• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#8074
กลุ่ม JMART บวกยกแผง โบรกฯมองเข้าหมวดโต-ขยายต่อแบบ Inorganic-ลุ้นเข้า SET50

หุ้นกลุ่ม JMART ปรับตัวขึ้นทั้งกลุ่ม โดยเมื่อเวลา 10.26 น. นำโดย JMT ดีดตัวขึ้น 5.76% หรือเพิ่มขึ้น 4.00 บาท มาที่ 73.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 883.61 ล้านบาท

JMART ปรับขึ้น 4.46% หรือเพิ่มขึ้น 2.50 บาท มาที่ 58.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 454.44 ล้านบาท

SINGER ปรับขึ้น 1.40% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท มาที่ 54.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 162.22 ล้านบาท

J ปรับขึ้น 3.72% หรือเพิ่มขึ้น 0.16 บาท มาที่ 4.46 บาท มูลค่าซื้อขาย 16.35 ล้านบาท

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.เจมาร์ท (JMART) ปี 65 แนวโน้มบริษัทในเครือยังอยู่ในทิศทางเติบโต ทั้ง JMT ตามยอดเก็บเงินสดและการขยายพอร์ตฯ NPL เพิ่มเติมด้วยการทำ JV x KBANK ในช่วงกลางปี, SINGER การขยายแฟรนไชส์เท่าตัวและพอร์ตจำนำทะเบียน +47%YoY Mobile +68% การเพิ่มสินค้ากลุ่ม IT,IoTs,Caf ขยายสาขาในรูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ส่วน KBJ +100% เร่งขยายฐานลูกหนี้และสินเชื่อ +50%YoY และ J รับรู้กำไรจาก JAS Kubon เต็มปีและเริ่มโครงการที่พักผู้สูงอายุ (Senera) นอกจากนี้ JVC หาลูกค้ากลุ่ม Digital transformation ประเมินกำไรปกติไตรมาส 1/65 ราว 400 ล้านบาท ทรงตัวสูงเทียบ QoQ,+20%YoY เป็นฐานก่อนการไต่ระดับในช่วงที่เหลือของปี

ขณะที่ JMART ไม่เคยหยุดที่จะมองหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ บริษัทเผยว่าอยู่ระหว่างศึกษาการขยายธุรกิจแบบ Inorganic มากกว่า 20 โครงการในปีนี้ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบร่วมลงทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น JAYDEE (การรวมกลุ่มร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในต่างจังหวัด หนุนธุรกิจเงินผ่อน-ค้าปลีก), จัดตั้ง JSG (JMART 50%,GUNKUL40%,SINGER 10%) เพื่อผลิตสินค้ากลุ่ม smart energy ให้กับเครือ ฯลฯ

เราเชื่อว่าจะยังเห็นอีกหลายโครงการในช่วงที่เหลือของปี เช่น ธุรกิจ F&B,HR,Medical,e-commerce,Technology ล้วนแต่เปิด Upside risk ของกำไรบางส่วนใน 2H65 และเข้ามาเต็มปี 2566

นอกจากนั้น ในระยะสั้นราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจากโอกาสที่จะถูกเข้าคำนวณดัชนี SET50 ช่วงกลางปี แต่ในระยะยาวให้น้ำหนักต่อผลงอกเงยจากบริษัทในเครือจะเป็นแรงหนุนของการเติบโตกำไรปกติในปี 65-66 ที่ 2,082 และ 2,989 ลบ. +68 และ +44%YoY หรือเฉลี่ย (CAGR) 42% ต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า เราปรับราคาเหมาะสมขึ้น 21% เป็น 75.00 บาท/หุ้น อิงวิธี SOTP ตามมูลค่าเหมาะสมของ JMT และ SINGER เพิ่ม 30% และ 11% ที่มีศักยภาพเติบโตได้ดีกว่าคาด โดยยังมี Hidden value จากบริษัทดาวรุ่งใหม่ที่จะเริ่มสะท้อนมูลค่า (JAYDEE,JVC,JGS)

ขณะที่ เมย์แบงก์ ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้น JMT โดยมองว่าไตรมาส 1/65 เป็นฐานการเติบโตของปีนี้ หลังจากยปี 64 กำไรทำสถิติใหม่ที่ 1,400 ล้านบาท +34%YoY แม้เผชิญการ lockdown การเพิ่มทุนในช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรุกในช่วง NPL ในระบบเป็นขาขึ้น ผู้บริหารตั้งเป้าขยายพอร์ตหนี้ฯด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 10,000 ล้านบาท (ใกล้เคียงกับที่เรามอง โดยไม่รวมส่วนเพิ่มจากกการทำ JV) และยอดเก็บเงินสด 5,000 ล้านบาท +10%YoY (ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม vs เราประเมินไว้ 6,000 ล้านบาท+31%YoY) เบื้องต้นประเมินกำไร ไตรมาส 1/65 ราว 430 ล้านบาท -10%QoQ,+52%YoY เป็นจุดต่ำสุดของปีก่อนจะขยายตัวตามพอร์ตหนี้ฯเก่า-ใหม่

จากข้อมูลงบการเงิน ณ สิ้นปีที่ผ่านมา KBANK มี NPL คิดเป็นมูลหนี้ราว 1 แสนล้านบาทโดยยังไม่รวมหนี้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML หรือ Stage 1-2) ที่อาจไหลมาเป็น NPL อีกเกือบเท่าตัว ตามที่ S&P Ratings ประเมิน การเร่งโอนหนี้เสียเข้า JV จะเป็นรูปแบบที่ win-win ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/65 และรับรู้กำไรในไตรมาส 3/65 ที่พร้อมจะทำ All time high

เราประเมินทุกเงินลงทุนใน JV 10,000 ล้านบาท จะสร้าง Upside risk ต่อกำไรตามสัดส่วน (50%) ราว 225 ล้านบาท/ปี หรือ +7% บนฐานกำไรปี 66 (+6.43 บ./หุ้น อิง P/E 40x) ทั้งนี้หากโมเดลข้างต้นสำเร็จจะเป็นตัวอย่างให้กับธนาคารพาณิชย์อื่นใน H2/65 ที่อยู่นอกเหนือประมาณการของเรา

ประเมินกำไรสุทธิปี 65-66 เท่ากับ 2,324 และ 3,465 ล้านบาท +66% และ 49%YoY ตอกย้ำภาพของหุ้นที่อยู่ Growth stage ยังคงชัดเจน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาอยู่บน P/E ปี 65 40x ณ ระดับ +2SD ทว่าเมื่อรวม Upside risk จาก JV ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อกำไรที่จะเพิ่มขึ้นใน 12-18 เดือนข้างหน้า รวมถึงความสม่ำเสมอบนกระแสเงินสดจากฐานลูกหนี้ที่ทนทานต่อปัจจัยลบภายนอกได้ ทำให้ราคาจะสามารถยืนสูงได้ต่อ เราปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 66 เป็น 103 บ./หุ้น อิง 40x ในปี 66 สะท้อน PEG 0.93x บนการเติบโต (CAGR ปี 64-66) +43% ต่อปี
#8075
แบงก์ชาติญี่ปุ่นเสนอซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปีไม่จำกัดจำนวน หวังสกัดบอนด์ยีลด์พุ่ง
 
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เสนอซื้อพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปีแบบไม่จำกัดจำนวน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.25% ซึ่งถือเป็นการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อปกป้องเพดานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ BOJ มีขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ 0.245% ในการซื้อขายช่วงเช้านี้ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ภายใต้กรอบนโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control)

ข้อเสนอดังกล่าวของ BOJ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีที่ 122.78 เยนในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐและญี่ปุ่นจะปรับตัวกว้างขึ้น

"การเสนอซื้อพันธบัตรแบบไม่จำกัดจำนวนซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายนั้น จะช่วยจำกัดการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น การดำเนินการนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษต่อไปสักระยะ"" นายมาซาฮิโระ อิชิคาวะ หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของบริษัทซูมิโมโตะ มิตซุย ดีเอส แอดเซ็ต แมเนจเมนท์กล่าว

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของญี่ปุ่นสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ก่อนหน้านี้นักลงทุนในตลาดการเงินต่างก็จับตาว่า BOJ จะเข้าดำเนินการเพื่อปกป้องเพดานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ระดับ 0.25% เมื่อใด หลังจากหลีกเลี่ยงการดำเนินการดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ภายหลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งทะลุระดับที่ BOJ เคยเสนอซื้อแบบไม่จำกัดจำนวนในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
#8076
'PACO' มั่นใจรถ EV ดันธุรกิจโตแรง ชูจุดแข็งผลิต Battery Cooler ชิ้นส่วนแอร์ครบวงจร

'PACO' บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ ชูธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง รับเมกะเทรนด์ ตลาดรถยนต์ EV บูม เริ่มรับรู้รายได้โปรเจ็คใหญ่ไตรมาสนี้ สนองนโยบายรัฐบาลหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า ดันธุรกิจ OEM เติบโตต่อเนื่อง

นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ PACO เปิดเผยว่า PACO กล่าวว่า PACO เชื่อมั่นว่า บริษัทฯจะได้รับประโยชน์จากนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของเอเชีย เนื่องจาก PACO เป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ (OEM Man.cturer) ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า คือ Battery cooler และ ชิ้นส่วนแอร์รถยนต์สำหรับรถไฟฟ้า (EV) แบบ BEV (Battery EV) และ PHEV (Plug-in Hybrid) ในรูปแบบอะไหล่ทดแทน (REM) เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ'

PACO ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ธุรกิจ OEM หรือ รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ให้ผู้ผลิตรถยนต์ โดยได้เซ็นต์สัญญากับลูกค้าใหญ่รายแรกคือ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า EV และ Plug-in Hybrid (PHEV) ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PACO ได้รับออเดอร์มูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงรองรับกว่า 5 ปี สำหรับธุรกิจ OEM และ รองรับรายได้ 10 ปีสำหรับธุรกิจรับจ้างผลิตอะไหล่ (OES) ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตหลายแห่ง เพื่อนำเสนองานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ OEM ที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวอีกครั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้ค่ายรถยนต์ประกอบรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจำนวนมาก อีกทั้งการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ จำนวนมากของค่ายรถยนต์เข้าสู่ตลาด และPACO มีไลน์การผลิต อุปกรณ์เครื่องจักรมาตรฐานสากล พร้อมผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อีกทั้งมีคู่แข่งน้อยรายในธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่า PACO มีโอกาสรับงานรับจ้างผลิต OEM ได้อีกจำนวนมาก' นายสมชายกล่าวปิดท้าย

PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนของไทยรายแรกที่ ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ สำหรับ Tesla ซึ่งเป็น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลก โดย PACO เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ จากการที่ภาครัฐได้เตรียมออกมาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยหนุนให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยกลับมาดีขึ้น รวมถึงหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง จะช่วยส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาฟื้นตัวทั่วโลก บริษัทฯ ยังคงที่จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดรถยนต์ของไทยและต่างประเทศ'

'สำหรับผลประกอบการประจำปี 2564 ที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 696.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากรายได้รวม 667 ล้านบาทในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นถึง 40 % เป็น 108 ล้านบาท โดยรายได้และกำไรสุทธิของ PACO เติบโตดีขึ้นตามอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง และการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเร็ว และในปี 2565 นี้ PACO คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 20-25% โดยมาจากการเติบโตของธุรกิจหลัก REM ที่ขยายทั้งตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และจากตลาดในประเทศที่ จำนวนสาขา PACO Auto Hub เพิ่มขึ้นเป็น 300 สาขา และ มีกลุ่มสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ หม้อน้ำรถยนต์ คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ อะไหล่ช่วงล่างรถยนต์ ออยล์คูลเลอร์ ไดชาร์จ และไดสตาร์ท เป็นต้น รวมไปถึงขยายไลน์แอร์รถยนต์ในกลุ่มรถหรู (Luxury Cars) ขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจใหม่ OEM จะเริ่มเข้ามาเป็นปีแรก หลังจากเพิ่งได้รับงานเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในปีหน้า กอรปกับตลาดรถยนต์ไทยและตลาดส่งออกหลักของบริษัทฯ คือประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย' นายสมชายกล่าวปิดท้าย
#8077
สนใจทัก
สมัครตัวแทน ทัก
---------------------------------------------------------
Line:@collagen
http://line.me/ti/p/@collagen
FB. https://www.facebook.com/manacollagedipeptide
www.manaok.com
www.manaextra.com
www.manathailand.page
#8078
แอมเวย์ยืนหนึ่งเรื่อง Health & Wellness ตัวจริง เข้าใจอินไซต์คนรักสุขภาพ จัดทัพอาหารเสริมคุณภาพสูง ทุ่มงบปั้นแบรนด์นิวทริไลท์ให้ครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศ

แอมเวย์ประเทศไทยตอกย้ำความเป็นผู้นำ Health & Wellness ชู 'นิวทริไลท์' ตอบโจทย์เทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภค ดึงความเชี่ยวชาญกว่า 80 ปีนิวทริไลท์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพเยี่ยมตลอดปี เน้นลุยแผนสร้างแบรนด์ ส่งภาพยนตร์โฆษณาซึ้งกินใจ ทุ่มงบ 5 เท่า กระจายผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมปั้นนักธุรกิจแอมเวย์ให้เป็น Amway Creators ผ่านกิจกรรม 70 Days Creators Challenge เชื่อมั่นครองใจผู้บริโภคทั่วประเทศ

แอมเวย์เข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคในปัจจุบันที่เน้นการดูแลสุขภาพและเชื่อว่าเทรนด์นี้จะยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง โดยจากสถิติของ Global Health & Wellness Consumer Landscape 2021 พบว่า 80% ของผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มาจากธรรมชาติ 72% เลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเสริมสารอาหาร และ 44% รับประทานวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในปี 2564 ที่ผ่านมาทั้งแอมเวย์โลกและแอมเวย์ประเทศไทยยังคงครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในธุรกิจขายตรง โดยสัดส่วนยอดขายมาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ถึง 70% สอดรับกับเทรนด์รักสุขภาพ โดยในปีนี้เราได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์มากมายตลอดทั้งปี ล่าสุดเพิ่งปล่อยสินค้าใหม่ในกลุ่ม เอ็น บาย นิวทริไลท์ ที่ตรงใจไลฟ์สไตล์ของคน Young Gen และ Young at Heart และโฟกัสสำคัญของปีนี้คือการเพิ่มงบโฆษณามากกว่าเดิม 5 เท่า เสริมแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและครองใจผู้บริโภคในฐานะผู้นำด้าน Health & Wellness อย่างแท้จริง"

สำหรับการเพิ่มงบประมาณด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในปีนี้ มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ สร้างให้แบรนด์เป็น Top of mind ครองใจผู้บริโภคสายสุขภาพ

"แผนการสร้างแบรนด์นิวทริไลท์ในปีนี้ เริ่มจากภาพยนตร์โฆษณาเนื้อหากินใจ ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ชีวิตของคนที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน แต่ก็ต้องการการดูแลสุขภาพและรูปร่างที่เห็นผลได้จริง ซึ่งนิวทริไลท์มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพมากว่า 80 ปีในการคิดค้น วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร้อมโซลูชั่นการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร โดยมีแผนสร้างแบรนด์ผ่านสื่อทีวี บิลบอร์ด และออนไลน์ เชื่อว่าผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายทุกคนจะได้เห็นโฆษณานี้" นายทศพร นิษฐานนท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริม?

นอกจากนี้ แอมเวย์ยังคงเดินหน้าสร้างสกิลเพื่อให้นักธุรกิจแอมเวย์ทั่วประเทศเป็น Health & Wellness Creators ผ่านกิจกรรม '70 Days Creators Challenge - 70 วัน เปลี่ยนความชอบเป็นรายได้ด้วยธุรกิจแอมเวย์' คอร์สอบรมเข้มข้นสอนการสร้างแบรนด์ในแบบของตนเองเพื่อต่อยอดในการทำธุรกิจยุคใหม่ให้น่าสนใจ

"เรามุ่งมั่นให้นักธุรกิจแอมเวย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล จึงจัดกิจกรรม 70 Days Creators Challenge โดยเปิดรับสมัครทีมเข้าเรียนรู้และแข่งขันทำภารกิจตลอด 70 วันต่อเนื่อง เกี่ยวกับการสร้างคอนเทนต์ออนไลน์เพื่อนำเสนอสินค้าให้กับผู้บริโภค รวมถึงการอัปเดตเทรนด์และแพลตฟอร์มใหม่ๆ จากกูรูด้านต่างๆ มีผู้สมัครร่วม 30,000 คน ซึ่งนับเป็นคอร์สอบรมที่ได้รับความสนใจมากที่สุดที่แอมเวย์เคยจัดมา" นายทศพร กล่าวเพิ่มเติม

"แอมเวย์มีการปรับเปลี่ยนแผนงานและพัฒนานวัตกรรมสินค้าให้ก้าวทันกระแสโลกอยู่เสมอ และด้วยเมกะเทรนด์เรื่องการใส่ใจด้านสุขภาพ ตรงกับจุดแข็งของเรา จึงมั่นใจว่าแอมเวย์จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน" นายกิจธวัช กล่าวสรุป
#8079

  รับจ้างโพสต์ขายบ้านที่ดิน รับจ้างโพสขายบ้าน รับโพสต์ขายที่ดิน รั
#8080
ซี-วิท ฉลองความสำเร็จ 10 ปี ผู้นำตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี ชู Data-Driven Marketing เจาะอินไซต์รุกกลุ่มมิลเลนเนียล

ซี-วิท (C-vitt) ฉลองความสำเร็จขึ้นแท่นผู้นำตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี ยอดขายตลอดระยะเวลา 10 ปี รวมกว่า 1.2 พันล้านขวด ด้วยจุดเด่นวิตามินซี 200% รสชาติอร่อย ดื่มง่าย ถูกปากคนไทย ชี้ปัจจัยบวกจากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคใส่ใจ Work-Life Balance และดูแลสุขภาพมากขึ้น รุกตลาดปี 2565 ต่อเนื่อง ด้วยกลุยทธ์ Data-Driven Marketing เจาะอินไซต์สร้างฐานลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียล ปรับแพคเกจเน้นความทันสมัย เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ และขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุม พร้อมอัดแคมเปญเฉลิมฉลองตอบแทนผู้บริโภค ทั้งรูปแบบออนไลน์และออนกราวน์ เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้สังคมสุขภาพดี ส่งเสริมคนไทยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี ตอกย้ำการเป็นแบรนด์เครื่องดื่มวิตามินซี อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

มร. ชิฮิโระ คุราตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮ้าส์ เวลเนส ฟู้ดส์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น บริษัทผู้คิดค้นและพัฒนาเครื่องดื่ม ซี-วิท (C-vitt) กล่าวว่า "ผลิตภัณฑ์ ซี-วิท (C-vitt) เป็นเครื่องดื่มวิตามินซีที่ได้รับการพัฒนามาจากแบรนด์ C1000 ซึ่งเป็นเครื่องดื่มวิตามินซีที่ได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเครื่องดื่มวิตามินซีอื่น ๆ ที่บริษัทเป็นผู้บุกเบิกและมีประสบการณ์มามากกว่า 60 ปี ในประเทศไทย ซี-วิทถือเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดเครื่องดื่ม Functional Drink ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นแบรนด์แรกที่คิดค้นและนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินซี 200% ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติอร่อย ดื่มง่าย ถูกปากคนไทย ส่งผลให้ ซี-วิท ครองแชมป์มาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีมีมูลค่ากว่า 4.5 พันล้านบาท ในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งซี-วิทครองส่วนแบ่งตลาดที่ 59.4%

นอกจากนี้แล้ว ในยุคที่ผู้บริโภคเป็นผู้ค้นหาข้อมูล แบรนด์ที่มีคุณภาพและไม่หยุดพัฒนาจะเป็นแบรนด์ที่อยู่รอดในตลาด เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ ซี-วิท ที่มีการค้นคว้าและวิจัยในเรื่องคุณภาพตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น และได้มีการพัฒนาสินค้าใหม่ ภายใต้แนวคิดเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ (Healthy Body & Mind) ออกมานำเสนอให้ผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้แบรนด์เป็นที่ต้องการของตลาด โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายรวมไม่ต่ำกว่า 1.2 พันล้านขวด นอกจากความสำเร็จดังกล่าวนี้ ซี-วิท เตรียมเร่งขยายไปยังตลาดในแถบประเทศภูมิภาคอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคสูง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมสุขภาพดีในวงกว้างสืบเนื่องต่อไป"

นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม ซี-วิท (C-vitt) ในประเทศไทย กล่าวว่า "โอสถสภาร่วมสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ซี-วิทในประเทศไทยมาตลอด 10 ปี โดยดูแลการผลิตและจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายช่องทางการขายที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ นอกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซี-วิทก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีในประเทศไทยคือความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค และสามารถตอบความต้องการเหล่านั้นได้อย่างตรงจุด ควบคู่ไปกับการมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและการรักษาคุณภาพสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ในปี พ.ศ.2565 นี้โอสถสภามองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวและดูแลสุขภาพมากขึ้น หลังจากที่ต้องเผชิญกับมลพิษ อาทิ ฝุ่น PM 2.5 รวมไปถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้เตรียมทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดี (Healthy Body & Mind) นอกจากนี้ ยังได้เตรียมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เกต และร้านค้าชั้นนำทั่วไปแล้ว ยังได้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายบนแพลทฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งส่งสินค้าตรงถึงบ้าน ช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น"

ทางด้าน มร. โอซามุ โซมะ ประธานบริหาร บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ ซี-วิท (C-vitt) และผู้ดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในประเทศไทย กล่าวว่า "สำหรับแผนการตลาดในปีนี้ จะขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ Data-Driven Marketing ด้วยการดึงอินไซต์หรือข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค มาใช้เป็นข้อมูลในการจัดกิจกรรมทางการตลาดรวมถึงการสื่อสารและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรูปลักษณ์หรือแพคเกจใหม่ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาส 10 ปี แห่งความสำเร็จ และขอบคุณบริโภคชาวไทยที่ให้การตอบรับผลิตภัณฑ์ซี-วิท ด้วยดีมาโดยตลอด ซี-วิท ยังได้เตรียมแคมเปญ CRM (Customer Relationship Management) สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยแบ่งออกเป็น Online Activity การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ผ่าน C-vitt Line Official Account และคอนเทนท์เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ของซี-วิท และ On-Ground Activity รูปแบบกิจกรรมเพื่อสร้างสรรค์การมีสุขภาพที่ดีทั้งด้านจิตใจและร่างกาย โดยคาดว่าจะจัดขึ้นภายหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

มร. โอซามุ โซมะ กล่าวต่อว่า "จากการดำเนินตามแผนการตลาดที่วางไว้ ตั้งเป้าภายในปี 2565 ซี-วิท จะยังครองแชมป์อันดับ 1 ของตลาดเครื่องดื่มวิตามินซี และจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 65% ภายในปีนี้ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าในอนาคตอีก 10 ข้างหน้า แบรนด์ ซี-วิท จะยังคงเป็นแบรนด์ในใจอันดับหนึ่งของผู้บริโภคชาวไทยต่อไป"
#8081
'พาณิชย์ - DITP' เดินหน้าบ่มเพาะแบรนด์ไทยให้เป็นแบรนด์ BCG Heroes ระดับโลก เพิ่มขีดความสามารถ สร้างจุดแข็ง และชูอัตลักษณ์รับ Megatrends ในตลาดสากล

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP เปิดตัวกิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทย รุ่นที่ 5 หรือ IDEA LAB 5 ส่งเสริม SMEs ไทยมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ BCG Heroes สร้างจุดแข็ง ชูอัตลักษณ์แบรนด์รับ Megatrends ในตลาดสากล และสอดคล้องกับรูปแบบชีวิต Next Normal ปีนี้ผู้ประกอบการให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมกว่า 293 แบรนด์

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย สร้างจุดแข็งให้กับสินค้าและบริการไทย เพื่อตอบสนองความต้องการ Megatrends และความต้องการของผู้ประกอบการในยุค Next Normal โดยเน้นส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้มีศักยภาพสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของตนเองได้ มีความพร้อมด้านการค้าและเศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อสร้างผู้ส่งออกรายใหม่ (New Faces) และยกระดับผู้ประกอบการท้องถิ่นในทุกภูมิภาคของไทยสู่ตลาดโลก หรือ Local To Global จึงเกิดเป็นกิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทย หรือ IDEA LAB ขึ้นมา

'กรมฯ ได้ผลักดันให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ทางการค้าที่ดี เป็นที่เชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลก โดยยกโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นแนวทางที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพ SMEs ไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากการค้าออนไลน์ระหว่างประเทศ ช่วยขยายตลาดสินค้ากลุ่ม BCG ในยุค Next Normal ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยคาดหวังให้กิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทยนี้ ช่วยสร้างผู้ประกอบการที่มีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น สร้างแบรนด์ภูมิภาคให้เป็นแบรนด์ต้นแบบประจำท้องถิ่น ได้นำความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม การออกแบบ และการสร้างแบรนด์ มาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ ให้แบรนด์ไทยเป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก มุ่งยกระดับสู่การเป็นแบรนด์ BCG Heroes ซึ่งจากการดำเนินงานโครงการ 4 รุ่นที่ผ่านมาได้สร้างผู้ประกอบการจำนวน 65 ราย และทำให้ผู้ประกอบการได้รับการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในด้านการสร้างแบรนด์อย่างเป็นรูปธรรม โดยแต่ละรายได้แนวทางกลยุทธ์แบรนด์ของตนเอง ค้นพบอัตลักษณ์จุดแข็ง และความท้าทายของตนเอง สามารถเพิ่มศักยภาพของธุรกิจในเวทีสากล'

สำหรับ กิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทย รุ่นที่ 5 หรือ IDEA LAB 5 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด 'Local Brand Building for Global Market' เน้นส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในทุกภูมิภาค ในด้านการสร้างคุณค่าของแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับและให้สามารถขยายมูลค่าการค้าระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืน โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในปีนี้ มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 293 แบรนด์ โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เน้น 3 กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพในทางการตลาด ได้แก่ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม และกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์และหัตถกรรม ซึ่งมีกิจกรรมใน 2 รูปแบบ ได้แก่ ช่วงที่ 1 การสัมมนาด้านการสร้างแบรนด์ เพื่อสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางด้านการสร้างแบรนด์ ได้รับเกียรติจากผู้บริหารองค์กรธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ชั้นนำ ระดับแนวหน้าของประเทศ ที่จะมาให้ความรู้ด้านการสร้างแบรนด์แบบรอบด้าน อาทิ นางสาวศศิภาส์ มงคลนาวิน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท โอกิลวี่ ประเทศไทย จำกัด, นายทรงพล เนรกัณฐี แบรนด์และนักการตลาดเชิงกลยุทธ์, นายสุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบและสื่อสารแบรนด์ชุมชน, นายณทัต ณ สงขลา ผู้ก่อตั้ง The Double Rabbits Creation Agency, นายดำรงค์ พิณคุณ ประธานกรรมการเครือ บริษัท เรสเตอร์ กรุ๊ป, นายอธิคม วัชชลาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า, นายสุทธิเกียรติ สุทธิธรรม ที่ปรึกษาด้านประสบการณ์ผู้บริโภค องค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise CX Advisor), Twilio, นายสมชนะ กังวารจิตต์ ผู้ก่อตั้ง Prompt Design เป็นต้น จากนั้นผู้ที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 2 ช่วงจะถูกคัดเลือกเหลือ 30 แบรนด์ เพื่อเข้าสู่กิจกรรมใน ช่วงที่ 2 การอบรมเชิงลึก และคัดเลือกเหลือ 15 แบรนด์สุดท้าย ซึ่งจะรับการพัฒนากลยุทธ์การสร้างแบรนด์เฉพาะราย โดยให้ผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญร่วมกันค้นหาจุดแข็งและการสร้างความแตกต่าง รวมไปถึงแนวทางการสื่อสารแบรนด์เพื่อนำไปสู่การสร้างคู่มือแบรนด์ (Brand Bible) ต่อไป

สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร.1169
#8082
 ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสิ้นสุดการอรอ สีทรีทเม้นท์แฟชั่นเข้ามาครบทุกเฉดสีแล้วจ้ะ สีย้อมผมผสมทรีทเม้นท์ บำรุงดูแลรักษาผม 
เนื้อสีแน่น ติดทน ไม่ต้องผสมไฮโดรเจน ไม่มีแอมโมเนีย สามารถลงได้เลย มีให้เลือกถึง 11 เฉดสีกันเลย
โดย บริษัท โมเดิร์น แฟนตาซี จำกัด ผู้นำเข้า-ส่งออก 
 ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเครื่องไม้เครื่องมือ
 อุปกรณ์ไฟฟ้า 
 ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมรวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆเกี่ยวกับเส้นผม 
ภายใต้แบรนด์ ENIE(เอนี่)


https://bit.ly/3JKFwpv
#8083
 รับจ้างโพสบ้านที่ดิน   อันดับ1 สร้างโอกาสการขายที่ดีกว่ามาก ถูกที่สุด รั
#8084
สามารถแอดไลน์ @pkgroup เพื่อสอบถามราคา หรือข้อมูลต่างๆ
#8085
​​​​​​​https://katoacademy.com/facebook-ads/
สอนเฟสบุ๊ค สอนยิงแอดเฟสบุ๊ค