• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Fern751

#3221


ฝ่ายประชาสัมพันธ์สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า เนื่องจากกระแสข่าวที่ปรากฏว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ต้องเดินทางโดยรถบัสจากจังหวัดภูเก็ตไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางกลับประเทศ สาเหตุเพราะสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้ออกคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 2564 ห้ามสายการบินที่ให้บริการผู้โดยสาร (Passenger Flight) ทำการบินเที่ยวบินภายในประเทศรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ซึ่งเป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคของ ศบค.

กพท. ขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน ดังนี้

1.ประกาศเรื่องแนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ฉบับที่ 3) ออกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 ที่กระแสข่าวอ้างถึง นั้นยกเว้นเที่ยวบินที่เกี่ยวข้องกับโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศ (แซนด์บ็อกซ์ Sandbox)


2.แม้ขณะนี้ไม่มีเที่ยวบินประจำตามตารางเวลา ให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางระหว่างจังหวัดภูเก็ตและกรุงเทพมหานคร แต่ กพท. เปิดให้สายการบินขออนุญาตทำการบินในลักษณะเช่าเหมาลำ (Charter Flight) จากจังหวัดภูเก็ตมายังสุวรรณภูมิได้ แต่ด้วยข้อจำกัดในด้านของจำนวนผู้โดยสารอาจทำให้สายการบินพิจารณาไม่จัดเที่ยวบินไปจังหวัดภูเก็ตเพื่อไปรับนักท่องเที่ยวแซนด์บ็อกซ์ เนื่องจากพิจารณาแล้วอาจจะไม่คุ้มในการปฏิบัติการบิน

3.ปัจจุบันยังมีเที่ยวบินให้บริการจากจังหวัดภูเก็ตไปยังสนามบินอู่ตะเภาฯ จังหวัดระยอง ซึ่ง กทพ. ได้ประสานและกำชับสายการบินว่าให้อำนวยความสะดวกกับผู้โดยสาร โดยการจัดรถรับ-ส่งไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อบรรเทาปัญหาการเดินทางของนักท่องเที่ยวโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ระหว่างที่ยังไม่มีสายการบินใดให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำในเส้นทางดังกล่าว
#3222


วันที่ 8 ส.ค. เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้บริการฉีดวัคซีนนอก รพ. "หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย" ณ ศูนย์การค้า เดอะมอลล์ บางแค โดยมี ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสำนักการแพทย์ ผู้บริหารเขตบางแค นางสาวกฤษณา อัมพุช รองประธานกรรมการ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแค

ผู้บริหารเครือโรงพยาบาล BDMS กรุงเทพดุสิตเวชการ โดยโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ผู้บริหารจากคณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ผู้บริหารสถานประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยม


สำหรับสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล หรือ "หน่วยความร่วมมือบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-หอการค้าไทย" ณ ศูนย์การค้า เดอะมอลล์ บางแค เป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานคร - หอการค้าไทย - เดอะมอลล์ บางแค เครือโรงพยาบาล BDMS กรุงเทพดุสิตเวชการ คณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 หน้าโรงภาพยนตร์ SF CINEMA

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. สามารถให้บริการฉีดวัคซีน จำนวน 4,000 คน/วัน ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สัญชาติ ไทย อาศัยอยู่ใน กทม. ผู้ที่ตั้งครรภ์ และประชาชนที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี ที่ลงทะเบียนผ่านโครงการ "ไทยร่วมใจ" กรุงเทพฯ ปลอดภัย SAFE BANGKOK ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือเว็บไซต์ www.ไทยร่วมใจ.com หรือร้านค้าสะดวกซื้อ ได้แก่ เซเว่น อีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท ท็อปส์ เดลี่ และมินิบิ๊กซี ที่มีคิวฉีดวัคซีนเดิมลงทะเบียนไว้วันที่ 1-8 ก.ค. 64 โดยให้มาฉีดวัคซีนในวันที่ 7 - 10 ส.ค. 64
#3223


ซีเอ็นเอ็น เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐฯ ไล่ออกพนักงาน 3 คน จากกรณีมาทำงานทั้งที่ยังไม่ฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ตามรายงานของสำนักข่าวหลายแห่งของอเมริกาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว

กรณีนี้นับเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกๆที่บริษัทหนึ่งๆดำเนินการไล่ออกพนักงาน โทษฐานที่ละเมิดระเบียบข้อบังคับฉีดวัคซีนของทางบริษัท ในขณะที่มาตรการบังคับพนักงานฉีดวัคซีนของบริษัทต่างๆ เป็นสิ่งชอบธรรมตามกฎหมายในสหรัฐฯ

เวลานี้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเฟซบุ๊กและกูเกิล เผยว่าจะบังคับพนักงานฉีดวัคซีน ครั้งที่สำนักงานของพวกเขากลับมาเปิดทำการอย่างสมบูรณ์ในอีกหลายเดือนข้างหน้า

เจฟฟ์ ซัคเกอร์ ประธานบริหารของซีเอ็นเอ็น พาดพิงเกี่ยวกับการไล่ออกครั้งนี้ในบันทึกของทางบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) และบันทึกดังกล่าวหลุดถึงมือสื่อมวลชนสหรัฐฯหลายแห่ง

ในบันทึกดังกล่าว ซัคเกอร์ ระบุว่าการฉีดวัคซีนคือมาตรการบังคับสำหรับทุกคนที่ทำงานในภาคสนาม ทำงานร่วมกับพนักงานคนอื่นๆหรือทำงานในออฟฟิศ "ขอผมพูดให้เข้าใจว่า เรามีนโยบายอดทนเป็นศูนย์ในเรื่องนี้"

เมื่อเดือนพฤษภาคม รัฐบาลสหรัฐฯระบุว่าเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมายสำหรับนายจ้างที่จะบังคับพนักงานที่เข้ามาในสถานที่ทำงาน ฉีดวัคซีนโควิด-19

รายงานของสำนักข่าวเอพีระบุว่าสายการบินหลักๆอย่างเดลตา แอร์ไลน์สและยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ต่างบังคับพนักงานแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ส่วนธนาคารเพื่อการลงทุน "โกลด์แมน แซคส์" กำลังบังคับพนักงานให้เปิดเผยสถานะฉีดวัคซีน แต่ไม่ถึงขั้นบังคับให้พนักงานฉีดวัคซีน

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพิ่งออกคำสั่งให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางมากกว่า 2 ล้านคนฉีดวัคซีน หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำและสวมหน้ากาก

(ที่มา:บีบีซี/ยูเอสเอทูเดย์)
#3224


พัชร์ เคียงศิริ ชื่อนี้เป็นที่ต้องการตัวมาโดยตลอดในวงการกลุ่มบริษัทขนาดกลางที่ต้องการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากเขามีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการเป็น 'ที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์และการตลาด' ที่สร้างความสำเร็จให้กับหลายบริษัทชื่อดัง

กระทั่งเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เขาเริ่มต้นเส้นทางสายใหม่ให้กับตนเองด้วยอาชีพเกษตรกรรม โดยก่อตั้ง บริษัท ไร่รวมใจ จำกัด เพื่อทำนาข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค ที่จังหวัดแพร่

'ไร่รวมใจ' ปลูกข้าวด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ด้วยความใส่ใจยิ่ง ความมุ่งมั่นนี้ทำให้นาข้าวไร่รวมใจเป็นนาข้าวออร์แกนิคในจังหวัดแพร่ที่ได้รับการรับรองระบบงานเกษตรอินทรีย์ระดับสากล IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movement) และผลิต 'ข้าวกล้องหอมมะลิ 105' ภายใต้แบรนด์ ข้าวใส่ใจ จำหน่ายออกสู่ท้องตลาดเป็นรายได้หล่อเลี้ยงการทำงานของไร่

ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาตัดสินใจหันหลังให้กับตำแหน่ง 'ที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ฯ' อย่างสิ้นเชิง ถอดสูทสวมเสื้อเกษตรกรเต็มตัว ไม่เพียงแต่ศึกษาวิถีเกษตรกรรมเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิต แต่ยังสมัครเรียนหลักสูตรออนไลน์เพื่อหาความรู้ในศาสตร์อีกหลายแขนง จนสามารถสร้างสรรค์คอร์สดูแลสุขภาพและน้ำหนักเฉพาะบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM (ใส่ใจสลิม) ผู้ผ่านคอร์สนี้ต่างภูมิใจกับผลลัพธ์ที่น้ำหนักลดจริงอย่างยั่งยืนและสุขภาพดีขึ้น

ขณะนี้ทุกธุรกิจกำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรค โควิด-19 อดีตที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ฯ นำ 'ไร่รวมใจ' ฝ่าช่วงเวลานี้อย่างไร ทำไมนักธุรกิจในเมืองใหญ่จึงหันไปทำการเกษตร


พัชร์ เคียงศิริ กับผู้ร่วมงานกลุ่มใหม่ในการทำนาข้าวออร์แกนิค

:: ทำไมคุณพัชร์เลือกทำงานเกี่ยวกับ "การปลูกข้าว" หลังตัดสินใจยุติบทบาทนักธุรกิจในเมืองใหญ่

"ที่ปรึกษาทางด้านการวางแผนกลยุทธ์ เป็นงานที่เหนื่อยมาก ผมรับงานทีละหลายบริษัทและปรากฏตัวที่แต่ละบริษัทลูกค้าสองวันต่อเดือนเท่านั้น ในแต่ละวันที่ไป เราโดนรีดทุกอย่างออกจากหัวสมอง บางวัน 11 ประชุม บางวัน 14 ประชุม กินข้าวเที่ยงครึ่งกินไปประชุมไปก็มี ทำให้เบิร์นเอาท์ (burnout) คำนี้เป็นคำที่...คุณอานันท์ ปันยารชุน เคยใช้ตอนถามผมว่าทำไมผมถึงมาเป็นเกษตรกร พอเห็นผมถอนหายใจตอบไม่ถูก ท่านก็พูดเลยว่า 'เบิร์นเอาท์' ใช่ไหม

ผมมีโอกาสไปช่วยเหลืองานในตำบลน้ำชำ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติมากๆ รวมถึงการทำเกษตรกรรมทฤษฎีใหม่ของรัชกาลที่ 9 หลังจากนั้นเลยตัดสินใจซื้อที่ และในที่ด้วยความบังเอิญมีนาข้าว ทำให้เราได้กินข้าวในนาของตัวเองเป็นครั้งแรก คือมีคนช่วยปลูก เขาแบ่งไปสองส่วน เราเอามาส่วนเดียว ตอนนั้นยังไม่คิดอะไรมาก ก็ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาฯ


นาข้าวหอมมะลิ 105 "ไร่รวมใจ" จ.แพร่ (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

แต่ว่าตอนที่กินข้าวในนาตัวเอง ทำไมหอมแบบนี้ ทำให้ผมศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น และพบว่า ในชีวิตเราเติบโตขึ้นมากับความเคยชินในสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้เราลืมดูรายละเอียดสิ่งใกล้ตัว ผมมักเปรียบเทียบว่า เราเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการหายใจ เราเคยสนใจไหมว่าการหายใจที่ดีต้องทำอย่างไร เลยทำให้ผมหันกลับมาคิดว่า เราเติบโตมาพร้อมกับการกินข้าว แต่เราไม่เคยสนใจข้าวไทยเจ๋งยังไง  คำว่าข้าวหอมมะลิ สมัยก่อนผมคิดว่ามีพันธุ์เดียว เอาเข้าจริงๆ ข้าวหอมมะลิมีหลายพันธุ์ และก็มีข้าวบางพันธุ์ที่มีคำว่า 'หอม' นำหน้า แต่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ จึงเป็นที่มาของคำว่า 'ใส่ใจ' เพื่อสะท้อนว่าเราควรใส่ใจรายละเอียดใกล้ตัว และ 'ข้าวใส่ใจ' ก็เป็นสินค้าแรกที่เราผลิตและจำหน่ายครับ 

และต้องขอเท้าความด้วยว่า คุณพ่อมีอิทธิพลมากครับ ท่านเลิกกินเนื้อสัตว์บกสัตว์ปีกตั้งแต่อายุ 60 ผมเลยทำตามพ่อ เลิกกินสัตว์บกสัตว์ปีกตั้งแต่อายุ 40 และผมก็หันมากินแมคโครไบโอติกส์ ยังกินเนื้อปลาอยู่บ้าง แต่ข้าวแทบจะเรียกว่าปฏิเสธข้าวขาว กินข้าวกล้องอย่างเดียว ร่างกายก็ดีขึ้น คอเลสเตอรอลที่เคยสูงก็ลดลง ไขมันเลวเหลือครึ่งหนึ่งของคนในอายุเดียวกัน ไขมันดีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของคนอายุเท่ากัน นี่เป็นคำพูดของหมอที่ดูจากผลเลือดผม

พอได้ผลที่ดี สุดท้ายเราก็อยากส่งของดีๆ แบบนี้ออกไป ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะผมทำธุรกิจ business-to-business มาโดยตลอด ตอนนี้ผมกำลังจะมาทำธุรกิจ business-to-consumer (บีทูซี) คนละสเกล ก็ลองดู เพราะเราก็เบิร์นเอาท์แล้วจริงๆ"


รวงข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค ของไร่รวมใจ (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

:: ผลผลิตของไร่รวมใจวางจำหน่ายที่ใดบ้าง

"เราขายตรงอย่างเดียวครับ ไม่มีวางจำหน่ายผ่านคนกลาง จริงๆ แล้วเป็นโมเดลที่เราคิดไว้ตั้งแต่ต้นครับว่าจะทำธุรกิจแบบส่งตรงเข้าบ้านคนเลย ด้วยความที่เป็นข้าวกล้องออร์แกนิค ใช้ต้นทุนสูงมาก แข่งราคากับคนอื่นไม่ได้ ผมไม่สามารถขายราคานี้โดยผ่านช่องทางคนกลางได้ จึงเป็นทั้งโชคร้ายและโชคดี

โชคร้ายคือทำให้สเกลเล็ก โชคดีคือคนที่เขาเห็นสินค้าของเราได้ลองสินค้าของเรา เขาอยู่กับเรายาวเพราะข้าวกล้องหอมมะลิ 105 เราหอมและนุ่มมาก และเราอำนวยความสะดวกอย่างดี โดยติดต่อผ่านเฟซบุ๊กใส่ใจกินอยู่เป็น และไลน์ @saijai_wellbeing"



นาข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค "ไร่รวมใจ"

:: 'ไร่รวมใจ' ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ลักษณะใดบ้างหรือไม่ อย่างไร

"อย่างที่เรียนว่าโชคดี คือการไม่ผ่านหน้าร้านหรือคนกลาง เราติดต่อตรงกับครัวเรือนไปเลย และโควิดทำให้คนทำกับข้าวกินเองมากขึ้น เราค่อนข้างเติบโตสวนกระแส

แต่ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ที่บอกว่าผมเลิกเป็นที่ปรึกษาฯ ผมก็ศึกษาหาความรู้ในเชิงการวางแผนเพิ่มเติม ผมเรียนออนไลน์กับ ฮาร์วาร์ด บิซิเนส สคูล เซอร์ทิฟิเคตชื่อ ดิสรัปทีฟ สแตรทิจี (Certificate in Disruptive Strategy, Harvard Business School) ช่วงนั้นดิสรัปชั่นกำลังฮิต ผมนำสิ่งที่เขาสอนมาใช้ด้วยการเริ่มถามกลับไปที่ลูกค้าที่ซื้อข้าวผมว่า คุณซื้อข้าวใส่ใจ คุณต้องการให้ข้าวเราทำอะไรให้คุณ

คนกินข้าว เราก็นึกว่าต้องการกินให้อิ่ม แต่เขาบอกซื้อ 'ข้าวใส่ใจ' เพื่อให้ดูแลสุขภาพ ผมก็ถามต่อ ให้ดูแลสุขภาพด้านไหน ปรากฏว่า 80 เปอร์เซนต์ของคำตอบคือให้ดูแลน้ำหนัก ต้องการลดน้ำหนัก ผมก็เลยพัฒนาสิ่งใหม่ขึ้นมา เรียกว่า SAIJAI SLIM (ใส่ใจสลิม) เป็นคอร์สลดน้ำหนักแบบองค์รวมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันชื่อเดียวกันนี้ ก็โชคดีตรงที่ว่ายุคนี้ลดการพบหน้ากัน แต่เราทำมาแล้วปีกว่า มีคนมาเข้าคอร์สลดน้ำหนักหลากหลาย เจ้าของร้าน เจ้าของทีมฟุต. อดีตโฆษกพรรคการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เด็กๆ อายุ 20 กว่า"


พัชร์ เคียงศิริ ในวันที่เป็นเกษตรกรเต็มตัว

คุณพัชร์ให้สัมภาษณ์กับ 'จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ' ด้วยว่า คอร์สลดน้ำหนักแบบองค์รวมผ่านแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM ระยะเวลา 42 วัน ผู้เข้าคอร์ส 90 เปอร์เซนต์สามารถลดน้ำหนักได้จริงตามที่ตั้งใจ อีก 10 เปอร์เซนต์ที่ไม่เห็นผลเพราะไม่ได้ปฎิบัติตามคำแนะนำ เนื่องจาก SAIJAI SLIM เน้นการปฏิบัติตัวจากการให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักสุขภาพ ไม่ใช่การลดน้ำหนักด้วยการใช้ยาต้องห้ามประเภทต่างๆ

กว่าจะเป็นแอปพลิเคชัน SAIJAI SLIM ที่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของไร่รวมใจ คุณพัชร์ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในศาสตร์อีกแขนง อาทิ หลักสูตร Introduction to Food & Health จาก Stanford School of Medicine(USA), ศึกษาโยคะระดับโยคาจารย์จากสถาบันหฐราชาโยคาศรม เรียนโยคะออนไลน์จากสถาบันในแคว้นแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย มีโอกาสเรียนรู้ด้านอายุรเวช และความช่วยเหลือด้านข้อมูลจากเพื่อนซึ่งเป็นแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนจีน


ความเป็นธรรมชาติอีกมุมหนึ่งของ "ไร่รวมใจ" (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

:: 'โมเดลไร่รวมใจ' ที่คุณพัชร์ทำอยู่ เช่นการขายแบบบีทูซี การพัฒนาแอปพลิเคชัน เป็นทางออกหนึ่งสำหรับคนทำธุรกิจในการรับมือสถานการณ์โควิดได้หรือไม่

"ผมขอใช้คำว่าบังเอิญ ตอนเราทำ เราไม่รู้ว่ามันจะมีโควิด แต่เราเห็นแนวโน้ม และด้วยต้นทุนของเรา มันทำให้เราผ่านคนกลางไม่ได้จริงๆ เราก็เลยต้องทำทุกอย่างเอง ไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งเหนื่อยมาก"

สิ่งทอ 'กัมพูชา' วอนแบรนด์ดัง บรรเทาผลกระทบโควิด-19
เชื่อมั่นรัฐบาลแค่ไหน รับมือเศรษฐกิจถดถอย
'แดเนียล จาง' บุรุษผู้ดึง ดีเอ็นเอ 'อาลีบาบา' ชิงบัลลังก์อีคอมเมิร์ซโลก

"เราจะต้องเสนอเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้นให้กับลูกค้าของเรา อะไรที่ไม่ดีจริง อะไรที่หลอกเขา อย่าทำ" พัชร์ เคียงศิริ

:: โควิด-19 อยู่กับเราไปอีกนานเท่าใดยังไม่ทราบ หลายบริษัทหลายธุรกิจประสบปัญหา ในฐานะผู้มีประสบการณ์ทำงานด้าน 'การวางแผนกลยุทธ์และการตลาด' คุณพัชร์พอจะให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรได้หรือไม่

"ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ คนที่ไม่เปลี่ยน ก็จะประสบปัญหา เบื้องต้นผมขอพูดแค่นี้

แต่ก่อนหน้าที่ผมจะได้รับการติดต่อจาก 'กรุงเทพธุรกิจ' ผมเพิ่งสรุปแนวคิดของตัวเองออกมาเป็น 7 ข้อ ผมใช้คำว่า 'บริษัทของผมสามารถอยู่รอดและดีขึ้นในช่วงโควิด-19 ได้อย่างไร'

ข้อที่หนึ่ง Employees come first. Find the right team members, love them, and take care of them as best as you can. พนักงานมาก่อนเสมอ พนักงานเป็นคนสำคัญที่สุด สิ่งที่เราต้องทำคือต้องหาสมาชิกของทีมเราที่ถูกต้อง เราต้องรักเขาดูแลเขาให้ดีที่สุด

ข้อที่สอง We offer only good things to our customers. เราจะต้องเสนอเฉพาะสิ่งดีๆ เท่านั้นให้กับลูกค้าของเรา อะไรที่ไม่ดีจริง อะไรที่หลอกเขา อย่าทำ มันอยู่ไม่นานไม่ยั่งยืน

ข้อที่สาม Focus on what really needs to be done, not everything. And begin with yourself. เราเองจะต้องโฟกัสอยู่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ ไม่ใช่โฟกัสทุกอย่าง เพราะว่ามีอะไรเยอะแยะเข้ามา อย่าไปเสียเวลากับทุกอย่าง ให้ใช้เวลากับสิ่งที่จำเป็นจริงๆ นิสัยนี้ต้องให้เริ่มที่ตัวเรา


ข้าวหอมมะลิ 105 ออร์แกนิค "ไร่รวมใจ" ที่ลูกค้ารอคอยผลผลิต (ภาพ : พัชร์ เคียงศิริ)

ข้อที่สี่ When we are proud of our products and services, we passionately deliver them to our customers. Make sure they say 'I got more than I paid' in the end. เมื่อเรามีความภูมิใจ เชื่อมั่น ศรัทธาและรักในสินค้าและบริการของเรา เราจะสามารถส่งมอบสินค้าและบริการของเราไปยังลูกค้าของเราได้โดยมีแพสชั่นตลอดเวลา ลูกค้าต้องได้ความรู้สึกว่าเขาได้มากกว่าที่เขาจ่ายในตอนจบ

ข้อห้า We make things fun. ทำทุกอย่างให้สนุก น้องๆ ในทีมผมทุกคนประชุมผ่านซูมก็สนุก ทำงานก็สนุก ผมอยู่บ้านถ่ายคลิปเองคนเดียวก็สนุก ข้อที่ห้าสัมพันธ์กับข้อแรกคือหาสมาชิกในทีมที่ถูกต้อง

ข้อที่หก Multi-tasking is normal. Cross-functional is the new normal. คนหนึ่งคนทำงานได้หลายอย่าง (Multi-tasking)เป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ครอส-ฟังก์ชันนัลเป็นนิวนอร์มอล เป็นสิ่งที่ผมได้จากบทความของแมคคินซีย์ (McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจในอเมริกา) คำว่าครอส-ฟังก์ชันนัลเกิดขึ้นมาในช่วงล็อคดาวน์โควิดครั้งแรก 

แมคคินซีย์บอกว่าคุณต้องสร้างครอส-ฟังก์ชันนัลทีมขึ้นมา จะเป็นทีมที่รวมบุคลากรจากหลายๆ ฝ่ายในยามปกติเข้ามาอยู่ในทีมเดียวกัน ไม่ให้อยู่ไกลกัน ต้องเอาหลายมุมเข้ามาเจอกันในเวลาเดียวกัน เพื่อพัฒนาเพื่อตัดสินใจในเวลาอันสั้น เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก พอผมเขียนข้อนี้จบ ผมก็ถามตัวเองว่า แล้วเน็กซ์นอร์มอลคืออะไร ซึ่งตอนนี้ผมกำลังเตรียมการอยู่


"อย่าไปกลัวการ Execute ทำไปเถอะ ถ้าพลาด แก้ไขได้ แต่ต้องทำบนพื้นฐานความถูกต้องนะครับ" พัชร์ เคียงศิริ

ข้อที่เจ็ด Adopt the 3 E's: Educate, Execute, and Evolve. ใช้หลักการทำงาน 3E,

Educate เราต้องเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด อย่าคิดว่าเรารู้เยอะแล้ว ผมยอมรับว่าช่วงหนึ่งผมเคยเป็นเคยคิดว่าเรามีความรู้เยอะมาก ปรากฏว่าในขณะที่เราคิดแบบนั้นโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอมาเริ่มเรียนรู้อีกที สนุกมาก

Execute การลงมือทำ เรียนแล้วเก็บไว้ในหัวไม่นำออกมาทำ ไม่นำออกมาใช้..ไม่ได้ สิ่งที่เจ๋งอย่างหนึ่งสำหรับโลกปัจจุบันก็คือ ในโลกออนไลน์ สามปีที่แล้วมีคนพูดว่า ถ้าคุณลงคอนเทนต์อะไรไปในโซเชียลมีเดียแล้วคุณพลาด คุณจะต้องแก้ไขให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ฉะนั้นเราอย่าไปกลัวการ Execute ทำไปเถอะ ถ้าพลาด แก้ไขได้ แต่ต้องทำบนพื้นฐานความถูกต้องนะครับ

Evolve คือวิวัฒนาการ เราต้องวิวัฒนาการไปสู่การทำงานที่ดีขึ้น การทำงานที่สนุกขึ้น ลูกค้าต้องมีความสุขมากขึ้น ผมเพิ่งพูดเรื่องนี้ให้น้องๆ เราประชุมออนไลน์กัน ตบมือกัน น้ำตาไหลกัน ผมบอกว่า น้องๆ คุณรู้ไหมสี่ปีที่แล้วเราคือบริษัทขายข้าวออร์แกนิค แต่ตอนนี้เราได้อยู่ในธุรกิจเวลเนสโดยสมบูรณ์แล้ว เราไม่ใช่ผู้ขายข้าวอย่างเดียวอีกต่อไป เรามีทั้งแอปฯ SAIJAI SLIM ที่ช่วยคนลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน เรามียูทูบแชนแนล 'ใส่ใจกินอยู่เป็น' ที่ให้ความรู้ เป็นประโยชน์กับคนฟังคนดูตลอด มีไลน์กลุ่ม 'อายุยืนไปด้วยกัน' ซึ่งเป็นสังคมบวกที่ต่างให้ความรู้ ความสุข ความจรรโลงใจ แก่กันและกัน และเรากำลังเริ่มคิดโปรเจคใหม่ๆ อีก

เป็นไอเดีย 7 ข้อที่ผมสรุปได้ว่าทำให้เราดีขึ้น แต่ภายใต้ 7 ข้อนี้ ผมบอกได้เลยว่าทุกคนทำงานหนักขึ้น"

พัชร์ เคียงศิริ ไม่ได้รับประกันว่า 7 ข้อนี้ทำแล้วทุกธุรกิจจะอยู่รอดในช่วงโควิด-19 แต่ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ที่จะนำบางข้อ หรือทั้งหมดในข้อเขียนนี้ไปประยุกต์ใช้กับงานของท่านเอง
#3225


เนื่องจากการระบาดของ โควิด 19 ที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤต ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้วัคซีน บุคลากรสาธารณสุขมีศักยภาพดูแลเฉพาะผู้ป่วยหนัก ประชาชนส่วนหนึ่งนำฟ้าทะลายโจรมาใช้จนถึงขั้นขาดตลาดและมีผู้ฉวยโอกาสขึ้นราคา แต่ข้อมูลในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของฟ้าทะลายโจรยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกับ การใช้ฟ้าทะลายโจร อาจทำให้ผู้ติดเชื้อขาดโอกาสได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ที่เป็นยาพื้นฐานหลักเนื่องจากอาจส่งผลต่อตับได้

วานนี้ (6 ส.ค. 64) "สารี อ่องสมหวัง" สภาองค์กรของผู้บริโภค ในฐานะตัวแทนของผู้บริโภค กล่าวในงานเสวนา ฟังให้ชัดกับการใช้ "ฟ้าทะลายโจร" ในสภาวะวิกฤต: คุณภาพ ราคา และความปลอดภัย โดยสะท้อนภาพในปัจจุบันว่า ขณะนี้ ฟ้าทะลายโจรในวิกฤติ ยากสำหรับผู้บริโภค จากการรวบรวมโดยทีมสื่อของสภาองค์กรของผู้บริโภค หากค้นคำว่า "ฟ้าทะลายโจร" ในเว็บไซต์จะพบข้อมูลกว่า 2.3 ล้านรายการ ดังนั้น ไม่ง่ายสำหรับผู้บริโภค อย่างแรกที่เจอ คือ การขายของ ไม่ใช่ข้อมูลการใช้อย่างถูกต้องหรือถูกวิธีได้อย่างไร และฟ้าทะลายโจรทำอะไรได้บ้าง   


ราคา ฟ้าทะลายโจร พุ่งหลังโควิด-19

หากดูในตลาดออนไลน์ มีการขายฟ้าทะลายโจรผ่านแพลตฟอร์มจำนวนมากกกว่าหมื่นรายการ ดังนั้น การตัดสินใจซื้อไม่ได้ง่าย อาจจะดูจากรีวิว แต่ก็ไม่ได้ง่ายว่าจะตัดสินใจซื้อที่มีคุณภาพหรือน่าเชื่อถือ ขณะที่ ราคามีความแตกต่างกันตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ถึงหลักพันหรือขายพ่วงวิตามิน

มาดูที่ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง กำหนดกลางยาแผนไทย พ.ศ.2559 ได้กำหนดราคากลางยาฟ้าทะลายโจร หมวดกลุ่มที่ 2 ยาพัฒนาจากสมุนไพร (สูตรยาเดี่ยว) ชนิดแคปซูล 500 มิลิกรัม ราคาแคปซูลละ 0.94 บาท (ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่พบว่า ผู้บริโภคไม่สามารถซื้อได้ในราคานี้

เมื่อแพงมาก สิ่งที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ทำคือให้ประชานใช้สิทธิของตัวเอง ร่วมแจ้งเบาะแสเมื่อเจอราคาที่แพงกว่ากำหนด รวมถึงขอความร่วมมือตลาดออนไลน์ทั้งหลาย ขอให้เอาลงกรณีที่พบว่าราคาสูงผิดปกติ เพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็ไม่ง่าย ถึงแม้บริษัทจะร่วมมือกับ สภาองค์กรของผู้บริโภค ตอนนี้ตลาดออนไลน์ทุกเจ้าร่วมมือกับเราเอาลงแต่ก็แค่เปลี่ยนรหัสทำให้การตรวจสอบไม่เจอ จึงเหมือนการไล่ตามปัญหา กระทรวงพานิชย์เอง บอกว่าตอนนี้ยังไม่ควบคุม แต่หากเมื่อไหร่ทำให้มีความปั่นป่วนของราคา ประชาชนสามารถร้องเรียนได้

ต้องบอกว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 กำหนดให้ยาเป็นสินค้าควบคุม ห้ามขายเกินฉลากข้างกล่อง หากเขียนว่า 100 บาท แล้วขาย 150 บาท ถือว่าผิดกฎหมาย ถือว่าไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 เพราะฉะนั้น มาตรการอย่างเดียวคือ กำกับราคาที่ข้างกล่องหรือฉลาก สิ่งที่สำคัญ คือ การติดตาม เชื่อว่าขณะนี้ ผู้บริโภคเจอเรื่องฟ้าทะลายโจรปลอม ทั้งนี้ หากเจอขายเกินราคา สามารถแจ้งที่สถานีตำรวจ หรือกรมการค้าภายใน กระทรวงพานิชย์ โดยตรง




ระวัง ฟ้าทะลายโจรปลอม สวมเลข อย.
นอกจากเรื่องราคา ตอนนี้มีฟ้าทะลายโจรปลอม ทำให้ประชาชนเองไม่มั่นใจในการใช้ฟ้าทะลายโจร เหมือนเราไล่ตามปัญหา เช่น บางยี่ห้อมีเลขทะเบียนที่ไม่ใช่ตำรับสมุนไพร เป็นการนำเลขทะเบียนอื่นมาแทน หรือ สวมเลข อย.ของผลิตภัณฑ์อื่น คือ ผลิตภัณฑ์ฟ้าทะลายโจร แต่เลขขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือขึ้นทะเบียนเป็นอาหารแต่เอาเลข อย.มาผลิตยา รวมถึงกรณีระบุชื่อผู้จำหน่าย แต่ไม่ระบุชื่อผู้ผลิต และสวมเลขสมุนไพรของเจ้าอื่น เมื่อเป็นแบบนี้ ความร่วมมือของ อย. กับตลาดออนไลน์ ต้องรีบเอาออกจากระบบทันที แต่ก็พบว่ายังมีขายอยู่

"เป็นเรื่องยากของผู้บริโภค คำแนะนำ คือ การเอาเลขทะเบียนไปตรวจก่อนหากไม่ตรงกับสิ่งที่ระบุ คำแนะนำคือไม่ควรสนับสนุน เพราะขึ้นทะเบียนอาหาร แต่กลับจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่เป็นยา" สารี กล่าว

ยา 'ฟ้าทะลายโจร' ขายออนไลน์ได้หรือไม่

"ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี ชัยสัมฤทธิ์โชค" คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ยาฟ้าทะลายโจร เป็นยาสามัญประจำบ้าน และที่ทราบกันดีว่า ยาสามัญประจำบ้าน ขายที่ไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านขายยา เพราะฉะนั้น หากขึ้นทะเบียนยาสามัญประจำบ้าน สามารถขายที่ไหนก็ได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เองได้สะดวก ต้องเป็นยาไม่อันตราย และควบคุมพิเศษ และยาฟ้าทะลายโจรในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน และต้องมีระบุว่า ยาสามัญประจำบ้านชัดเจน


ปัญหาฉลากระบุไม่ชัดเจน
สำหรับฟ้าทะลายโจร ขณะนี้มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องเข้าระบบการดูแลตัวเองที่บ้าน Home Isolation  ซึ่งจะมีกล่องยังชีพซึ่งมีฟ้าทะลายโจรให้ คำถามคือใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่ป้องกัน แต่ใช้รักษา เครื่องสำคัญของประชาชน คือ "ฉลาก" ซึ่งเป็นข้อเรียกร้อง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น แทบจะให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ผู้ใช้ต้องค้นหาข้อมูลให้ได้ ขณะที่ "ผู้ขาย" เพิ่มความรับผิดชอบ ขณะที่ "ผู้รู้" เช่น อย. หรือนักวิชาการ ต้องเพิ่มบทบาทรับผิดชอบต่อการรับผิดชอบการให้ข้อมูลฟ้าทะลายโจร และอาจจะมีปัญหาวิกฤติยาฟาวิพิราเวียร์


ฉลากขาดข้อมูล มีข้อมูลลวง  

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี กล่าวต่อไปว่า หากใช้ฟ้าทะลายโจร ต้องรู้ปริมาณ แอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งต้องดูที่ข้างขวดฉลาก แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ฟ้าทะลายโจรที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ หรือปัจจุบัน เรียกว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขึ้นทะเบียนเป็นการรักษาอาการหวัด อาการไข้ เมื่อขึ้นทะเบียนในลักษณะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องระบุปริมาณสาร แอนโดรกราโฟไลด์

เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาฉลาก จึง "ขาดข้อมูลแอนโดรกราโฟไลด์" ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ผิด ผู้ผลิตไม่ได้มีความผิดใดๆ ทางกฎหมาย แต่ก็ทำให้ขาดข้อมูลดังกล่าว หรือบางยี่ห้อบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ซึ่งทำให้กะปริมาณลำบาก อีกกรณี คือ "ฉลากลวง" มีระบุไว้ แต่จงใจสร้างความเข้าใจผิด คำนึงถึงกำไร  และ "ความไม่รู้" มีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ หรือบางยี่ห้อระบุว่า ทานเพื่อป้องกันก็เชื่อไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ใช้ 'ฟ้าทะลายโจร' ผิดวิธี ระวังผลข้างเคียง
ว.ภ.ส. แนะใช้ 'ฟ้าทะลายโจร' รักษาโควิด ไม่เน้นป้องกัน หวั่นส่งผลต่อตับ
เช็ค 6 ยี่ห้อ'ฟ้าทะลายโจร'ผิดกฎหมาย
สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

 


ก่อนซื้อ ก่อนใช้ ทำอย่างไร เมื่อไม่บอกในฉลาก

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี แนะว่า อันดับแรก คือ "รู้โรค" มั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ป้วยในกลุ่มสีเขียว ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการใช้ฟ้าทะลายโจร ได้แก่ ไม่มีอาการ ไข้หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5 องศาขึ้นไป ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว ไม่มีอาการหายใจเร็ว ไม่มีอาการหายใจเหนื่อย ไม่มีอาการหายใจลำบาก ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง


ถัดมา "รู้ยา" ต้องรู้ว่าเป็นยาในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพร มีเลขทะเบียน G ขอให้ค้นหาเลขทะเบียนใน อย.เพื่อค้นว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ค้นเลขทะเบียนให้ได้ตัว G เพื่อให้รู้ว่าเป็นยาแผนโบราณที่ยกระดับเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร และไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนได้ ที่นี่

และ "รู้ปริมาณ" หากอยากจะรู้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ปัจจุบันไม่พบในฉลาก สิ่งที่ทำได้ คือ เข้าไปที่กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนฟ้าทะลายโจรในแบบฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อบังคับในการแสดงปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ดังนั้น กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. จึงขอความร่วมมือไปยังบริษัทหลายแห่ง ในการส่งข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ให้ ซึ่งอาจจะตรวจเฉพาะบางล็อต และมีการขึ้นข้อมูลปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ในบางยี่ห้อในเว็บไซต์

ต้องย้ำว่า การระบุสารแอนโดรกราโฟไลด์ ไม่ได้มีข้อบังคับทางกฎหมาย เป็นขอความร่วมมือผู้ผลิต และวิเคราะห์ปริมาณบางล็อต อย่างที่ทราบว่าเป็นสมุนไพร ปริมาณสารเหล่านี้ไม่แน่นอน ขึ้นกับภูมิอากาศ แลหลายประการ แต่อย่างน้อยมีไกด์ไลน์ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อที่จะใช้เท่าไหร่  ตรวจสอบสารแอนโดรกราโฟไลด์ ที่นี่



ข้อเสนอต่อการจัดการฉลากฟ้าทะลายโจร

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอในการจัดการฉลากฟ้าทะลายโจรในภาวะวิกฤติ ในส่วนของ "ฉลาก" ผู้บริโภคต้องปรับตัว การค้นเลขทะเบียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องค้นหาปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ จากกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย. ขณะ "ผู้ขาย" ผู้ผลิต ต้องเพิ่มความรับผิดชอบ เป็นการลงทุนในการศึกษาและรู้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ แม้จะไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ถือเป็นความรับผิดชอบที่จะหาปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ ขณะเดียวกัน "ผู้รู้" ผู้ผลิตอาจจะต้องขอความร่วมมือ สนับสนุน กับนักวิชาการ ซึ่งขณะนี้ มีคณะเภสัชศาสตร์หลายแห่ง ในการให้บริการตรวจสารแอนโดรกราโฟไลด์ รวมทั้งบางแห่งให้บริการฟรี เป็นความร่วมมือที่จำเป็นเพื่อให้ประเทศไปรอด


ฟ้าทะลายโจร ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตเสริมอาหาร ได้หรือไม่

รศ.ภญ.ดร.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อธิบายว่า ขึ้นอยู่ว่าจะระบุสรรพคุณว่าอะไร หากบอกว่ารักษาโรค ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณ

หากต้องการฟ้าทะลายโจรมาป้องกันได้หรือไม่

รศ.ภญ.ดร.มยุรี อธิบายว่า เรื่องป้องกันโควิด-19 จริงๆ ไม่มีงานวิจัยในผู้ป่วยว่ากินฟ้าทะลายโจรป้องกันได้ จึงไม่ได้แนะนำในการป้องกัน ไม่ว่าจะกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์ หรือ อภัยภูเบศร ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เพราะเกิดปัญหา คนที่ใช้ป้องกันขนาดต่ำๆ หลายเดือน มีค่าตับเพิ่มขึ้น ทุกคนเลยประสานเสียงให้ประชาชนเข้าใจให้ตรงกัน

ปัจจุบัน เริ่มเห็นผลเสียจากการใช้เหล่านั้น จึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าป้องกันไม่แนะนำ มีไว้เล็กน้อยได้เก็บไว้สำหรับคนที่ป่วยจริงๆ หากมีแล้วอยู่ที่บ้านอย่าเพิ่งใช้ เพราะหากติดจริงๆ จะหาซื้อไม่ได้ และหากซื้อก็อาจจะเจอของปลอม และตรวจสอบยากมาก ขนาดเภสัชกรเองยังตรวจสอบค่อนข้างลำบาก บางอันปลอมเหมือนมากเกือบทุกอย่าง เลขทะเบียนตรง ผู้ผลิตตรง การคำนวณขนาดก็ยากเพราะไม่มีการบอกปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งส่วนตัวหากไม่รู้จำนวน แอนโดรกราโฟไลด์ จะไปดูที่บัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งแนะนำให้ใช้บรรเทาอาการหวัด กรณีแบบผง จะใช้ขนาดสูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ ครั้งละ 3 กรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน


ห้ามใช้ฟาวิพิราเวียร์ร่วมกับฟ้าทะลายโจร
ขณะที่กรมการแพทย์ ได้ออกแนวทางดูแลผู้ป่วยโควิด-19 วันที่ 4 ส.ค. 64 ว่าหากกลุ่มสีเขียวไม่มีความเสี่ยง ไม่มีอาการ หากจะใช้ฟ้าทะลายโจร ให้อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เพราะน่าจะกังวลเรื่องของอาการไม่พึงประสงค์ พิษต่อตับที่เริ่มเจอเยอะขึ้น รวมถึงบอกว่าหากใช้ฟาวิพิราเวียร์ ห้ามใช้ร่วมกับฟ้าทะลายโจร เนื่องจากปัจจุบันยังทำวิจัยกันอยู่ หากจะใช้ก็ควรจะใช้ในการวิจัย ประสิทธิภาพ ผลตอบรับ ยังไม่ออกมา ขณะที่ความเสี่ยงปรากฎให้เห็นแล้ว


"ตอนนี้ต้องชั่งน้ำหนักกับผลดี กับ ความเสี่ยง หากเสี่ยงมากก็ควรจะหยุด ซึ่งผู้บริโภคตัดสินใจเองอาจจะไม่ได้ สามารถปรึกษาแทพย์หรือเภสัชกร เพราะโควิดไม่ใช่หวัดทั่วไป เป็นเรื่องยากที่ประชาชนทั่วไปจะประเมินด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ใหม่ ข้อบ่งใช้ใหม่ ต้องใช้ภายใต้ผู้ประกอบวิชาชีพ"

"ขณะเดียวกัน หากแพทย์ซักประวัติว่าใช้ฟ้าทะลายโจร หรือสมุนไพร จะต้องตรวจค่าการทำงานตับก่อน และเจอหลายเคสว่าตับมีปัญหา เริ่มให้ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ได้ เพราะยาฟาวิพิราเวียร์ มีผลต่อตับมากกว่าฟ้าทะลายโจร" รศ.ภญ.ดร.มยุรี กล่าว  

รวมถึงควรระวังในการใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ฟ้าทะลายโจร เริ่มมีข้อมูลเยอะขึ้น เจอคนที่ใช้ฟ้าทะลายโจร กับ พาราเซตามอน ที่ค่าตับเพิ่มขึ้น รวมถึงยากลุ่มลดไขมันบางตัว และยาความดันบางตัว


 

"ยาจากผงฟ้าทะลายโจร vs ยาจากสารสกัดฟ้าทะลายโจร"

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้อธิบาย สำหรับ รูปแบบของ "ฟ้าทะลายโจร" ในตลาดที่อาจทำให้เกิดการสับสน และนำไปใช้และเกิดผลข้างเคียงได้ เพราะใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่


ยาจากผงฟ้าทะลายโจร

ซึ่งถูกนำมาตากแห้ง และบดเป็นผง
นำผงจากใบแห้งมาบรรจุแคปซูล
มีองค์ประกอบของสารหลายตัว รวมถึงไฟเบอร์จากใบ และสาระสำคัญที่ออกฤทธิ์อย่างแอนโดรกราโฟไลด์ แต่ไม่เข้มข้น
แอนโดรกราโฟไลด์ อยู่ในมาตรฐานที่อย. กำหนด คือ ไม่ต่ำกว่า 1%
หากข้างขวดระบุว่า แคปซูลมีฟ้าทะลายโจร 400 มก. แปลว่า มีแอนโดรกราโฟไลด์ 4 มก.
การใช้รักษาหวัด จะต้องใช้ยาที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก.ต่อวัน
ดังนั้น ในรูปแบบแคปซูล ขนาด 350 -400 มก.ต่อแคปซูล ต้องรับประทานครั้งละ 4 แคปซูลหรือเม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
จะได้ปริมาณยาประมาณ 6,000 มก. หรือเท่ากับแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มก. และกินไม่เกิน 3-5 วัน

ยาจากสารสกัดฟ้าทะลายโจร

ในกรณีนี้ไม่มีใบติดมา เป็นสารสกัดล้วนๆ
ออกมาเป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ แอนโดรกราโฟไลด์
หากข้างกระป๋องเขียนว่า รูปแบบแคปซูลหรือยาเม็ด ขนาด 9-10 มก.ต่อแคปซูลหรือเม็ด แสดงว่ามีแอนโดรกราโฟไลด์ 10 มก.
หากต้องการกินวันละ 60 มก. กินครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ชนิด มีข้อพึงระวังว่าไม่ควรกินนานกว่า 3-5 วัน


'ฟ้าทะลายโจร' ปลูกกินเองได้  
       

สำหรับในช่วงที่ ฟ้าทะลายโจร กำลังขาดตลาดและมีการขายที่ไม่ได้มาตรฐานในหลายแหล่ง การปลูกเองในบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางในช่วงวิกฤตินี้ "ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว" หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์ไทย และสมุนไพร รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะว่า ในช่วงที่มีการขาดแคลนยาฟ้าทะลายโจรแบบแคปซูลนี้ ประชาชนหรือชุมชนสามารถแก้ไขได้ด้วยการปลูกฟ้าทะลายโจรเอง ปลูกง่ายไม่ยาก เพียงเวลา 2-3 เดือน ก็สามารถเก็บใบฟ้าทะลายโจรมาต้มรับประทานได้

วิธีการ คือ ใช้ดอกและใบ โดยสัดส่วนของฟ้าทะลายโจร ใช้เพียงมื้อละ 10 ใบ รับประทานแบบทานยา 4 มื้อ ในการดื่มควรนำใบมาเคี้ยวด้วย เพื่อให้รับสารสำคัญอย่างครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องรอการใช้ยาในรูปแบบของแคปซูลเท่านั้น เพื่อให้ได้สารแอนโดรกราโฟไลด์เพียงอย่างเดียว รสชาติที่ขมของใบฟ้าทะลายโจร มีส่วนช่วยทั้งลดไข้ แก้ไอ แต่ไม่แนะนำให้รับประทานร่วมกับกระชาย หรือน้ำขิง เพราะสมุนไพร 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ร้อน หากทานร่วมกันทั้งหมด อาจทำให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิผลเท่าที่ควร



ผลการศึกษา ฟ้าทะลายโจร ในเรือนจำ
ที่ผ่านมา นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี ซึ่งได้ร่วมทำงานควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำ ซึ่งได้ทำการติดตามกลุ่มตัวอย่าง 120 คน แบ่งเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 30 คน ดังนี้ 1.ใช้ฟ้าทะลายโจรแบบบดผง (ขนาด 400 มิลลิกรัม/แคปซูล) รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น 2.ใช้กระชายขาวแบบสารสกัด (ขนาด 100 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล เฉพาะหลังอาหารเช้าเพียงมื้อเดียว

3.ใช้ทั้งฟ้าทะลายโจร (ขนาด 400 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็นและกระชายขาว (ขนาด 100 มิลลิกรัม/แคปซูล)รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล เฉพาะหลังอาหารเช้าเพียงมื้อเดียว และ 4.ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ (ขนาด 200 มิลลิกรัม/เม็ด) รับประทานวันแรกครั้งละ 9 เม็ด หลังอาหารเช้าและเย็น จากนั้นวันที่ 2 เป็นต้นไป รับประทานครั้งละ 4 เม็ด หลังอาหารเช้าและเย็น

โดยติดตามผลทุกกลุ่มเป็นเวลา 5 วัน นับจากเริ่มได้รับยา ซึ่งกลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มจะมีการตรวจคัดกรองด้วยวิธี swab ทุกๆ 2 วัน จนครบ 14 วัน พบผลที่น่าทึ่ง กล่าวคือ ทั้งฟ้าทะลายโจรกระชายขาว และใช้ทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน การตรวจครั้งแรกแล้วไม่พบเชื้อคือวันที่ 8 หลังได้รับยา ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ จะตรวจครั้งแรกแล้วไม่พบเชื้อ คือวันที่ 12 หลังได้รับยา
#3226


มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ของรัฐบาลตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้งานอินเตอร์เน็ต และสื่อออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนย้ายมาอยู่บนหน้าจอในโลกออนไลน์เกือบ 100%

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากพฤติกรรมดังกล่าวก็คือ ร่องรอย หรือ "รอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint)" ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดจากการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะตั้งใจ หรือไม่ก็ตาม ทำให้มีกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้นำมาสร้างกลลวงโดยฉวยโอกาสจากสถานการณ์ปัจจุบัน


นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าฝ่ายงานประชาสัมพันธ์ AIS อธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมา AIS พบว่ามีปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับการร้องเรียนเกี่ยวกับการโดนหลอกลวง และภัยไซเบอร์ต่างๆ จากผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ฟิชชิ่ง โดยปลอมลิงค์จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้คนสนใจเข้าไปกรอกข้อมูล หรือแม้แต่ SMS ลวง ที่อาศัยเหตุการณ์ปัจจุบันเช่น ไฟไหม้, โรคระบาด, เงินเยียวยา, วัคซีน มาเป็นตัวล่อ ทำให้คนที่ไม่ทันต่อเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพเกิดความเสียหายจากการใช้งานขึ้นอย่างมากมาย

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ AIS ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยจากการทำงานของ AIS อุ่นใจ Cyber พบข้อมูลสำคัญว่า ทุกๆ การใช้งานบนออนไลน์ ทำให้เกิด รอยเท้าดิจิทัล หรือ Digital footprint ทิ้งไว้ในทุกที่ซึ่งแน่นอนว่านี่คือสารตั้งต้นที่ทำให้ผู้ใช้งานฝากข้อมูลสำคัญต่างๆ ไว้โดยไม่รู้ตัว มีผลทำให้กลุ่มมิจฉาชีพใช้ประโยชน์ตรงนี้มาสร้างรูปแบบการหลอกลวงจนสร้างความเสียหายได้"

AIS อุ่นใจCyber มีความห่วงใยลูกค้าและคนไทยในการใช้งานอินเตอร์เน็ตและออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงขอย้ำเตือนถึงช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นจากการเหยียบย่ำบนออนไลน์จนสร้างเป็นรอยเท้าข้อมูลในทุกที่อาจทำให้มิจฉาชีพ หรือผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลของเราไปใช้งานในทางที่ผิดทั้งไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือผู้ใช้งานอื่นก็ตาม


ฉะนั้นเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตทุกรูปแบบต้องมีสติ ไม่โพสรูปหรือข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการบอกที่ตั้ง รวมถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ และบอกตัวเองเสมอว่าทุกกิจกรรมที่เราทำมีรอยเท้าฝากไว้เสมอ เพื่อการใช้งานที่อุ่นใจไร้ภัยไซเบอร์

"เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า Digital footprint ทำให้แบรนด์รู้จักและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีอีกมุมที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะ Digital footprint หรือ รอยเท้าดิจิทัล อาจเป็นจุดเริ่มต้นของภัยไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในสารพัดรูปแบบได้ ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญอย่างมากในการใช้งานทุกขั้นตอนเพื่อลดช่องโหว่ในการใช้ประโยชน์จากการใช้งานของมิจฉาชีพ"
#3227


การจับมือกันครั้งแรกของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่น ระหว่าง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ แบรนด์จิวเวลรีชั้นนำระดับโลก คาร์เทียร์ ที่มาร่วมถ่ายทอดผลงานคอลเลคชันใหม่ล่าสุดขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง L'officiel Wedding Thailand ซึ่งครั้งนี้ทาง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส ได้เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ล่าสุดกว่า 12 ชุด ด้วยสองนางแบบ ชื่อดัง อแมนด้า ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2563 และ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์ชั้นนำแถวหน้าของเมืองไทยที่ถูกยกให้เป็น Luxury Wedding ภายใต้การกำกับดูแลของ สรรค์ สุดเกตุ เจ้าของห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ โดยคอนเซปต์ของชุดที่ทางดีไซเนอร์ ได้วางเอาไว้ถ่ายแบบร่วมกับ คาร์เทียร์ ในครั้งนี้ ต้องการที่จะสื่อถึงความเป็นเจ้าสาวโซนเอเชีย ถึงแม้นางแบบที่เลือกใช้จะเป็นสาวไทยลูกครึ่ง ทั้ง อแมนด้า และ แพทริเซีย แต่ทั้งสองสาวก็สามารถ่ายทอดผลงานชุดแต่งงานออกมาได้อย่างงดงาม มีความสวยหวานละมุน และโดดเด่นแบบชาวตะวันออก ซึ่งมูลค่าของชุดที่นางแบบทั้งสองใส่นั้นมีมูลค่ารวมสูงถึงหนึ่งล้านบาท เลยทีเดียว



สรรค์ สุดเกตุ ได้กล่าวถึงคอลเลคชันชุดแต่งงานในครั้งนี้ว่า "นับเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่ห้องเสื้อของเราได้ร่วมงานกับ แบรนด์ใหญ่ ๆ ระดับโลก อย่าง คาร์เทียร์ ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นและหัวใจพองโตมาก ๆ เราอยากให้ทุกคนได้เห็นและได้สัมผัสผลงานของเราที่พัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในคอลเลคชันนี้ที่เราเน้นความพรีเมียมและหรูหราเป็นพิเศษด้วยงานปักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น คริสตัล ไข่มุก และหินต่างๆ รวมทั้งรูปแบบของชุดที่มีความหลากหลายและมีสไตล์เฉพาะตัว ดีเทลของชุดเราเน้นเลเยอร์ของผ้า และ การนำผ้ามาจับเดรป หรือ ขยุ้มให้มีระบาย เป็นสไตล์ของแฟชั่นชุดแต่งงานแบบเอเชียนลุคที่เหล่าแฟชั่นนิสต้านิยมสวมใส่ในงานแต่งงาน และครั้งนี้เราได้นางแบบสาวลูกครึ่ง คุณอแมนด้า และ คุณแพทริเซีย สองสาวสองสไตล์ที่สามารถถ่ายทอดผลงานออกมาได้สวยงาม ตรงคอนเซ็ปต์ และ ตรงใจเรามากที่สุด และด้วยความเพอร์เฟคทั้งหมดนี้ ทำให้ห้องเสื้อของเราได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ มากเลยทีเดียว แถมยังได้แฟนคลับมากขึ้นอีกด้วยสำหรับใครที่ชื่นชอบชุดแต่งงานของทางห้องเสื้อ วนัชเฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ สามารถติดตามผลงานทั้งหมดได้ผ่านทาง https:// www.facebook.com/Vanus-First และ www.facebook.com/vanuscouture ขอบคุณแฟน ๆ ทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอมาครับ"
















 
#3228


ขึ้นชื่อว่าเป็นรายการ "Survival Audition" ที่มีกติกาและหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเด็กสาวที่ฝันอยากเป็นไอดอลมาร่วมรายการแบบเฉพาะตัว โดยให้สิทธิ์ขาดในกรรมการคนเดียวชี้ชะตาเด็กสาวผู้มีฝันว่าใครจะรอดหรือร่วง! ทำให้วันอาทิตย์ที่ผ่านมารายการ "Last Idol Thailand Presented by True 5G" (ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์) ทางช่อง 7 HD ถูกจับตามองเรื่องการเกณฑ์ในการคัดเลือกของกรรมการที่มาร่วมรายการในแต่ละครั้ง

รูปแบบของ "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" เน้นเฟ้นหาเด็กสาวธรรมดาที่มีออร่า ไม่จำเป็นต้องร้องเก่ง เต้นดี แต่ต้องมีเสน่ห์บางอย่างประกายออกมาในระหว่างที่พวกเธอวาดลีลาบนเวที โดยทางรายการจะคัดสมาชิกชั่วคราว 7 คน และให้ผู้ท้าชิงเลือกเอาว่าต้องการจะแข่งขันกับสมาชิกชั่วคราวคนไหน เมื่อโชว์ของทั้ง 2 คนจบลง ทางรายการจะประกาศหมายเลขที่กำหนดเอาไว้ว่าสัปดาห์นี้กรรมการที่จับได้ลูก.หมายเลขไหนเป็นผู้ตัดสิน เช่น ทางรายการกำหนดให้กรรมการที่จับได้ลูก.หมายเลข 3 เป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ สมาชิกชั่วคราว หรือ ผู้ท้าชิง จะได้ไปต่อในรายการ ถ้าสัปดาห์นั้นผู้ท้าชิงสามารถชนะใจกรรมการได้ สมาชิกชั่วคราวคนนั้น ๆ ก็ต้องออกจากรายการไป แต่ถ้ากรรมการคนนั้น ๆ เทใจให้สมาชิกชั่วคราวมากกว่า ผู้ท้าชิงก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไป ด้วยกติกาที่ยกสิทธิ์ขาดในการตัดสินให้กับกรรมการเพียงคนเดียว

เรียกว่าคนที่จะได้ไปต่อในรายการนี้ "เก่งอย่างเดียวไม่พอ ดวงต้องรุ่ง" ด้วย ขณะเดียวกันก็ยังสร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับกรรมการมาแล้วหลายต่อหลายคน เช่น สัปดาห์ที่นางเอกสาวมากฝีมือ หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ มาเป็นกรรกมการ เจ้าตัวถึงขั้นปาดน้ำตามาแล้ว หลังเธอแจ็กพ็อตต้องทำหน้าที่กรรมการติดต่อกัน 2 ครั้งรวด ดังนั้นไปฟังความรู้สึกของกรรมการหลาย ๆ คนที่เคยผ่านช่วงเวลาอันสุดโหดกันดีกว่าว่าพวกเขามีเกณฑ์ในการเป็นกรรมการให้กับ "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" นั้น

เริ่มที่ หนึ่ง ETC กล่าวว่า "การเป็นกรรมการรายการนี้ก็ไม่ได้สนุกนะ เครียด กดดัน แต่ก็อยากมาอีก เพราะในความเครียดความกดดันมันมีเสน่ห์บางอย่างของรายการที่รู้สึกว่าไม่เหมือนการประกวดที่ไหน ทำให้เราได้เห็นคนหลาย ๆ แบบและได้ลองวิเคราะห์คนที่แตกต่างกันไป ในช่วงเวลาที่น้อง ๆ ร้องเพลงให้เราฟัง พยายามรับสารที่เขาต้องการส่งมาถึงเราให้มากที่สุด เพราะเราต้องใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เพราะว่าบางคนอาจร้องเพี้ยนทั้งเพลง แต่ทัศนคติดี คาริสม่าได้ คุณสมบัติของไอดอลที่จะมัดใจผมได้ ต้องมีความเป็นธรรมชาติ มีพลังงานบวกในตัว คนเหล่านี้เวลาเจอสถานการณ์ที่บีบคั้นจะทำให้เรารู้เลยว่าเขามีทัศนคติที่ดีอย่างไรในสถานการณ์ที่กดดัน รายการนี้ ไม่ได้มองหาคนที่เก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่เรามองหาคนที่พร้อมจะพัฒนาต่อครับ"

ฟาก แทน ลิปตา เผยว่า "สำหรับมองว่าคนที่จะเป็นไอดอลได้ ผมมองหาสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า "X Factor" เป็นปัจจัยที่บางครั้งเราไม่สามารถหาคำจำกัดความได้ มันคือประกายหรือเสน่ห์ในตัวน้อง ๆ รายการนี้ไม่ใช่รายการประกวดการเต้นหรือร้องเพลง ที่เราจะมาจับผิดเสียงร้องน้องว่าเพี้ยนตรงไหนไหม แต่มันมากกว่าการร้องเพลงดีหรือเต้นเก่ง มันคือการทำให้คนอื่นรักเรา เรามอบความสุขให้เขามากแค่ไหน สำหรับผมชอบคนที่ทัศนคติดี ซึ่งผมมักจะเห็นในไอดอลที่เก่ง ๆ ได้รับความนิยมสูง ๆ ครับ กับหน้าที่กรรมการในรายการนี้ ผมต้องพยายามมีสติกับตัวเอง ระมัดระวังคำพูด ต้องใช้ประสบการณ์และ feeling เพื่อมาดูว่าใครควรจะได้ไปต่อ รายการนี้โหดมาก ถ้าสติไม่อยู่กับตัวมันมีโอกาสที่จะเป็นประเด็นดราม่าได้ครับ"


ด้าน หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ กล่าวว่า "ก่อนมาอัดรายการคิดว่าน่าจะเป็นรายการไอดอลน่ารักสนุกสนาน ไม่คิดว่าทุกอย่างจะเข้มข้น ดุเดือดแบบนี้ รายการนี้ไม่ใช่ว่าคุณร้องเก่งเต้นเก่งแล้วคุณจะได้ตำแหน่งนั้น แต่มันคืออะไรบางอย่างที่เรารู้สึกแล้วมันมากระแทกใจเรา จริง ๆ หนูนาก็เคยผ่านการเป็นกรรมการต่าง ๆ มาบ้าง แต่รายการนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา ยากและกดดันมาก ด้วยความที่ทั้งหมดมันคือความใฝ่ฝันของพวกเขา น้อง ๆ อาจจะเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน แต่เราต้องเป็นคนที่ตัดสินชี้ชะตาของเขา ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะไม่ได้ถูกต้องไปซะทั้งหมด เราไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือทำผิด แต่เราคือคนที่ต้องทำตรงนั้น เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบของเราตรงนี้มันหนักมากค่ะ"

ต่อกันที่ ณัฐ วง "เคลียร์" เผยว่า "จริง ๆ ตอนแรกก็ลังเล แต่ก็อยากลองมาสัมผัสอีกโลกหนึ่งที่ใกล้ตัวแต่เรายังไม่เคยได้ก้าวเข้าไป เกณฑ์การตัดสินจะเป็นเรื่องคาริสม่ามากกว่าการร้องและเต้นดี ผมเน้นไปตรงที่ใครที่ให้ความสุขเราได้มากกว่าเวลาที่เขาอยู่บนเวที บางคนร้องเพี้ยนแต่ทำไมน้องคนนั้นทำให้เราขนลุกได้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจริง ๆ มันต้องมาสัมผัสเอง ผมขอเรียกว่า "เสน่ห์" แล้วกัน ถามว่าผมใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสิน มันไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งสิ้น มันมีรายละเอียดหลาย layer มากในการที่จะเลือกตัดสิน อย่างผมเองก็แทงสวนกับกรรมการหลายคนไป 2-3 รอบเหมือนกัน แต่พอเรามาคุยกันเราก็จะรู้ว่ากรรมการแต่ละคนอาจมองคนละมุมกัน มีความชอบต่างกัน บางทีก็มีเรื่องดวงมาประกอบด้วย แต่สำหรับผมนอกจากจะมองหาน้อง ๆ ที่มอบความสุขให้ผู้ฟังได้แล้ว ผมยังมองหาความเป็นนักสู้ในตัวของพวกเขาครับ"



ฟาก โบ ไทรอั้มพ์ คิงดอม กล่าวว่า "รายการนี้เขาเน้นดูที่คาริสม่ากับคาแร็คเตอร์ว่าเขาชัดเจนมากแค่ไหนค่ะ สำหรับโบคิดว่าคนที่จะมาเป็นไอดอลต้องมีเซอร์วิสมายด์ ที่จะเติมตัวเองเต็มและมอบให้กับคนอื่น นอกจากนี้ต้องมีความเป็นนักสู้ มันมาด้วยการฟาดฟันกัน ไม่ว่าจะออกมาหน้าจอหรือหลังจอมันมีกระบวนการที่ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถามว่าการเป็นกรรมการในรายการนี้เป็นยังไงบ้าง คือน้ำตาจะไหล กดดันมาก มันคือความฝันของเขา เหมือนเราไปทำลายความฝันของเขา โบเชื่อว่ามันยังไม่เป็นการเดบิวต์ เราให้โอกาสอีกคนด้วย เราพยายามทำเพื่อให้ ลาสต์ ไอดอล ดีขึ้นจริง ๆ ภาพรวมของวงเป็นสิ่งสำคัญ คุณสมบัติที่โบมองหาในตัวน้อง ๆ คือ ทัศนคติที่ดี ความมีเสน่ห์มีออร่า อย่างโบเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน ไม่ได้เต้นเก่ง โบรู้ว่าเรื่องพวกนี้ฝึกกันได้ค่ะ"


ปิดท้ายกันที่ มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ เผยว่า "มดไม่เคยเป็นกรรมการตัดสินใด ๆ มาก่อน แต่พอเป็น "ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์" มดเชื่อว่าเราสามารถเอาประสบการณ์ในการเป็นนักร้องของเรามาใช้ได้ เรารู้ว่าการที่จะแสดงให้คนรู้สึกสนุกไปกับเรา ต้องทำยังไง รายการนี้เป็นกลุ่มเด็กไอดอล มดรู้สึกว่าคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพื่อให้คนรู้สึกว่าฉันชอบคนนี้เพราะคาแร็คเตอร์แบบนี้ มันจะยิ่งดึงคนได้มากกว่าเดิม แต่ด้วยกติกาการตัดสินของรายการนี้ไม่เหมือนรายการอื่น ๆ มดว่าอยู่ที่ดวงด้วย เพราะกรรมการไม่ได้ประชุมเพื่อหามติส่วนข้างมากเป็นหลัก รายการนี้เขาให้กรรมการคน ๆ เดียวตัดสิน แล้วตัวกรรมการก็ยังต้องจับลูก.นำโชคเลย รายการนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ มดว่าการจะเป็นไอดอลได้ นอกจากบุคลิกภาพจะต้องดี มีเสน่ห์ ก็มีเรื่องดวงด้วย มันเหมือนจังหวะชีวิตของคนว่าเขาจะได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ไหมค่ะ"

ติดตามชม "Last Idol Thailand Presented by True 5G" (ลาสต์ ไอดอล ไทยแลนด์) ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.30-13.30 น. ทางช่อง 7 HD
#3229


ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้หลังขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน ขณะที่นักลงทุนรอดูการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐในวันนี้

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,465.48 จุด ลดลง 1.07 จุด หรือ -0.03%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,709.22 จุด ลดลง 18.90 จุด หรือ -0.07% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,262.97 จุด เพิ่มขึ้น 58.28 จุด หรือ +0.22%

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานจะพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 366,000 ราย สู่ระดับ 2.93 ล้านราย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องอยู่ที่ต่ำกว่าระดับ 3 ล้านรายนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.2563

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิ.ย.ของเกาหลีใต้และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนมิ.ย.ของญี่ปุ่น
#3230


ลิเวอร์พูล ลงสนามอุ่นเครื่องปรีซีซั่น เตรียมความพร้อมก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ ที่สต๊าด กามิลล์ ฟูร์นิเยร์ เมืองเอวิยอง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา พบ โบโลญญ่า ทีมในกัลโช เซเรีย อา อิตาลี

เกมนี้เป็นการลงเล่นแบบมินิแมตช์ ฟาดแข้งกันแค่ 60 นาที "หงส์แดง" ส่ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังที่เพิ่งหายบาดเจ็บ ลงเล่นเป็นตัวจริง ขณะที่ในแดนหน้า ใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา และซาดิโอ มาเน่ เป็น 3 ประสาน

ปรากฎว่า ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะ โบโลญญ่า ไปด้วยสกอร์ 2-0 จากการทำประตูของ ดิโอโก โชตา ในนาที่ 7 และซาดิโอ มาเน่ ในนาทีที่ 13

สำหรับโปรแกรมต่อไป ลิเวอร์พูล จะลงเล่นเกมอุ่นเครื่องอีก 2 นัด พบ แอธเลติก บิลเบา วันที่ 8 สิงหาคม และพบ โอซาซูน่า วันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่รังแอนฟิลด์ และจะปล่อยให้แฟน.เข้าชมเกมในสนามได้ 75 เปอร์เซนต์ของความจุ

รายชื่อ 11 ตัวจริงของลิเวอร์พูล : ควีวิน เคลเลเฮอร์ (GK), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิตา, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดิโอโก โชตา, ซาดิโอ มาเน่
#3231


จะดีแค่ไหน ?หากประเทศไทยมี Open Data แพลตฟอร์มสาธารณะด้านข้อมูล ซึ่งในวันนี้เนคเทค สวทช.ดัน 'Open-D' ขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม AIFORTHAI , NETPIE IoT Platform ,HandySense ไปแล้ว มาในวันนี้ได้ส่งมอบแพลตฟอร์มด้านข้อมูลเปิดแก่สาธารณะ

เพื่อที่จะช่วยภาครัฐมีเครื่องมือ หรือระบบที่สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐหรือองค์กรให้กับประชาชนได้รับทราบ และเป็นการผลักดันให้นักพัฒนาระบบหรือผู้ประกอบการด้านธุรกิจสาสนเทศ สามารถนำไปต่อยอดให้บริการพัฒนาระบบเปิดเผยข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆที่ไม่สามารถดำเนินการเองได้เพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคที่สำคัญในการพัฒนาความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย


โดยตัวอย่างข้อมูลภาครัฐที่มีคุณค่าสูงหากนำมาเปิดเผยได้ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งเป็นชุดข้อมูลที่มีผู้สนใจนำไปใช้งาน อาทิ ภูมิอากาศ การใช้จ่ายของภาครัฐ


มาวันนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปรู้จักกับแพลตฟอร์ม Open-D และลงลึกถึงทิศทางการวิจัยเทคโนโลยีด้าน Open Data ที่พร้อมเปิดให้ Download CKAN Open-D ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดทำ Open Data แล้ววันนี้

แต่เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องรู้ว่า "ข้อมูลเปิด (Open Data)" คือ ข้อมูลในแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้ และเปิดให้นำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดมูลค่าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างนวัตกรรมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถือเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนและปรับรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ซึ่งในประเทศไทยมีเว็บไซต์ศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ หรือ Data.go.th ที่ริเริ่มและดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Agency: DGA) ตั้งแต่ปี 2558


แต่กระนั้นภาครัฐก็ยังขาดซอฟต์แวร์สนับสนุนการดำเนินงานเปิดเผยข้อมูลอย่างครบวงจร ขาดโปรแกรมเครื่องมือสนับสนุนการใช้ประโยชน์ข้อมูลเปิด ตั้งแต่เรื่องของการนำเข้า การเปิดเผยข้อมูลที่เป็นอัตโนมัติ และสุดท้ายการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ยังมีไม่มาก

จากความสำคัญดังกล่าว ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลที่ชื่อ Open-D เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วนที่ต้องการให้บริการข้อมูลเปิดของตัวเอง โดยมีเป้าหมายให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถจัดทำบัญชีข้อมูลของหน่วยงานและให้บริการข้อมูลเปิดที่เป็นไปตามมาตรฐานระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ

และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลไปยัง Data.go.th ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยได้มีข้อมูลแบบเปิดที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยนักพัฒนาโปรแกรม นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ผู้วางแผนและกำกับนโยบาย และ ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เสาหลักสาธารณูปโภคด้านข้อมูลเปิด


"Open-D คือ เทคโนโลยีแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับข้อมูลแบบเปิดถูกพัฒนาขึ้นตามหลักการของความเป็นสากลด้าน Open Data เป็นผลงานการวิจัยของทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค" มารุต บูรณรัช กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ กล่าว

โดยในครั้งนี้ได้พัฒนาต่อยอดจากซอฟแวร์ CKAN (https://ckan.org/) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ระบบจัดการข้อมูล (Data Management System) ชนิดโอเพนซอร์ส ที่ได้รับความนิยมในการนำไปให้บริการเว็บไซต์บัญชีข้อมูล สำหรับข้อมูลเปิดทั่วโลก ที่สำคัญได้แก่ เว็บไซต์ Data.gov, Data.gov.sg , Data.gov.au, Data.go.th เป็นต้น

ทั้งนี้ Open-D ได้ปรับปรุงเพิ่มความสามารถของ CKAN หลายฟังก์ชันได้แก่ Data Catalog สนับสนุนการจัดทำบัญชีข้อมูลที่สอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ 2.Data playground สนับสนุนการใช้ข้อมูลเปิด เพื่อวิเคราะห์ จัดทำรายงานเชิงสรุปในรูปแบบตาราง แผนที่ กราฟ 3.Data Governance สนับสนุนการทำงานของบริกรข้อมูล ตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลขององค์กร 4.Data Connect สนับสนุนการสร้างชุดข้อมูลเปิดจากแหล่งข้อมูลของหน่วยงานในแบบฐานข้อมูลหรือ API

ขณะที่ Open-D เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมความสามารถของระบบ CKAN ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยทั้งในด้านความสอดคล้องกับมาตรฐานการจัดทำบัญชีข้อมูลที่กำหนดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ การรองรับการสืบค้นข้อมูลภาษาไทย และเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถในด้านต่างๆ ในด้านการจัดการข้อมูล

เช่น เครื่องมือสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างกราฟชนิดต่างๆ เครื่องมือสนับสนุนการนำเข้าข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นต้น โดยซอฟแวร์ Open-D ให้บริการทั้งในรูปแบบของส่วนขยายของ CKAN และซอฟแวร์ที่สามารถนำไปติดตั้งใช้งานในหน่วยงานได้

ทั้งนี้ Open-D จะช่วยให้หน่วยงานสามารถประหยัดเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ให้บริการเปิดเผยข้อมูล ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานภาครัฐ รองรับการเชื่อมโยงบัญชีข้อมูล ตอบสนองการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการนำข้อมูลไปต่อยอดใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

มารุต ยังเล่าต่อไปว่า แพลตฟอร์ม Open-D ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนทิศทางการวิจัยในอนาคตจะเป็นการเข้าไปสนับสนุนทั้งต้นน้ำ Data Catalog กลางน้ำ Data Governance และปลายน้ำ Open Data ซึ่งการพัฒนา Open-D เพื่อสนับสนุนในทุกขั้นตอนเพื่อที่เนคเทคจะขยับตัวเองมาเป็นผู้พัฒนา Software Platform เพื่อให้กลางน้ำและปลายน้ำคือ บริษัทซอฟแวร์เอกชนและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดด้วยตนเองให้มากที่สุด เมื่อหน่วยงานส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานเครื่องมือเดียวกันการเชื่อมโยงจะง่ายมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีทิศทางการดำเนินงานเพิ่มเติมคือการเพิ่มความชาญฉลาดในเรื่องของภาษาไทย การประมวลข้อมูลที่มีความไดนามิกให้สามารถรองรับการนำเข้าข้อมูลอย่างอัตโนมัติซึ่งจะเป็นการพัฒนาในลำดับต่อไป


"ข้อมูลเปิดที่ Open-D กับ Data.go.th อยู่คนละบทบาทกัน ทั้งนี้การใช้ Ckan จะมี learning curve ประมาณนึง และจะต้องมีทักษะของระบบโอเพนซอร์ส แต่ Open-D แฮกระบบยากๆให้แล้วเบื้องต้น ทั้งนี้ทางเนคเทคจะมีการจัดอบรมแบบเชิงลึก "NSTDA career for the future" โดยหลักสูตรจะมีการจัดในเดือนกันยายนนี้ผ่านช่องทางออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ"
#3232


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3233


ทำเนียบขาวแถลงในวันพุธ(4ส.ค.)ว่า รัฐบาลสหรัฐยังคงพร้อมที่จะดำเนินการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มที่ 3 ให้แก่ประชาชน หากมีความจำเป็น แม้ว่าองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ออกมาเรียกร้องให้นานาชาติระงับโครงการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นการชั่วคราว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการฉีดวัคซีนทั่วโลก

"นี่เป็นทางเลือกที่ผิด โดยสหรัฐสามารถดำเนินการได้ทั้งสองอย่าง ด้วยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชน หากวัคซีนดังกล่าวได้รับการอนุมัติในสหรัฐ และสหรัฐยังสามารถบริจาควัคซีนส่วนเกินให้แก่ชาติอื่นๆ" นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวกล่าว

ด้านดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า ชาติที่ร่ำรวยควรระงับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น อย่างน้อยเป็นเวลา 2 เดือน เพื่อให้ดับเบิลยูเอชโอบรรลุเป้าในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากร 10% ของทุกประเทศภายในสิ้นเดือนก.ย.

ดับเบิลยูเอชโอ ยังระบุว่า อาจมีการขยายเวลาระงับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 มากกว่า 2 เดือน หากการฉีดวัคซีนในประเทศที่มีอัตราการฉีดต่ำยังคงไม่เพิ่มขึ้น

"เราจำเป็นต้องพลิกสถานการณ์อย่างเร่งด่วนจากการส่งวัคซีนส่วนใหญ่ให้แก่ชาติที่ร่ำรวย ไปสู่การส่งวัคซีนส่วนใหญ่ให้แก่ชาติที่ยากจน" นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ของดับเบิลยูเอชโอ กล่าว

นอกจากนี้ นายแพทย์ทีโดรสยังมีแผนที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชากรโลก 40% ภายในเดือนธ.ค.

การเรียกร้องของดับเบิลยูเอชโอในวันนี้ สอดคล้องกับที่ดับเบิลยูเอชโอ ระบุก่อนหน้านี้ว่าไม่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็ม 3 เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว

ทั้งนี้ แพทย์หญิงเคท โอไบรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิคุ้มกัน, วัคซีน และชีววิทยาของดับเบิลยูเอชโอ กล่าวว่า ดับเบิลยูเอชโอไม่แนะนำให้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย "ในขณะนี้" เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนประสิทธิภาพในการดำเนินการดังกล่าว

แพทย์หญิงโอไบรอันกล่าวว่า ดับเบิลยูเอชโอกำลังทำการวิจัยว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มีความจำเป็นหรือไม่ในการป้องกันไวรัสที่มีการกลายพันธุ์

อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของบริษัทไฟเซอร์, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ต่างสนับสนุนให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากที่ได้รับวัคซีนครบโดสก่อนหน้านี้แล้ว
#3234


โบรกเกอร์ประสานเสียงขยายล็อกดาวน์ เสี่ยงจีดีพี กำไร บจ.ลด ASPS ประเมินกระทบ GDP ไตรมาส 3 เดือนละ 3 แสนล้านบาท ฉุดจีดีพีทั้งปีโตไม่ถึง 1% คาดอีกหลายค่ายหั่นเป้า GDP ส่วนทรีนีตี้คาดอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ. ขณะตลาดหุ้นเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัว ด้านยูโอบีฯ ประเมินธีมลงทุนระยะสั้นหุ้นกลุ่มสื่อสาร - REITs เป็นแหล่งพักเงินที่ดี ส่วนโนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening แนะตั้งรับ และวิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งการระบาดได้และตัวเลขผู้ติดเชื้อยังขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สุดท้ายรัฐได้ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มเป็น 29 จังหวัด และนั่นเท่ากับเป็นการแสดงถึงความล้มเหลวที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ แม้ก่อนหน้านั้นได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 14 วัน ใน 13 จังหวัดก็ไม่เป็นผล กระทั่งในเดือนสิงหาคมรัฐประกาศการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ทรุดหนักและสาหัสเพิ่มมากขึ้น ทำให้แทบทุกภาคส่วนมิอาจขยับขยายธุรกิจ ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทำให้ทั้งระบบย่ำแย่ บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งรับผลกระทบเต็มๆ เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่เดินหน้า ทุกอย่างย่อมติดลบ ตัวเลขจีดีพีที่ก่อนหน้านั้นมีแนวโน้มจะดีขึ้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดระลอกแล้วระลอกเล่า ย่อมให้ความไม่นิ่งในการประเมินตัวเลขจีดีพีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ASPS ประเมินจีดีพีโตไม่ถึง 1% หลายค่ายเตรียมหั่นเป้า

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส (ASPS) เปิดเผยว่า การล็อกดาวน์ต่อถึงสิ้นเดือน ส.ค. เพิ่ม Downside ปรับลด GDP Growth ไทยปี 64 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยตัวเลขล่าสุด ประกาศออกมาเพิ่มขึ้นอยู่บริเวณ 1.8 หมื่นราย ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โดย ASPS ประเมินเป็นการเปิด Downside เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 คาดหดตัวมากกว่า โดยหอการค้า คาดผลกระทบต่อ GDP ค่าเฉลี่ยราว 3 แสนล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.75%ต่อ GDP (จากเดิมคาด 2.75 แสนล้านบาท) x ประเมินว่าค่อนข้างแน่ชัดปีนี้ GDP ไทยอาจจะโตไม่ถึง 1% เทียบปีก่อน และจะเห็นการทยอยปรับลด GDP Growth ลงเพิ่มขึ้นอีกจากหลายสำนักเศรษฐกิจ

ขณะที่อีกฝั่งคาดจะกดดันตลาดหุ้นไทยและหุ้นเปิดเมืองในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าราคาหุ้นได้ปรับฐานลงไปก่อนหน้าแล้ว อย่างไรก็ตาม เคยนำเสนอว่าตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อ (New case) ที่เพิ่มสูงกว่าจำนวนผู้รักษาหาย (Recovered case) โดยเชื่อว่าสัญญาณซื้อ (Buy Signal) สำคัญของตลาดหุ้นจะมาจากช่วงจังหวะที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่ำกว่าผู้รักษาหาย (กราฟ New case ตัด Recovered case ลด) ส่งผลให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยต้องรอ Buy Signal ต่อไป

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญโควิด-19 ระลอกแรกหุ้นตกหนักมากถึง -38% ตามมาด้วยระลอก 2 และ 3 ปรับตัวลงเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ราว -7% และ 5% ตามลำดับ จากนั้นค่อยๆ ฟื้นกลับมาด้วยความคาดหวังการกระจายวัคซีน และมาตรการภาครัฐน่าจะยับยั้งโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟาได้เหมือนกับระลอกแรก ขณะที่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเผชิญกับโควิด-19 ระลอกที่ 4 สายพันธุ์เดลตา (แพร่ระบาดเร็ว) โดยปรับฐานลงมาแล้วมากกว่า 7% ถือว่าลดลงมากสุดเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 4 รอบที่ผ่านมา และยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนต่อจากมาตการที่คุมเข้ม หรือล็อกดาวน์ที่ขยายวงกว้างขึ้นเป็น 29 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม หลังการล็อกดาวน์ต้องรอติดตามดูว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อทยอยลดลง จนต่ำกว่าผู้ที่รักษาหายจะเป็นจุดที่เข้าสะสมหรือเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยโดยคาดหวังการฟื้นตัวตามความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นและตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดีย

ทรีนีตี้มองสู่ Downsid ของ GDP-กำไร บจ.

บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปัจจัยเชิงลบล่าสุดที่เกิดขึ้น และมีผลทำให้สมมติฐานก่อนหน้านี้เปลี่ยนแปลงไปก็คือการที่ ทาง ศบค.ได้มีมติให้ขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไปถึงวันที่ 18 ส.ค.เป็นอย่างน้อย แถมยังมีการเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจากเดิม 13 จังหวัดขึ้น ถึงเท่าตัวเป็น 29 จังหวัด ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับการเคลื่อนย้ายของผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงจากเดิมที่ประเมินไว้ และอาจนำมาสู่ Downside risk ของ GDP รวมถึงประมาณการกำไรของ บจ.ได้

ทั้งนี้ แม้อาจมี Sentiment เชิงบวกเล็กๆ จากการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสามารถเปิดจำหน่ายเพื่อบริการ Delivery แต่เหตุการณ์ล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ Sentiment การลงทุนในระยะสั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของสภาพคล่องที่เริ่มหดหายไปจากตลาด สะท้อนผ่านการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั่วไปที่ลดลง และระดับปริมาณเงินในประเทศหรือ M2 ที่ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008

บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพตลาดหุ้นไทยเดือนสิงหาคมมีโอกาสย่อตัวลงก่อนในช่วงต้นเดือน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการล็อกดาวน์ที่ยาวนานและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้น ปัจจัยต่างประเทศที่อาจเข้ามากดดันตลาดในช่วงต้นเดือนอีกก็คือ ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่เริ่มแผ่วลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลังคาดอาจมี Sentiment เชิงบวกขึ้นมาบ้าง หากในที่ ประชุมผู้นำธนาคารกลางโลกที่เมือง Jackson Hole ไม่ได้มีการส่งสัญญาณเข้มงวดนโยบายการเงินใดๆ ออกมา โดยเฉพาะจากทางฝั่งของ Fed

สำหรับในเชิงกลยุทธ์ สำหรับพอร์ตที่ทยอยสะสมหุ้นมาก่อนหน้านี้ที่บริเวณดัชนีต่ำกว่า 1,550 จุดลงมา มองว่าสามารถถือครองหุ้นไว้ก่อนได้ ส่วนการเข้าสะสมครั้งใหม่อาจรอจังหวะการย่อตัวแถวบริเวณแนวรับประจำเดือนนี้ที่ให้ไว้ที่ 1,480-1,500 จุด น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation อยู่ต่ำแล้ว โดยซื้อขายเพียงแค่ Forward PE 15.5 เท่าเท่านั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 17.2 เท่าอยู่พอสมควร

ยูโอบีฯ แนะลงทุนระยะสั้น สื่อสาร-REITs

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน เปิดเผยว่า การประกาศขยายเวลาและพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวดอีก 14 วัน (ตั้งแต่ 3 ส.ค.และอาจถึงสิ้น ส.ค.) ของ ศบค. และเพิ่มพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด (สีแดง) ขึ้นเป็น 29 จังหวัด (จากเดิม 13 จังหวัด) ขณะที่มาตรการควบคุมส่วนใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ยกเว้นมีการผ่อนคลายให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้เพื่อให้บริการแบบจัดส่งเท่านั้น

โดยมองว่าภาพรวมประกาศสอดคล้องกับที่เคยประเมินรัฐจะขยายเวลาล็อกดาวน์ ซึ่งน่าจะ 1-2 เดือน (หรือน่าจะมีการต่อมาตรการล็อกดาวน์ทุก 14 วันออกไปเรื่อยๆ) เนื่องจาก ประการแรก อ้างอิงผลการศึกษาจากกองระบาดวิทยาที่เสนอการล็อกดาวน์ 1-2 เดือน ควบคู่กับการฉีดวัคซีน และประการที่สองคือข้อจำกัดของวัคซีนที่มีคุณภาพสูง (ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แสดงให้เห็นถึงปัญหาของวัคซีนที่ไม่สามารถหยุดการระบาดได้)

สุดท้ายคือ ความต้องการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่เพิ่มจนใกล้ถึงระดับการผลิตที่เป็นข้อจำกัดขององค์การเภสัชในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า จะทำให้รัฐต้องคงมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อกดการเพิ่มของผู้ป่วย และชะลอการเสียชีวิตที่มีโอกาสจะเร่งตัวขึ้น

ดังนั้น ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง มองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT

ทั้งนี้ แนะให้ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC

ระวังหุ้นการผลิต กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เสี่ยง  
นอกจากนี้ ยังให้เพิ่มความระวังหุ้นการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สถานการณ์ระบาดที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นทำให้ต้องระวังว่านอกจากจะกระทบต่อการบริโภคเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์แล้ว การระบาดอาจจะกระทบต่อการขนส่งและโลจิสติกส์ ขณะที่ภาคการผลิตอาจจำเป็นต้องปิดโรงงานหรือส่วนของการผลิตหากพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 3/64 อย่างมีนัยสำคัญได้

ถึงแม้มีมุมมองบวกต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 และ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี ทำให้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะแบ่งทำกำไรหรือเพิ่มความระวังในการลงทุน

โนมูระ มองกดดันหุ้น Domestic - Re-Opening

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุ การปรับเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด และให้ขยายมาตรการล็อกดาวน์ต่อไปอีก 14 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป เป็นแรงกดดันต่อกลุ่ม Domestic และ Re-Opening อย่างต่อเนื่อง ส่วนการผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดจำหน่ายเฉพาะ Delivery โดยให้เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.นั้น มองไม่ได้บวกต่อกลุ่มร้านอาหารอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ทำให้จำนวนสาขาที่ห้ามรับประทานที่ร้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้โดยรวมเป็นลบต่อกลุ่มร้านอาหาร

ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังสูง ขณะที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์ต่ออีก 1 เดือน กดดันกลุ่ม Domestic และ Re-Opening ต่อเนื่อง กลยุทธ์แนะตั้งรับ Selective เน้นกลุ่ม Earnings ดี โดยปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (BDMS, BCH, CHG, EKH, SMD, WINMED) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากพลังงานน้ำ (GPSC, BCPG, CKP) เด่น ผสานกลุ่มส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (ชิ้นส่วน-อาหาร KCE HANA TU PM ASIAN) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) และหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาล (TVO) คงน้ำหนักหุ้นที่ 50%

วิจัยกรุงศรีประเมิน ศก.อ่อนแอ คาด GDP ปีนี้ขยายตัว 1.2%

วิจัยกรุงศรีรายงานว่า อุปสงค์ในประเทศเดือนมิถุนายนยังคงซบเซา แต่เศรษฐกิจยังพอได้แรงหนุนจากการส่งออก ส่วนภาคการผลิตไตรมาส 3 อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการระบาด ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแม้ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอ่อนแอ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน (+0.2%) โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับดีขึ้นเล็กน้อยตามทิศทางการส่งออก ขณะการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอและมาตรการควบคุมการระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง ส่วนภาคท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเล็กน้อย จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกที่เติบโตในอัตราสูง คือ 46.1% เทียบจากปีก่อน ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้การส่งออกเติบโตกระจายตัวทั้งในตลาดและหมวดสินค้า ช่วยพยุงการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ

ทั้งนื้ เศรษฐกิจไตรมาส 2 อ่อนแอลงจากไตรมาสแรก ผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอก 3 ของ โควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 อาจหดตัวจากไตรมาสแรกที่ -0.6% QoQ sa แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปีก่อนอาจขยายตัวได้ 7% ซึ่งเป็นผลของฐานที่ติดลบหนักเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลตา ผลจากมาตรการควบคุมการระบาดเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและอาจกระทบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้และอาจจะติดลบมากกว่าไตรมาส 2

ขณะคลังประเมินเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 1.3% และจะขยายตัวเร่งขึ้น 4-5% ในปี 2565 ด้านวิจัยกรุงศรีชี้ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2564 เหลือขยายตัว 1.3% จากเดิมคาด 2.3% ผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาไทยลดลงจากเดิม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

ด้านวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ GDP ปีนี้จะขยายตัว 1.2% (เดิมคาด 2.0%) ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าคาด และจากแบบจำลองชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะลดลงต่ำกว่า 1,000 ราย ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนมาตรการควบคุมยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนตุลาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจึงยังคงซบเซา ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดมีเพียง 2.1 แสนคน (เดิมคาด 3.3 แสนคน) นอกจากนี้ อานิสงส์จากการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญ หนุนให้มูลค่าส่งออกของไทยปีนี้เติบเติบโต 15% แม้ช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกอาจชะลอลงบ้าง

โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นช่วงปลายไตรมาส 4 ปีนี้ ตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นและการฉีดวัคซีนจำนวนมาก กอปรกับการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากการจัดหาและการกระจายวัคซีนของไทย รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและประสิทธิผลของมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามในระยะข้างหน้า
#3235


นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (เอ็นไอเอไอดี) เปิดเผยในวันพุธ (4 ส.ค.) ว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจนแตะที่ 200,000 รายต่อวันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

"จำได้ไหมครับว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรามีผู้ติดเชื้อ 10,000 รายต่อวัน ผมคิดว่ามีแนวโน้มที่เราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย" นายแพทย์เฟาชีกล่าว

นายแพทย์เฟาชียังกล่าวว่า "ยอดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังพุ่งสูงขึ้นทั่วสหรัฐ และสถานการณ์อาจเลวร้ายเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เว้นเสียแต่ว่าชาวอเมริกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีนซึ่งมีอยู่มากจะตัดสินใจไปฉีดวัคซีน"

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

"สถานการณ์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอัตราการติดเชื้อที่รวดเร็ว และยังมีคนที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนแต่ยังไม่ไปฉีดอีกประมาณ 93 ล้านคนทั่วประเทศ คนกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง"

นายแพทย์ใหญ่ยังแสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดไวรัสกลายพันธุ์ที่ต้านทานต่อวัคซีนได้มากขึ้น

"หากเราไม่หยุดยั้งการแพร่ระบาดด้วยการระดมฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ไวรัสจะระบาดในฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ได้"

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของสหรัฐเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันอยู่ที่ 84,389 ราย
#3236


LINE MAN ประกาศมาตรการดูแลเพิ่มเติมแก่ไรเดอร์ทั่วประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มอบความคุ้มครองชดเชยรายได้รายวัน และค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 หรือภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีน เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

LINE MAN ต้องการสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ ด้วยการมอบประกันโควิด-19 ที่ชดเชยรายได้รายวันอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 25,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในภาวะโคม่าจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท และภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด 500,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับไรเดอร์ทั่วประเทศที่ลงทะเบียนและเข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนด* โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และจะเริ่มคุ้มครองตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564

นอกจากนี้ LINE MAN ได้จับมือร่วมกับ Shell GO+ มอบประกันโควิด-19 แก่ไรเดอร์เพิ่มอีกช่องทาง ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด-19 ภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดวัคซีนไปจนถึงอาการโคม่าด้วยเช่นเดียวกัน โดยเริ่มคุ้มครองระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม 2564



นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ไรเดอร์ถือเป็นฮีโร่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนทั่วไปในการขนส่งอาหารหรือสิ่งของต่างๆ ในช่วงล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้น การดูแลเรื่องความปลอดภัยและสุขอนามัยของไรเดอร์จึงเป็นเรื่องที่ LINE MAN ให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ไรเดอร์ของเรา โดย LINE MAN พร้อมเดินหน้าออกมาตรการดูแลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการมอบประกันโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การมอบเงินเยียวยาให้แก่ไรเดอร์ที่ต้องกักตัว หรือติดเชื้อโควิดสูงสุดครั้งละ 9,000 บาท รวมถึงมีการแจกหน้ากากอนามัยให้ไรเดอร์ทั่วประเทศมากถึง 1 ล้านชิ้น เพื่อให้ไรเดอร์ของเราสามารถให้บริการอย่างดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

ทั้งนี้ เงื่อนไขของประกันโควิด-19 เป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด และไรเดอร์ที่จะได้รับประกันโควิด-19 จะต้องลงทะเบียนในระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2564 โดยขับ 15 วันทำงานขึ้นไป รวมไม่ต่ำกว่า 30 เที่ยวในเดือนกรกฎาคม 64 หรือตามเงื่อนไขในเดือนต่อๆ ไป ซึ่งจะประกาศผ่านช่องทางแอปฯ LINE MAN Rider
#3237


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัจจุบันโควิด-19 ยังแพร่ระบาดทั่วโลก แต่หลายประเทศเริ่มปรับตัวและรับมือเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึง 6% โดยได้อานิสงส์จากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ สหรัฐฯ จีน และบางประเทศในยุโรป โตมากกว่า 6% ซึ่งประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของ GDP โลก เป็นผลจากความพร้อมในการผลิตวัคซีนเองและฉีดให้แก่ประชาชนของตนเองได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความพร้อมของเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้น เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ โรงงานในบางพื้นที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนต้องหยุดการผลิต ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่ยังมีความเปราะบาง จนหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญหลายแห่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียงราว 1% ขณะที่การท่องเที่ยวยังรอวันฟื้น "การส่งออก" จะกลายเป็นพระเอกประคับประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.5% โดยได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาดี สินค้าไทยบางส่วนตอบรับกระแส New Normal ได้ดี และเงินบาทอ่อนค่า โดยคาดว่าในปี 2564 ภาคส่งออกจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 10% ขณะที่ปัจจัยลบที่ยังต้องจับตามองได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย การขาดแคลนวัตถุดิบและตู้คอนเทนเนอร์สำหรับธุรกิจส่งออก เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความชะงักงันของกิจการ Logistics ที่มีผู้ติดเชื้อและการตรวจสอบที่เข้มงวด จนทำให้จำนวนตู้คอนเทนเนอร์กลับเข้าสู่ภาวะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน

ดร.รักษ์ กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีภารกิจส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนธุรกิจของผู้ประกอบการไทยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ จึงขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เร่งขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างรวดเร็วตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ โดย "พัฒนา 4 ปัจจัยสู้วิกฤตโควิด-19 ควบคู่กับการตอบโจทย์โลกวิถีใหม่" เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ดังนี้



1. พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ตอบรับกระแส New Normal EXIM BANK จะเป็น Lead Bank สนับสนุนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ พลังงานทดแทน พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมสีเขียว ดิจิทัล และสุขภาพ (Green, Digital, Health : GDH)

2. พัฒนา SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกรายใหม่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ของไทยในปัจจุบันมีไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งประเทศซึ่งมีจำนวน 3.1 ล้านราย EXIM BANK พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำและอบรมบ่มเพาะผู้ประกอบการ SMEs ในทุกระดับ ผ่านกิจกรรมของศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้าของ EXIM BANK (EXIM Excellence Academy : EXAC) รวมทั้งให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะทำให้ SMEs เข้าสู่ธุรกิจส่งออกได้ทันที อาทิ สินเชื่อเครือข่ายครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ SMEs ที่เป็น Suppliers ของผู้ประกอบการรายใหญ่โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม

3. พัฒนา Pavilion สำหรับการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "EXIM Thailand Pavilion" เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยรายเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการค้าขาย การโพสต์สินค้า ตลอดจนขีดจำกัดด้านเงินทุน มีโอกาสค้าขายกับคู่ค้าในต่างประเทศทางออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินจาก EXIM BANK และหน่วยงานพันธมิตรควบคู่ไปด้วย

4. พัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อเสริมสภาพคล่องและป้องกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย รวมทั้งมาตรการ "พักหนี้" และ "เติมทุน" เพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง ผู้นำเข้า และนักลงทุนจากผลกระทบของโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับนโยบาย Dual-track Policy ของ EXIM BANK ในการทำหน้าที่เป็น "ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank)" ขับเคลื่อนการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านภาวะวิกฤตและมีโมเมนตัมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว และยั่งยืน มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในโลกยุค ใหม่

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังทำหน้าที่เป็น
"ศูนย์บริการครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศให้แก่ SMEs (One Stop Trading Facilitator for SMEs)" ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจสามารถผันตัวเป็นผู้ส่งออกและขยายธุรกิจส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง มั่นคง และยั่งยืน โดย EXIM BANK จะเร่ง 'ซ่อม' ด้วยการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่วิกฤตและกระตุ้นให้ตลาดกลับมาน่าสนใจ 'สร้าง' อุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจในโลกอนาคต 'เสริม' ความสมดุลของการค้าและการลงทุนในตลาดหลักควบคู่กับตลาด New Frontiers รวมทั้งบุกเบิกโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ ขณะเดียวกัน จะเป็นผู้ให้บริการครบวงจรร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรในการเติมความรู้ ทุน และศักยภาพ เพื่อช่วยให้ SMEs ค้าขายระหว่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จและเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างมั่นใจ

"EXIM BANK จะเร่งพัฒนาปัจจัยต่าง ๆ ที่จะทำให้ภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤตและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่ง EXIM BANK พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและให้เครื่องมือทางการเงินสำหรับบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า แม้ว่าผู้ส่งออกจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะสั้น แต่ภูมิคุ้มกันของผู้ส่งออกคือ ความแตกต่างอย่างโดดเด่นของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ภายใต้วิถีใหม่ในระยะข้างหน้าได้" ดร.รักษ์ กล่าว
#3238


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ ประกอบกับการมีข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 27) ขอความร่วมมือให้ประชาชนชะลอหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น

การรถไฟฯ จึงออกแนวทางปฏิบัติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการยกเลิกการเดินทางตามนโยบายของภาครัฐ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้ - 31 ส.ค.2564 ดังต่อไปนี้

- ให้ผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสาร (รายบุคคล หมู่คณะ) ตั๋วสำหรับเช่าขบวนรถพิเศษโดยสาร และเช่ารถโดยสารไว้ล่วงหน้า หากไม่มั่นใจในการเดินทางในช่วงดังกล่าวสามารถติดต่อขอคืนเงินค่าตั๋วก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 1 วัน โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ


- กรณีจังหวัดของสถานีต้นทางหรือปลายทางตามตั๋วของผู้โดยสาร ได้ประกาศมาตรการเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด อนุญาตให้คืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการคืนเงิน (คืนเต็มราคา) เป็นกรณีพิเศษ

- กรณีมีการจองซื้อตั๋วทางอินเตอร์เน็ต หากผู้โดยสารไม่ประสงค์เดินทางและไม่สะดวกในการคืนเงินค่าตั๋วผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ให้อนุญาตคืนเงินค่าตั๋วก่อนขบวนรถออกไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง โดยยื่นคำร้องขอคืนเงินได้ที่สถานี

ทั้งนี้ นายนิรุฒ กล่าวว่า การรถไฟฯ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ เพิ่มความถี่ในการดูแลทำความสะอาดภายในขบวนรถโดยสารทุกขบวน และทุกสถานีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคัดกรองพนักงานรถไฟ ผู้ใช้บริการรถไฟ รวมทั้งผู้ประกอบการ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกคน และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติงานหรือใช้บริการอย่างเคร่งครัด
#3239


กรุงเทพฯ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564 – ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) ประกาศแต่งตั้ง ดร. สร เกียรติคณารัตน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย (Initiative Thailand) อย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อความสำเร็จล่าสุดของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในฐานะมีเดีย เอเยนซี่ ด้านคุณภาพอันดับ 1 ของประเทศไทยในปี 2020 ซึ่งจัดอันดับโดย RECMA บริษัทวิจัยระดับโลกที่ประเมินผลงานเชิงคุณภาพการให้บริการของมีเดีย เอเยนซี่ในระดับโลก ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ


ดร. สร ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เพื่อเป็นแม่แรงสำคัญในการขับเคลื่อนและขยายขีดความสามารถของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด - 19   ซึ่งอินิชิเอทีฟมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการเป็นพาร์ทเนอร์ในการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้าผ่านกรอบการทำงานแบบ Cultural Velocity - การเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และความเป็นตัวตนของผู้บริโภค ผ่าน ดาต้าและเครื่องมือต่างๆที่ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนธุรกิจและการสื่อสารให้เข้ากับยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของวัฒนธรรมการใช้ชีวิตได้ตลอดเวลา

ด้วยประสบการณ์มากกว่า 23 ปี ในแวดวงสื่อและโฆษณา รวมทั้งการให้คำปรึกษาด้านแบรนด์ ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวเรือใหญ่ของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยนั้น ดร. สร เคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย และนับตั้งแต่ ดร. สร เข้าร่วมไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555  เขากลายเป็นนักกลยุทธ์สำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเป็นผู้นำทางความคิด ในการพัฒนาแนวคิดและกลยุทธ์ให้กับสินค้าและบริษัทชั้นนำของประเทศไทย ดร. สร จึงได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจของเครือข่าย ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งจนถึงปัจจุบัน

คุณเอมี่ อาร์มสตรอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุด อินิชิเอทีฟ โกล. (Global CEO) กล่าวว่า "ดร. สร เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล และมีความเฉียบแหลมทางด้านธุรกิจ ทำให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย และฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็น ดร. สร เป็นผู้นำทัพ ขับเคลื่อนสร้างการเติบโตและนำความสำเร็จมาสู่ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทยในอนาคต" ขณะที่คุณลีห์ เทอร์รี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (IPG Mediabrands APAC) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก (Initiative APAC) กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ดร. สร เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เพราะ ดร. สร เป็นทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญและรักในงานวางแผนกลยุทธ์ และเป็นผู้นำในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่ง ดร. สร มีผลงานโดดเด่นในการขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจและวิธีแก้ปัญหาโดยสร้างวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในตลาดประเทศไทย ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นพัฒนาการด้านความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขา จนตัวเขาได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งผู้นำสำคัญที่สุดคนหนึ่ง และจากผลงานที่ผ่านมา ดร. สร เป็นแรงผลักดันสำคัญ ผู้อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเอเยนซี่ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ผมเชื่อว่าเขาจะสานต่อแรงผลักดันที่แข็งแกร่งนี้ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทยต่อไปได้อย่างแน่นอน"


ดร. ธราภุช จารุวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย กล่าวถึงผู้นำอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนใหม่ว่า จากบทบาทก่อนหน้านี้ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ดร. สร พิสูจน์แล้วว่า เขาเป็นนักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับลูกค้า ในขณะเดียวกัน ดร. สร ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างผลงานให้กับลูกค้าจนได้รับรางวัลทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศอย่างมากมาย ทั้งนี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย เชื่อมั่นว่า ดร. สร จะเดินหน้าสร้างความสำเร็จในทศวรรษที่ 3 ให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ต่อจากคุณวรรณี รัตนพล ผู้ก่อตั้งและเป็นตำนานของอินิชิเอทีฟ และคุณมาลี กิตติพงศ์ไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย คนก่อนหน้า

ดร. สร เกียรติคณารัตน์ ยืนยันถึงการสานต่อความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ในทศวรรษที่ 3 นี้ว่า "ความก้าวหน้าและวัฒนธรรมเป็นรากฐานสำคัญของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย มาโดยตลอด ผมมุ่งมั่นที่จะยกระดับจากการแก้ปัญกาเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ พร้อมพัฒนานวตกรรมการบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าของเรานำหน้าคู่แข่งทางธุรกิจอยู่เสมอ โดยผมจะเน้นเรื่องการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้าทางธุรกิจ และเน้นการสร้างความสุขและพัฒนาศักยภาพพนักงานของเรา ให้เติบโต มีความคล่องตัวและก้าวนำสถานการณ์โลก การสร้างความสุขในการทำงานจะเป็นตัวจุดประกายสำคัญที่จะช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ดีในฐานะพาร์ทเนอร์ทางความคิดเชิงรุกให้กับลูกค้า ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักของผม คือ การทำให้ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย เป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดสำหรับคนที่รักความก้าวหน้า เป็นเอเยนซี่ที่ดีที่สุดของลูกค้าที่รักและพันธมิตรทางธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้แบรนด์สร้างสิ่งใหม่ๆที่โดนใจในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภค – we help brand takes initiative into the culture"

ด้านคุณมาลี กิตติพงศ์ไพศาล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย หนึ่งในผู้สร้างความสำเร็จให้กับอินิชิเอทีฟ ประเทศไทย จะยังคงดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านธุรกิจฝ่ายบริหาร ให้กับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ต่อไปในปี 2021

 

เกี่ยวกับ ดร. สร เกียรติคณารัตน์

ดร. สร เริ่มต้นการทำงานในปี พ.ศ. 2540 ที่ เดนท์สุ ยังก์ แอนด์ รูบิแคม (Dentsu Young & Rubicam) ในฐานะนักวางแผนกลยุทธ์ ก่อนมาร่วมงานกับ โลว์ (ลินตาส) (Lowe (Lintas) ในปี พ.ศ. 2543 เพื่อร่วมบุกเบิกการเป็นเอเยนซี่ที่ให้คำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ แห่งแรก ๆ ของประเทศไทย ดร. สร ทำงานด้านกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจที่โลว์ เป็นระยะเวลา 10 ปี ก่อนเข้าร่วมกับยูโร อาร์เอสซีจี (ฮาวาส) (Euro RSCG (HAVAS) ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และในปี พ.ศ. 2555 ดร. สร เข้าร่วมงานกับไอพีจี มีเดียแบรนด์ส โดยดำรงตำแหน่งแรก คือ กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรม ของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย ซึ่ง ดร. สร เป็นผู้จัดตั้งแผนกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการสื่อสารให้กับเอเยนซี่ต่าง ๆ ในเครือไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส

ดร. สร เป็นผู้บริหารที่มีแนวคิดบวก เปิดกว้างและพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่เสมอ (Growth Mindset) และเป็นคนที่ชอบเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) อย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากการที่ ดร. สร ได้สำเร็จการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขานิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพในปี พ.ศ. 2563 โดยเชี่ยวชาญเรื่องนวัตกรรมสังคมองค์กร (Corporate Social Innovation) นอกจากบทบาทใหม่ที่ อินิชิเอทีฟ (Initiative) ประเทศไทย แล้ว ดร. สร ยังดำรงตำแหน่งกรรมการสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (MAAT) และเป็นกรรมการอิสระและกรรมการที่ปรึกษาภายนอกของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง

 

เกี่ยวกับ อินิชิเอทีฟ

อินิชิเอทีฟ เป็นมีเดีย เอเยนซี่ระดับโลก ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแบรนด์ให้เติบโตผ่านวัฒนธรรม และในช่วงสามปีที่ผ่านมา เราได้รับการเสนอชื่อให้เป็น มีเดีย เอเยนซี่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จัดอันดับโดย RECMA หน่วยงานอิสระในการจัดอันดับคุณภาพมีเดีย เอเยนซี่ กุญแจสู่ความสำเร็จของเรา คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า มีเดีย เอเยนซี่ส่วนใหญ่เน้นการสร้าง การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) โดยอาจมีอคติกับการใช้เงินลงทุนกับสื่อ ซึ่งเราแตกต่างจากมีเดีย เอเยนซี่นั้น เพราะเราเป็นมีเดีย เอเยนซี่ ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค (Brand Relevance) โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ Cultural Velocity การใช้วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขับเคลื่อนแบรนด์ เราเชื่อว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องให้ความสำคัญ และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยแบรนด์ต้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งและแทรกซึมในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เราเรียกสิ่งนี้ว่า Cultural Velocity™ ซึ่งเป็นมาตราวัดความเร็วที่แบรนด์เคลื่อนผ่านวัฒนธรรมในสังคม และสร้างความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง ยิ่งแบรนด์ก้าวไปพร้อมกับวัฒนธรรมได้เร็วเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคได้มากขึ้นเท่านั้น และส่งผลต่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด  

ดูข้อมูลเพิ่มเติมของ อินิชิเอทีฟ ประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https:// ipg-connect.com/th/cultural-agency-initiative-thailand/

 

เกี่ยวกับไอพีจี มีเดียเบรนด์ส

IPG MEDIABRANDS คือ องค์กรระดับโลก ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารและการวิเคราะห์ข้อมูล ในเครือ Interpublic Group (NYSE: IPG) เราบริหารและดูแลการลงทุนทางด้านการสื่อสารการตลาดให้กับลูกค้า โดยมีมูลค่ารวมกันกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 130 ประเทศทั่วโลก และเรามีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารรวมตัวกันมากกว่า 13,000 คน เรามีการให้บริการแบบครบวงจรในทุกมิติของการเป็นเอเยนซี่ระดับโลก โดยภายใต้เครือข่ายของ IPG Mediabrands นั้นรวมไปถึงบริษัทสำหรับการวางแผนสื่อและการตลาดชั้นนำอย่าง UM, Initiative และ BPN และกลุ่มบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านข้อมูลและการวิจัยอย่าง MAGNA, Matterkind และ ดิจิทัลเอเยนซี่ อย่าง Reprise www.ipgmediabrands.com , LinkedIn, Twitter or Instagram.
#3240


นับเป็นการแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ด้วยสีหน้าที่ "เคร่งเครียด" อย่างมาก สำหรับแม่ทัพอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทยอย่าง ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หลังเผชิญมรสุมครั้งใหญ่ เมื่อศาลปกครองมีคำพิพากษา เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ "แอชตัน อโศก" มูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง "บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นอาคารชุด 51 ชั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 666 ยูนิต ห้องชุดส่งมอบแล้ว 87% มูลค่ากว่า 5,639 ล้านบาท และมีจำนวนครัวเรือนอยู่อาศัย 578 ครอบครัว เป็นคนไทย 438 ราย และลูกค้าต่างชาติ 140 รายจากทั้งสิ้น 20 ประเทศ 

คำสั่งศาลปกครองกลาง ที่พิพากษาถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก รวมถึง "ลูกบ้าน" แสดงความกังวลใจให้ผู้บริหารรับทราบผ่านการประชุมออนไลน์เมื่อคืนนี้ โดยมีคำถามมากมายประเดประดังเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น..เราคือคนที่มาซื้อคอนโด เพื่ออยู่อาศัยนะ ไม่ได้มาเพื่อเก็งกำไรแล้วมีปัญหาก็มาโวยวาย, เค้าจะทุบหมดเลยใช่ไหม, จะครบ 3 ปีจะรีไฟแนนซ์ได้ไหม เป็นต้น ซึ่งผู้บริหารเองก็มืดแปดด้าน และเร่งหาทางออก แต่ระหว่างทางยืนยันจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน 

นอกจากการออกตัวอยู่เคียงข้างลูกค้าที่ซื้อโครงการ สิ่งที่บริษัทจะดำเนินการต่อจากนี้ คือเตรียมข้อมูล หลักฐานต่างๆ เพื่อยื่นอุทรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วัน ซึ่งตามกระบวนการศาลคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี เร็วสุดอาจเป็น 2 ปี 

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ถือโอกาสชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า กระบวนการพัฒนาโครงการ มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เช่น อนุมัติจาก 8 หน่วยงานราขการ ทั้งสำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน เป็นต้น


และได้รับใบอนุญาต 9 ฉบับ เช่น ใบอนุญาตใช้ทางของรฟม. ใบอนุญาติเชื่อมทางสาธารณะ ใบรับแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ 3 ใบ ฯ นอกจากนี้ ยังขอความเห็นก่อนดำเนินการ 7 หน่วยงาน เช่น รฟม. กองควบคุมอาคาร สำนักการจราจร สำนักงานที่ดินฯ ผ่านความเห็นชอบจาก 5  คณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการ รฟม. คณะกรรมการ พิจารณาแบบของสำนักงานควบคุมอาหาร ว่าแบบก่อสร้างถูกต้อง เป็นต้น

ขณะที่ทางเข้า-ออก โครงการ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ เดิมที่ดินของโครงการนั้นมีทางเข้าออกถนน แต่ภายหลังถูกเวนคืน ตามพ.ร.บ.เวนคืนที่ดิน เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณะ ซึ่งส่งผลให้บริษัทและรฟม.สามารถใช้ที่ดินสำหรับเป็นทางเข้า-ออกโครงการเทียบเท่าสาธารณะได้ กรณีนี้บริษัทได้เสนอค่าตอบแทนให้แก่รฟม.มูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท ด้วยการสร้างอาคารจอดรถสูง 7 ชั้น เพื่อรองรับการบริการรถไฟฟ้า 

"บริษัทฯ ดำเนินงานอย่างระมัดระวัง รอบคอบให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ทางเข้า-ออก ของ รฟม. จากโครงการอื่นๆด้วย" 

พร้อมกันนี้ บริษัทให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการ แอชตัน อโศก ไม่ใช่รายแรกที่ใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. รวมถึงเรื่องการดำเนินงานขออนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัด และได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน จึงทำให้บริษัทฯ มั่นใจอย่างยิ่งว่าในกระบวนการดำเนินโครงการแอชตัน อโศก ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและสุจริต ชอบด้วยกฎหมายทุกขั้นตอน

ทว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากโครงการแอชตัน อโศก ถือเป็นหน้าเป็นตาขององค์กร 

"แอชตัน อโศก เป็นโครงการเรือธงของบริษัท กรณีที่เกิดขึ้น เหมือนเราโดนเสียบหัวใจ อยากให้เราตายเลย ลูกค้า นักลงทุน จะคิดกับเรายังไง"