเหลือต่ำกว่า 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 200,339 ราย

ระบบสาธารณสุข ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ควรต้องจัดการความเสี่ยงด้านอุปทานเพิ่มขึ้นโดยจัดสรรงบประมาณให้โรงพยาบาลของรัฐตามความเสี่ยงของประชากรที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลต่างๆ นั่นคือ ผู้ให้บริการในพื้นที่เสี่ยงสูง และต้องดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงสูงควรจะเหมาจ่ายต่อหัวสูงกว่าผู้ให้บริการ หรือโรงพยาบาลที่ดูแลประชากรที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ,ไม่ควรกำหนดการเหมาจ่ายแบบคงที่ทั่วทั้งประเทศ โดยงบประมาณต้องจัดสรรไปตามภาระและแผนงานกิจกรรมที่ต้องทำ และไม่ควรรวมศูนย์การตัดสินใจเพราะจะทำให้แก้ปัญหาล่าช้า และไม่ทันการ

อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องขยายล็อกดาวน์ เพราะตัวเลขติดเชื้อไม่ลดลง และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจต้องล็อกดาวน์ไปอีกอย่างน้อยจนถึงปลายปี ในขณะที่ประชาชนยังรอฉีดวัคซีนกันอยู่ รัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณจ่ายเยียวยาให้ภาคธุรกิจ และประชาชนเพิ่มเติม หากต้องขยายล็อกดาวน์ และควรประกาศล่วงหน้า และเยียวยาทันทีก่อนสั่งปิดพื้นที่ หรือกิจกรรมเพื่อไม่ให้ความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจรุนแรงไปกว่าระดับวิกฤติในขณะนี้ และควรเตรียมเงินงบประมาณไม่ต่ำกว่าอีก 300,000 ล้านบาท หากต้องล็อกดาวน์ถึงปลายปี

การรับฟังข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ จากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร!!!
#3022


เคทีซีปรับแผนธุรกิจหมวดบริจาครับวิถีใหม่ วางตัวเป็นสื่อกลางระหว่างสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีและพันธมิตรองค์กรการกุศลกว่า 60 แห่ง เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสังคมในหลากหลายมิติ พร้อมเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มช่องทางการบริจาค ออฟไลน์ ออนไลน์ และโมบายแอปพลิเคชั่น "KTC Mobile"

ล่าสุดเปิดรับบริจาคด้วยบัตรเครดิตผ่าน QR Pay และแลกคะแนนผ่าน QR Point ทางแอปฯ KTC Mobile เพื่อให้สมาชิกเข้าถึงการบริจาคได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการเดินทางและลดการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิด-19"



นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เคทีซีเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยหวังว่าจะมีส่วนช่วยสร้างสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยได้ดำเนินการช่วยเหลือสังคมในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการร่วมเป็นจิตอาสา หรือการสบทบทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เคทีซีได้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์สนับสนุนโครงการและกิจกรรมต่างๆ ระหว่างมูลนิธิกับสมาชิก พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับบริจาคผ่านบัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี เพื่อส่งต่อให้กับมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ กว่า 60 แห่ง โดยปี 2563 มียอดบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีด้วยคะแนน KTC FOREVER กว่า 50 ล้านคะแนน ยอดเงินบริจาครวม 300 ล้านบาท"

"สำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงและขยายวงกว้างขณะนี้ ภารกิจสำคัญที่สุดที่เคทีซีต้องดำเนินการ คือให้ความร่วมมือกับมูลนิธิต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้นและรวดเร็ว เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้กักกันตน โรงพยาบาลที่ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือการสร้างศูนย์พักคอยรองรับผู้ป่วยสีเขียวในต่างจังหวัด โดยถือเป็นภาระเร่งด่วนที่สุดในการประสานกับมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และเปิดช่องทางให้สมาชิกเคทีซีสามารถเข้าถึง เพื่อเสริมแรงสนับสนุน และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม"



ดร. บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้อำนวยการมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ กล่าวว่า "มูลนิธิได้ทำงานช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในประเทศไทยมา 64 ปี ใน 3 รูปแบบ คือ 1. พัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 2. พัฒนาเด็กและเยาวชนในชุมชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพเพื่อเป็นอนาคตของประเทศ 3. เน้นทำงานควบคู่กับเครือข่ายภาคี เช่น เคทีซี ภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรการกุศล 4. ปรับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น โควิด-19"

"ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้มูลนิธิต้องปรับตัวหลายด้าน ทั้งการทำงานที่ต้องปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมมาใช้รูปแบบออนไลน์มากขึ้น เช่น การเยี่ยมเด็ก และการทำกิจกรรมร่วมกับผู้นำชุมชน หรือโรงเรียน เพื่อรักษาระยะห่าง ที่ผ่านมามูลนิธิได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกเคทีซีค่อนข้างมาก ในรูปแบบของเงินบริจาคผ่านบัตรเครดิต และการบริจาคผ่านการแลกคะแนน และในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ มูลนิธิฯ อยากผลักดันการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่างๆ และอาสาสมัครเพื่อร่วมกันบรรเทาผลกระทบของการแพร่ระบาดครั้งนี้ มูลนิธิฯ ซี.ซี.เอฟ. ฯ ได้จัดตั้งศูนย์พักคอยชุมชนและแยกกักกันในต่างจังหวัดเพื่อให้การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะส่วนใหญ่ศูนย์พักคอยมักจะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ หรือในเขตเมือง ปัจจุบันเรามีศูนย์ฯ ที่สนับสนุนอยู่ในต่างจังหวัดทั้งหมด 37 แห่ง และกำลังจะสนับสนุนเพิ่ม 16 แห่ง แต่ยังขาดแคลนด้าน เวชภัณฑ์ อาหาร และสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยมาก"

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กล่าวว่า "สภากาชาดไทยเป็นองค์กรสาธารณกุศล เพื่อบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากในสังคม ซึ่งจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สภากาชาดไทยก็ได้รับผลกระทบในหลายด้านเช่นกัน ได้แก่ 1.บริการทางการแพทย์ บุคลากรและอุปกรณ์การแพทย์ไม่เพียงพอ กับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องการเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มสูงขึ้น 2. บริการโลหิต เกิดภาวะวิกฤตประชาชนไม่มั่นใจที่จะมาบริจาคเพราะห่วงความปลอดภัย 3. การหารายได้เข้ามูลนิธิ เพื่อใช้บริหารความช่วยเหลือไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากประชาชนมีกําลังในการบริจาคลดลง ซึ่งการที่เคทีซีเป็นพันธมิตรในการเผยแพร่ข่าวสารและจัดแคมเปญต่างๆ เพื่อเพิ่มยอดรับบริจาคผ่านช่องทางของเคทีซี ถือเป็นการขยายโอกาสให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการแบ่งปันและการช่วยเหลืออย่างมาก ซึ่งรายได้จากการบริจาคจะนําไปใช้ช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจต่างๆ ทั้งการรักษาพยาบาล บรรเทาทุกข์ ผู้ประสบภัย บริการโลหิต และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต รวมไปถึงสถานการณ์เร่งด่วนในขณะนี้คือ การช่วยเหลือและเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19"

"ปัจจุบันสภากาชาดไทยยังมีโครงการจัดครัวเคลื่อนที่ ทําอาหารปรุงสุกให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การแจกชุดธารน้ำใจให้ผู้กักตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้ติดเชื้อโควิด และดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ โควิดของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รวมถึง Hospitel และ Home Isolation เฉลี่ยวันละ 800-900 ราย รวมถึงสร้างหอผู้ป่วยสนามเร่งด่วนและจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโควิด ทั้งนี้สมาชิกเคทีซีสามารถร่วมบริจาคด้วยการแลกคะแนนสะสมเป็นเงินบริจาค นอกเหนือจากการบริจาคด้วยบัตรเครดิต เพื่อร่วมสมทบทุนเข้าโครงการต่างๆ ของสภากาชาดไทย โดยสามารถติดตามข่าวสารของสภากาชาดไทยผ่านเคทีซีในทุกๆ ช่องทางได้อีกด้วย"



นางสาวจุฑารัตน์ วิบูลสมัย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาแหล่งทุน มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม กล่าวว่า "มูลนิธิเป็นองค์กรการกุศลทางการแพทย์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในพ.ศ. 2525 และก่อตั้งในไทยเมื่อพ.ศ. 2540 มีภารกิจหลักในการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ รวมถึงแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นิ้วติด นิ้วเกิน หรือใบหน้าที่ผิดรูป โดยมูลนิธิได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเคทีซี ในการรับบริจาคผ่านบัตรเครดิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่พ.ศ. 2557 รวมทั้งพนักงานเคทีซียังได้ร่วมเป็นจิตอาสาประกอบแฟ้มผู้ป่วย เพื่อใช้เก็บประวัติข้อมูลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ที่จะเข้ารับการผ่าตัด"

"ในช่วงสถานการณ์โควิดทำให้มูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้การผ่าตัดที่ต่างจังหวัดได้ ซึ่งโดยปกติปีหนึ่งจะมีการวางแผนออกหน่วย 4 ครั้งต่อปี ใน 4 จังหวัด ครั้งหนึ่งประมาณ 7 วัน โดยไปทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วยเด็กเฉลี่ย 80 - 100 คน อย่างไรก็ตาม มูลนิธิฯ ยังดำเนินการ "โครงการผ่าตัดแบบต่อเนื่อง" โดยให้งบสนับสนุนกับโรงพยาบาลในจังหวัดต่างๆ ที่มีศัลยแพทย์ จึงยังคงสามารถผ่าตัดผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ได้ต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาเด็กที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ ต้องได้รับการผ่าตัดมากกว่า 1 ครั้ง บางคนต้องผ่าตัด 3 - 5 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีโครงการ "Smile Box" กล่องแห่งรอยยิ้ม ซึ่งบรรจุผ้าอ้อมเด็ก นมผง หน้ากากอนามัย อุปกรณ์การเรียน แผ่นพับที่ให้ความรู้ในการดูแลเด็ก และขวดนมที่มีลักษณะยาวพิเศษสำหรับเด็ก ปากแหว่งเพดานโหว่ เพื่อส่งให้กับผู้ป่วยเด็กที่เราเคยผ่าตัดไปแล้ว กับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัด โดยส่งไปแล้วประมาณ 200 กล่อง และสำหรับแผนงานในปีหน้า เมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น ทางมูลนิธิหวังว่าจะสามารถออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ผ่าตัดที่ต่างจังหวัดได้ตามเดิม"

นางสาวอรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน UNHCR กล่าวว่า "สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติก่อตั้งมายาวนานถึง 70 ปี โดยมีบทบาทให้ความช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยที่มีเหตุการณ์ในประเทศ เช่น สงคราม หรือความขัดแย้งทำให้ไม่สามารถอยู่ในประเทศตนเองได้ ซึ่งตอนนี้มีจำนวนถึง 82.4 ล้านคนทั่วโลก ปัจจุบันเราทำงานใน 135 ประเทศ และร่วมงานกับประเทศไทยมานาน 46 ปี"

"ไวรัสโควิด-19 พิสูจน์แล้วว่าไวรัสไม่ได้แบ่งเชื้อชาติ ศาสนา หรือกลุ่มคน กลุ่มผู้ลี้ภัยก็มีการแพร่ระบาดของไวรัสเช่นกัน และอยู่ในความเสี่ยงสูงมากจากข้อจำกัดต่างๆ UNHCR ได้ระดมกำลังเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและบุคคลในความห่วงใยทั้งในและนอกค่ายทั่วโลกให้ได้รับความเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ เพิ่มจุดแจกจ่ายน้ำให้มากขึ้น จุดล้างมือ จุดแจกจ่ายสบู่ หรือหน้ากากอนามัย และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การอบรมให้ทราบถึงการเว้นระยะห่าง การรักษาพยาบาลเพิ่มเติม กรณีมีเคสผู้ป่วย กลุ่มแพทย์และพยาบาลต้องรับรู้เคสและสามารถรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ รวมทั้งสร้างพื้นที่ในการคัดแยกผู้ป่วยอีกด้วย"

"ความช่วยเหลือจากทุกๆ ฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ UNHCR มีผู้บริจาคที่มีคุณภาพผ่านบัตรเครดิตแบบต่อเนื่องค่อนข้างมาก จากสถิติผู้ลี้ภัยตกอยู่ในสถานะนี้โดยเฉลี่ยถึง 17 ปี ดังนั้นการบริจาคต่อเนื่องจะช่วยให้เรามีงบประมาณในการช่วยชีวิตผู้ลี้ภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเรามุ่งเน้นช่วยกลุ่มที่เปราะบางเพราะ 80% ของผู้ลี้ภัยคือ ผู้หญิงและเด็ก ช่องทางการบริจาคผ่านบัตรเครดิตเคทีซีเป็นวิธีที่ง่าย แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน ในอนาคตจะมีโครงการมอบทุนให้กับผู้ลี้ภัยทั่วโลก เพราะผู้ลี้ภัยเพียง 3% ที่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงวิกฤติด้านมนุษยธรรมล่าสุดในอัฟกานิสถาน เราจึงอยากมอบโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับผู้ลี้ภัยด้วยกัน"

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้อำนวยการ – ธุรกิจบัตรเครดิต "เคทีซี" กล่าวทิ้งท้าย "ยุคที่ต้องเว้นระยะห่างและหลีกเลี่ยงการเดินทาง เพื่อลดการติดเชื้อโควิด-19 นั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มูลนิธิและองค์กรการกุศลต่างๆ ต้องเผชิญกับภาวะที่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมลดน้อยลง ดังนั้นเคทีซีจึงตั้งใจพัฒนาแพลตฟอร์มช่องทางการบริจาค ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และโมบายแอปพลิเคชั่น โดยล่าสุดได้พัฒนาช่องทางออนไลน์ ด้วยฟังก์ชันการบริจาคผ่านบัตรเครดิตด้วย QR Pay การบริจาคด้วยคะแนนผ่าน QR Point โดยแลกคะแนนผ่านแอปฯ "KTC Mobile" เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกเคทีซีสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมได้ง่ายขึ้น"
#3023


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนดังชาวเวียดนามเข้าสู่โลกแห่งธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ เซเลบสาวๆ ทั้งหลาย ที่ผันตัวไปเป็นนักธุรกิจมากพรสวรรค์ ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ตั้งแต่แฟชั่น เครื่องสำอาง และด้านบันเทิง ไปจนถึงอาหารและเครื่องดื่ม อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน

มายแทม

จากนักร้องสาวเสียงใส สู่ความเป็น 'เกิร์ลบอส' กับผลิตภัณฑ์น้ำหอม 'มายไทม์' ที่มีทั้งน้ำหอมและชาวเวอร์เจล หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เธอก็ต่อยอดด้วยการสร้างตึกในโฮจิมินห์ซิตี ชื่อว่าอาคาร 'ไนติงเกล' ที่ตั้งตามฉายาของเธอสมัยเป็นนักร้อง เปิดช็อปเสื้อผ้าแฟชัน รวมทั้ง คาเฟและร้านชาสไตล์ญี่ปุ่น กวาดรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2017, 2018 และ 2019 โดยในปีล่าสุดมีรายได้ถึง 47.8 พันล้านดอง



ลีนาคี

ทูตการท่องเที่ยวเวียดนามคนแรก ลีนาคี ก่อตั้งบริษัท ลิงค์ กรุ๊ป ของตัวเองในปี 2007 เพื่อทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เครื่องประดับ แฟชัน สื่อ และความบันเทิง รวมทั้ง การทำงานเพื่อสังคมและการกุศลด้วย ลีนาคี ยังเปิด ลิงค์ ลักซ์ชัวรี แกลเลอรี สำหรับวางขายเครื่องประดับสุดหรูไฮเอนด์ อย่าง เดอ กริสโซโกโน เปาโล โปวาน คริเวลลิ โจเอลลิ และสเตาริโน ฟราเตลลิ รวมทั้งผลงานเสื้อผ้าดีไซเนอร์ อย่าง อเล็กซิส มาบิลล์ อัลแบร์ตา แฟร์เรตติจอร์จส์ โอไบคา โทนี มาติเชฟสกี ฯลฯ นอกจากนี้ เธอยังมีแบรนด์เครื่องเพชร 'ลิงค์' เป็นของตัวเอง



โฮง็อกฮา

นางแบบสาวที่ผันตัวมาเป็นนักร้องในปี 2017 เป็นที่รู้จักในฉายา "ไคลี เจนเนอร์แห่งเวียดนาม" เธอเปิดตัวบริษัท เอ็ม.โอ.ไอ. คอสเมติกส์ แบรนด์เครื่องสำอางแบรนด์แรกของเวียดนามที่มีลิปสติก ฮอนโกฉะส์ ซีเคร็ต ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตในเกาหลีใต้ตามมาตรฐานสากล เอ็ม.โอ.ไอ. คอสเมติกส์ เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีรายรับในปี 2019 ถึง 84 พันล้านดอง



ไมพยงทุย

ไมพยงทุย มิสเวียดนาม ปี 2006 ในทุกวันนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม "Miss Securities" แทน จากการลงทุนในธุรกิจของเธอ เธอซื้อร้านอาหารเวียดนามในใจกลางเมืองโฮจิมินห์ในปี 2013 รวมทั้งแฟลตสุดหรูทั้งในเวียดนามและในฮ่องกง นอกจากนี้ เธอยังลงทุนในของหรูหราจำนวนมาก โดยเฉพาะนาฬิกาแบรนด์ดัง ทั้งอูโบลต์ โรเล็กซ์ โอเดอมาร์ส ปิเกต์ ปาเต็ก ฟิลิปป์ รวมไปถึง รองเท้าและกระเป๋าระดับพรีเมียมจากแบรนด์ต่างๆ เช่น ชาเนล ลุยส์วิตตอง ดิออร์ กุชชี และแอร์เมส



ตังทันฮา

หลังจากเข้าร่วมเป็นสมาชิกครอบครัว โจนาทาน หาน เหวิน ประธานบริษัท ไอเม็กซ์ แพน แปซิฟิค กรุ๊ป ผู้นำเข้าแบรนด์ดังอย่าง ชาเนล ลุยส์วิตตอง อาร์มานี โรเล็กซ์ และอื่นๆ มาสู่เวียดนาม อดีตนักแสดงหญิง ตังทันฮา ก็บอกศาลาวงการบันเทิง มาเปิดบริษัทสื่อสารการตลาดของตัวเอง นอกจากนี้ เธอยังลงทุนในสายอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยการเปิดบาร์และร้านสาขาอาหารทะเล อย่าง เดอะ แคร็บ แช็ค ในโฮจิมินห์ซิตี้ และยังเปิด ซันนีส์ สตูดิโอ เวียดนาม ร้านแว่นกันแดดแบรนด์ฟิลิปปินส์แห่งแรกในเวียดนาม กับ ฮาตัง แบรนด์แฟชั่นสุดหรูของตัวเอง



ซรองง็อกอันห์

อดีตนางแบบสาวที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง และประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง ทำให้มีแบรนด์ดังมากมายดาหน้าเข้ามาให้เป็นพรีเซนเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นอาดิดาส อาวดี้ ซัมซุง ชาเนล เวอร์ซาเช ลุยส์วิตตอง โบเตกา และทูมี ซรองง็อกอันห์ เป็นเจ้าของและซีอีโอของบิรษัท อันห์เวียต บริษัทตัวแทนโฆษณา และบริษัท ทีเอ็นเอ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ที่รับผลิตสื่อบันเทิง นอกจากนี้ เธอยังเป็นเข้าของร้านอาหารอิตาเลียนและจีนหลายแห่ง ไม่รวมการลงทุนในอสังหาที่เธอซื้อเก็บๆ ไว้มากมาย
#3024


นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด  ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า กรุงศรี ฟินโนเวต ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพ " ฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I"  ซึ่งเป็นกองทุนสตาร์ทอัพครั้งแรกของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  มูลค่า 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาลงทุน 3 ปี 

กองทุน"ฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I" มุ่งเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทย สัดส่วน 70% และต่างประเทศ สัดส่วน 30% โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เน้นลงทุนในสตาร์อัพ ระดับซีรี่ส์ A ขึ้นไปใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจฟินเทค 40%  อีคอมเมิร์ซ 30% และยานยนต์ 30%  ในกลุ่มสตาร์ทอัพที่อาจฟื้นตัวเร็ว หรือได้รับโอกาสทางธุรกิจในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เป็นต้นหรือที่เรียกว่า Post-Pandemic Boom Startup

กรุงศรี ฟินโนเวต จะเริ่มเดินสายนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) และเปิดขายให้กับนักลงทุนสถาบัน ตั้งแต่เดือนส.ค.นี้ และเตรียมขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ผ่านกองทุนรวม บริหารจัดการโดย บลจ.กรุงศรีอยุธยา เดือน พ.ย.นี้         


 นายแซม กล่าวว่า แม้ผลตอบแทนกองทุนนี้จะไม่สามารถการันตีได้ แต่มั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนไม่น้อยกว่า ผลงานของกรุงศรี ฟินโนเวตที่เข้าลงทุน15 สตาร์ทอัพ เงินลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาท ช่วง4 ปีที่ผ่านมา มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 20.8% ถือว่ามากกว่าผลตอบแทนของบริษัทหรือกองทุนเวนเจอร์ต่างๆ เฉลี่ยที่ 18%

รวมถึง กองทุนนี้มีโมเดลจากญี่ปุ่นและสหรัฐที่ประสบความสำเร็จมาแล้วอีกทั้งได้ปิดความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพราะไม่เพียงแต่ใช้ความเชี่ยวชาญการลงทุนสตาร์ทอัพของกรุงศรี ฟินโนเวตและเครือข่าย MUFG ที่ดูแลอยู่ทั่วโลกแล้ว ในส่วนนักลงทุนสถาบัน ยังมีโอกาสเข้าร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจสตาร์ทอัพที่อยู่ภายใต้กองทุนนี้ เพื่อช่วยต่อยอดธุรกิจ นำเสนอสินค้าและบริการที่เป็นนวัตกรรมร่วมผลักดันให้สตาร์ทอัพในไทยและอาเซียนเติบโตไปสู่ยูนิคอร์นหรือเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ  ตามเป้าหมาย 

ทั้งนี้คาดว่ากองทุนจะเริ่มลงทุนในสตาร์ทอัพรายแรกได้ในเดือนธ.ค.นี้ โดยขณะนี้ได้เริ่มคัดเลือกสตาร์ทอัพที่น่าสนใจลงทุนมีไม่ต่ำกว่า 10 บริษัทและน่าจะสามารถเข้าลงทุนได้แน่ราว 5  บริษัทนอกจากนี้สตาร์ทอัพในอาเซียนที่น่าสนใจ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ซึ่งมียูนิคอร์นจำนวนมาก และในประเทศที่ธนาคารกรุงศรีเข้าไปขยายธุรกิจ อย่างฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งมีเทคสตาร์ทอัพที่น่าสนใจ

นอกจากนั้นที่แตกต่างจากในตลาด กองทุนนี้ยังเปิดกว้างให้นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้นจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินในการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพอยู่แล้วให้ยิ่งขยายตัวเติบโตไปได้เป็นเท่าทวีคูณ


นายแซม กล่าวว่า ในระยะ3-5ปีข้างหน้า สตาร์ทอัพในไทยจะเติบโตแข็งแกร่งมากขี้น น่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯได้กว่า10 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสตาร์ทอัพที่กรุงศรีฟินโนเวตลงทุนมากกว่าครึ่งหนึ่ง  เช่น  ฟินโนมิน่า กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ อีก 2 ปีข้างหน้า หลังจาก ปี 2558 พบการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเติบโตกว่า 3 เท่าจากปกติ ประกอบกับในปี 2564 ประเทศไทยมียูนิคอร์นรายแรกอย่าง Flash Express ที่สะท้อนภาพความสำเร็จ 
#3025


วันนี้ (25 ส.ค.) นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายพันธุ์เดลตา (Delta) ประชาชนทุกคนจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังและป้องกันอย่างเข้มงวด เนื่องจากเชื้อชนิดนี้ติดต่อกันง่าย และมีความรุนแรงกว่าชนิดอื่น ที่น่าห่วงคือกลุ่มของผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 3 ล้านคน นับเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญหากติดเชื้อโควิด-19 จะเกิดอาการป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนทั่วไป และยิ่งเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ซึ่งมีประมาณ 2.1 ล้านคน หรือ ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด จะมีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้นไปอีก

"มีผลการศึกษาพบว่า ระดับน้ำตาลที่สูงจะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง และเชื้อไวรัสโควิดจะเจริญเติบโตได้ดี และเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงขอให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคน เคร่งครัดปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ รับประทานยาให้ครบอย่างสม่ำเสมอ อย่าขาดยาอย่างเด็ดขาด ดูแลสุขภาพแข็งแรง ไม่เครียด และให้รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฟรี ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านโดยเร็ว และไปรับการฉีดให้ครบ 2 เข็มตามนัดของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งวัคซีนจะลดความรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตได้" นายแพทย์ปรีชา กล่าว

ทางด้าน นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการวิเคราะห์ในกลุ่มที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ซึ่งมีจำนวนสะสม 7,126 ราย พบว่า โรคเบาหวาน เป็นสาเหตุแทรกซ้อนอยูในอันดับต้นๆ จากข้อมูลการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยเบาหวานที่ติดเชื้อโควิด 19 พบว่า ฤทธิ์ของไวรัส จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนและควบคุมได้ยาก และเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานถึง 2 เท่าตัว และยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่า 3 เท่าตัว เมื่อผู้ป่วยเบาหวานได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หลังฉีดอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นชั่วคราวได้ ไม่ต้องตกใจ หรือเป็นกังวล เนื่องจากเป็นกลไกการทำงานของภูมิต้านทานโรคโดยทั่วไป

ประการสำคัญ การปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อโรคโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยเบาหวานนับว่ามีความสำคัญและมีความจำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่กับสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้อย่างปลอดภัย จึงขอให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานทุกคน ดูแลป้องกันตนเอง ดังนี้ 1. สวมหน้ากากอนามัย 100% ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ 2. หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านหรือเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 3. รับประทานยารักษาเบาหวานภายใต้การดูแลของแพทย์ 4. หากมีอาการไข้สูง ไอ จาม หรือหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ และ 5. หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
#3026
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3027
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3028


โอเชี่ยน คอมเมิรช พร้อมนำเข้าเครื่องจักรผลิตสารตั้งต้น "กัญชง-กัญชา" เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริมและยา หลังบอร์ดไฟเขียวเพิ่มทุนบริษัทย่อย "เค ที ดี เอ็ม" รองรับแผนขยายธุรกิจอินเทรนด์ คาดเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64 และเริ่มรับรู้รายได้ทันที ผู้บริหารมั่นใจเป็นปัจจัยช่วยผลักดันผลงานปี 65 เติบโตแบบก้าวกระโดด ประเมินจะถึงจุดคุ้มทุนภายในปีเดียว

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) (OCEAN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับกัญชง-กัญชา โดยการลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริม และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรพร้อม test run และเริ่มเดินเครื่องผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที โดยก่อนหน้าบริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญและมีความสามารถในการผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะร่วมมือกันในเรื่องของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์สามารถที่จะนำไปใช้ในการผลิตอาหารอาหารเสริม ยา เครื่องดื่ม เป็นต้น

"การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มปี เพราะเป็นธุรกิจที่อินเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ประกอบกับได้ประเมินความต้องการเบื้องต้นพบว่ามีกำลังซื้อสูงมาก และน่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นมาก"

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OCEAN กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจเข้ามารุกธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา เพราะเห็นว่าเป็น New Growth ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากตลาดอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม และเวชภัณฑ์เครื่องสำอางที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ จากประมาณการเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจดังกล่าวนี้จะสร้างรายได้ให้กลุ่มบริษัทประมาณ 100 ล้านบาท ในปี 2565 และจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี
#3029


คาวาลลิโน มอเตอร์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบความปลอดภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครกู้ภัยที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 โดยร่วมบริจาคชุดป้องกันที่มีระบบฟอกอากาศในตัว (PAPR) รวมถึงชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE) จำนวน 2,000 ชุด และแอลกอฮอล์ทำความสะอาดจำนวน 2,000 ลิตร ให้แก่โรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติงานของทีมบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่ออกภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต มูลค่ารวมร่วม 2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนปฏิบัติภารกิจสู้โควิด-19 ที่กำลังเป็นวิกฤตในขณะนี้

นันทมาลี ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่าย และซ่อมบำรุงรถยนต์เฟอร์รารี่แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า "ชื่มชมในความทุ่มเทและเสียสละของเหล่าฮีโร่ด่านหน้าทุกท่าน คาวาลลิโน มอเตอร์จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรด่านหน้าที่ให้การรักษาและช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ให้ได้รับความปลอดภัยจากการทำงานใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันที่มีความจำเป็นอย่างมากในการปกป้องผู้ปฏิบัติงานให้รอดพ้นจากเชื้อโรค

ก่อนหน้านี้ คาวาลลิโน มอเตอร์ ได้มอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุดให้แก่โรงพยาบาลศิริราช และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่สามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้นทำให้แต่ละวันมีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ จึงตั้งใจร่วมบริจาคชุด PAPR ให้เพิ่มเติม ที่เปรียบเสมือนชุดพร้อมรบที่ครบถ้วนสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการสู้รบกับเชื้อโรคแก่แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลศิริราช เพื่อมอบความปลอดภัยขั้นสูงสุดในการทำหัตถการต่าง ๆ ให้แก่ผู้ป่วยต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งมอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด และแอลกอฮอลล์ทำความสะอาดจำนวน 2,000 ลิตร เพื่อแทนความห่วงใยให้แก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เสียสละกำลังกายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งคาวาลลิโน มอเตอร์ ขอร่วมเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรด่านหน้าทุกท่าน และจะยังคงมอบความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ต่อไป"



ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะเเพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่รพ.ศิริราช ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมีผู้ป่วยอาการหนักเป็นจำนวนมาก ซึ่งแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ก็จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ติดเชื้อในขณะปฏิบัติงาน สำหรับชุดป้องกันที่มีระบบฟอกอากาศในตัว (PAPR) ที่คาวาลลิโน มอเตอร์ นำมามอบให้ในครั้งนี้ ก็มีความสำคัญอย่างมากในช่วงเวลานี้ เพราะเปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับสู้รบกับโรคระบาด นวัตกรรมชุด PAPR เป็นชุดป้องกันเชื้อโรคที่มีพัดลมและระบบกรองอากาศประสิทธิภาพสูงโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เพื่อให้มีอากาศไหลเวียนในชุดนี้ตลอดเวลา ทำให้โอกาสที่เชื้อโรคจากข้างนอกจะไม่สามารถเข้ามาข้างในชุดได้

"ปัจจุบันชุด PAPR เป็นนวัตกรรมที่สามารถผลิตได้โดยคนไทย โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดลร่วมคิดค้นและออกแบบร่วมกับภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากาก N95 และชุด PAPR ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งชุด PAPR ที่คนไทยผลิตขึ้นนี้มีความแตกต่างจากชุด PAPR จากต่างประเทศ ตรงหน้ากากครอบใบหน้าและศีรษะที่สามารถใช้งานซ้ำได้ โดยได้รับใบรับรองว่ามีความปลอดภัย 100% รวมทั้งสามารถซักล้างทำความสะอาดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกด้วย"

ศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กล่าวว่า "มูลนิธิขอขอบคุณสำหรับกำลังใจ และการสนับสนุนภารกิจสู้โควิด-19 สำหรับชุด PPE และแอลกอฮอลล์ที่ได้รับมอบจากคาวาลลิโนมอเตอร์ในครั้งนี้ เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นอย่างมากในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและอาสาสมัครกู้ภัยทุกท่านที่ทำงานในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งวิกฤตขึ้นทุกขณะ โดยมีภารกิจหลักของทั้งด้านสังคมสงเคราะห์ ทั้งการส่งข้าวกล่องตามชุมชนต่าง ๆ การจัดหายาที่จำเป็นเพื่อนำส่งในชุมชนต่าง ๆ รวมไปถึงภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตซึ่งล้วนเป็นภาระที่หนักมาก และต้องทำงานแข่งกับเวลา"

"ทุกวันนี้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ชุด PPE มีความจำเป็นสำหรับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมากในการป้องกันตัวเองจากการสัมผัสกลุ่มผู้ป่วยตลอดเวลา รวมทั้งแอลกอฮอลล์ทำความสะอาด ซึ่งต้องใช้เป็นจำนวนมากในแต่ละวันสำหรับเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครที่ช่วยเหลือภารกิจโควิด -19 ร่วมร้อยคน ซึ่งทุกคนได้ผ่านการอบรมการปฏิบัติงานภายใต้มาตรการโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่และถอดชุด PPE ที่ถูกต้อง การฆ่าเชื้อและทำความสะอาดรถที่ใช้ขนส่งผู้ป่วย เพื่อพ่นฆ่าเชื้อตลอดการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย"
#3030


บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) รับรางวัล เวิลด์ แบรนดิ้ง อวอร์ด (World Branding Awards) ในฐานะแบรนด์แห่งปี (Brand of the Year : National Tier 2020-2021) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สำหรับ แบรนด์ พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และแบรนด์ คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) โดยทั้ง 2 แบรนด์ถือเป็นแบรนด์ไทยเพียงแบรนด์เดียวที่ได้รับรางวัลในหมวดธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน (Petrol/Gas Category) และหมวดธุรกิจกาแฟ (Retailer-Coffee Category) ตามลำดับ ถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของ โออาร์ ในการมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดความสำเร็จของโมเดลธุรกิจในประเทศเพื่อก้าวสู่สากลจนเป็นที่ยอมรับในเวทีชั้นนำระดับโลก และแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของ โออาร์ ในการนำพาแบรนด์ไทยไปเติบโตในต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และความภาคภูมิใจให้กับคนไทย และเป็นไปตามกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของ โออาร์ ที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน ตอบโจทย์คนเดินทางในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ทั้งนี้ รางวัล เวิลด์ แบรนดิ้ง อวอร์ด (World Branding Awards) เป็นรางวัลที่มอบให้กับแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ เวิลด์ แบรนดิ้ง ฟอรั่ม (World Branding Forum) เป็นผู้ตัดสิน ด้วยหลักเกณฑ์ 3 ด้าน ได้แก่ การประเมินคุณค่าของแบรนด์ (Brand Valuation) การได้รับการยอมรับจากสาธารณชนผ่านระบบออนไลน์ และผลการวิจัยผู้บริโภคในตลาดนั้น ๆ

ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจน้ำมันของ โออาร์ ครองส่วนแบ่งตลาดรวมน้ำมันเป็นอันดับ 1 ในประเทศมายาวนานกว่า 27 ปี โดยมีธุรกิจที่โดดเด่น ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ซึ่งมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันครอบคลุมทั่วประเทศรวมกว่า 2,024 แห่ง และในประเทศลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และเมียนมา รวมกว่า 343 แห่ง อีกทั้งยังมีธุรกิจร้านกาแฟ คาเฟ่ อเมซอน ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างดี โดยมีจำนวนสาขาในประเทศรวมกว่า 3,432 สาขา และในประเทศลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เมียนมา สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น โอมาน และเวียดนาม รวมกว่า 297 สาขา
#3031
 ข้าวสุขภาพ  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวมะลินิลออร์แกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice) ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวกล้องปะกาอำปึลออร์แกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวหอมมะลิแดงออแกนิค เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3.ข้าวปะกาอำปึลเพื่อสุขภาพ 
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิก


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 
 
#3032


วันนี้ (24 ส.ค.) จากการที่สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ผุดโครงการสนับสนุนการเรียนออนไลน์ให้แก่นักเรียน นักศึกษาทุกระดับในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ไปจนถึงการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) โดยจัดโปรเน็ต 79 บาทเป็นระยะเวลา 2 รอบบิลตั้งแต่ 15 ส.ค.-15 ต.ค.2564 เพื่อส่งเสริมการศึกษาออนไลน์และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ครัวเรือนในช่วงสถานการณ์โควิด โดยกระทรวงศึกษาจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเลขหมายโทรศัพท์ หรือ อินเทอร์เนตบรอดแบนด์จากโรงเรียนต่างๆ ในสังกัดนำส่ง กสทช. ซึ่งคาดว่าจะมีเด็กนักเรียนเข้าร่วมโครงการกว่า 6 ล้านคน ใช้งบกว่า 1,200 ล้านบาทนั้น

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ล่าสุด สำนักงานกสทช.ได้สั่งชะลอการดำเนินโครงการดังกล่าวออกไป เนื่องจากตรวจสอบพบว่า รายชื่อนักเรียน นักศึกษาทุกระดับชั้นที่ส่งมายัง กสทช.มีหลายแห่งที่พบความผิดปกติ โดยพบว่า ทั้งโรงเรียนมีการลงทะเบียนใช้ซิมบรอดแบนด์จากค่ายมือถือรายหนึ่งเพียงรายเดียวทั้งโรงเรียน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้

เพราะตามปกตินักเรียน หรือผู้ปกครองที่ต้องซื้อให้ลูกหลานจะซื้อซิมกระจายไปยังค่ายมือถือต่างๆ ตามโปรโมชั่นที่แต่ละค่ายให้ไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่โรงเรียนใดจะเหมาซิมมาแจกจ่ายให้กับนักเรียนในสังกัดแบบ 100% จึงเชื่อว่า น่าจะมีการตุกติกหรือทุจริตเกิดขึ้น กสทช.ขอให้ทางกระทรวงศึกษาตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์ อีกครั้ง เนื่องจากเกรงว่าจะถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางราย เพราะแพ็คเกจสนับสนุนและช่วยเหลือนักเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เป็นโครงการ ที่กระจายไปยังผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกรายตามสัดส่วน market Share ในตลาด โดยไม่ได้เจาะจงหรือจำกัด ให้ใช้ซิมของค่ายใดค่ายหนึ่ง จึงทำให้ยอดนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับสิทธิ์ ในโครงการนี้ เฟสแรก ณ วันที่ 18 สิงหาคม มีเพียง 3 % เท่านั้นจากจำนวนรายชื่อที่กระทรวงศึกษาส่งมากว่า 3 ล้านรายชื่อ ส่งผลทำให้นักเรียนไม่ได้รับผลประโยชน์ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของ กสทช.พบว่า มีบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายหนึ่งที่อยู่ในเครือกลุ่มทุนยักษ์ที่รับรู้กันดีว่ากำลังรุกกินรวบทุกธุรกิจในไทยได้อาศัยช่วงที่กสทช.กำลังเตรียมการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดลงพื้นที่ เพื่อทำการแจกซิมอินเทอร์เน็ตฟรีให้แก่โรงเรียนต่างๆ โดยอ้างว่า เป็นโครงการความร่วมกับ กสทช.และต้องใช้ซิมดังกล่าวเท่านั้น จึงจะลงทะเบียน access โดยได้รับการอุดหนุนค่าใช้จ่ายเน็ตจากโครงการดังกล่าวได้ ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนหลายแห่งหลวเชื่อส่งรายชื่อนักเรียนไปให้มือถือค่ายนี้แก้ไขศิมที่ใช้ เพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ซิมมอถือหรือซิมเน็ตบรอดแบนด์ของตนแทน เพื่อหวังจะกินรวบโครงการนี้ที่ครดว่าจะมีนักเรียนนักศึกษาได้รับอานิสงทั้งหมดร่วม 6 ล้านราย

"เป็นไปได้อย่างไร ที่ทั้งโรงเรียนจะใช้ซิมอินเทอร์เน็ตจาก Operator ค่ายใด ค่ายหนึ่งกันทั้งโรงเรียน ทำให้เห็นว่าแม้แต่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผู้คนตลอดจนนักเรียนนักศึกษากำลัง เดือดร้อนขายมือถือค่ายนี้ก็ยังสบช่องหากินบนความทุกข์ร้อนของประชาชนได้ ล่าสุดกสทช.มีการเรียกประชุม Operator ทุกราย พร้อมแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้รับทราบ และแจ้งเตือนให้ Operator บางรายที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หยุดการกระทำที่จะส่งกระทบกับแผนการดำเนินงานของมาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สำหรับการเรียนออนไลน์แล้ว"

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเผยว่า แม้กสทช.จะสั่งชะลอการดำเนินโครงการออกไป จนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น Operator รายนี้ก็ยังฉกฉวยประโนชน์โดยงัดเอาโปรโมชั่นที่ตัวเองทำร่วมกับ กสทช. ออกมาขายเพิ่มเติม จนสร้างความสับสนในตลาด เพราะผู้บริหารของโรงเรียนหล่ยแห่งกลัวจะโดนหางเลขหากมีการตรวจสอบย้อนหลังโครงการนี้ และพบว่ามัการสอดมส้นำเอาซิมบรอดแบนด์ของค่ายมือถือบางรายเข้ามาสวมสิทธิ์ให้กับเด็กนักเรียนในโครงการ
#3033
ข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์  ข้าวกล้องอินทรีย์ส่งทั่วไทย#ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวสุขภาพมะลินิล คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคสำหรับทารกเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6bf1bev6bzbun6ssb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3.  ขายข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ออร์แกนิค จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง6.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 
 
#3034
ทราบไหมว่า รถพยาบาล นอกเหนือจากการที่จะเป็นรถรับส่งคนไข้กรณีฉุกเฉินเพื่อให้ผู้เจ็บป่วยไปถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด ตามที่คนส่วนมากคุ้นเคยและรู้จักบริการนี้กันมากที่สุดแล้ว ยังมีบริการโยกย้ายผู้ป่วยติดเตียง ให้เดินทางไปเจอหมอตามโรงพยาบาลต่างๆหรือจะย้ายที่คนป่วยเพื่อให้ไปทำธุรกรรม หรือร่วมกิจกรรมต่างๆกับครอบครัว ยกตัวอย่างเช่น ร่วมงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน รถพยาบาลเอกชนก็สามารถให้บริการได้ทั้งหมดเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายด้านการเดินทางให้กับทั้งตัวผู้ป่วยติดเตียงและก็เครือญาติของคนป่วยเหล่านั้น แล้วก็นอกเหนือจากนี้ยังมีบริการอื่นๆนอกเหนือจากการรับส่งคนไข้ ที่รถพยาบาลพร้อมให้บริการอีกมากมาย





ทั้งหมดที่กล่าวไปสามารถเรียกใช้บริการจาก รถพยาบาลเอกชน TG 2 Ambulance Service ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเรียกใช้งานได้จากทุกพื้นที่ทั่วทั้งประเทศไทย ทั้งยังการย้ายที่คนป่วยเร่งด่วน ผู้เจ็บป่วยตรวจตามแพทย์นัดหมาย รถรับส่งผู้ป่วยกลับไปอยู่ที่บ้านพัก ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล หรือกลับภูมิลำเนาที่ต่างจังหวัด คนไข้ย้ายโรงพยาบาล ส่งรักษาต่อตามสิทธิ์ รวมทั้งผู้เจ็บป่วยไปทำธุรกรรมต่างๆอาทิเช่น ไปธนาคาร ติดต่องานราชการ รวมถึงไปร่วมงานบุญต่างๆ โดยทีมพยาบาลของ TG 2 Ambulance Service นั้นสามารถเชื่อถือและก็วางใจได้ เพราะพร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมเวชกิจฉุกเฉิน มีความชำนาญสำหรับในการดูแลผู้เจ็บป่วย รวมทั้งเปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์การทำงาน รวมทั้งมีความพร้อมในเรื่องของออกซิเจน ชุดปฐมพยาบาล เครื่องไม้เครื่องมือยกเคลื่อนย้ายผู้เจ็บป่วยที่ทันสมัย นอกเหนือจากเครื่องมือจะทันสมัยแล้ว รถพยาบาลก็ทันสมัยเช่นกัน รถยนต์ทุกคันของ TG 2 Ambulance Service มีการปรับระบบช่วงล่างของตัวรถเพื่อลดการกระแทก ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าผู้ป่วยที่เข้ารับบริการจะถูกเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย ไม่ทำให้ญาติคนที่อยู่รอบข้างจะต้องเป็นกังวลแน่นอน





ทาง TG 2 Ambulance Service ยังมีบริการรถพยาบาลอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ บริการรถพยาบาล สแตนบาย บริการภาคสนามเต็มรูปแบบ ประกอบด้วยทีมงานรถพยาบาลครบทีม พร้อมพยาบาลวิชาชีพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผ่านการอบรมเวชกิจฉุกเฉิน ที่มากประสบการณ์ในการทำงานด้านสแตนบาย หากจะจัดงานอีเวนท์ หรืองานที่รวมผู้คนไว้จำนวนมาก ก็ควรมีทีมดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญคอยประกบดูแลเฝ้าระวังเพื่อให้มั่นใจว่า ถ้าผู้มาร่วมงานบาดเจ็บหรือเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็ยังมีทีมที่คอยดูแลให้ปลอดภัย ราวกับสำนวนสุภาษิตที่ว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ตัวอย่างงานที่เคยให้บริการรถพยาบาลแสตนบายมีมากมาย อาทิเช่น งานแข่งกีฬาต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานวิ่งมาราธอน แข่งขัน. เทนนิส ยิงปืน, งานอีเวนท์ ยกตัวอย่างเช่น งานคอนเสิร์ต งานแสดงสินค้า งานกินเลี้ยง ประชุมสัมมนา งานประเพณีลอยกระทง งานปีใหม่ งานวันสงกรานต์, งานทัวร์ ให้ติดตามคณะทัวร์ ดูแลระหว่างที่กำลังทำกิจกรรมในกลุ่มทัวร์, และก็ยังให้เช่ารถพยาบาล สำหรับซ้อมแผนหนีไฟ เช่าไปถ่ายละคร โฆษณา ภาพยนตร์ และก็สื่อบันเทิงอื่นๆ รวมถึงเช่าเพื่อไปประจำโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆก็ได้ หากผู้ใดที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่สนใจหรือมีคนรอบข้างกำลังต้องการรับบริการรถพยาบาลเอกชนทั้งยังการรับส่งคนไข้และการแสตนบายภาคสนาม สามารถติดต่อทางเบอร์โทรศัพท์: 083-816-8889, 092-269-3360 หรือทางไลน์ผ่าน ID: ambulancetg2 ได้เลย

#3035


ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในวันจันทร์(23ส.ค.) หลังจากขยับลงมา 7 วันติดเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 จากแรงช้อนชื้อและดอลลาร์อ่อนค่า ปัจจัยหลังนี้ทองคำดีดตัว ขณะที่วอลล์สตรีทปิดบวกอย่างแข็งแกร่ง จากข่าวคราวแง่บวกที่ช่วยปัดเป่าความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 3.32 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ฟื้นตัวจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งดิ่งลงหนักเกือบ 9% ถือเป็นสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน และเป็นการปรับลด 2 ใน 3 สัปดาห์หลังสุด ในขณะที่สัญญาเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียตในวันศุกร์(20ส.ค.) แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงช่วยดันให้ราคาทองคำในวันจันทร์(23ส.ค.) ฟื้นตัวแรงเช่นกัน ขยับเหนือ 1,800 ดอลลาร์อีกครั้ง โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 22.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,806.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกแข็งแกร่งในวันจันทร์(23ส.ค.) ได้แรงหนุนจากข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์และความเคลื่อนไหวอนุมัติวัคซีนโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนจับตาไปที่การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 215.63 จุด (0.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,335.71 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 37.86 จุด (0.85 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,479.53 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 227.99 จุด (1.55 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,942.65 จุด

วอลล์สตรีทได้แรงหนุนจากยอดขายบ้านที่แข็งแกร่งเกินคาดหมายของสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นักลงทุนจับตาไปที่คำแถลงในวันศุกร์(27ส.ค.) ของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ณ ที่ประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ซึ่งคาดหมายว่าเขาจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

(ที่มา:มาร์เก็ตวอตช์/เอเอฟพี)
#3036


สำหรับสังคมชาวจีน ดูเหมือนว่า การสืบทอดวงศ์ตระกูลนั้นแทบจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ กับครอบครัวทั่วไป การเริ่มต้นสร้างครอบครัวอาจต้องมีการรัดเข็มขัด มีความจุกจิกด้านการเงิน ในขณะที่มหาเศรษฐีมักจะส่งเสริมให้คู่สามีภรรยามีลูกเร็วๆ โดยใช้เงินสด เพชรพลอย ไม่ก็คฤหาสน์หรู เป็นเครื่องล่อใจลูกสะใภ้ โดยเฉพาะหากได้ทายาทเป็นลูกชาย ยิ่งสุดๆ ไปเลย

มาริโอ โฮ & หมิงซี



หลังจากลูกชายของเจ้าพ่อกาสิโน สแตนลีย์ โฮ อย่าง มาริโอ โฮ สมรสกับนางแบบสาวสวยชาวจีน หมิงซี ได้ไม่นาน พวกเขาก็ได้ทายาทเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ ซึ่งกลายเป็นหลานชายคนแรกของมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง คิดดูสิว่า พวกเขาจะฉลองกันยิ่งใหญ่ขนาดไหน



เหลียงออนไค แม่ของมาริโอ รับขวัญหลานชายทันที ด้วยบ้านสุดหรูมองเห็นวิวอ่าวดีพวอเทอร์ในฮ่องกง มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

แจคกี เหิง & บีอา เฮย์เดน





ตอนที่ แจคกี เหิง นักแสดงฮ่องกง และ บีอา เฮย์เดน นักแสดงสาวไต้หวัน มีทายาทเป็นลูกสาวคนแรกในช่วงใกล้วันไหว้พระจันทร์ของปีที่ผ่านมา คุณย่ามหาเศรษฐี ทิฟฟานี เชง ก็ได้ซื้อแมนชันหรู ในย่านซินยี่ กรุงไทเป มูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงให้ โดยทิฟฟานี ได้โชว์ภาพการตกแต่งที่เรีนบง่ายแต่น่าอยู่ให้กับเว่ยป๋อด้วย

เคนเนท ฟอค & กั๊วจิงจิง





หนึ่งในคู่แต่งงานที่มีงานแต่งที่หรูหราฟู่ฟ่าที่สุดในฮ่องกง ระหว่างนักธุรกิจหนุ่มกับแชมป์โอลิมปิคว่ายน้ำหญิง 4 สมัย ได้ของรับขวัญลูกคนแรกเป็นคฤหาสน์หลังโต เป็นบ้าน 3 ชั้นติดถนนบีชโร้ด ในย่านรีพัลส์เบย์ มูลค่า 160 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง โดยคุณปู่ทิโมที ฟอค เป็นคนซื้อ

ลีกาชิง & เคที ฉุ่ย



หรูหราที่สุดคงไม่มีใครเกิดสะใภ้บ้านนี้ โดยหลังจากที่ เคที ฉุ่ย นักแสดงค่ายทีวีบี ได้มีทายาทให้ครอบครัวของ "เจ็กสี่" ลีเชากี นักธุรกิจใหญ่ชาวฮ่องกง ลูกของเธอก็ได้ที่ดินรับขวัญมูลค่า 18,200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ที่สร้างแมนชันบนพื้นที่ได้ถึง 3 หลัง -- นี่ขนาดว่าได้ลูกสาวนะจ๊ะ หนังสือพิมพ์โอเรียนทัล เดลีนิวส์ ยังรายงานว่า เคที ยังได้รับเรือยอชต์ มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ สำหรับทุกๆ สมาชิกใหม่ที่ลืมตาดูโลกอีกด้วย
#3037
ข้าวออแกนิคคือ  ข้าวสุขภาพส่งทั่วไทย   ข้าวออแกนิคคือ ข้าวปลอดสาร    ส่งออกข้าวปลอดสาร   ความหมายของข้าวปลอดสาร  ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร
 
การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( การปลูกข้าวออร์แกนิค
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม เครือข่ายข้าวออร์แกนิคสุรินทร์
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์  ส่งเสริม ผลิตข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  เครือข่ายข้าวอินทรีย์สุรินทร์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique ส่งเสริม ผลิตข้าวอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์   ขายข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์

 

 

 

 

 
 
#3038


เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ไม่พอใจการเล่นรุนแรงของนักเตะ เบิร์นลีย์ หลังเอาชนะไป 2-0 วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม ที่สนาม แอนฟิลด์ เรียกร้อง พรีเมียร์ ลีก ทบทวนการเปลี่ยนกฎ เพื่อปกป้องนักเตะ

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2021-22 แต่ละสโมสรรับทราบตรงกันว่า ผู้ตัดสินจะไม่เป่านกหวีด กรณีเกิดการฟาวล์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อไม่ให้เกมหยุดชะงักเกินความจำเป็น ส่งผลให้ ไมค์ ดีน กรรมการ ไม่ยอมควักใบเหลือง ถึงแม้ ทีมของ ชอน ไดช์ เสียฟรีคิก 12 ครั้ง

บิ๊กบอสชาวเยอรมัน เกิดอาการหัวเสียในจังหวะเล่นนอกเกมของ แอชลีย์ บาร์นส กับ คริส วูด คู่หูกองหน้า ทีมเยือน และตั้งข้อสงสัย การเปลี่ยนกฎนำไปสู่ผลเสียต่อการแข่งขัน

อดีตเทรนเนอร์ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ให้สัมภาษณ์ " หากคุณชอบเกมแบบนี้ เชิญดูมวยปล้ำเถอะ เราพร้อมเสมอสำหรับการแข่งขันตามกติกา และวันนี้ก็เช่นกัน คุณเห็นการแย่ง.ของ (แอชลีย์) บาร์นส และ (คริส) วูด กับ เวอร์จิล (ฟาน ไดจ์ก) และ โจเอล (มาติป) ผมไม่มั่นใจเต็มร้อยว่า ผู้ตัดสินทำถูกแล้ว"

"มันเหมือนเราย้อนเวลาสัก 10-15 กติกาก็เหมือนที่เป็นอยู่ แต่คุณไม่สามารถป้องกันสถานการณแบบนี้ เป้าหมายคือปล่อยให้เกมไหลลื่น แต่ไม่มีใครรู้ความหมายลึกซึ้ง นี่เป็นเกมฟุต.ที่ใครๆ อยากดู แต่มันอันตรายเกินไป"

"ผมชอบการตัดสินที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายรุก ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แต่เราต้องยึดเงื่อนไขข้อหนึ่งว่า ต้องปกป้องผู้เล่น เราไม่สามารถปฏิเสธจุดนั้นได้" นายใหญ่วัย 54 ปี ทิ้งท้าย
#3039


นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าผลการจ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ใน 29 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดนั้นว่า ภาพรวมผลการโอนเงิฃภชคนเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.64) มีการจ่ายเงินเยียวยฃาไป 2 รายการ ดังนี้ รายการแรก เป็นการจ่ายเยียวยา ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน16 จังหวัด จำนวน 249,235 ราย ปรากฎว่า โอนสำเร็จ 217,817 ราย คิดเป็นร้อยละ 87 และโอนไม่สำเร็จจำนวน 31,418 ราย คิดเป็นร้อยละ 13

ที่โอนสำเร็จคิดเป็นเงิน 544,542,500 บาท
ส่วนรายการที่สอง เป็นการจ่ายเยียวยาให้แก่นายจ้างใน 13 จังหวัด จำนวน 16,621 ราย ปรากฎว่า โอนสำเร็จ 16,364 ราย คิดเป็นร้อยละ 98.4 และโอนไม่สำเร็จจำนวน 257 คน คิดเป็นร้อยละ 1.6 ที่โอนสำเร็จคิดเป็นเงิน 694,446,000 บาท ซึ่งเงินในส่วนนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แก่ผู้ประกันตนและนายจ้างไปได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งช่วยลดภาระค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันจากผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินสำนักงานประกันสังคมจะส่งเลขประจำตัวประชาชนไปให้นายจ้าง เพื่อให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างที่เงินยังไม่เข้าดำเนินการผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย เพื่อที่สำนักงานประกันสังคมจะได้โอนเงินให้ทุกวันศุกร์ต่อไป

"การโอนเงินเยียวยาแก่ผู้ประกันตนและนายจ้างตามมาตรการของรัฐบาลในครั้งนี้ ถือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ภาคแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามเจตนารมณ์ของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้เห็นความยากลำบากและมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้ทุกคน ทุกกลุ่ม เดินหน้าต่อไปได้และก้าวข้ามสถานการณ์โควิดในครั้งนี้ไปด้วยกัน"
#3040



การมีสุขภาพผิวหน้าที่ดี--นอกจากต้องให้ความสำคัญกับการล้างหน้าให้สะอาดหมดจด การเลือกใช้ครีม มอยส์เจอไรเซอร์หรือเซรั่มให้เหมาะกับสภาพผิวแล้วนั้น การใช้ "โทนเนอร์" เพื่อมอบความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิวอ่อนล้าให้ได้รับการฟื้นฟู ก็ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญ 

ขอแนะนำ Calendula Toner โทนเนอร์จากดอกคาเลนดูล่า วัตถุดิบจากธรรมชาติที่โด่งดังเรื่องประสิทธิภาพการกักเก็บความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิว

  • Calendula Herbal Extract Toner Alcohol Free โทนเนอร์สูตรอ่อนโยนที่ปราศจากแอลกอฮอล์ — —ไม่เพียงแต่ใช้กลีบดอกคาเลนดูล่าหรือดอกดาวเรืองพันธุ์ไม้พื้นเมืองในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่เก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถันจากแหล่งเพาะปลูกตามธรรมชาติเป็นส่วนผสมหลักแล้วนั้น โทนเนอร์รุ่นขายดีนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนโยนต่อผิวเพราะปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ เป็นโทนเนอร์ที่เหมาะกับผู้ใช้ทุกสภาพผิวโดยเฉพาะในผู้มีผิวหน้ามัน หรือมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายที่ต้องการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างลึกล้ำพร้อมการฟื้นฟูเติมความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ

  • มาพร้อมกับประสิทธิภาพจากสมุนไพรธรรมชาติ
    นอกเหนือจาก "กลีบดอกคาเลนดูล่า" ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระพร้อมคุณสมบัติปลอบประโลมให้ความสบายต่อผิว Kiehl's Toner ขวดนี้ยังมีการหยิบใช้ส่วนผสมที่เป็นสมุนไพรธรรมชาติจากตำราแพทย์ดั้งเดิมอีกหลายชนิด อาทิ "อัลลันโทอิน" หรือสารสกัดจากต้นคอมเฟรย์ที่พบได้ในทวีปยุโรป มีคุณสมบัติพิเศษช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญของการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอให้สมบูรณ์ และยังมีการใช้ "รากโกโบ" จากต้นโกโบสมุนไพรมีชื่อเรื่องการเติมความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้ง

    ในทางการแพทย์มีการนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้เพื่อการลดอักเสบในแผล และเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวแห้งมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อ Kiehl's ได้คัดสรรสมุนไพรเหล่านี้นำมาเป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับโทนเนอร์ Kiehl's ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จึงเป็นนวัตกรรมด้านเวชสำอางที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเพื่อการปลอบประโลมผิว ปกป้องจากอาการแพ้ ลดการระคายเคือง พร้อมเติมความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ในเวลาเดียวกัน 
เพียงหยดโทนเนอร์ ลงบนแผ่นสำลี เช็ดให้ทั่วบริเวณใบหน้าเป็นประจำทุกเช้า และก่อนนอน หรือก่อนแต่งหน้า โดยหลีกเลี่ยงส่วนที่ผิวบอบบางเช่นบริเวณรอบดวงตา โทนเนอร์จะช่วยชำระสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนให้ออกไป พร้อมมอบความชุ่มชื้นฟื้นฟูบำรุงผิวของคุณให้แข็งแรง ทั้งนี้ เนื้อผลิตภัณฑ์สามารถซึมซับสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้หน้ามัน มีกลิ่นหอมซิทรัสอ่อนๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่นแล้วผ่อนคลาย