• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Fern751

#3161


วันที่ 27 ส.ค.64 ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม จัดงานประกาศผลรางวัลโครงการสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 (Moral Media Awards 2020) โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลและโล่เกียรติคุณ พร้อมด้วยรองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Live ผ่านเฟซบุ๊กเพจศูนย์คุณธรรม Moral Center Thailand และเฟซบุ๊กกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติครั้งที่ 11



นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันการสื่อสารมีความจำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกระจายข่าวสารและความรู้ให้สังคมได้รับรู้รับทราบ และช่วงนี้เป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันเพื่อช่วยกันระงับยับยั้งการแพร่ระบาด สำหรับโครงการสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ดนี้เป็นครั้งแรกที่ได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติผู้ผลิตสื่อทั้งในส่วนของบุคคล คณะบุคคล หน่วยงานต่างๆ ด้านคุณธรรมจริยธรรม สิ่งที่เป็นวิกฤติจะได้เป็นโอกาส ซึ่งต้องขอขอบคุณหน่วยงานที่ได้ร่วมกันจัดทำโครงการฯ และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล ที่ทำให้เกิดการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในวงกว้าง เพื่อให้สังคมได้รับสื่อที่มีคุณภาพ จะได้เป็นแรงบันดาลใจในการผลิตสื่อที่ดี
มีคุณภาพในปีต่อ ๆ ไป

นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คณะกรรมการปฎิรูปด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทำโครงการสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 (Moral Media Awards 2020) ขึ้นเป็นปีแรก โดยคัดเลือกสื่อที่มีผลงานสร้างสรรค์คุณธรรม ซึ่งมีแนวคิด เนื้อหา รูปแบบการถ่ายทอด นำเสนอสู่สาธารณะที่แสดงถึงการส่งเสริมคุณธรรม ที่มุ่งเน้นให้ผู้รับรู้สื่อมีพฤติกรรมด้านคุณธรรม หรือวิถีวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทย จำนวน 9 ประเภท เพื่อประกาศยกย่อง บุคคล หน่วยงานที่ผลิต และนำแง่มุมที่เกี่ยวข้องด้านคุณธรรมที่ส่งผลกระทบต่อจิตสำนึกและเกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม โดยมีผู้ให้ความสนใจส่งผลงานเข้าร่วมมากถึง 315 ผลงาน แบ่งเป็น ประเภทละคร 25 ผลงาน ประเภทภาพยนตร์ 18 ผลงาน ประเภทคลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ทางโซเซียลมีเดีย 93 ผลงาน ประเภทโฆษณา 27 ผลงาน ประเภทบทเพลง 25 ผลงาน ประเภทรายการวิทยุ 6 ผลงาน ประเภทรายการโทรทัศน์ 38 ผลงาน ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ 47 ผลงาน และประเภทสื่อดิจิทัล 36 ผลงาน

สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือก ได้แก่ 1.เป็นสื่อสร้างสรรค์คุณธรรม ที่มีเนื้อหาแง่มุมเกี่ยวข้องด้านคุณธรรม หรือสื่อสารเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกด้านคุณธรรม ส่งเสริมให้ผู้รับรู้มีพฤติกรรมด้านคุณธรรมพอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และหรือ คุณธรรมอื่น ๆ 2.เป็นสื่อสร้างสรรรค์คุณธรรมประเภทต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ในสื่อช่องทางต่างๆ แล้วภายในปี 2562 - 2563 3.เป็นสื่อที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม จริยธรรม ไม่สื่อถึงการยุยง ปลุกปั่น หรือเป็นการละเมิดต่อผู้อื่น และไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง และ 4.รายละเอียดเกณฑ์การพิจารณาอื่น ๆ ให้เป็นไปตามความเห็นหรือมติของคณะทำงานคัดเลือกแต่ละประเภทกำหนด



ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีวัตถุประสงค์รณรงค์ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หนึ่งในภารกิจที่สำคัญมากคือสนับสนุนสื่อที่ส่งเสริมให้เกิดคุณธรรมจริยธรรม ปีนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ได้จัดขึ้นเป็นปีแรก เราอยากเห็นการใช้สื่อเพื่อส่งเสริมสิ่งที่ดีงาม เป็นความดีของคนในสังคมและทำให้ได้รับการขยายผล ถ่ายทอดไปสู่สาธารณชนต่อไป

โดยผลการคัดเลือกสื่อสร้างสรรค์คุณธรรมอวอร์ด ปี 2563 ทั้ง 9 ประเภท มีดังนี้

1.ประเภทละคร จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ ปลายจวัก โดย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส, ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง โดยสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, วัยแสบสาแหรกขาด โครงการ 2 โดย สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 

2.ประเภทภาพยนตร์ จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ Mother Gamer เกมเมอร์เกมแม่ โดย บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, รักนะซุปซุป โดย บริษัท มณวิจิตร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด, หัวใจทองคำ โดย บริษัท สยามแพนโดร่า จำกัด 

3.ประเภทคลิปวิดีโอสั้นที่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ จนแต่มีน้ำใจ โดย กุลิ ฟิล์ม, ท่านจงมีน้ำใจต่อกัน โดย บางรัก ชาแนล, Blood Hero กลุ่มฮีโร่ หลั่งเลือดจากชมรมผู้บริจาคโลหิต ๑๐๐ ครั้ง สภากาชาด โดยเพจมนุษย์ต่างวัย



4.ประเภทโฆษณา จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ ไฟ-ฟ้า by TMB / เด็กธรรมดา...คือสิ่งที่สวยงาม โดย ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) , คุณเคย bully ใครหรือเปล่า? | ความสุขประเทศไทย โดย ความสุขประเทศไทยและธนาคารจิตอาสา, โปรโมชั่นที่ดีที่สุด | Air Asia โดย JourneyD/ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด 

5.ประเภทบทเพลง จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ แสงศรัทธา โดย ส่วนประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ด้วยใจรัก โดย นายวีระ มนตรีวงษ์, เชิญอริยมรรค จากโครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม โดย หน่วยงานทรูปลูกปัญญา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 

6.ประเภทรายการวิทยุ จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ รายการ GIVE NEVER STOP มอบอุปกรณ์ช่วยชีวิต โดย บริษัท วิไลเซ็นเตอร์แอนด์ซันส์ จำกัด ผู้ผลิตรายการข่าวจราจร สวพ.FM91 และผู้สนับสนุน รายการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน), รายการห้องรับเเขก สวีท
เอฟเอ็ม โดย FM 89.5 MHz., รายการสโมสรวัฒนธรรม โดย สถานีวิทยุกระจายเสียง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
AM981 KHz

7.ประเภทรายการโทรทัศน์ จำนวน 3 ผลงาน โดยมีการจัดอันดับรางวัล ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ รายการสามเณรปลูกปัญญาธรรม ปี 8 จากโครงการสามเณร ปลูกปัญญาธรรม โดย หน่วยงานทรูปลูกปัญญา บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), รองชนะเลิศอันดับที่ 1 รายการชัวร์ก่อนแชร์ โดยศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท, รองชนะเลิศอันดับที่ 2 รายการท้าให้อ่าน The Reading Hero โดย สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส 

8.ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ จำนวน 3 ผลงาน โดยมีการจัดอันดับรางวัล ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ หนังสือ Water Wide Web พายเรือเก็บขยะ 7 ประเทศ ผู้แต่ง ปริญญา เทวานฤมิตรกุล จากสำนักพิมพ์บ้านหนังสือ, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 หนังสือ เด็กชายชาวดง ผู้แต่ง มาลา คำจันทร์ จากสำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด, รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 หนังสือ หอมกลิ่นความดี ผู้แต่ง ประสาร มฤคพิทักษ์ จากสำนักพิมพ์ศยาม และ 

9.ประเภทสื่อดิจิทัล จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ สารคดี หัวใจตื่นรู้ โดย มูลนิธิสหธรรมิกชน, ธรรมlife โดย มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ, เปิดใจ - แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้ครูเข้าถึงหัวใจวัยรุ่นได้มากกว่าที่เคย โดย บริษัท มายด์เซ็ทเมคเกอร์ จำกัด
#3162
ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ ( ข้าวorganic ) ถึงแพงกว่าข้าวธรรมดา     ข้าวอินทรีย์   การปลูกข้าวอินทรีย์  ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น  อย่างยิ่งกับการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดภัยซึ่งมีมากมายหลากหลายในปัจจุบัน  รวมถึงผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคทั้งหลายให้ความไว้วางใจ  แต่ก็ยังมีคำถาม ข้อสงสัย ติดอันดับยอดนิยมจากผูบริโภคว่า  "ทำไมข้าวเกษตรอินทรีย์ถึงราคาแพงกว่า ทั่วไป ทั้งที่ข้าวในนาผลิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีต้นทุนปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง"    นโยบายส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์  ข้อมูลจากเวปไซด์ขององค์กรการอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กล่าวถึงข้อเท็จจริงบางประการปลูกข้าวออแกนิคที่เป็นเหตุผลของราคาผลผลิตและสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สูงกว่าเอาไว้  ดังนี้- ฟาร์มเกษตรอินทรีย์มีขนาดเล็ก ใช้แรงงานต่อหน่วยในการผลิตมากกว่าฟาร์มทั่วไป (สาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนการผลิตสูง)
- ค่าใช้จ่ายในขบวนการหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเกษตรอินทรีย์ ขายข้าวอินทรีย์, กลุ่มข้าวอินทรีย์  สูงกว่าเพราะในการขนส่ง หรือแปรรูปจะต้องแยกออกจากผลผลิตทั่วไปอย่างชัดเจน
- ปริมาณของข้าวเกษตรอินทรีย์ค่อนข้างน้อย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้าต่อหน่วยของ ข้าวอินทรีย์  ออกสู่ตลาดนั้นสูงกว่าผลผลิตทั่วไป
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรได้รายได้ที่เป็นธรรมและพอเพียง
- ข้าวเกษตรอินทรีย์ ข้าวหอมมะลิออแกนิค  มีการจัดการมาตรฐาน คุ้มครองสัตว์เลี้ยงในฟาร์มได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
- และสุกท้ายที่สำคัญที่สุด ข้าวเกษตรอินทรีย์มีจำนวนจำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการของผู้บริโภค
เพื่อความมั่นใจถึงความเป็นข้าวออร์แกนิคที่แท้จริงของเรา  




ข้าวฮอร์ (HOR)  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ได้รับมาตรฐาน 
1. ใบรับรองมาตรฐานข้าวอินทรีย์ ( Organic Thailand)
2. ใบรับรองเครื่องหมาย "ข้าวพันธุ์แท้"  จากกรมการข้าว  จาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ในประเภทของ 
2.1  ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวขาว)  
2.2  ข้าวขาวดอกมะลิ105 (ข้าวกล้อง)  
2.3  ข้าวมะลินิลสุรินทร์

ข้าว Hor.Boutique ข้าวเกษตรอินทรีย์สุรินทร์ ปลูกข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย   ข้าวจังหวัดสุรินทร์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Facebook :   hor-boutique.business.site/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ ข้าวอินทรีย์กรมการข้าว ปลูกข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์
3.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลออแกนิค
4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์
5. ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง
6.  ข้าวมะลินิลปลอดสารพิษ
7. ข้าวไรซ์เบอรี่   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์

ข้าว Hor พร้อมขายแล้วที่ Shopee & Lazada
https://shopee.co.th/hor.boutique
https://www.lazada.co.th/shop/horboutique/

#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค  #ข้าวออแกนิก #ข้าวอินทรีย์ 
#ข้าววสุขภาพ  #ข้าวเกษตรอินทรีย์
#3163


อีกหนึ่งซีรีส์จีนชื่อดังที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในช่วงนี้คือ "You Are My Glory" หรือ "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" ที่ได้นักแสดงชื่อดังของจีน ตี๋ลี่เร่อปา และ หยางหยาง มานำแสดง

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับดาราสาวชื่อดัง "จิงจิง" และหนุ่มวิศวกรอวกาศ "อวี๋ถู" อดีตเพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง เริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์จากการเล่นเกม จนได้ลงเอยกันในที่สุด

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

นอกเหนือจากเคมีของนักแสดง เนื้อเรื่องที่มีการสอดแทรกเรื่องราวในวงการบันเทิง วงการเกม และกิจการอวกาศของจีน สถานที่สวยๆ ในเรื่องก็น่าติดตามไม่แพ้กัน แต่ละโลเคชั่นที่ปรากฎอยู่ในเรื่องเป็นภาพที่สวยงามจนอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ตามมาชม 7 ที่เที่ยวตามรอยซีรีส์ "You Are My Glory" กัน

หอไข่มุกตะวันออก (ภาพ : news.cgtn.com)
หอไข่มุกตะวันออก (ภาพ : news.cgtn.com)

หอไข่มุกตะวันออก
สถานที่หลักๆ ในเรื่องอยู่ที่ "เซี่ยงไฮ้" เมืองใหญ่อีกแห่งของจีน เป็นศูนย์กลางระดับโลกทางด้านการเงิน นวัตกรรม และการขนส่ง และภาพสถานที่ที่มักจะได้เห็นในเรื่องก็คือ "หอไข่มุกตะวันออก" (Oriental Pearl Tower) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่ในเขตเมืองใหม่ ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่

หอไข่มุกตะวันออก เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ความสูง 468 เมตร ลักษณะเป็นไข่มุก 11 ลูก ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ด 3 ขนาดเรียงกันในแนวตั้ง ภายในหอกลมเป็นภัตตาคาร มีโรงแรมหรู และร้านค้า ตรงฐานของหอจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองจำลองโลกอนาคต และเมืองวิทยาศาสตร์แฟนตาซี ช่องกลางของหอไข่มุกตะวันออกเป็นเสาปล่องกลวง ใช้แขวนลิฟท์ความเร็วสูง 6 ตัว ที่มีความเร็ว 7 เมตร/วินาที เพื่อขึ้นไปที่จุดชมวิว ในระดับความสูง 267 เมตร ส่วนในเวลากลางคืนนั้น หอกลมจะเปิดไฟที่สามารถเปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ บนไข่มุกเม็ดที่สองจะสามารถมองลงมาข้างล่างได้เนื่องจากทำพื่นเป็นกระจก

เดอะบันด์ (ภาพ : heygo.com)
เดอะบันด์ (ภาพ : heygo.com)

เดอะบันด์
"เดอะบันด์" (The Bund) เป็นจุดชมวิวและทางเดินเลียบแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันตก มีความยาว 1.5 กิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในนครเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากเป็นจุดที่สามารถชมความสวยงามของหอคอยไข่มุกที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน บริเวณฝั่งทางเดินเลียบแม่น้ำก็ยังมีอาคารสไตล์ตะวันตกที่สวยงามอยู่มากมาย และยังอยู่ใกล้กับถนนสายช้อปปิ้งชื่อดังคือถนนหนานจิง

ย่านลู่เจียจุ่ย (ภาพ : shanghaieye.com.cn)
ย่านลู่เจียจุ่ย (ภาพ : shanghaieye.com.cn)

ย่านลู่เจียจุ่ย
"ลู่เจียจุ่ย" เป็นศูนย์กลางทางการเงินในเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่บนแหลมที่งอกจากคุ้งน้ำของแม่น้ำหวงผู่ฝั่งตะวันออก ในเขตผู่ตง ตรงข้ามกับย่านธุรกิจและการเงินเก่าแก่บนฝั่งตะวันตก ซึ่งย่านนี้ที่ตั้งของบ้านนางเอกในเรื่อง

บริเวณนี้เป็นย่านสำคัญทางธุรกิจ มีตึกสูงระฟ้าจำนวนมาก อาคารสำคัญได้แก่ หอไข่มุกตะวันออก เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ ตึก Shanghai World Financial Center : SWFC และตึกจินเม่า ทาวเวอร์ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีก เช่น สวนลู่เจียจุ่ย และ เซี่ยงไฮ โอเชียน อควาเรียม เป็นต้น

ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)
ซีรีส์ You Are My Glory ดุจดวงดาวเกียรติยศ (ภาพ : We TV)

ตุนหวง
"เมืองตุนหวง" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู่ ติดกับชายแดนซินเจียง เป็นเมืองโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบีที่มีชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรมและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ชุมทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยโบราณ

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในตุนหวงคือ "ถ้ำโม่เกา" แหล่งมรดกโลกยูเนสโก อายุกว่า 1,650 ปี มีผลงานพุทธศิลป์อันมิอาจประเมินมูลค่าได้ "จุดชมวิวเนินทรายหมิงซาซาน" หรือ "ทะเลสาบจันทร์เสี้ยว" โอเอซิสกลางทะเลทรายโกบีที่กว้างใหญ่ กิจกรรมที่นิยมอย่างมากคือการเดินขึ้นไปบนเนินทราย และการขี่อูฐเที่ยวชมรอบๆ นอกจากนี้ยังมี "เมืองโบราณตุนหวง" เป็นแหล่งท่องเที่ยวและโรงถ่ายทำภาพยนตร์ย้อนยุค

เหิงเตี้ยน (ภาพ : news.cgtn.com)
เหิงเตี้ยน (ภาพ : news.cgtn.com)

เหิงเตี้ยน
"เหิงเตี้ยน" เป็นโรงถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ได้รับการขนานนามว่า "ไชน่าวูด" (Chinawood) เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1996 ภายในจำลองสถานที่ทำคัญหลายแห่งของจีน เช่น พระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน ถนนคนเดินกว่างโจว เป็นต้น โดยจองลองเมืองจีนในยุคต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน และยังมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในเนื้อเรื่อง เหิงเตี้ยนเป็นสถานที่ที่นางเอกมาถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งที่เหิงเตี้ยนนี้ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ามาเที่ยวได้ แต่วันไหนที่มีการถ่ายทำจะปิดไม่ให้เข้าชมในบางจุด พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ มีทั้งฉากภาพยนตร์ สวนน้ำ สวนสนุก ร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม ซึ่งจะมีแพ็คเกจให้นักท่องเที่ยวเลือกหลายแบบ นอกจากจะมาเดินชมและถ่ายรูปแล้ว กิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการเช่าชุดจีนโบราณมาใส่เดินถ่ายรูปสวยๆ ให้เข้ากับบรรยากาศ

วัดหนานซาน (ภาพ : wall.alphacoders.com)
วัดหนานซาน (ภาพ : wall.alphacoders.com)

ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง (ภาพ : trip.com)
ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง (ภาพ : trip.com)

ไหหลำ
"ไหหลำ" หรือ "ไห่หนาน" เป็นมณฑลที่มีขนาดเล็กที่สุดของจีน อยู่ทางใต้สุดของประเทศ ประกอบด้วยเกาะหลายเกาะในทะเลจีนใต้ แหล่งท่องเที่ยวในไหหลำ อาทิ "วัดหนานซาน" ที่เมืองซานย่า เป็นสวนพุทธธรรมที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีลักษณะฮวงจุ้ยที่ดีมาก เมื่อมาถึงแล้วจะได้พบองค์เจ้าแม่กวนอิมยืนตระหง่านอยู่กลางทะเล "หาดย่าหลง" เป็นเมืองตากอากาศที่สำคัญของจีน ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีที่พักมากมายให้เลือก

ที่ไหหลำอยู่ในฉากสำคัญตอนสุดท้ายของเรื่อง คือการส่งดาวเทียมโซวเฉินขึ้นสู่อวกาศ โดยมีฉากอยู่ที่ "ศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินซาง" เป็นศูนย์ปล่อยยานอวกาศแห่งที่ 4 และเป็นแห่งเดียวที่อยู่ใกล้ทะเล ถูกใช้ในภารกิจการส่งดาวเทียม สถานีอวกาศขนาดใหญ่ และยานสำรวจอวกาศห้วงลึก ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายให้เมืองเหวินซางเป็นเมืองแห่งการบินและอวกาศนานาชาติ

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)
พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้ (ภาพ : สำนักข่าวซินหัว)

พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้
หากใครดูซีรีส์แล้วยังติดใจเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศและดาราศาสตร์ของจีน แนะนำให้มาที่ "พิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai Astronomy Museum) เป็นท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลกหากวัดจากพื้นที่ใช้สอย ตั้งอยู่ในเขตการค้าเสรีนำร่องพิเศษหลิงกัง มีพื้นที่ราว 58,600 ตารางเมตร โดยเป็นหนึ่งในสาขาของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Science and Technology Museum) โดยภายในพิพิธภัณฑ์มีพื้นที่นิทรรศการหลายรูปแบบ รวมถึงการจัดแสดงชิ้นส่วนอุกกาบาตที่ได้มาจากดวงจันทร์ ดาวอังคาร และดาวเคราะห์น้อยเวสตาราว 70 ชิ้น ตลอดจนสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ มากกว่า 120 ชิ้น อาทิ ผลงานของไอแซก นิวตัน กาลิเลโอ กาลิเลอี และโจฮันเนส เคพเลอร์

นอกจากนั้นพิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงตัวอย่างดินจากดวงจันทร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งนำกลับสู่โลกโดยฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) ยานสำรวจดวงจันทร์ของจีน อีกทั้งติดตั้งกล้องโทรทรรศน์พลังงานแสงอาทิตย์แบบปรับสภาพตามแสง และกล้องโทรทรรศน์แบบโฟกัสคู่ขนาด 1 เมตร เพื่อสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และส่งเสริมให้วิทยาศาสตร์เป็นที่นิยม

พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลายประเภท เช่น การนำเสนอแผนภาพข้อมูล ความเป็นจริงเสริม (AR) การจำลองภาพเสมือนจริง (VR) และเทคโนโลยียืนยันตัวบุคคลหรือไบโอเมตริกซ์ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้ทางดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ตอบโต้
#3164


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมมอบนโยบายและติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า รฟท.รายงานว่าจะมีการทำความตกลงกับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท.เร็วๆ นี้ โดยจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงหลักหรือธรรมนูญใหญ่ที่ใช้ในการดำเนินงานระหว่างกัน หรือเรียกว่า "Master Agreement" โดยในข้อตกลงดังกล่าวจะมีการระบุให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด เป็นผู้ทำหน้าที่หลักในการบริหารทรัพย์สินของ รฟท. ซึ่งหมายความรวมถึงการให้สิทธิในการบริหารอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดินของ รฟท. โดยที่ดินดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาลและมีศักยภาพสูงมาก

การบริหารทรัพย์สินของ รฟท.ที่ดำเนินการโดย บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด จะมีการใช้วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารใหม่ ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในยุคโลกาภิวัตน์

ขณะที่ นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการรถไฟฯ และในฐานะกรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ได้มีการดำเนินการเตรียมความพร้อม และการวางแผนการดำเนินงานในหลายเรื่อง เช่น ด้านกระบวนการทางกฎหมายได้มีการขอยกเว้นพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนในด้านการบริหารจัดการและทางด้านธุรกิจ ได้มีการวางแผนในการกำหนดการมอบสิทธิในการบริหารที่ดิน เพื่อให้บริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด เตรียมความพร้อมในการรับมอบสิทธิการบริการที่ดิน

นอกจากนี้ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ยังได้มีการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารโครงการใหญ่ๆ โดยดำเนินการในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งไม่ได้ดำเนินการในรูปแบบการให้เช่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 


ทั้งนี้ การดำเนินการในการบริหารสิทธิในที่ดินต่างๆ คาดว่าจะถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนได้ภายในเดือนธันวาค 2564 ซึ่งจากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน คาดว่าบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้โดยมีมูลค่าสูงถึง 125,175.44 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี
@เร่งพัฒนาที่แปลงใหญ่ ย่านพระราม 9, คลองตัน, ถ.รัชดา
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม ได้แก่ 1. รฟท.ยังมีพื้นที่แปลงใหญ่ที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่บริเวณถนนพระราม 9 จากแยกคลองตัน และถนนรัชดาภิเษก จึงควรนำไปพิจารณาเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม โดยในระหว่างนี้ให้เร่งนำพื้นที่แปลงขนาดกลางและขนาดเล็กมาเร่งพัฒนาให้เกิดรายได้ก่อน

2. เปรียบเทียบบริษัทลูกของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด กับบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด เพิ่มเติม เพื่อสร้างความคล่องตัวและเสริมศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งนี้ ให้ความสำคัญต่อหลักธรรมาภิบาล 3. ให้ความสำคัญต่อการสรรหาผู้บริหาร รวมทั้งรายละเอียดของเงื่อนไขการจ้างให้มีความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล

4. ให้พัฒนาสถานีธนบุรี เป็นต้นแบบ TOD ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เนื่องจากอยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราช มีระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่อถึง 3 สาย และให้บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาแบบรอบด้าน และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้ามาบูรณาการความร่วมมือด้วย และ 5. ให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท เข้าไปพิจารณาความเหมาะสมของการพัฒนาพื้นที่แปลงศูนย์การแพทย์บริเวณสวนจตุจักรด้วย
#3165


นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลกระทบในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจและธุรกิจเพียงอย่างเดียว ในมุมผู้บริโภคถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรมการเดินทาง การกิน การอยู่ การใช้จ่าย การทำงาน การเรียน หรือการพบแพทย์ ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายจากการที่ยังไม่สามารถคาดเดาตอนจบในอนาคตได้ ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพไปพร้อม ๆ กับเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ส่งสัญญาณให้เห็นชัดขึ้นจากสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ทั่วโลก

จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty's Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด อัปเดตเทรนด์ที่อยู่อาศัยในอุดมคติของผู้บริโภคในยุค Next Normal เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและยั่งยืนในระยะยาว

เทรนด์รักษ์โลกส่งเสริมการใช้ชีวิตประหยัดพลังงาน การทำงานที่บ้าน( Work from Home) ทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่ทำงาน/เรียนออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและกลายเป็นค่าไฟที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน โดยมากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับบ้าน/คอนโดฯ ที่มาพร้อมระบบระบายความร้อน (58%) และฟังก์ชั่นดูดซับมลพิษภายในบ้าน (48%) เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านมีความสะดวกสบายและมั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อต้องรับมือปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เรื่อย ๆ หน้าต่าง/ประตูที่มีฉนวนกันความร้อน(47%) และเครื่องกำจัดเศษขยะ (32%)

นวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ การที่ผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่ชัดเจนที่สุดหลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดฯ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรรมมาช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพให้ง่ายขึ้นแม้ในช่วงที่ยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการดูแลสุขภาพแบบออนไลน์ รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่ช่วยให้เข้าถึงการตรวจรักษาและรับการวินิจฉัยจากแพทย์ได้โดยตรง ในตลาดที่อยู่อาศัย


นอกจากผู้พัฒนาอสังหาฯ จะหันมาจับมือโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ แล้ว นวัตกรรมที่เลือกใช้ในการก่อสร้างโดยตรงก็เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเช่นกัน มากกว่าครึ่งนึงของผู้บริโภค (60%) มองว่า บ้าน/คอนโดฯ ที่ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างที่ช่วยให้บ้านเย็นขึ้นและสะท้อนความร้อนภายนอก บ้านที่มีระบบสร้างอากาศบริสุทธิ์ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 หรือบ้านปลอดไวรัส ก็ล้วนมีผลต่อการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยไม่น้อยพื้นที่ใช้สอยต้องพร้อมรองรับการทำงานที่บ้าน ระยะยาว

แม้การทำงานที่บ้านจะไม่ใช่เรื่องใหม่และอาจกลายเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแม้การแพร่ระบาดฯ จะหมดไป แต่การลงทุนสร้างห้องทำงานไว้ที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นของทุกคน ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในบ้าน/คอนโดฯ จึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับการ ทำงานที่บ้าน และอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นไปที่สภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก (65%) ตามมาด้วยการมีระบบถ่ายเทความร้อนและประหยัดพลังงานภายในห้อง (49%) และมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงรองรับการทำงานที่ลื่นไหล (48%) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเพียงการทำงานที่บ้านเท่านั้น แต่ยังอำนวยความสะดวกให้คนในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย
#3166


ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญดิสรัปชันหลายระลอกใหญ่ ทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สภาวะการแข่งขันแบบไร้พรมแดน ความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และตัวแปรสำคัญ วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส "โควิด 19" มหันตภัยคุกคามโลกที่สร้างผลกระทบร้ายแรงกับทุกคน และทุกภาคส่วน มาเป็นเวลานานกว่าปีครึ่ง! ทำให้ธุรกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก วิถีธุรกิจ การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง "ขีดความสามารถทางการแข่งขัน" ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางธุรกิจ เป็นภารกิจแห่งความท้าทายภายใต้วาระเร่งด่วนของ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ในฐานะหนึ่งใน "บิ๊กคอร์ป" ที่มีความหลากหลายทางธุรกิจมากที่สุดในประเทศไทย ในการปรับยุทธศาสตร์เคลื่อนธุรกิจบนโลกการค้ายุคหลังโควิดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด 19 ทำให้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ส่งผลกระทบเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SME) ในประเทศไทย ขณะเดียวกัน สร้างผลกระทบอีกด้านหนึ่งด้วย กล่าวคือ ทำให้เกิด "บริษัทยักษ์ใหญ่" ในระดับนานาชาติจำนวนมาก ที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า GDP ของหลายประเทศในโลก

"การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งสองด้าน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ จากการที่เอสเอ็มอีไทยอ่อนแอลง เราจึงต้องเร่งเครื่องเดินหน้าบนเวทีโลกและช่วยผู้ประกอบการไทยให้ก้าวไปสู่ตลาดระดับโลกพร้อมกันกับเรา"


ศุภชัย กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนธุรกิจยุคหลังโควิด 19 "เครือซีพี" จะเร่งขยายกิจการในต่างประเทศ พร้อมผนึกพันธมิตรไทยและต่างชาติ ต่อยอด ความร่วมมือต่างๆ ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 

1.เร่งเครื่องการลงทุน

2.เร่งเครื่องการเดินหน้าบนเวทีโลก

3.ลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจของเครือเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ

4.สร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจเพื่อขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการต่างๆ ของไทย รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศ

"ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนแบบนี้ เราจะต้องไม่ชะลอการลงทุน! ในทางกลับกัน จะต้องเร่งแผนการลงทุนของธุรกิจต่างๆ ในเครือ เดินหน้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ รวมถึงโครงการที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการสร้างงานและสร้างธุรกิจค้าขายดีลใหม่ๆ โดยเฉพาะกับเอสเอ็มอีและเกษตรกรเล็กๆ กว่า 1.2 ล้านราย ที่เรามีความร่วมมือทางธุรกิจกันอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม"

ทั้งนี้ เมื่อมีการลงทุนของธุรกิจในเครือซีพี จะสร้างเม็ดเงินสะพัดกระจายต่อไปสู่ธุรกิจที่หลากหลาย ชุมชนทุกระดับ โดยก่อนหน้านี้เครือซีพี ยังได้จัดสรรงบประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อการช่วยเหลือทางด้านต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด 19

ขณะที่การลงทุนต่างประเทศของเครือซีพีอยู่ในโหมดเร่งเครื่องยนต์! โดยการริเริ่มโปรเจกต์ขนาดใหญ่หลายๆ โครงการกำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มตัวตนและสถานภาพที่แข็งแกร่งของธุรกิจไทยในตลาดต่างประเทศได้!

เมื่อบริษัทในเครือซีพีมีความแข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศจะเป็นการเปิดช่องทางสร้างโอกาสสำหรับกลุ่ม เอสเอ็มอี ไทยนับสิบ นับร้อย หรือนับพันราย เกษตรกรและผู้ผลิตต่างๆ เข้าถึงตลาดต่างประเทศเหล่านั้นได้ทันที

อย่างไรก็ตาม อีกหัวใจสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่ประกอบด้วย 14 กลุ่มธุรกิจ มีพนักงานมากกว่า 400,000 คน จะเร่งปรับลดความซับซ้อนของโครงสร้างธุรกิจลงด้วยเช่นกัน

"บริษัทในเครือซีพีจะสามารถตัดสินใจต่างๆ ระหว่างบริษัทได้รวดเร็วมากขึ้น เป็นการทำงานในยุคของโลกที่ความเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของธุรกิจ"

ในการเตรียมความพร้อมสำหรับโลกหลังวิกฤติ โควิด 19 ของธุรกิจในเครือซีพี มุ่งก้าวไปข้างหน้าให้ได้ไกลกว่าการเป็นเพียงผู้ผลิตสินค้าและการบริการเท่านั้น! ภายใต้ "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" ในการส่งเสริมเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการธุรกิจอื่นๆ พัฒนาศักยภาพ พร้อมเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ๆ เพื่อการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและระดับโลก

โมเดลธุรกิจที่เรียกว่า "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบ สร้างอีโคซิสเท็มเพื่อให้ผู้ประกอบการ พันธมิตรธุรกิจต่างๆ รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก สามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ ผ่านการทำงานร่วมกันกับบริษัทในเครือซีพี
เป็นการเชื่อมผู้ประกอบการไทยในวงกว้างให้เข้าถึงตลาดใหม่ "นอกบ้าน" มากขึ้น เป็นหนึ่งในแนวทางเสริมสร้างความแข็งแกร่งของประเทศไทย ในโลกยุคใหม่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 จากการรวมพลังและระดมศักยภาพของเอสเอ็มอีหลายหมื่นรายและวิสาหกิจไทยอื่นๆ ออกไปต่อสู้บนเวทีระดับโลก

"ปกติเอสเอ็มอีจะมีข้อจำกัดหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงและความยากลำบากในการพยายามตั้งหลักในตลาดต่างประเทศได้ และบ่อยครั้งที่ธุรกิจเหล่านั้น ไม่สามารถรับมือกับความท้าทายจากเครือข่ายธุรกิจในประเทศต่างๆ ได้ ดังนั้นหากเครือซีพีจะเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีไทยได้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดที่ปกติแล้วจะมีแต่บริษัทใหญ่ที่สุดของไทยเท่านั้นที่จะเข้าถึงได้"

นับเป็นการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจใหม่อย่างมหาศาล ช่วยนำความรุ่งเรืองมาสู่คนนับล้าน ตอกย้ำเส้นทางการดำเนินธุรกิจของเครือซีพีในระดับสากล ผ่านแนวคิดแบบ "Win-Win"

ศุภชัย ย้ำว่า บริษัทไทยต้องร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสร้างพลังร่วมกัน ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ที่สนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศบ้านเกิด และบริษัทในประเทศของตัวเอง ไปพร้อมกับการสร้างคุณค่าให้กับประเทศที่ธุรกิจต่างๆ เหล่านั้นเข้าไปดำเนินธุรกิจ และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนี้สอดคล้องหลัก "3 ประโยชน์" ของเครือซีพี ที่คำนึงถึงการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ สร้างประโยชน์ให้กับสังคม และสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท นั่นเอง
#3167


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งธุรกิจคลังสินค้าและพื้นที่ให้เช่าของบริษัท มีแนวโน้มผลประกอบการเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะสัญญาระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นมาก ด้านธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ธุรกิจน้ำยังคงมีทิศทางการเติบโตจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในไทยและเวียดนามยังดีกว่าปีก่อน

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1,030 ไร่  แบ่งเป็นในประเทศไทย 725 ไร่ และในประเทศเวียดนาม 305 ไร่  สำหรับพื้นที่ในประเทศไทย  725 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายในนิคมฯ 600 ไร่ นอกนิคมฯ 125 ไร่ มั่นใจว่ามีโอกาสทำได้ดีกว่าเป้า เนื่องจากยังคงเห็นความต้องการจากยุโรป, ไต้หวัน, จีน ,ญี่ปุ่น และอินเดีย จากกระแสการย้ายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่องจนมาถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติมองหาฐานการลงทุนแห่งใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างเดียว ซึ่งทั้งไทยและเวียดนามได้ประโยชน์ 

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

จากครึ่งปีแรก 2564 มียอดรอเซ็นสัญญาซื้อขายLOI อยู่ที่ 83 ไร่ และมียอดขายที่ดินรอโอน( Backlog ) อยู่ที่ 400 ไร่ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหลายราย มองว่า ในครึ่งปีหลังยอดขายที่ดินจะเริ่มกลับมา จากโรคระบาดโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย แม้โควิดจะกระทบข้อจำกัดการเดินทาง แต่การลงทุนจริงยังดีต่อเนื่องและมีการพัฒนาระบบออนไลน์มาช่วยสนับสนุนยอดขายที่ดินด้วย 

สำหรับยอดขายที่ดินในเวียดนาม 305 ไร่ คาดว่าอาจต่ำกว่าเป้า เพราะ  มีล็อกดาวน์ แต่ดีมานด์ยังดีอยู่ ไม่กระทบยอดขายแต่จะกระทบยอดโอนที่อาจจะต้องเลื่อนไปปี 2565

 "ยอดขายที่ดินครึ่งปีหลังนี้ยังดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ จากเจรจาขายที่ดินต่อเนื่อง  ในส่วนของยอดโอนอาจกระทบบ้างปีนี้  แต่จะทำให้แบ็คล็อคไปโอนในต้นปีหน้า" 

นางสาวจริพร กล่าวว่า  ทางด้านธุรกิจให้เช่าพื้นที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป้าหมายให้เช่าพื้นที่ในปีนี้ที่ 175,000 ตารางเมตร ในครึ่งปีแรก 2564 ให้เช่าพื้นที่แล้ว 40-50% ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายใหญ่ เช่าคลังสินค้าเพิ่มอีก 55,000-60,000 ตารางเมตร คาดหวังว่าจะปิดดีลให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่ง ก็มีส่วนทำให้ความต้องการเช่าระยะสั้นสูงขึ้นอย่างมาก

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพอีก 2 บริษัท คาดใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านบาท เบื้องต้นจะสรุปได้ปีนี้หรือปีหน้า
#3168


การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) โดยเรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหาร กทท. ให้การต้อนรับนายวิลาศ เฉลยสัตย์ รองผู้ว่าการบริการระบบจำหน่ายการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และคณะ ในโอกาสเข้าร่วมติดตามความคืบหน้าและสังเกตการณ์การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและศูนย์แยกกักตัว (CI) ของ กทท. ในฐานะหนึ่งในหน่วยงานภาคีเครือข่ายการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามและศูนย์ CI ของ กทท. ณ โกดังสเตเดียม กทท.



โรงพยาบาลสนามและศูนย์ CI ของ กทท. จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พักรักษาตัวของพนักงาน กทท. และชาวชุมชนที่ตรวจพบเชื้อ COVID-19 ซึ่งเป็นผู้ป่วยในกลุ่มอาการสีเขียวและสีเหลืองที่มีอาการไม่รุนแรงภายในพื้นที่จัดเป็นเต็นท์สนามจำนวน 3 หลัง รองรับผู้ป่วยได้ 300 เตียง แบ่งเป็นโรงพยาบาลสนามจำนวน 240 เตียง (แยกชาย-หญิง) และศูนย์ CI จำนวน 60 เตียง โดย กทท. เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณการจัดตั้ง ระบบสาธารณูปโภค สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก วัสดุอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ที่จำเป็น เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้การสนับสนุน ได้แก่ กฟน. ที่สนับสนุนด้านการติดตั้งและวางระบบไฟฟ้าภายในโรงพยาบาลสนามและศูนย์ CI สำนักงานสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิเอสซีจี PTTOR การประปานครหลวง สำนักงานเขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ มูลนิธิบุณยะจินดา มูลนิธิมาดามแป้ง โรงพยาบาลนวเวช โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เป็นต้น คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในเร็วๆนี้



นายจาตุรงศ์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการธุรกิจและบริการ กฟน. กล่าวว่า "การไฟฟ้านครหลวงมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของ กทท. โดยได้สนับสนุนวางแผนระบบไฟฟ้าด้วยการเดินระบบสายส่งกำลังไปยังเต็นท์ทั้งสามหลัง พร้อมทั้งติดตั้งมิเตอร์และหม้อแปลง ซึ่งมั่นใจว่าสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ได้มอบหมายให้พนักงาน กฟน. เตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุขัดข้องอื่น ๆ"

ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวปิดท้ายว่า "ขณะนี้การดำเนินงานต่าง ๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ที่นอน เตียง ห้องน้ำ และอุปกรณ์ที่จำเป็น ได้เตรียมพร้อมแล้วที่จะเปิดเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งนี้ ขอขอบคุณความร่วมมือจากหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง สำนักงานเขตคลองเตย มูลนิธิเอสซีจี PTTOR ฯลฯ ที่ร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือประชาชนคนไทยให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างปลอดภัย"
#3169


ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินผลกระทบของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้ประชากรราว 80 ล้านคนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชียเข้าสู่ "ความยากจนขั้นรุนแรง" (extreme poverty) และอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายขจัดปัญหาความยากจนและความหิวโหยระดับโลกภายในปี 2030

แบบจำลองของ ADB ระบุว่า อัตราความยากจนขั้นรุนแรงในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเอเชีย ซึ่งหมายถึงสัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จะลดลงเหลือเพียง 2.6% ในปี 2020 จากระดับ 5.2% ในปี 2017 หากไม่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ทว่า วิกฤตสาธารณสุขที่เกิดขึ้นทำให้อัตราความยากจนขั้นรุนแรงพุ่งสูงกว่าที่ประเมินไว้ราว 2%

รายงานของ ADB ย้ำว่า ตัวเลขอาจจะสูงยิ่งกว่านี้ หากพิจารณาถึงความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น สุขภาวะ การศึกษา และการหยุดชะงักของงาน (work disruptions) ที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากโควิด-19 ทำให้การเคลื่อนย้ายของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ หยุดชะงัก

"ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมจากมาตรการควบคุมโรคยังคงปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ประชากรจำนวนมากต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง และสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรของความยากจน" ADB ซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงมะนิลา ระบุ

ในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา 46 ชาติ และประเทศพัฒนาแล้ว 3 ชาติในเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิกของ ADB มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการจ้างงานที่ลดลงส่งผลให้ชั่วโมงการทำงานในภูมิภาคนี้ลดลงประมาณ 8% ซึ่งส่งผลกระทบมากเป็นพิเศษต่อครัวเรือนที่มีฐานะยากจน และแรงงานนอกระบบ (informal sector)

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ยังเพิ่มความท้าทายให้ภูมิภาคนี้ในการที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมายด้านการพัฒนาที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้กำหนดไว้เมื่อปี 2015

รัฐสมาชิกยูเอ็นได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development goals : SDGs) 17 ประการ ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ท้าทายตั้งแต่การขจัดปัญหาความยากจน เรื่อยไปจนถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ รวมถึงขยายโอกาสทางการศึกษาและบริการด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่มภายในปี 2030

"เอเชียและแปซิฟิกมีระดับความก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทว่า สถานการณ์โควิด-19 เผยให้เห็นรอยแยกทางเศรษฐกิจที่อาจจะบั่นทอนการพัฒนาอย่างยั่งยืนแบบองค์รวมของภูมิภาคนี้" ยาสุยุกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ADB ระบุในถ้อยแถลง

ที่มา : รอยเตอร์
#3170


นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้อำนวยการ-ธุรกิจบัตรเครดิต บริษัทบัตรกรุงไทย (เคทีซี)เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของหมวดประกันในครึ่งปีหลังว่า เคทีซียังคงมีมุ่งเน้นร่วมกับพันธมิตรในหมวดประกันที่มีอยู่ถึง 150 รายในการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งในส่วนของประกันชีวิต และประกันอื่นๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ และขยายช่องทางในการซื้อ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันมากขึ้น โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะในไตรมาส 4 จะยังเป็นช่วงไฮซีซั่นเหมือนทุกปีที่ผ่านมา และยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดใช้จ่ายในหมวดประกันที่ 10%

"หมวดประกันมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ 3-4 ปีก่อน และในปีนี้ก็ยังโตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าธุรกรรมไม่สูงนัก อย่าง ประกันโควิด ประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ ซึ่งก็จะมีไซส์ประมาณ 10,000-20,000 บาท ส่วนที่ไซส์ใหญ่ๆส่วนใหญ่จะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือบริษัทโดยตรง ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดความตื่นตัวในการทำประกันมากขึ้นเพราะมีความไม่แน่นอนในชีวิตเกิดขึ้น จึงต้องซื้อประกันมาปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แล้วคนที่ซื้อประกันที่เข้ามาก็มีอายุน้อยลง ซึ่งการตื่นตัวนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะประกันโควิด แต่รวมไปถึงประกันสุขภาพอื่นๆด้วย ซึ่งก็หวังว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่ตลอดไป รวมถึงช่องทางออนไลน์และดิจิทัลก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ด้วย"

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความเสี่ยงสูง จากการระบาดของโควิด 19 ที่หากยังไม่สามารถควบคุมได้ก็จะส่งผลกระทบหนักขึ้น และอาจจะทำให้คนบางกลุ่มที่รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป ซึ่งแนวโน้มการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดประกันภัยในไตรมาสที่ 3 เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ทั้งในส่วนยอดรวมการใช้จ่ายและอัตราเฉลี่ยการซื้อประกันต่อครั้งต่อบัตรฯ สืบเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มถดถอย ทำให้ประกันภัยปีแรกขายค่อนข้างยาก และการชำระเบี้ยประกันปีต่ออายุของผู้บริโภคเริ่มมีปัญหา ส่งผลให้กรมธรรม์ถูกยกเลิก หรือขาดอายุสูงขึ้น กลยุทธ์การตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2564 เคทีซีจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันภัยทั้ง Life Insurance Non-Life Insurance และ Insurance Broker มากกว่า 50 บริษัท มอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก อาทิ การผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน การให้เครดิตเงินคืนสูงสุด 15% หรือการมอบคะแนนพิเศษ เพื่อให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของหมวดประกันมุอัตราเติบโตที่ 10% โดยหลักๆยังมาจากประกันโควิดฯที่เติบโตดีมาตั้งแต่ปีก่อน รวมถึงประกันสุขภาพไซส์เล็กๆ และกลุ่มของยูนิตลิงค์ที่เริ่มเข้ามามากขึ้น ขณะที่กลุ่ม non life อาจจะแผ่วลงบ้าง อาทิ ประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง เนื่องจากมีการใช้รถยนต์ลดลง เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันยอดใช้จ่ายหมวดประกันยังสูงเป็นอันดับ 1 ของยอดใช้จ่ายรวม หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16%ของยอดใช้จ่ายรวม

นายสุวัฒน์กล่าวอีกว่า ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่เราก็พยายามที่จะรักษาการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อช่วยพยุงยอดใช้จ่ายรวม และชดเชยการใช้จ่ายในบางกลุ่มที่หายไป อาทิ หมวดร้านอาหาร ท่องเที่ยว เป็นต้น ส่วนในปีหน้า หากสถานการณ์โควิดฯยังอยู่เราก็คงยังเน้นประกันในกลุ่มนี้อยู่ แต่หากสถานการณ์คลี่คลายก็จะพยายามหาผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าต่อเนื่องไปหลังจากที่ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญในการทำประกันอื่นๆเพิ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์โควิดฯ
#3171


เวลาของ แมนนี ปาเกียว ยอดกำปั้นวีรบุรุษแห่งฟิลิปปินส์ กำลังจะหมดลงในไม่ช้า หลังพิจารณาจากคำพูดเปิดใจล่าสุดหลังแพ้ให้นักชกแชมป์โลกจากคิวบา แม้เจ้าตัวจะยังไม่ประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการก็ตาม

ความพ่ายแพ้ที่ ที โมบายล์ อารีน่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทำให้ "แพ็คแมน" ที่แพ้คะแนนต่อ ยอร์เดนิส อูกาส แชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ เวลเตอร์เวท ชาวคิวบา ยังอ้ำอึ้งที่จะบอกชัดๆ ว่าจะเลิกชกมวย ทว่าคำพูดในงานแถลงหลังจบไฟต์ ก็ส่งสัญญาณว่าเจ้าตัวคงไม่คิดชกต่อแล้ว

นักมวยวัย 42 ปี เปิดเผยว่า "คุณอาจไม่เห็น แมนนี ปาเกียว ขึ้นเวทีชกมวยอีกแล้วในอนาคต ผมไม่รู้เหมือนกัน"

"ในวงการหมัดมวย ผมทำทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว และผมก็ได้รับทุกสิ่งจากวงการมวยเช่นกัน ตอนนี้ผมกำลังมองถึงการใช้เวลากับครอบครัว และคิดถึงเรื่องอนาคตของตัวเองในวงการมวยอย่างจริงจัง ใจผมยังอยากสู้ต่อ แต่ผมก็ต้องรับฟังเสียงของร่างกายตัวเองเหมือนกัน"

"ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมอยากทำเพื่อช่วยเหลือผู้คน นั่นคือภารกิจของผม ผมอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวฟิลิปปินส์ทุกคนทั้งในและนอกสังเวียน"

"ชีวิตจริง ผมเป็นนักสู้ทั้งในและนอกสนาม ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงการกลับไปฟิลิปปินส์ เพื่อทำงานรับใช้ชาวฟิลิปปินส์ในช่วงเวลาที่โรคระบาดส่งผลกระทบต่อคนเป็นล้านในประเทศของเรา"

ทั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจสำหรับหาก ปาเกียว จะประกาศแขวนนวมในเวลาอันใกล้ เพราะตลอด 26 ปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือหนึ่งในสุดยอดนักชกผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล เคยเป็นแชมป์โลกเข็มขัด 8 เส้น และจะถูกจดจำในวงการมวยตลอดไป
#3172


วันนี้ ( 22 ส.ค.) หลังจากมีกระแสข่าวว่ามีผู้ใจบุญเป็นคนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศ บริจาคเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อซื้อวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน โรคโควิด- 19 ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว



นายเกียรตินิยม ขัวญใจพุทธิศา นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ขนงพระ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา ให้ข้อมูลว่า เป็นเรื่องจริงที่มีผู้ใจบุญบริจาคเงินเพื่อซื้อวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนชาว อ.ปากช่องได้ฉีด โดยผู้ใจบุญท่านนี้ มีภูมิลำเนาเป็น ชาว ต. ขนงพระ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา ซึ่งปัจจุบันนี้ พี่ชาย และ ญาติ พี่น้องก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งผู้ใจบุญได้แต่งงานมีสามีเป็นนักธุรกิจ ชาวฝรั่งเศส

โดยได้มอบเงินจำนวน 20 ล้านบาท ให้กับ โรงพยาบาลมกุฏคีรีวันเขาใหญ่ (ปากช่องนานา) เพื่อดำเนินการจัดวัคซีน ฉีดให้กับประชาชนฟรี ประกอบด้วย วัคซีนชิโนฟาร์ม จำนวน 10,000 โดส เป็นเงิน 8,000,000 บาท และวัคซีน MRNA จำนวน 4,000 โดส เป็นเงิน 6,800,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 14,800,000 บาท ส่วนจำนวนเงินที่เหลือ เตรียมไว้ซื้อวัคซีน MRNA เพิ่มเป็นเข็มกระตุ้น ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า



ทั้งนี้วัคซีนจำนวนดังกล่าว ได้ฉีดให้ประชาชนในพื้นที่ ต.ขนงพระ เป็นอันดับแรก ซึ่งมีทั้ง พระภิกษุ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งผู้ใจบุญ เป็นห่วงชาวปากช่องหลังเห็นข่าวว่าชาวปากช่อง ติดเชื้อโควิด-19 กันเป็นจำนวนมาก

นายเกียรตินิยม กล่าวอีกว่า นอกจากมีวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับบริจาคดังกล่าว แล้ว ทาง อบต. ขนงพระ ยังจัดสรรงบประมาณ 15 ล้านบาท เพื่อซื้อวัคซีนฉีดให้ประชาชนชาวตำบลขนงพระ ซึ่งมีทั้งชาวบ้าน แรงงานต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่มาประกอบธุรกิจในพื้นที่นี้ โดยดำเนินการลงทะเบียนผ่านองค์การบริหารส่วนตำบลขนงพระ อ.ปากช่อง ซึ่งขณะนี้ได้มีการเปิดรับลงทะเบียนแล้ว พร้อมเร่งสำรวจผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย หากตำบลขนงพระ ปูพรมฉีดวัคซีนจนครบ 100% แล้ว จะกระจายวัคซีนไปสู่พื้นที่ ตำบลข้างเคียงจนกว่าวัคซีนจะหมด ซึ่งชาวปากช่องต่างดีใจที่มีผู้ใจบุญบริจาคเงินซื้อวัคซีนมาฉีดให้กับชาวบ้าน
#3173


"เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค หืดจับ ขึ้นนำ 2-0 โดนตีเสมอ 2-2 ก่อนจะได้ แซร์จ นาร์บี ซัดประตูชัยช่วยให้ทีมเปิดบ้านเฉือนชนะ เอฟซี โคโลญจน์ ไปแบบสุดมัน 3-2

ศึกฟุต.บุนเดสลีกา เยอรมนี ฤดูกาล 2021/22 วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564 "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เปิดรังอลิอันซ์ อารีน่า รับการมาเยือนของ "แพะบ้า" เอฟซี โคโลญจน์

"เสือใต้" ของกุนซือยูเลียน นาเกิลส์มันน์ เพิ่งเอาชนะโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เกมนี้นำทัพโดย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, โธมัส มุลเลอร์, เลรอย ซาเน และแซร์จ นาร์บี

ปรากฎว่าเกมนี้มาสนุกในครึ่งเวลาหลัง โดยเป็น บาเยิร์น มิวนิค ได้ 2 ประตู ขึ้นนำ 2-0 ในนาทีที่ 50, 59 จาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี และแซร์จ นาร์บี อย่างไรก็ตาม โคโลญจน์ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มาทำสองประตูรวด ตีเสมอ 2-2 จาก แอนโธนี โมเดสเต น.60 และมาร์ก อูธ น.62

อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น มิวนิค ที่โหมบุกอย่างหนัก ก็มาได้ประตูขยับนำอีกครั้ง 3-2 จากจังหวะที่ โยชัว คิมมิช จ่ายให้ แซร์จ นาร์บี ยิงเข้าไป ในนาทีที่ 71

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่มีใครทำอะไรกันได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที บาเยิร์น มิวนิค เปิดบ้านเฉือนชนะ เอฟซี โคโลญจน์ 3-2 เก็บสามคะแนนแรกในลีกซีซั่นนี้ มีเพิ่มเป็น 4 แต้ม จาก 2 นัด ขึ้นไปรั้งอันดับ 4 ของตาราง ส่วนทีมเยือนมี 3 คะแนน รั้งอันดับ 8

รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม
บาเยิร์น มิวนิค : มานูเอล นอยเออร์ (GK), ตองกีย์ เนียนซู, ดาโยต์ อูปาเมกาโน, นิคลาส ซูเล่, อัลฟองโซ่ เดวิส, โยชัว คิมมิช, เลออน โกเร็ตซ์กา, เลรอย ซาเน, โธมัส มุลเลอร์, แซร์จ นาร์บี, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี

เอฟซี โคโลญจน์ : ติโม ฮอร์น (GK), คิงสลีย์ เอฮิซิบัว, จอร์จ เมเร, ราฟาเอล ซิชอส, โยนาส เอ็คตอร์, เอลเยส สคิรี, แยน ทีลมันน์, เดยัน ลูบิซิช, ฟลอเรียน เคนซ์, แอนโธนี โมเดสเต, มาร์ค อูธ
#3174


พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในกีฬาเทควันโด รุ่น 49 กิโลกรัม หญิง พร้อมคุณพ่อ สิริชัย วงศ์พัฒนกิจดินทางไปยัง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำเหรียญมามอบให้กับ ทรงศักดิ์ ทิพย์นาง โค้ชคนแรกของ "เทนนิส"

บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น เมื่อ "เทนนิส" เดินทางมาถึงก็ได้ก้มลงกราบ "โค้ชทรงศักดิ์" ทันที โดยโค้ชคนนี้ถือเป็นคนสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้ผลักดันให้ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ มุ่งหน้าเป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนทีมชาติไทย ตั้งแต่ปี 2554 และหลังจากก้มกราบ ทั้งคู่ก็สวมกอดกันอย่างอบอุ่น

"หลังจบการแข่งขัน เราก็ตั้งใจเดินทางมาหาโค้ชทรงศํกดิ์ที่ อ.หิวหิน เพราะอยากจะมาขอบคุณโค้ชที่ถือเป็นครูคนแรกที่ฝึกสอนเรามาตั้งแต่เด็กๆ" เทนนิส เริ่มกล่าว

"จากที่เล่นไม่เป็น จนกลายมาเป็นนักกีฬา และโค้ชก็เชื่อมั่นใจตัวเรามาตลอด พร้อมผลักดันให้เรากลายเป็นนักกีฬาเทควันโดเยาวชนทีมชาติไทยในปี 2554"

"รู้สึกดีใจมาก และอยากให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ที่รักกีฬาเทควันโดใน อ.หัวหิน ซึ่งเราก็ขอสัญญากับครูว่าจะมุ่งมั่น ทุ่มเทกับกีฬาชนิดนี้ต่อไป" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก 2020 ทิ้งท้าย

ขณะที่ ทรงศักดิ์ ทิพย์นาง กล่าวว่า "รู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จของ เทนนิส มากๆ ก่อนหน้านี้ก็รู้กว่าเราต้องส่งเสริม ต้องผลักดันเด็กคนนี้ให้เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยให้ได้ เพราะเขามีความพยายามมากๆ ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้นอกจาก เทนนิส จะทำตามความฝันของตัวเองได้แล้ว ยังทำให้ความฝันของโค้ชสำเร็จไปด้วย นั่นคือการเห็นลูกศิษย์ประสบความสำเร็จในกีฬาชนิดนี้"
#3175


ศึกกอล์ฟเมเจอร์หญิง รายการสุดท้ายของปี 2021 "เอไอจี วีเมนส์ โอเพ่น" ชิงเงินรางวัลรวม 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 193 ล้านบาท ที่สนามคานุสตี กอล์ฟ ลิงค์ส ระยะ 6,480 หลา พาร์ 72 ประเทศสกอตแลนด์ วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการดวลวงสวิงในวันที่สาม

ปรากฎว่า แอนนา นอร์ดควิสต์ โปรกอล์ฟสาวชาวสวีดิช ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เก็บถึง 7 อันเดอร์พาร์ในวันที่สาม รวมสกอร์สามวันมี 9 อันเดอร์พาร์ ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมกับ แนนนา เคิร์สทซ์ แมดเซ่น จากประเทศเดนมาร์ก

ด้าน ลิเซตต์ ซาลาส ก้านเหล็กสาวชาวอเมริกัน เก็บเพิ่ม 2 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสามวันมี 8 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 3 ตามผู้นำ 1 สโตรก ส่วนซานนา นูทิเนน โปรสาวจากฟินแลนด์ เก็บเพิ่ม 4 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวมสามวันมี 7 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 4 ร่วมกับ หลุยส์ ดันแคน

ขณะที่ผลงานของโปรกอล์ฟสาวของไทย "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล วันนี้เก็บเพิ่ม 4 อันเดอร์พาร์ รวมสกอร์สามวันมี 6 อันเดอร์พาร์ ขึ้นมารั้งอันดับ 8 ร่วม เช่นเดียวกับพี่สาว อย่าง "โปรโม" โมรียา จุฑานุกาล ที่มี 6 อันเดอร์พาร์เช่นกัน ตามผู้นำ 3 สโตรก

นอกจากนี้ "โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ, "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล, "โปรเหมียว" ปภังกร ธวัชธนกิจ และ "โปรแจน" วิชาณี มีชัย จบวันที่สามมี 4 อันเดอร์พาร์เท่ากันหมด รั้งอันดับ 18 ร่วม ตามผู้นำ 5 สโตรก
#3176


นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากการที่ ธ.ก.ส. ได้เปิดรับฝาก "สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6" จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท มีอายุการรับฝาก 3 ปี ลุ้นรางวัลสูงสุด 10 ล้านบาท รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 47 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งแบ่งการเปิดรับฝากเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท และช่วงที่ 2 วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป วงเงินรับฝาก 50,000 ล้านบาท สำหรับการรับฝากสลากในช่วงที่ 1 นั้น ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ทำให้ยอดรับฝาก เต็มวงเงินอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น โดยมียอดรับฝากผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile จำนวนกว่า 10,000 ล้านบาท และยอดรับฝากผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคาร จำนวนกว่า 40,000 ล้านบาท

"ธ.ก.ส. ขอขอบคุณเกษตรกรลูกค้าและผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคาร ซึ่งเงินทุก ๆ บาทที่ท่านฝากไว้ ธ.ก.ส. จะนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนภาคเกษตรกรรมเพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งสู่ธุรกิจชุมชน อันเป็นฐานรากที่สำคัญของประเทศ"

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถฝากสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 ได้ โดย ธ.ก.ส. จะเปิดให้บริการรับฝากอีกครั้งในช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile อนึ่ง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และเป็นการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนให้ลูกค้าฝากสลากผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกไม่ต้องรอคิวใช้บริการที่เคาน์เตอร์สาขาและเข้าใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา

นายธนารัตน์กล่าวอีกว่า สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 6 มีอายุรับฝาก 3 ปี เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.15 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.05 ต่อปี


นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 10,000,000 บาท และรางวัลอื่น ๆ รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 47,490,000 บาท ต่อเดือน ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) รวมถึงเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อกับ ธ.ก.ส. ได้อีกด้วย อีกทั้ง ธ.ก.ส. ยังมีบริการ BAAC Connect ซึ่งเป็นข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official : BAAC Family เมื่อมีเงินเข้า - ออกบัญชีเงินฝากและการถูกรางวัลสลาก รวมถึงกรณีสลากใกล้ครบอายุรับฝากอีกด้วย ทั้งนี้ โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากออมทรัพย์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
#3177


"ดิจิทัล" เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายมาเป็นสาขาที่มีจำนวนคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

BOI เริ่มให้การส่งเสริมธุรกิจดิจิทัลมากว่า 20 ปี ตั้งแต่เปิดส่งเสริมกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์และอีคอมเมิร์ซ เมื่อปี 2543 หลังจากนั้นได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมกิจการด้านดิจิทัลอื่นๆ อีกหลายครั้ง ล่าสุดบอร์ด BOI ได้เห็นชอบการปรับเปลี่ยนมาตรการด้านดิจิทัลครั้งใหญ่ เพื่อให้มีความยืดหยุ่น และตอบสนองรูปแบบธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น

มาตรการส่งเสริมดิจิทัลของ BOI มีอยู่ 5 ด้าน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และกิจกรรมดิจิทัลต่างๆ ส่งเสริมทั้งฝั่งผู้พัฒนาและผู้ใช้ รวมไปถึงด้านบุคลากร IT ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคลากรไทย หรือการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

หนึ่ง การส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น Data Center, Cloud Service, Submarine Cable, Digital Park, Incubation Center, Maker Space หรือ Fabrication Lab, Co-working Space, ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงกิจการพัฒนา Smart City

สอง การส่งเสริมกิจกรรมด้านดิจิทัล เดิม BOI แบ่งเป็นกิจการย่อยๆ แต่ในช่วงหลัง ธุรกิจเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และบางโครงการทำคาบเกี่ยวหลายกิจกรรม บอร์ด BOI จึงเห็นชอบให้ยุบรวมเป็นประเภทเดียว โดยใช้ชื่อว่า "กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล หรือดิจิทัลคอนเทนต์"


พร้อมทั้งปรับเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 8 ปี และเปลี่ยนวิธีการกำหนดวงเงินยกเว้นภาษี จากเดิมอิงตามมูลค่าสินทรัพย์ มาเป็นการอิงตามค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ทั้งค่าจ้างและค่าฝึกอบรม รวมทั้งค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้ใบรับรองมาตรฐาน เพราะมองว่า การลงทุนในตัวคน เป็นหัวใจของธุรกิจดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังได้ขยายขอบข่ายรายได้ที่ได้รับสิทธิ จากเดิมที่ให้เฉพาะรายได้จากการจำหน่าย เช่า ใช้ซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์ม ขยายให้ครอบคลุมถึงค่าโฆษณา ซึ่งกลายมาเป็นรายได้หลักของธุรกิจดิจิทัลในปัจจุบัน

สาม เมื่อเร็วๆ นี้ BOI ได้ออกมาตรการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการนำซอฟต์แวร์ ระบบ ERP หรือระบบ IT อื่นๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรหรือสายการผลิต หรือเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบออนไลน์ของรัฐ เช่น National E–Payment หรือประยุกต์ใช้ AI, Machine Learning, Big Data หรือ Data Analytics โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน

สี่ มาตรการ Smart Visa เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และกลุ่มสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพจากต่างประเทศ โดยการให้วีซ่าชนิดพิเศษที่มีระยะเวลานานกว่าปกติ และสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงาน อีกทั้งได้รับการขยายเวลารายงานตัวจากทุก 90 วันเป็น 1 ปี ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและสตาร์ทอัพได้รับการรับรอง Smart Visa แล้วกว่า 400 คน

ห้า การให้เงินสนับสนุนค่าจ้างบุคลากรแก่สตาร์ทอัพ จากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ เป็นมาตรการล่าสุดที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ หลักเกณฑ์สำคัญคือ ต้องเป็นสตาร์ทอัพในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งด้านดิจิทัลและ Deep Tech และต้องเคยได้รับเงินทุนจาก VC หรือ CVC มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท สามารถยื่นขอรับเงินสนับสนุนสำหรับค่าจ้างบุคลากร ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 50 รวมไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อบริษัท ระยะเวลาสนับสนุนไม่เกิน 2 ปี

มาตรการทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยพันธมิตรทั้งรัฐและเอกชนมาช่วยกันผลักดัน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว และสร้างให้ประเทศไทยเป็น "ดิจิทัลฮับ" ของภูมิภาค
#3178


นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 19 (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงขึ้น การฟื้นตัวจะช้าออกไปและไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนัก รายได้และการจ้างงานที่ลดลงส่งผลซ้ำเติมฐานะการเงินที่เปราะบางของธุรกิจและครัวเรือน

ดังนั้น เพื่อให้มาตรการทางการเงินช่วยบรรเทาผลกระทบได้มากขึ้นในระหว่างที่ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 จึงมีมติอนุมัติมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม ดังนี้

1. การรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เพื่อให้สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและเพียงพอต่อการดำรงชีวิต

(1) ปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับลูกหนี้ SMEs ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2564 ธปท. อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 92,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายร่วมระหว่าง ธปท. กับสถาบันการเงินที่ 1 แสนล้านบาทได้ก่อนเดือน ตุลาคม 2564 โดยสินเชื่อกระจายตัวได้ดีและครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 30,194 ราย เฉลี่ยรายละ 3.1 ล้านบาท

ซึ่งเป็นลูกหนี้ธุรกิจขนาดเล็ก (ร้อยละ 42.6) ประกอบธุรกิจการพาณิชย์และบริการ (ร้อยละ 67.5) และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด นอกเขตกรุงเทพและปริมณฑล (ร้อยละ 68.5) อย่างไรก็ดี ธปท. ประเมินว่าภาคธุรกิจยังมีความต้องการสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า


ที่ผ่านมา ธปท. ได้หารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบธุรกิจผ่านสมาคมต่าง ๆ เช่น หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดต่าง ๆ ของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และเห็นควรให้ขยายวงเงินสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำหรือไม่เคยมีวงเงินมาก่อน ที่เดิมอาจไม่ต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน รวมถึงเพิ่มการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางได้มากขึ้น


(2) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อย ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อบรรเทาภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้เป็นการชั่วคราว โดย (1) ขยายเพดานวงเงินสำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท (2) คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่เคยผ่อนคลายไว้ก่อนหน้า

และ (3) ขยายเพดานวงเงินและระยะเวลาชำระหนี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล ทั้งนี้ การผ่อนปรนเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบและลดความจำเป็นของลูกหนี้ที่อาจถูกผลักไปใช้สินเชื่อนอกระบบในระยะต่อไป


2. การแก้ไขหนี้เดิมให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและช่วยเหลือลูกหนี้ได้จริง ที่ผ่านมา สถานการณ์การระบาดมีความไม่แน่นอนสูง เดิมคาดว่าจะควบคุมได้และคลี่คลายในเวลาไม่นาน ทำให้เน้นการแก้ปัญหาแบบระยะสั้น เช่น การพักชำระหนี้เป็นครั้งคราว หรือปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะสั้นเป็นหลัก แต่สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดมาก การแก้ปัญหาแบบเดิมจึงไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้ทำให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้พูดคุยเพื่อประเมินสถานการณ์ หรือหาทางแก้ไขที่จะช่วยให้ภาระของลูกหนี้ลดลงจริง

ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ธปท. จึงส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบระยะยาว และคำนึงถึงหลักการดังต่อไปนี้ (1) มองสถานการณ์ระยะยาว โดยกำหนดการจ่ายคืนหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ปัจจุบันที่ลดลงมากและทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้กลับมา (2) สามารถช่วยลูกหนี้จำนวนมากได้เร็ว (3) ตรงจุดให้เหมาะกับ ปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายที่มีปัญหาและการฟื้นตัวต่างกัน

(4) เป็นธรรมกับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน นอกจากนี้ ต้องไม่สร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (moral hazard) ให้กับลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ความช่วยเหลือไปสู่กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงอย่างได้ผล และรักษาสมดุลและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโดยรวม

เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์การส่งผ่านความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ลูกหนี้ในภาวะวิกฤต ธปท. จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ดังนี้


2.1  สถาบันการเงินสามารถคงการจัดชั้นสำหรับลูกหนี้รายย่อย และ SMEs (ตามนิยามของสถาบันการเงิน) ที่เข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว ได้จนถึง 31 มีนาคม 2565 เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินและลูกหนี้มีเวลาเพียงพอในการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผลในระยะยาว

2.2  การใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อลดภาระต้นทุนสำหรับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างยั่งยืน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยวิธีที่นอกเหนือไปจากการขยายเวลาการชำระหนี้เพียงอย่างเดียว เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากระยะสั้นเป็นระยะยาวร่วมกับการปรับโครงสร้างหนี้วิธีอื่น ๆ การปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ รวมถึงการลดภาระการผ่อนชำระให้ลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยจูงใจให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ

2.3  การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 จากร้อยละ 0.46 ต่อปี ที่จะสิ้นสุดสิ้นปี 2564 นี้ ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

การขับเคลื่อนให้มาตรการสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบได้จริงและรวดเร็วทันสถานการณ์เป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านมา ธปท. ได้หารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อรับทราบอุปสรรค ข้อจำกัด และข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากลูกหนี้ทั้งรายย่อยและธุรกิจ รวมถึงสถาบันการเงินที่เป็นกลไกหลัก และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปรับปรุงมาตรการให้ตอบโจทย์และตรงจุดยิ่งขึ้น

ซึ่ง ธปท. จะยังติดตามและวิเคราะห์แนวทางต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทางเลือกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะจัดทำขึ้นเพื่อรองรับลูกหนี้แต่ละกลุ่ม (product program) รวมทั้งเร่งผลักดันให้สถาบันการเงินมีแนวทางดูแลลูกหนี้ที่ชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศในภาพรวม
#3179


โมรียา จุฑานุกาล กับ วิชาณี มีชัย สองนักกอล์ฟหญิงชาวไทย รีดฟอร์มเก่งตีสกอร์ 5 อันเดอร์พาร์ ก่อนขยับอันดับขึ้นมาไล่กวดกลุ่มผู้นำอย่างน่าประทับใจในศึกเมเจอร์ เอไอจี วีเมนส์ โอเพน รอบสองที่สกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ศึกกอล์ฟเมเจอร์หญิงรายการสุดท้ายของปี เอไอจี วีเมนส์ โอเพน ชิงเงินรางวัลรวม 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 193 ล้านบาท) ณ สนาม คานุสคี กอล์ฟ ลิงส์ ระยะ 6,480 หลา พาร์ 72 ที่สกอตแลนด์ มาถึงการดวลวงสวิงวันที่สอง

ปรากฏว่าผู้นำรอบนี้คือ มินะ ฮาริเกะ จากสหรัฐอเมริกา กับ จอร์เจีย ฮัลล์ จากอังกฤษ หลังทำผลงานได้ดีตีสกอร์รวมเท่ากัน 7 อันเดอรืพาร์ ขึ้นมานำแทน เซย์ ยอง คิม ผู้นำรอบก่อนที่หล่นไปอยู่อันดับ 3 ร่วม ตามหลังอยู่ 1 สโตรก

ขณะที่สาวไทย รอบนี้ผลงานน่าประทับใจเมื่อ "โปรโม" โมรียา จุฑานุกาล กับ "โปรแจน" วิชาณี มีชัย จับมือกันทำสกอร์รวม 5 อันเดอร์พาร์ หลังตีเพิ่มได้ 5 อันเดอร์ และ 4 อันเดอร์ ตามลำดับ อยู่อันดับ 5 ร่วม ตามหลังผู้นำ 2 สโตรก

รองมาเป็น "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล อันดับ 23 ร่วม สกอร์ 2 อันเดอร์พาร์ หลังตีเพิ่มได้อีก 1 อันเดอร์ ตามด้วย "โปรเหมียว" แพตตี้ ปภังกร ธวัชธนกิช สกอร์คงที่ 1 อันเดอร์พาร์ หลังเก็บเพิ่มเติมไม่ได้ อยู่อันดับ 31 ร่วม

ส่วนสาวไทยคนอื่น "โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ กับ "โปรจีน" อาฒยา ฐิติกุล สกอร์รวมเท่ากันที่อีเวนพาร์ อันดับ 45 ร่วม ได้ไปลุยต่อในอีกสองวันที่เหลือ
#3180
 ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์   ข้าวอินทรีย์กรมการข้าวส่งทั่วไทย   ข้าวกล้องอินทรีย์  รูปภาพสำหรับข้าวปลอดสาร   การผลิตข้าวปลอดสาร(ออแกนิค)   คนทำนาข้าวปลอดสาร  ถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตให้กิน "ข้าวกล้อง" เป็นยาการที่ข้าวเปลือกอินทรีย์ถูกขัดสี ทำให้สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งขัดสีเป็นข้าวขาวหลายครั้งเท่าไร สารอาหารยิ่งเหลือน้อยลงไป การหันกลับมากินข้าวกล้อง เหมือนบรรพบุรุษของเรา จึงเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยไม่ให้เป็นโรคอันไม่ควรจะเป็น เนื่องจากขาดสารอาหาร


การฝึกกินข้าวกล้องออแกนิค ( รูปภาพสำหรับข้าวอินทรีย์ )
1. คนที่เพิ่งหัดกินข้าวกล้อง ( 'ข้าวออร์แกนิค' ดีต่อสุขภาพ
) อาจใช้วิธีง่ายๆ คือนำข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1 : 2 โดยแช่ข้าวกล้องก่อนนำไปหุงรวมกับข้าวขาว เพื่อจะได้สุกพร้อมๆ กัน และค่อยๆ เพิ่มปริมาณข้าวกล้อง จนเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ท่านก็จะกินข้าวที่ได้คุณค่าอาหารอย่างเต็มที่ 
2. การกินข้าวกล้องก็คือควรกินขณะยังอุ่นๆ โดยทั่วไป พอข้าวสุก ทิ้งไว้ให้ข้าวระอุประมาณ 5-10 นาทีแล้วควรรีบกิน ข้าวจะนุ่มกินได้ง่าย และให้ค่อยๆ เคี้ยวพอละเอียด จะได้รสชาติหวานอร่อยของข้าวกล้อง ตาม  การทำนาข้าวออร์แกนิค
3. ควรกินข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมดในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วๆ ไป

วิธีหุงข้าวกล้องอินทรีย์ กลุ่มผลิตข้าวออร์แกนิค

1. ก่อนซาวข้าวควรเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และซาวข้าวเบาๆ ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงครั้งเดียว เพื่อไม่ให้วิตามินสูญเสียไปกับน้ำซาวข้าว
2. การหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำมากกว่าหุงข้าวขาว การหุงข้าวกล้อง 1 ส่วนจึงควรเติมน้ำประมาณ 2-3 เท่า ถ้าจะให้ประหยัดเวลาหุง ควรแช่ข้าวกล้องก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง วิธีนี้อาจทำให้สูญเสียวิตามินบางอย่างที่ละลายน้ำไปบ้าง แต่ไม่แนะนำให้แช่ข้าวเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะข้าวที่มีสี แต่ถ้าจำเป็นต้องแช่ข้าว แนะนำให้ใช้น้ำที่แช่ข้าวนำกลับไปใช้ในการหุ้ง เพื่อลดการสูญเสียสารต้านอนุมูลอิสระในข้าว โดยเฉพาะข้าวสี
3. สำหรับข้าวใหม่หรือข้าวเก่านั้น จะมีผลต่อการหุงต้มเช่นกัน เพราะข้าวใหม่เมื่อหุงสุกจะมีลักษณะเมล็ดข้าวติดกันมาก ส่วนข้าวเก่าเมื่อหุงสุกการติดกันของเมล็ดข้าวจะน้อย เนื่องจากข้าวเก่าเมล็ดข้าวจะแห้งกว่าข้าวใหม่
เหตุนี้จึงทำให้บางท่านหุงข้าวแล้วบอกว่าใช้น้ำมากเท่าเดิมทำไมข้าวจึงแฉะหรือร่วน ซึ่งก็ต้องถามผู้ขายว่า เป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ ส่วนจะให้แฉะหรือร่วนแล้วแต่จะชอบ ผู้หุงข้าวจึงต้องใส่น้ำให้เหมาะสมหรือต้องใช้ศิลปะในการหุงเช่นกัน


ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  เครือข่ายข้าวอินทรีย์สุรินทร์

277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://www.hor.boutique
Facebook : https://www.facebook.com/Rice.For.Infant/
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique กลุ่มผลิตข้าวอินทรีย์

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ1.ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ 2.ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์  ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ 3.ข้าวปกาอำปึลอินทรีย์ (#ข้าวพื้นถิ่นจังหวัดสุรินทร์) 4.ข้าวผสมห้าสายพันธุ์อินทรีย์ 5.ข้าวกล้องมะลิแดงอินทรีย์ 6.ข้าวมะลินิลอินทรีย์สุรินทร์ 7. ข้าวไรซ์เบอรี่

#ข้าวกล้องอินทรีย์สุรินทร์ #ข้าวกล้องออแกนิคสุรินทร์ #ข้าวกล้องปลอดสารสุรินทร์ #ข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสุรินทร์ #ข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ #ข้าวกล้องเมืองสุรินทร์