• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - kaidee20

#3161


นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วานนี้(24 ส.ค.) ว่า ที่ประชุม ได้เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)เสนอ

โดยในส่วนแรกเป็นการอนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่ 2 รวม 12 จังหวัด 2,186 โครงการ กรอบวงเงินรวม 3.58 พันล้านบาท โดยใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ.2564 ในการจัดสรรให้ 

ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นในเรื่องของการจ้างงานและการพัฒนาพื้นที่โดยตรง แบ่งเป็น 4 กลุ่มลักษณะได้แก่ 1.กลุ่มโครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยว บริการ และการค้า 2.กลุ่มโครงการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร 3.กลุ่มโครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และ 4.กลุ่มโครงการที่เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชุมชน

สำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขยายระยะเวลาดำเนิน "โครงการกำลังใจ" จากเดิมที่สิ้นสุดระยะเวลาการเบิกจ่ายภายในเดือนส.ค. 2564 เป็นเดือนธ.ค. 2564 เนื่องจากขณะนี้มีผู้ที่อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารและรอการตราจสอบข้อมูลการเดินทางภายใต้โครงการฯ จึงจำเป็นต้องขยายระยะเวลา

"โครงการเราเที่ยวด้วยกัน" และ "โครงการทัวร์เที่ยวไทย" ที่ประชุม ครม.มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณาความเหมาะสมของช่วงระยะเวลาที่จะเริ่มดำเนินการ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดให้เหมาะสม 

หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถเริ่มต้นดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการได้ภายในเดือนต.ต. สามารถพิจารณาเสนอขอยุติโครงการฯ และคืนกรอบวงเงินกู้เหลือจ่ายต่อไป

นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการยกระดับหน่วยบริการกรมอนามัยรองรับการระบาดของโรคโควิด19 จากเดิมที่ระยะเวลาการดำเนินโครงการกำหนดไว้ระหว่างเดือนมิ.ย. - ก.ย. 2564 ขยายไปจนถึงเดือนธ.ค. 2564 ซึ่งโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยบริการอนามัยหรือศูนย์อนามัยมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยโควิด19 ในพื้นที่ทั่วประเทศได้
#3162


พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์ Efferin ทางสื่อออนไลน์ โดยระบุสรรพคุณ "กระตุ้นการเผาผลาญได้อย่างดีเยี่ยม...ส่งเสริมการกำจัดไขมันขั้นสุด...กระตุ้นเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาล... ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยสลายและใช้งานไขมัน กำจัดไขมันส่วนเกินจากกระแสเลือด ทำให้เนื้อเยื่อไขมันลดลง... มีประสิทธิภาพในการต้านภาวะซึมเศร้า... ช่วยให้การทำงานของตับดีขึ้น" เป็นต้น โดยมีการสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับแพทย์หญิงชื่อดังชาวไทยถูกไล่ออกจากประเทศชั้นนำ เนื่องจากปฏิเสธที่จะขายผลิตภัณฑ์เผาผลาญไขมันสูตรพิเศษให้แก่บริษัทยาในประเทศนั้น จึงได้กลับประเทศไทยและร่วมกับผู้ทรงอิทธิพลผลิตผลิตภัณฑ์เอฟเฟอร์รินขายเฉพาะในประเทศไทย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นข้อมูลลวง โดยผลิตภัณฑ์ Efferin ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอฟเฟอร์ริน/Efferin Dietary Supplement Product เลขสารบบอาหาร 10-1-03958-5-0272 โฆษณาดังกล่าวแสดงข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นเท็จและแสดงคุณประโยชน์หรือสรรพคุณของอาหารที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากในการยื่นขออนุญาตไม่มีการยื่นข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใดอีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค นอกจากนี้ ยังพบมีการแอบอ้างชื่อบุคลากรทางการแพทย์ในตำแหน่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพต่อมไร้ท่อเป็นผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเบาหวานและนักโภชนาการเป็นผู้รับรองผลิตภัณฑ์แต่แท้จริงแล้วนั้น ไม่มีตำแหน่งดังกล่าวตามที่กล่าวอ้าง และภาพหญิง-ชายที่อ้างว่าเป็นผู้คิดค้นและรับรองผลิตภัณฑ์นั้น เป็นภาพหญิง-ชายที่เผยแพร่ทั่วไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว

ข้อแนะนำ

ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือสร้างเรื่องราวดึงดูดความสนใจที่เป็นไปไม่ได้ หากมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวควรปรับพฤติกรรมการบริโภค ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่ควรหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริงทางสื่อออนไลน์ เพราะอาจมีสารที่เป็นอันตราย มีผลข้างเคียงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากผู้บริโภคพบเห็นเบาะแสการโฆษณา การผลิต/จำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556 หรือ Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
#3163


วันนี้ (24 ส.ค. 2564) นายวิลาศ เฉลยสัตย์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ MEAร่วมแสดงความยินดีในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 61 ปี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมสนับสนุนเงินสำหรับการผลิตเครื่องจ่ายออกซิเจน High Flow พร้อมระบบมอนิเตอร์ทางไกล จำนวน 40 เครื่อง ในโครงการ "ให้เพื่อต่อลมหายใจ" ของ สจล. เป็นจำนวน 2.2 ล้านบาท โดยมี นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล. เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สจล.

รองผู้ว่าการ MEA เปิดเผยว่า MEA ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจที่สำคัญในการขับเคลื่อนพลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร พร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่นี้ ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีภาวะติดเชื้อลงปอด เกิดการหายใจที่ไม่สะดวกหรือเหนื่อยหอบง่าย MEA จึงเร่งสนับสนุนงบประมาณ 2.2 ล้านบาท แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สำหรับผลิตเครื่องจ่ายออกซิเจน High Flow จำนวน 40 เครื่อง เพื่อนำไปมอบให้โรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาลที่ขาดแคลนให้มีอุปกรณ์ในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 อย่างเพียงพอ ทั้งนี้ สจล. ถือเป็นหน่วยงานแรกของไทยที่สามารถพัฒนาเครื่องจ่ายออกซิเจน High Flow เพื่อช่วยพยุงการหายใจของผู้ป่วย โดยแพทย์จะกำหนดอัตราไหลเวียนอากาศ ความเข้มข้นของออกซิเจนที่ต้องการ ควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ก่อนปล่อยผ่านทางจมูกได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ พร้อมด้วย ระบบมอนิเตอร์ทางไกลเพื่อใช้ในการเฝ้าระวังและติดตามอาการผู้ป่วยทางไกล โดยมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ แต่ราคาเพียงเครื่องละ 55,000 บาท ซึ่งถูกกว่าเครื่องนำเข้า 3-4 เท่า

ที่ผ่านมา MEA ได้ให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนในทุกมิติ เช่น การออกแบบติดตั้งจัดการระบบไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้ไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในโรงพยาบาลสนามหลายพื้นที่ ทั้งในด้านระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ ระบบปั๊มน้ำและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ และแผนรองรับการจ่ายไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ทุกภาคส่วน โดยสนับสนุนงบประมาณการบริหารจัดการพลังไฟฟ้าให้กับ รพ.บุษราคัม ส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และสิ่งของจำเป็นให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ต่างๆ ส่งมอบอาหารกล่องจำนวน 10,000 กล่อง ในโครงการ Food For Fighters รวมถึงการเร่งลงพื้นที่ส่งมอบถุงยังชีพและหน้ากากอนามัยจำนวนกว่า 300,000 ชิ้น ให้แก่ชุมชนในพื้นที่บริการ พร้อมจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและให้บริการแก้ไขไฟฟ้าขัดข้องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ทุกภาคส่วนร่วมสู้วิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

#พลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร
Energy for city life, Energize smart living
#3164


สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตลาดโรงแรมระดับลักชัวรีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า ภาพรวมอุปทาน ณ สิ้นครึ่งแรกปี 2564 ยังคงอยู่ที่ประมาณ 12,943 ห้องพัก ไม่พบว่ามีโรงแรมระดับลักชัวรีเปิดบริการใหม่ในช่วงที่ผ่านมา มีเพียงแค่โรงแรมระดับอัปสเกลและมิดสเกลเปิดบริการใหม่จำนวน 2 โรงแรม รวมทั้งสิ้น 371 ห้องพัก คือ โรงแรมมายเทรียณ์ พระราม 9 กรุงเทพฯ-เอ ชาเทรียม คอลเลคชั่น เปิดบริการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 230 ห้องพัก และโรงแรม เดอะ ควอเตอร์ สีลม บาย ยูเอชจี พัฒนาโดย เออร์เบิน ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 141 ห้องพัก และมีอีกหนึ่งโรงแรมคือ โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเด้นท์ แบงค็อก เป็นการรีโนเวตมาจากโรงแรมแอสเทรา สาทร และเปิดบริการใหม่ จำนวนห้องพัก 142 ห้องพัก

'เราพบว่ามีโรงแรมระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดบริการในช่วงครึ่งหลังปี 64 อีกประมาณ 4 แห่ง ประมาณ 726 ห้องพัก และในปีถัดไปอีกประมาณ 600 ห้องพัก และพบว่ามีโรงแรมระดับลักชัวรีในพื้นที่กรุงเทพฯ ประมาณ 2 โครงการ 423 ห้องพัก ยังคงเลื่อนการเปิดตัวออกไปจากในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา และอาจมีการปรับแผนและทบทวนการเปิดตัวใหม่อีกครั้งหากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกและในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง' นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย จำกัด กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลดำเนินการจัดหาวัคซีน และขับเคลื่อนแผนการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น และสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 4 ในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว สามารถผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติในระยะเวลาที่รวดเร็ว อาจส่งผลให้ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการบางรายที่ปิดกิจการชั่วคราวในช่วงก่อนหน้าอาจสามารถกลับมาเปิดบริการได้อีกครั้งตามแผนของผู้ประกอบการที่วางไว้

นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้การสนับสนุนค่าจ้างแรงงานคนละครึ่งร่วมกับผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรม (โค-เปย์) ฝั่งละ 7,500 บาทต่อเดือน (หรือประมาณ 3,375 ล้านบาท) สำหรับค่าจ้างแรงงานไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน จากพนักงานโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องที่มีทั้งหมดราว 4.5 แสนคน พิจารณาลดจำนวนวันที่นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางออกจากการกักตัวได้จาก 14 วันเหลือ 7 วัน และที่สำคัญที่สุด ควรเร่งการฉีดวัคซีนในพื้นที่ท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวในระยะเวลที่รวดเร็ว

สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งจากเดิมคาดการณ์ในปี 64 ไว้ประมาณ 10 ล้านคน แต่ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์สฯ มองว่า คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจเหลือเพียงแค่ประมาณ 100,000 คนเท่านั้น ซึ่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทาเข้ามาในประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา เหลือเพียงแค่ 40,447 คน ปรับตัวลดลงร้อยละ 99.40 เทียบประมาณ 6,691,574 คน ในช่วงเดียวกันปี 63 ซึ่งในแต่ละเดือนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน คือประมาณ 5,741-8,529 คนต่อเดือน ส่วนใหญ่มาจากยุโรป ร้อยละ 42.30 ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออก ร้อยละ 29.88 ประเทศในกลุ่มอเมริการ้อยละ 16.3 และจากประเทศจีนมีเพียงร้อยละ7.39

โรงแรมแบกค่าใช้จ่ายไม่ไหว ปิดกิจการถาวร-ขายทิ้ง

สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ ในครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 18.00 ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.00 โดยพบว่าอัตราเข้าพักเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยในเดือนมกราคม อยู่ที่ร้อยละ 10.64 และปรับตัวดีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ตามแนวโน้มของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ18.74 และเดือนมีนาคมที่ร้อยละ 23.21 และเริ่มปรับตัวลดลงอีกครั้งเมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ในเดือนเมษายน ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 16.22 ในเดือนเมษายน และยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคมที่ร้อยละ 6.97 และเดือนมิถุนายนที่ร้อยละ 7.89

'คาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ และโรงงแรมทุกระดับในประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปีจะยังคงใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีหรือปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหญ่ประจำวันมากกว่า 10,000 คน และตัวเลขผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนต่อวัน เป็นผลให้รัฐบาลขยายระยะเวลาการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปอีก 2 เดือน ทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2564 ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นอย่างมาก'

ขณะที่ราคาเฉลี่ยห้องพักรายวัน (ADR) ของโรงแรมระดับลักชัวรีในกรุงเทพฯ ในครึ่งปีแรก ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมมาอยู่ที่ประมาณ 3,264 บาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 15.00 จากในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากการมอบส่วนลดให้แก่ลูกค้าภายในประเทศ เนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมบางรายปรับลดราคาห้องพัก-อาหารลงกว่าร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม จากมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลที่ยังมีความยืดหยุ่น ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมหลายรายจึงหันมาปรับตัวด้วยการบริการด้านอาหารให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกช่องทางในภาวะที่อัตราการเข้าพักตกต่ำ

กว่า 234 โรงแรมเข้าร่วมฮอสพิเทล เพิ่มยอดอัตราเข้าพัก

แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้อัตราการจองโรงแรมลดลงและอีกกว่าร้อยละ 50 มีการยกเลิกห้องพัก เนื่องจากมองว่าการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมาอาจไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ขณะที่การกระจายวัคซีนยังคงล่าช้า ซึ่งกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียงร้อยละ 16.16 ต่อสัดส่วนประชากรทั้งประเทศเท่านั้น

'อัตราการเข้าพักและราคาเฉลี่ยรายวันคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำตลอดทั้งปี 2564 มีเพียงโรงแรมที่เข้าร่วมเป็นฮอสพิเทลเท่านั้นที่มีอัตราการเข้าพักที่ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 30.00 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเข้าพักที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโรงแรมอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมที่เข้าร่วมเป็นฮอสพิเทลรวมกว่า 234 แห่ง ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมจำนวนมากเลือกที่จะปิดกิจการชั่วคราวเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่มีความหวังว่าจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้'
#3165


คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบยาของสหรัฐฯในวันจันทร์(23ส.ค.) อนุมัติใช้เต็มรูปแบบวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์/ไบออนเทค นับเป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้รับอนุมัติเต็มรูปแบบจากสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) กระตุ้นให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาเร่งเร้ารอบใหม่ให้คนที่ยังคลางแคลงใจรีบเข้ารับวัคซีน ในความพยายามต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยังคงระบาดไม่หยุด

ก่อนหน้านี้ เอฟดีเอ อนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินวัคซีน 2 เข็มของไฟเซอร์/ไบออนเทค ในเดือนตุลาคม และเมื่อวันจันทร์(23ส.ค.) ได้อนุมัติใช้เต็มรูปแบบสำหรับบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป บนพื้นฐานของข้อมูลอัพเดทจากการทดลองทางคลินิกและทบทวนการผลิตของทางบริษัท เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแสดงความหวังว่าความเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะช่วยโน้มน้าวชาวอเมริกันชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเชื่อมั่นว่าวัคซีนของไฟเซอร์นั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

อเมริกันชนบางส่วนยังคงมีความคลางแคลงในต่อวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มคนหัวอนุรักษ์นิยม และจากข้อมูลพบว่าเคสโควิด-19 อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ต่างๆของสหรัฐฯที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ

ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวที่ทำเนียบขาว เรียกการอนุมัติของเอฟดีเอ ว่าเป็น "ช่วงเวลาที่สำคัญของเราในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่" และเร่งเร้าภาคเอกชนบงคับพนักงานฉีดวัคซีนมากขึ้น "ถ้าคุณเป็นหนึ่งในอเมริกันชนหลายล้านคนที่เคยบอกว่าจะไม่ฉีดวัคซีนจนกว่ามันจะได้รับการอนุมัติเต็มรูปแบบและขั้นสุดท้ายจากเอฟดีเอเสียก่อน ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว มันถึงเวลาที่คุณจะเข้ารับวัคซีนแล้ว ฉีดมันวันนี้เลย อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า"

เพนตากอนระบุว่าพวกเขากำลังเตรียมการสำหรับบังคับบุคลากรทางทหารฉีดวัคซีน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯคาดหมายด้วยว่าความเคลื่อนไหวของเอฟดีเอจะกระตุ้นให้รัฐต่างๆและรัฐบาลท้องถิ่น เช่นเดียวกับนายจ้างเอกชน บังคับฉีดวัคซีนกันมากขึ้น โดยนิวยอร์กซิตีบอกว่าจะบังคับครูโรงเรียนรัฐฉีดวัคซีน ส่วนนิวเจอร์ซีย์ระบุลูกจ้างขอรัฐทุกคนต้องฉีดวัคซีนภายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นประจำ

"ในขณะที่ประชาชนหลายล้านคนเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ด้วยความปลอดภัยไปแล้ว เราตระหนักว่าสำหรับบางคน การอนุัติวัคซีนเต็มรูปแบบของทางเอฟดีเอ เวลานี้อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการเข้ารับวัคซีน" จาเน็ต วู้ดค็อค รักษาการผู้อำนวยการเอฟดีเอระบุ

เวลานี้มีประชาชนในสหรัฐฯแล้วมากกว่า 204 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์

เอฟดีเออนุมัติขยายระยะเวลาเก็บรักษาวัคซีนไฟเซอร์จาก 6 เดือนเป็น 9 เดือน พร้อมยืนยันว่าวัคซีนเพิ่มความเสี่ยงหัวใจอักเสบ โดยเฉพาะในคนหนุ่มสาวในไม่กี่สัปดาห์หลังจากเข้ารับวัคซีนเข็ม2

การอนุมัติใช้เต็มรูปแบบ ช่วยให้พวกแพทย์ดำเนินการได้ง่ายขึ้น ในการจ่ายวัคซีนเข็ม 3 ของไฟเซอร์นอกข้อบ่งใช้(off-label) สำหรับบุคคลที่อาจจำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากโควิด-19 เพิ่มเติม

หุ้นของไฟเซอร์ปิดบวกราวๆ 2.5% ส่วนไบออนเทคพุ่งขึ้นมากกว่า 9.5%

วัคซีนตัวอื่นอีก 2 ตัวที่ได้รับอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯ ประกอบด้วยของโมเดอร์นา อิงค์ และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน แต่ทั้ง 2 ยังไม่ได้รับอนุมัติใช้เต็มรูปแบบจากเอฟดีเอ

เอฟดีเออนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินวัคซีนของไฟเซอร์สำหรับบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไปในเดือนตุลาคม ก่อนที่จะอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินเพิ่มเติมสำหรับบุคคลอายุ 12 ปีขึ้นไปในเดือนพฤษภาคม

ในเรื่องนี้ทางไฟเซอร์และไบออนเทคเปิดเผยว่าพวกเขามีแผนอนุมัติใช้เต็มรูปแบบสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี เร็วที่สุดเท่าที่ข้อมูลที่จำเป็นปรากฎออกมา

วู้ดค็อค บอกว่าที่เอฟดีเอยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีในตอนนี้ ก็เพราะจำเป็นต้องมีคำรับประกันก่อนว่ามันมีความปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มนี้ "มันจะกลายเป็นความกังวลใหญ่หลวง หากฉีดวัคซีนแก่เด็ก เพราะว่าเรายังไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจง"

คาดหมายว่าไฟเซอร์จะยื่นข้อมูลในฤดูใบไม่ร่วง(ปลายเดือนกันยายนถึงปลายเดือนธันวาคม) สำหรับสนับสนุนการขออนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี บนพื้นฐานลดปริมาณวัคซีนลง

สหรัฐฯรายงานพบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก จนถึงตอนนี้พบผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 625,000 ราย ในขณะที่ค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมาพุ่งแตะระดับมากกว่า 600 คนต่อวัน

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) พบว่าอเมริกันชนอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธิ์ได้รับวัคซีนโควิด-19 เข้าฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มคิดเป็นสัดส่วนถึง 71% และ 60.2% ฉีดวัคซีนครบแล้ว

แต่หากคิดตามประชากรทั้งหมด ซึ่งนับรวมเด็กอายุ 11 ปีลงไป ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติฉีดวัคซีน พบว่าสัดส่วนอเมริกันชนที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มจะลดลงมาเหลือ 60.7% และฉีดวัคซีนครบแล้วเหลือ 51.1%

อัลเบิร์ต บูร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ระบุในถ้อยแถลงว่าการอนุมัติของเอฟดีเอ "เป็นเครื่องยืนยันข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยวัคซีนของเรา ในช่วงเวลาที่มันมีความจำเป็นเร่งด่วน"

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม เอฟดีเออนุมัติฉีดวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาเข็ม 3 แก่กลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นวัคซีนของไฟเซอร์ยังไม่ได้รับอนุมัติใช้ในประชาชนทั่วไปในฐานะเข็มกระตุ้น

(ที่มารอยเตอร์)
#3166


ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า TQM ได้เซ็นสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด และ บริษัท ทรู เอ็กซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เพื่อทำการขยายตลาดประกันภัยและประกันชีวิต ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับกลุ่มบริษัท TQM ได้ในอนาคต พร้อมดันเบี้ยขายรวมปี 2564 ให้โตตามเป้าที่ 25,000 ล้านบาท และทยานสู่ 50,000 ล้านบาทในปี 2569 โดย TQM ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 51% ของทั้ง 2 บริษัท

สำหรับบริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทนายหน้าประกันชีวิตนิติบุคคลที่มีฐานลูกค้ารายย่อยมากกว่า 500,000 ราย มีเบี้ยขายประกันชีวิตเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย TQM ได้เข้าร่วมลงทุนในมูลค่า 250 ล้านบาท เบี้ยขายประกันชีวิตในปี 2564 คาดว่าโต กว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่ารายได้รวมมากกว่า 120 ล้านบาท กำไรมากกว่า 40%

ขณะที่บริษัท ทรู เอกซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยประเภทค้ำประกันบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งมีผู้เอาประกันรวมกว่า 30,000 ราย โดย TQM ได้เข้าร่วมลงทุนในมูลค่า 16 ล้านบาท เบี้ยขายประกันประกันภัยในปี 2564 คาดการกว่า 100 ล้านบาท คาดการรายได้รวมมากกว่า 10 ล้านบาท กำไรกว่า 30%

ด้านนายสิทธิบัญญ์ บุญสาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรู ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนจาก TQM ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในการนำนวัตกรรม InsurTech ที่ TQM เป็นโบรคเกอร์ที่เชี่ยวชาญมาปรับใช้ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการนำเสนอแบบประกันต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้แก่สมาชิกทรูไลฟ์ที่ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 5 แสนราย และจะเดินหน้าขยายตลาดสู่ลูกค้าประกันภัยในอนาคต

ด้านนายศิวพงศ์ วัชระกิติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทรู เอ็กซ์ตร้า โบรกเกอร์ จำกัด เปิดเผยว่า นับเป็นโอกาสอันดีมากสำหรับทั้ง 3 บริษัท ที่จะสามารถรวมกันเพื่อเอาทรัพยากรและจุดแข็งของแต่ละแห่งที่มีอยู่มาสนับสนุนและต่อยอดในอนาคตได้ต่อไป อีกทั้งจากประสบการณ์ด้านประกันภัยกว่า 68 ปีของ TQM โดยเฉพาะในด้านนวตกรรมซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่จะมาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของทรู เอ็กซ์ตร้า ด้วยความเข้าใจผู้บริโภคประกันภัยเป็นอย่างดีในการคัดสรรสินค้าประกันภัยให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าร่วมทุนของ TQM กับทั้ง 2 บริษัท จะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มลูกค้าองค์กร ช่วยเสริมให้ธุรกิจของ TQM โดยเฉพาะด้านโบรคเกอร์ประกันชีวิตมีการขยายตัวและเติบโตต่อไป
#3167


เอพี/เอเจนซีส์ – สาธุคุณนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังสหรัฐฯ เจสซี แจ็คสัน และภรรยา แจ็คเกอร์ลีน เมื่อวานนี้(22 ส.ค) ยังคงอยู่ในการดูแลของคณะแพทย์ในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ หลังเข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 พบมีการตอบสนองการรักษาด้วยดี

เอพีรายงานวันนี้(23 ส.ค)ว่า ทั้งสาธุคุณ เจสซี แจ็คสัน (Jesse Jackson )และภรรยา แจ็คเกอร์ลีน (Jacqueline ) ที่แต่งงานมานานเกือบ 60 ปีถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล นอร์ทเวสเทิร์น เมโมเรียล( Northwestern Memorial Hospital) 1 วันก่อนหน้า โดยคณะแพทย์เฝ้าสังเกตอาการคนทั้งคู่ด้วยความเฝ้าระวังเนื่องมาจากปัญหาการสูงวัยของทั้งสอง โจนาธาน แจ็คสัน หนึ่งในบุตรทั้ง 5 คนของสาธุคุณกล่าวผ่านแถลงการณ์

สาธุคุณแจ็คสันอยู่ในวัย 79 ปี ส่วนภรรยาอายุ 77 ปี

"ทั้งสองได้รับการพักผ่อนอย่างดีและมีการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา" บุตรชายแจ็คสันแถลง และเสริมว่า "ครอบครัวของผมรู้สึกซาบซึ้งต่อความห่วงใยทั้งหมดและการสวดภาวนาที่ให้กับคนทั้งคู่ และพวกเราจะยังคงสวดภาวนาต่อครอบครัวของเราต่อไปเช่นกัน"

เจสซี แจ็คสัน เป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังจากเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ นั้นได้รับวัคซีนโควิด-19แล้วโดยเขาได้รับมาตั้งแต่มกราคมต้นปีผ่านหน้ากล้องทีวีเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนอเมริกันเข้าร่วมการฉีดวัคซีนโควิด-19โดยเร็วที่สุด แต่ทว่าสถานะการฉีดวัคซีนของแจ็คเกอร์ลีนนั้นไม่เป็นที่แน่ชัดในเวลานี้ สมาชิกครอบครัวต่างกล่าวว่ามารดาของพวกเขามีปัญหาด้านสุขภาพด้วยโรคที่ไม่เปิดเผยและทำให้เกิดความวิตกเมื่อไม่กี่วันมานี้

"ผมขอให้พวกคุณยังคงสวดภาวนาต่อไปเพื่อการฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ของบิดามารดาของพวกเรา และพวกเราจะยังคงแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้พวกคุณต่อไปเป็นระยะๆ" โจนาธาน แจ็คสันกล่าว

เอพีรายงานว่า สาธุคุณสีผิวนักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมล้มป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน และเขาได้เข้ารับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีเมื่อต้นปี

ฟอร์บส์รายงานเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้องค์กรสมาพันธ์ผลักดันเพื่อสายรุ้ง( Rainbow Push Coalition) ที่สาธุคุณก่อตั้งขึ้นในปี 1996 ได้ออกแถลงการณ์ด่วนในวันเสาร์(21)มีใจความว่า ทั้งสาธุคุณแจ็คสันและภรรยาขณะนี้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังจากมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวก และร้องขอให้บุคคลที่เคยเข้าใกล้และสัมผัสคนทั้งคู่ในช่วงระหว่าง 5 – 6 วันล่าสุดให้ทำตามข้อปฎิบัติของศูนย์การควบคุมและการป้องกันโรคสหรัฐฯ CDC
#3168


ล่าสุดคือ "แอร์เอเชีย ดิจิทัล" หน่วยธุรกิจด้านดิจิทัลของกลุ่มแอร์เอเชีย เปิดตัวบริการใหม่ "แอร์เอเชียฟู้ด" (airasia food) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564 เพื่อยกระดับ "แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ" (airasia super app) โดดเด่นเรื่องสินค้าท่องเที่ยว โดยเฉพาะการจองเที่ยวบินและโรงแรมที่พัก พุ่งเป้าสู่จุดหมายสำคัญ นั่นคือการเป็นซูเปอร์แอพชั้นนั้นของภูมิภาคอาเซียน!

หลังจากเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 เจ้าพ่อสายการบินโลว์คอสต์แห่งอาเซียน "โทนี่ เฟอร์นันเดส" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอร์เอเชีย ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการของ "โกเจ็ก" (Gojek) ส่วนที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท (50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ขณะที่โกเจ็ก สตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซียผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมัลติเซอร์วิสรายใหญ่ชั้นนำของอาเซียน จะเข้าถือหุ้นบางส่วนในแอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ ซึ่งมีมูลค่าประเมินทางตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) และทำให้โกเจ็กสามารถเพิ่มการลงทุนในการดำเนินงานได้ โดยเฉพาะในตลาดเวียดนามและสิงคโปร์

วรุฒ วุฒิพงศาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ กล่าวว่า ด้วยการผนึกความรู้ที่ได้จากความสำเร็จของซูเปอร์แอพในมาเลเซียและสิงคโปร์ ความเชี่ยวชาญของทีมเทเลพอร์ต ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของกลุ่มแอร์เอเชีย ความแข็งแกร่งของทีมแอร์เอเชียในเรื่องของธุรกิจท่องเที่ยว และความเข้าใจในตลาดของทีมงานโกเจ็ก ประเทศไทย จึงเชื่อว่า "แอร์เอเชียฟู้ด" จะสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าที่สุดและกลายเป็นทางเลือกที่ผู้คนในกรุงเทพฯนิยมใช้อย่างแน่นอน

โดยบริการ airasia food เปิดตัวพร้อมแคมเปญฟรี 30,000 มื้อตลอดระยะเวลา 30 วัน และส่วนลดอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมให้บริการสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ 4 พื้นที่ ได้แก่ ดินแดง จตุจักร ลาดพร้าว และห้วยขวาง

จากนั้นจะขยายพื้นที่ให้บริการอีก 4 เขตเร็วๆ นี้ ได้แก่ พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน และวัฒนา โดยในแอพพลิเคชันมีร้านค้ามากมายหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่แบรนด์ดังอย่างแมคโดนัลด์ แฟลช คอฟฟี่ หรือคาเฟ่ อเมซอน ไปจนถึงร้านค้าเอสเอ็มอี และเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.30 น. ถึง 19.00 น. ของทุกวัน พร้อมตั้งเป้าขยายสู่พื้นที่อื่นๆ อาทิ เชียงใหม่และภูเก็ตในอนาคตอันใกล้

"และสำหรับร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ในการเปิดตัวเราขอมอบค่าคอมมิชชั่นเพียง 5% ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนร้านค้าในขณะนี้" วรุฒกล่าว



ฟาก "โรบินฮู้ด" (Robinhood) ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หลังจากรุกทำตลาด "ฟู้ดดิลิเวอรี่" ด้วยการชูจุดขายค่าจีพี (GP: Gross Profit) หรือค่าบริการระบบที่ร้านอาหารจ่ายให้กับแพลตฟอร์มที่ 0% จนสามารถสร้างฐานลูกค้ามากกว่า 2 ล้านรายในปัจจุบัน ให้บริการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 4 จังหวัด มีร้านอาหารเข้าร่วมมากกว่า 1.3 แสนราย ไรเดอร์ 2.6 หมื่นคน

ล่าสุดขอกระโดดร่วมวงชิงส่วนแบ่งตลาดบริษัทตัวแทนขายท่องเที่ยวออนไลน์ หรือ "Online Travel Agents" (OTA) ด้วยการนำคอนเซ็ปต์เดียวกับการบุกตลาดฟู้ดดิลิเวอรี่ ชูจุดขาย "Zero GP OTA" เก็บค่าคอมมิชชั่น 0% จากผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว เพื่อหนุนโรบินฮู้ดสู่หมุดหมายการเป็นซูเปอร์แอพ!

สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า โรบินฮู้ดเตรียมเปิดตัวบริการ "โรบินฮู้ด ทราเวล" อย่างเป็นทางการในต้นปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดคนไทยน่าจะออกท่องเที่ยวภายในประเทศได้อีกครั้ง โดยออกแบบบริการให้ครอบคลุมความต้องการสินค้าท่องเที่ยวตลอดเส้นทางการเดินทางของลูกค้า ทั้งที่พักโรงแรม เที่ยวบิน ทัวร์และกิจกรรม รวมถึงบริการรถเช่า

"ธุรกิจ OTA หลายๆ รายของต่างประเทศจะแข่งกันที่ราคา และมีการเก็บค่าคอมมิชชั่นจากผู้ประกอบการประมาณ 30-35% เพื่อทำกำไร แต่โรบินฮู้ดเก็บค่าคอมมิชชั่นที่ 0% เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถออกโปรโมชั่น ขายแพ็คเกจแบบมัดรวม (Bundle Packages) ในการดึงดูดลูกค้าได้ เช่น แพ็คเกจห้องพักแถมสปา แพ็คเกจห้องพักแถมอาหารมื้อค่ำ และอื่นๆ"

พงศ์ศักดิ์ ตฤณธวัช ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ โรบินฮู้ด กล่าวเสริมว่า และในเมื่อไม่มีการเก็บค่าคอมมิชชั่นและค่า Visibility Booster ซึ่งเป็นตัวช่วยเพิ่มอัตราการปรากฏของสินค้าท่องเที่ยวบนหน้าแพลตฟอร์ม ทางโรบินฮู้ดเลือกใช้วิธีเรียงการนำเสนอผู้ประกอบการกลุ่มที่เป็น "Preferred Partners" ซึ่งมีการนำเสนอดีลพิเศษ เพิ่มสิทธิประโยชน์ เช่น ให้วอยเชอร์ส่วนลดสำหรับใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ และของแถมต่างๆ จัดเป็นแพ็คเกจให้แก่ลูกค้า ให้ปรากฏอยู่ในหน้าแรกๆ ของแพลตฟอร์ม

"ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและโรงแรมบางแห่งมีข้อตกลงกับ OTA รายอื่นว่าไม่สามารถขายในราคาต่ำกว่านี้ได้ ถ้าเช่นนั้น...โรบินฮู้ดบอกไม่เป็นไร ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายในราคาเท่ากับ OTA รายอื่นได้ แต่ขอมีสิทธิประโยชน์เพิ่มแต่แก่ลูกค้าแทน โดยโรบินฮู้ดทราเวลเตรียมให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในเดือน พ.ย.นี้ และให้บริการอย่างเป็นทางการทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2565"
#3169


    คู่รักบางคู่โชคดีมีลูกง่ายโดยไม่ต้องพยายามมากนัก  แต่มีอีกหลายคู่ที่พยายามกันแล้ว ใช้เวลานานก็ไม่สำเร็จ ไม่ตั้งครรภ์สักที ปัญหามีลูกยากแท้จริงแล้วอธิบายง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ การใช้ชีวิตประจำวันและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีลูกยาก ความเครียดนั้นเกิดจาก ภารกิจที่ยุ่งวุ่นวายในแต่ละวัน ใจผูกติดอยู่กับงาน ส่งผลต่อฮอร์โมน และ การตกไข่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้โอกาสตั้งครรภ์น้อยลงไปด้วย

     แต่ถ้ามาที่คลินิก Genesis Fertility Center (GFC) ศูนย์รวมบริการทางการแพทย์ สำหรับผู้มีบุตรยากแบบครบวงจร ทุกอย่างจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะเติมคำว่า ครอบครัว ให้เต็มด้วยคำว่าแก้วตาดวงใจ ลูกน้อย ที่เป็นโซ่คล้องใจสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคู่ ที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอลูกน้อยมานานจนเกือบท้อแต่อย่าหมดหวัง เพราะ "คุณหมอเอ็ม ชมพูนุช จันทรกระวี" (หมอเอ็ม) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับผู้มีบุตรยาก พร้อมให้ทำปรึกษาและทำให้หลายครอบครัวต่างก็ประสบความสำเร็จได้ลูกอย่างที่หวังมาหลายครอบครัวแล้วนั้น

    งานนี้เลยต้องขอส่องโปรโฟล์ของ คุณหมอเอ็ม ชมพูนุช จันทรกระวี ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆบ้านมีลูกสมดั่งที่ใจหวัง ก็ต้องบอกเลยว่าโปรไฟล์ คุณหมอเอ็ม เพอร์เฟคมาก เพราะได้เรียนจบ แพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถมยังชอบกีฬาที่หลากหลาย อาทิ ต่อยมวย โยคะ แล้ว

    คุณหมอเอ็ม ยังได้เผยอีกว่าที่เลือกมาทำด้านนี้ก็เพราะ ความรู้ของด้านนี้สนุก และมีอัพเดตไม่สิ้นสุด มีวิทยาการใหม่ๆที่สามารถนำมาใช้รักษาคนไข้ นอกจากนั้นมันเหมือนเป็นความท้าทายเล็กๆ ว่าเราจะทำอย่างไรให้คนไข้ตั้งครรภ์ได้และคลอดน้อง มีน้องที่สมบูรณ์ แข็งแรง ความสำเร็จประมาณ 70% ค่ะ ทุกเคสก็มีความยากมาก ยากน้อยต่างกันไป (ถ้าเคสง่ายก็มักจะท้องได้เองไม่ได้มาเจอหมอค่ะ) เคสที่ยาก เช่น เคสที่รักษาจากที่อื่น เก็บไข่มา 3 รอบ โดยน้ำเชื้อที่ใช้มาจากการทำ TESE (ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนจากอัณฑะ เพื่อหาอสุจิมาใช้ในการปฏิสนธิ) ได้ตัวอ่อน ตรวจโครโมโซมทุกครั้ง ใส่ตัวอ่อนไป 2 รอบ ยังไม่ตั้งครรภ์ เปลี่ยนมารักษาที่ GFC ก็เริ่มกระตุ้นไข่ใหม่และทำ TESE ตัวอ่อนที่ได้เราเลี้ยงในตู้เลี้ยง EEVA เพื่อเพิ่มคุณภาพตัวอ่อน หลังตรวจโครโมโซมผ่าน เตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกค่อนข้างยาก เพราะเยื่อบุบางมาก ใช้ยาเยอะมาก แต่พอได้ใส่ตัวอ่อนรอบแรกติดค่ะ เคสนี้ลุ้นมาก ซึ่งในทุกขั้นตอนการดูแลให้คำปรึกษาและรักษาตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างทางเราจะมีคุณพยาบาลที่ช่วยให้คำแนะนำทั้งการฉีดยา การดูแลตัวเองตั้งแต่ก่อนท้องจนตั้งครรภ์เราก็ดูแลกันไปตลอด ที่ขาดไม่ได้คือทีมนักวิทยาศาสตร์เลี้ยงตัวอ่อนที่ช่วยดูแลเด็กน้อยให้แข็งแรงก่อนที่จะส่งไปอยู่กับคุณแม่ ทุกฝ่ายดูแลจากใจจริงๆค่ะ จนวันนี้ก็ยังดีใจไม่หายที่ช่วยให้หลายๆครอบครัวได้มีคุณลูกตัวน้อยสมหวังอย่างที่ตั้งใจ หากคุณประสบปัญหากับภาวะมีบุตรยากมาหาเราที่ GFC นะคะ เราพร้อมสร้างฝันให้เป็นจริงได้ สามารถปรึกษาและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-108-6413-14 หรือ 0974845335 หรือ ทางเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/GFC.Bangkok และ Line OA : @gfcclinic "
#3170


ฟิลลิปประกันชีวิต อำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ช่วงโควิด-19 ด้วยการกู้เงินตามกรมธรรม์ออนไลน์ (eLoan) ผ่าน Application 'PhillipLife TH' โดยไม่ต้องเดินทางมายังสาขา หรือสำนักงานของบริษัทฯ และได้รับเงินเร็วสุดภายในวันทำการถัดไป ขอกู้ได้สูงสุดถึง 1,000,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าเวนคืนตามกรมธรรม์ประกันชีวิต เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย โดยที่ยังคงความคุ้มครองชีวิตตามเงื่อนไขกรมธรรม์

การกู้เงินตามกรมธรรม์ผ่านช่องทางออนไลน์ (eLoan)นี้ จะช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตอย่างไร้ความกังวล ได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปกรอกเอกสารที่สาขา หรือสำนักงานของบริษัทฯ ก็สามารถที่จะขอกู้เงินตามกรมธรรม์ได้ทันทีตามแบบฉบับของวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามฉุกเฉินที่ต้องการตัวช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตและขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด eLOAN ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ในปัจจุบันยังมีคนเข้าถึงไม่มาก โดยไม่ทราบว่ากรมธรรม์ของตนสามารถกู้เงินออกมาใช้ได้ อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ สูงสุดไม่เกิน 8% ต่อปี บริการ eLOAN เป็นการกู้เงินตามกรมธรรม์ (Policy Loan) ดำเนินการผ่าน 'PhillipLife TH' Application บน Mobile Phone หรือ Tablet ทั้งในระบบ iOS และ Andrioid สามารถดำเนินการได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมีเอกสาร หรือกระดาษใดๆ มาเกี่ยวข้อง (Paperless) และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันใดๆ และได้รับเงินกู้ฯ โอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้เอาประกัน (ATS) อย่างรวดเร็วไม่เกิน 1-2 วันทำการ (ขึ้นกับเวลาที่ทำการกู้ฯ) และในทางกลับกัน ผู้เอาประกันจะสามารถชำระคืนเงินกู้ด้วยความสะดวกรวดเร็ว ด้วยการหักจากบัญชีธนาคารของผู้เอาประกัน (ATS) เช่นเดียวกัน นับได้ว่าบริการ eLoan นี้มีส่วนช่วยให้ผู้ถือกรมธรรม์ของบริษัทฯ ได้รับความสะดวก และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้
#3171


คาเมรอน สมิธ จากออสเตรเลีย กด 11 อันเดอร์พาร์ รวมสกอร์ 16 อันเดอร์พาร์ พุ่งพรวดขึ้นมาเป็นผู้นำร่วมกับ จอน ราห์ม จากสเปน ศึกกอล์ฟ "เดอะ นอร์เธิร์น ทรัสต์" วันที่สาม

ศึกกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ รายการ เดอะ นอร์เธิร์น ทรัสต์ ชิงเงินรางวัลรวม 9.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 316 ล้านบาท ที่สนาม ลิเบอร์ตี เนชันแนล กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,353 หลา พาร์ 71 รัฐนิว เจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา วันที่ 21 สิงหาคม 2564 เป็นการชิงชัยในวันที่สาม

ปรากฎว่า คาเมรอน สมิธ โปรกอล์ฟหนุ่มจากออสเตรเลีย ท็อปฟอร์มสุดๆ ในวันนี้ เก็บไปถึง 11 อันเดอร์พาร์ รวมสกอร์สามวัน 16 อันเดอร์พาร์ ขึ้นมารั้งตำแหน่งผู้นำร่วมกับ จอน ราห์ม โปรกอล์ฟจากประเทศสเปน

ด้าน เอริค วาน รูเยน ก้านเหล็กจากแอฟริกาใต้ วันนี้เก็บเพิ่ม 9 อันเดอร์พาร์ รวมสกอร์สามวัน 15 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 3 ตามผู้นำ 1 สโตรก ส่วน จัสติน โธมัส และโทนี ฟินัว สกอร์รวมสามวันที่ 14 อันเดอร์พาร์ กอดคอรั้งอันดับ 4 ร่วม

ขณะที่ผลงานของโปรกอล์ฟคนอื่นๆที่น่าสนใจ แซม เบิร์นส์, ฮัดสัน สวาร์ฟฟอร์ด, คาเมรอน ทรินเกล, บรูคส์ โคปกา, แซนเดอร์ ชาฟเฟิล และคีธ มิตเชลล์ 6 ก้านเหล็กอเมริกัน มี 11 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 11 ร่วมกัน, ลี เวสต์วูด จากอังกฤษ มี 10 อันเดอร์พาร์ รั้งอันดับ 17 ร่วม
URL
 
#3172


สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ส่วนใหญ่ประกาศออกมาแล้ว ซึ่งรอตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ประกาศอย่างเป็นทางการ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ เผย กำไรไตรมาส2/64ของ บจ. (จำนวน 626 บริษัทจากทั้งหมด 650 บริษัทใน SET) อยู่ที่ 2.75 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 118% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น3% เมื่อเทียบกับไตรมาส1ปี2564 

ทั้งนี้หลายกลุ่มอุตสาหกรรมมีกำไรเติบโตสูง เพราะ ฐานกำไรไตรมาส 2 ของปีที่แล้วที่ต่ำมาก เพราะเจอการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ แต่กลุ่มที่ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่คือ กลุ่ม TOURISM เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์   

สำหรับบจ.ที่มีกำไรสูงสุด 10 อันดับแรก "กรุงเทพธุรกิจ"ได้รวบรวมข้อมูลดังนี้

1.บมจ.พีทีที โกล. เคมิคอล(PTTGC) มีกำไรสุทธิ 25,034.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,398% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,670.74 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 61% อยูที่ 111,793 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี69,271 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาขายของทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง รวมทั้กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และฟีนอล จากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นและราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับเพิ่มขึ้น รับรู้กำไรสต็อกน้ำมัน และรายการพิเศษขายหุ้น บมจ. โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC)

2.บมจ.ปตท.(PTT) มีกำไรสุทธิ 24,578.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.91%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,053.29 ล้านบาท เนื่องจากปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA เพิ่มขึ้น 58,958 ล้านบาทหรือมากกว่าร้อยละ 100 โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นและธุรกิจการกลั่น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจน้ำมัน มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

3.บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) มีกำไรสุทธิ 17,136.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.61% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9,383.86 ล้านบาท สาเหตุหลักจากส่วนต่าง ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้น 39% สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ขณะที่มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 39% สาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น


4.บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส(IVL) มีกำไรสุทธิ 8,339.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,332.62% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 153.51 ล้านบาท ซึ่ง ในไตรมาส 2/64 บริษัทมี Core EBITDA เท่ากับ 477 ล้านดอลลาร์ (ผลการดำเนินงานของ IVOL 18 ล้านดอลลาร์ถูกปรับปรุงไปยังรายการพิเศษ) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการกระจายตัวทั่วโลกขนาดและการเป็นผู้นำของบริษัท ในทั้งสามกลุ่มธุรกิจ รายได้จากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทุกภูมิภาค โดย Core EBITDA ของทวีปอเมริกาและยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) เพิ่มขึ้น 59% ในครึ่งแรกของปี 64 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี2563 ในขณะที่ทวีปเอเชียเพิ่มขึ้น 15%.ในปี2563 ธุรกิจของบริษัทได้ผ่านบททดสอบความยืดหย่นต่อสถานการณ์ต่างๆ และในครึ่งปีแรกได้แสดงให้เห็นการสร้างมูลค่าจากแพลตฟอร์มของบริษัท


5.บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) มีกำไรสุทธิ 7,280.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 590.5% จากช่วงเดียวกันที่มีกำไรสุทธิ 1,054.35 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 164.7% มาอยู่ที่ 12,967.7 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 4,899.7 ล้านบาท 

6.บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีกำไรสุทธิ 7,139.60 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  4,322.86 ล้านบาท  เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 164.7% มาอยู่ที่ 12,967.7 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 4,899.7 ล้านบาท เพราะริมาณการขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 36%ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21%


7.บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) มีกำไรสุทธิ 7,040.82 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 0.6%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่กำไรสุทธิ 7,001.11 ล้านบาท   จากรายได้รวมเพิ่มขึ้น 1.2% ขณะที่ต้นทุนการดำนเนินงานเพิ่มขึ้น 4.4%

8.บมจ.การบินไทย (THAI) มีกำไรสุทธิ 5,562.50 ล้านบาท

9. บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) มีกำไรสุทธิ 5,043.71 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 361%  จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ  1,093.70 ล้านบาท  จากทั้งราคาขายและปริมาณการขายที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัว
ของเศรษฐกิจโลกและความต้องการในการบริโภคจากผู้ผลิตยางล้อ 

10. บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร(CPF) มีกำไรสุทธิ 4,737.30 ล้านบาท  ลดลง21% จากช่วงเดียวปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,028.51 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายลดลง10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วมของบริษัท chia Tai Investment Co.,Ltd.(CTI) เมื่อเดือนธ.ค.2563 ทั้งนี้ หากไม่นับผลกระทบจากรายการดังกล่าว รายได้จากการขายในไตรมาส2ปี 2564 เพิ่มขึ้น 14% จากการขยยงานและราคาผลิตภัณฑ์ในหลายประเทศที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมถึง ประเทศฟิลิปปินส์ กัมพูชา และรัสเซีย เป็นต้น
#3173


หลังจากเสียฟอร์มแพ้นัดแรกของฤดูกาล พลพรรคแข้ง ไลป์ซิก ก็คืนฟอร์มคว้าชัยชนะแรกได้สำเร็จ หลังเปิดบ้านยำใหญ่ใส่ สตุ๊ตการ์ต 4-0 ศึก บุนเดสลีกา เยอรมนี เมื่อคืนวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา

เกมนัดสองของซีซั่น ไลป์ซิก อันดับ 13 ไม่มีแต้ม เจอ สตุ๊ตการ์ต จ่าฝูงมี 3 แต้ม เกมนี้ ไลป์ซิก มี อังเดร ซิลวา กับ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก เป็นแกนบุก ส่วน "ม้าขาว" ฝาก ฟิลิปป์ ฟอร์สเตอร์ กับ ฮามาดี อัล กัดดิอุย ลงสังหาร

เริ่มเกม 5 นาที ไลป์ซิก จะเอาประตู เอมิล ฟอร์สเบิร์ก พา.ฝ่าขึ้นหน้าแล้วยิงแต่ ฟลอเรียน มุลเลอร์ พุ่งปัดไว้ ขณะที่ นาที 16 ไลป์ซิก มาอีก คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เงยหน้ายิงจากซ้าย ฟลอเรียน มุลเลอร์ ปัด.โดนหัว อังเดร ซิลวา เด้งหาประตู แต่เดชะบุญออกข้าง

สตุ๊ตการ์ต ตอบโต้ นาที 33 โรแบร์โต้ มัสซิโม โยนมา ฮามาดี อัล กัดดิอุย จับแล้วยิงขวาแต่หลุดกรอบ กระทั่ง นาที 38 ไลป์ซิก นำจนได้ โดมินิค โซบอสซาไล เก็บ.ได้ทางขวาแล้วตะบันเสียบเสาไกลสวยงาม 1-0 และจบครึ่งแรกที่ผลนี้

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 46 ไลป์ซิก ได้เม็ดสอง อังเดร ซิลวา ตอกส้นให้ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก เติมขึ้นมาแปตุงตาข่าย 2-0 ไม่พอ นาที 51 ไลป์ซิก ได้ฟรีคิกระยะไกลทางซ้ายแล้ว โดมินิค โซบอสซาไล บรรจงซัดแหวกอากาศเข้าประตูทิ้งห่างอีก 3-0

ยังไม่หนำ นาที 64 เจ้าบ้านได้จุดโทษหลัง มาร์ค โอลิเวอร์ เคมป์ เผลอทำแฮนด์.แล้ว อังเดร ซัลวา สังหารไม่พลาด 4-0 ต่อมา นาที 79 ม้าขาว จะตีไข่แตก โรแบร์โต้ มัสซิโม่ โยนเข้ากลางให้ วาตารุ เอ็นโดะ สะบัดคอโหม่งแต่เข้ามือ ปีเตอร์ กูลาสซี เวลาที่เหลือไม่มีประตูแล้ว จบเกม ไลป์ซิก ประเดิมคว้า 3 แต้มแรกในซีซั่นนี้ได้สำเร็จ
#3174


นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ และนายอัครเดช เลี่ยมเจริญ ผู้อำนวยการด้านบัญชีและการเงิน บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL ร่วมบรรยายและนำเสนอข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 2/2564 และผลประกอบการรวมครึ่งปีแรก บนแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 98.9 เปอร์เซ็นต์ รายได้รวมแตะ 1,563 บาท

สำหรับทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์ในครึ่งปีหลังที่บริษัทฯ ได้มีการวางแผนและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามกลยุทธ์ Nutrition Sustainable for Life ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

การเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมกับพาร์ทเนอร์เซเว่น อีเลฟเว่น (CPALL) โดยเฉพาะในส่วนของบริการจัดส่งถึงที่หรือเดลิเวอรี่ ซึ่งได้แรงหนุนจากเวิร์คฟอร์มโฮมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยจะมีการออกแคมเปญโปรโมชั่นมากขึ้น ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มคนวัยทำงานส่วนใหญ่ พร้อมทั้งพัฒนาสินค้าเอกซ์คลูซีฟให้ลูกค้าได้พรีออเดอร์

เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มคัดสรร (Kudsan) ที่จะวางขายสินค้าประเภทเบเกอรี่ซึ่งทางบริษัทฯ มีความถนัดและเชี่ยวชาญในการพัฒนาคุณภาพและรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภค

ร่วมกับคู่ค้าขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน NSL มีศักยภาพที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะเริ่มจากประเทศกัมพูชา ด้วยการส่งออกสินค้าขายดีอย่างแซนวิชอบร้อนและสินค้าเบเกอรี่ จัดจำหน่ายในสาขาร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่นในกัมพูชา

เพิ่มกำลังการผลิตในกลุ่มสินค้าขายดี บริษัทฯ พร้อมขยายกำลังการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ประเมินว่าจะมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากในอนาคต เช่น กลุ่มครัวซองค์

นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนในเรื่องของแผนการลงทุนในอนาคตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯ ได้วางไว้ ในเรื่องของการขยายสายการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ Ready-to-eat ซึ่งงบประมาณการลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท โดย 240 ล้านสำหรับก่อสร้างอาคารและ 110 ล้านบาทสำหรับลงทุนเครื่องจักร โดยจะเริ่มจากก่อสร้างอาคารภายในครึ่งหลังของปี 2565 ตามมาด้วยลงทุนเครื่องจักรและเริ่มผลิตภายในครึ่งหลังของปี 2566
#3175


สมาคมมีเดียฯ ปรับการคาดการณ์งบประมาณการใช้สื่อตลอดปี 2564 จะกลับไปติดลบอีก 2.7% ลดลงต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ จากผลกระทบโดยตรงของการระบาดระลอกใหม่ที่มียอดคนติดเชื้อ Covid-19 เฉลียแตะวันละ 2 หมื่นคน โดยมีภาพรวมการใช้สื่ออยู่ที่ 101,738 ล้านบาท

สำหรับปี 2564 นี้ ดร. ธราภุช จารุวัฒนะ นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทยคนใหม่ (Media Agency Association of Thailand : MAAT) เปิดเผยถึงปัจจัยลบที่จะส่งผลให้ตัวเลขการใช้สื่อโฆษณาลดลงจากที่สมาคมฯ เคยคาดการณ์ว่าจะเป็นบวกจากงบการใช้สื่อในครึ่งปีแรกที่มีภาพบวกกว่า 5.2% โดยมีการคาดการณ์ปีนี้ว่าภาพรวมจะถดถอยลงไปไม่มากที่ 2.7% เทียบจากปีที่แล้วว่า "ภาพรวมสถานการณ์การระบาดระลอกล่าสุด ของ COVID-19 จะส่งผลกระทบที่ค่อนข้างชัดเจนในไตรมาส 3 และต่อเนื่องไปถึงต้นไตรมาสที่ 4 ที่เศรษฐกิจยังเผชิญกับการระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสายพันธุ์เดลต้าจนโรงพยาบาลที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับคนป่วยที่ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล อีกทั้งมาตรการควบคุมการระบาดที่จะต้องเข้มงวดขึ้น ทำให้หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักมากขึ้น อีกทั้งการระบาดที่เริ่มแผ่ลามถึงภาคการผลิตและภาคบริการ ทำให้มีผลกระทบมาที่ทุกมีเดียเอเจนซี่ ที่ต้องมีการปรับแผนงานช่วยเหลือให้ลูกค้าเจ้าของสินค้าและบริการตามสถานการณ์ ปัญหาใหญ่จะอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศให้ลดลงโดยเร็ว ด้วยการร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนออกมาทำโรงพยาบาลสนามมากขึ้น ตลอดจนการเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถค่อยๆ กลับมาดำเนินต่อได้มากขึ้นใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาด"

นางสาวกนกกาญจน์ ประจงแสงศรี ที่ปรึกษาสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย เสริมว่า "เมื่อพิจารณางบประมาณการใช้สื่อในปี 2564 ประกอบกับภาพการระบาดอย่างต่อเนื่องของสายพันธุ์เดลต้า สื่อโฆษณาที่แทบทุกสื่อจะอยู่ในสภาพลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เป็นไปตามผลกระทบของ CODIV-19 ที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค มาตรการเพื่อความปลอดภัย ที่ส่งผลให้ สื่อหลักอย่างสื่อโทรทัศน์ (รวมเคเบิ้ลทีวีและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม) ลดลงเพียงเล็กน้อยแค่ 3% สื่อกลางแจ้ง (Outdoor) ลดลงใกล้เคียงกันที่ 4% ในขณะที่สื่อโรงภาพยนต์ (Cinema) ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปีแล้วอีก 26% รวมถึงสื่อเคลื่อนที่ (Transit) ที่ลดลง 18% และสื่อนิตยสาร (Magazine) 16% จากมาตรการล็อกดาวน์และนโยบายเวิร์คฟรอมโฮม ในขณะที่สื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ จะยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องอีก 14% และสื่อ ณ จุดขาย (In-Store) ที่จะกลับเป็นบวกที่ 4%



นางสาวกนกกาญจน์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ปัจจัยที่มีผลต่ออุตสาหกรรมโฆษณาปี 2564 โดยตรงคือ GDP ที่เติบโตแค่ 0.7% ส่งผลโดยตรงต่อสภาพคล่องการใช้จ่ายของประชาชนและธุรกิจโดยรวมถึงแม้จะมีการสนับสนุนจากภาครัฐต่างๆ และการใช้สื่อของนักการตลาดที่จะต้องมีความหลากหลายในการเลือกใช้กลยุทธเพื่อเข้าถึงการใช้ชีวิตแบบ new normal ของผู้บริโภค ประกอบกับการวัดผลของนักการตลาดที่หลากหลายมิติมากขึ้นในทุกแพลตฟอร์มโดยเฉพาะช่องทางออนไลน์และการใช้โซเชียลคอมเมอร์สให้เป็นประโยชน์กับกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงนี้"

นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ได้ประเมินการขยายตัวของค่าสื่อ (Media Inflation) ในครึ่งปีหลังของปี 2564 ค่าสื่อส่วนใหญ่ยังคงราคาไว้ที่ราคาเดิม จะมีเพียงสื่อโทรทัศน์โดยรวม ที่จะการปรับขึ้นประมาณ 3.6% ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์จะลดลงไปอีก 4%



ดร. ธราภุช ได้กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า "ถึงแม้ปี 2564 จะเป็นอีกปีที่ทุกธุรกิจยังจะต้องดำเนินต่อไปด้วยความลำบาก ที่ต้องเผชิญปัญหาที่ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทั่วโลก และทุกอุตสาหกรรม แต่เราต้องมองปัญหาในมุมใหม่เพื่อเป็นโจทย์ความท้าทายที่ นักการตลาด นักวางแผนสื่อ ที่ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวด้วยกลยุทธใหม่ๆ ที่เฉียบคม ด้วยความเข้าใจในผู้บริโภคและการวางแผนสื่ออย่างแยบยล บริหารจัดการเม็ดเงินที่มีให้ตรงกลุ่มเป้าหมายและคุ้มค่า ความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ในยุค new normal ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ทุกคนทั้งนักการตลาด และเอเจนซี่ต้องให้ความสำคัญของผู้บริโภคมาก่อน ถ้าผู้บริโภคอยู่ได้ แบรนด์ ธุรกิจ สื่อและเอเจนซี่ก็จะอยู่ได้ ในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ"
#3176


การเข้ายึดอัฟกานิสถานของกลุ่มตาลีบัน ไม่ได้เป็นเพียงแค่การครอบครองอำนาจทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นการครอบครองแหล่งรายได้ที่ไม่อาจประเมินค่าได้ด้วยในฐานะที่อัฟกานิสถานเป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของโลก

แม้ว่าอัฟกานิสถานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานะยากจนที่สุดในโลกแต่ในปี 2553 เจ้าหน้าที่ในกองทัพของสหรัฐและบรรดานักธรณีวิทยาเปิดเผยว่าอัฟกานิสถานซึ่งตั้งอยู่บนเส้นตัดผ่านของเอเชียกลางและเอเชียใต้เป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่อาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจของประเทศนี้แบบพลิกฝ่ามือเลยก็เป็นได้

ปริมาณแร่ในอัฟกานิสถานที่รวมถึง แร่เหล็ก แร่ทองแดง และทองคำกระจัดกระจายไปทั่วจังหวัดต่างๆ และยังมีแร่หายากที่ถือว่าเป็นแร่ที่กำลังเป็นที่ต้องการของภาคอุตสาหกรรมในขณะนี้เพื่อนำมาใช้ในการผลิตแบตเตอรีลิเธียม แบตเตอรีในรถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่ทั่วโลกกำลังลดการพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินด้วยการหันมาใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

"อัฟกานิสถานเป็นหนึ่งในประเทศที่อุดมไปด้วยโลหะมีค่าที่เป็นที่ต้องการสำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในศตวรรษที่21 "ร็อด ชูโนเวอร์ นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงซึ่งก่อตั้งอีโคโลจิคัล ฟิวเจอร์ส์ กรุ๊ป กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัฟกานิสถานจะมีแร่และแร่หายากจำนวนมาก แต่ความไม่มั่นคงทางการเมืองตลอดช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมา ทำให้แร่จำนวนมากในประเทศยังไม่ได้ถูกนำมาใช้

สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐ(ยูเอสจีเอส)เคยทำการสำรวจแร่ในอัฟกานิสถาน พบว่า มีแร่เหล็กปริมาณมากถึง 2,000 ล้านตัน มีแร่ทองแดงไม่น้อยกว่า 60 ล้านตัน และมีแร่หายากไม่น้อยกว่า 1,400 ล้านตัน


นอกจากแร่ทั่วไปแล้ว แร่หายากในอัฟกานิสถานก็มีมากเช่นกันและแร่ชนิดนี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป ผลิตคอมพิวเตอร์ และผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีไฮเทคจำนวนมากที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งแร่หายากในอัฟกานิสถาน ทำให้สหรัฐเรียกขานอัฟกานิสถานว่าเป็น"ซาอุดีอาระเบียแห่งลิเธียม"มานานกว่า10ปี ส่วนอัฟกานิสถานเองก็ตั้งกระทรวงเหมืองแร่และปิโตรเลียม ขึ้นมากำกับดูแลเหมืองแร่โดยเฉพาะ

ความท้าทายด้านความมั่นคง การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานและภัยแล้งรุนแรงที่ยืดเยื้อยาวนานทำให้การขุดเหมืองแร่มีค่าที่สุดในอัฟกานิสถานชะงักงันไปในช่วงที่ผ่านมาและมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่กลุ่มตาลีบันเข้ามาปกครองอัฟกานิสถาน ทั้งยังมีประเทศต่างๆยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งรัฐบาล รวมถึงจีน ปากีสถาน และอินเดีย

แม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐจะประกาศถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานในปีนี้แนวโน้มเศรษฐกิจของอัฟกานิสถานก็ยังคงมืดมน โดยข้อมูลของสำนักงานวิจัยของสภาคองเกรสสหรัฐ (ซีอาร์เอส) ระบุว่า นับจนถึงปี 2563 ตัวเลขประมาณการบ่งชี้ว่า 90% ของชาวอัฟกันยังคงดำเนินชีวิตต่่ำกว่าระดับความยากจนที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่วันละ 2 ดอลลาร์ ส่วนธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)ระบุว่า เศรษฐกิจของอัฟกานิสถานยังคงเปราะบางและต้องพึ่งพาความช่วยเหลือ

"การพัฒนาของภาคเอกชนและควมหลากหลายทางเศรษฐกิจยังคงถูกจำกัดจากปัญหาความมั่นคง ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง สถาบันที่อ่อนแอ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ การคอร์รัปชันที่แพร่กระจายไปทั่ว และบรรยากาศการดำเนินธุรกิจที่ยากลำบาก"ข้อมูลของซีอาร์เอส ระบุ

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ) ระบุเมื่อเดือนพ.ค.ว่า ปริมาณลิเธียม ทองแดง นิกเกิล โค.ท์ และแร่หายากทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีสามประเทศคือ จีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและออสเตรเลียที่ครองสัดส่วน75% ของผลผลิตลิเธียม โค.ท์และแร่หายากทั่วโลก

ไออีเอ ระบุด้วยว่า โดยเฉลี่ยแล้ว รถไฟฟ้าต้องใช้แร่ในปริมาณที่มากกว่ารถทั่วไปถึง6เท่า ขณะที่ลิเธียม นิกเกิล และโค.ท์เป็นแร่สำคัญในกระบวนการผลิตแบตเตอรี

ส่วนการติดตั้งเครือข่ายระบบไฟฟ้าต้องการใช้แร่ทองแดงและอลูมิเนียมในปริมาณมาก ขณะที่แร่หายากก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตกังหันลม

รัฐบาลสหรัฐประเมินว่าแหล่งแร่ลิเธียมในอัฟกานิสถานอาจจะเทียบเท่ากับประเทศคู่แข่งอย่างโบลิเวีย ที่เป็นแหล่งแร่ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
#3177


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัท สตาร์ ยูนิเวอร์แซล เน็ตเวิร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ STAR ได้แจ้งการหยุดธุรกิจจำหน่ายและให้บริการงานทางด้านวิศวกรรม ธุรกิจสื่อและประชาสัมพันธ์ รวมถึงธุรกิจตู้กาแฟหยอดเหรียญ มายังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พิจาณาแล้วเห็นว่าบริษัทมิได้มีการประกอบธุรกิจหลัก ประกอบกับข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ที่บริษัทนำส่งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังปรากฏชัดเจนว่า บริษัทไม่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักแต่อย่างใด

ดังนั้น จึงถือได้ว่าบริษัทมีการหยุดดำเนินธุรกิจทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง การเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน เพื่อให้เป็นไปตามความในข้อกำหนดตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าวข้างตัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการดังนี้


1. ประกาศว่าหลักทรัพย์ STAR มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนเป็นปีที่ 1 (NC ระยะที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.2564 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-compliance) และยังคงเครื่องหมาย SP (Suspension) ห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทต่อไป


2. ให้ STAR แจ้งแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอน กรณีบริษัทมีการหยุดประกอบกิจการทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด พร้อมทั้งกำหนดเวลาดำเนินการของแนวทางดำเนินการดังกล่าว โดยให้บริษัทเผยแพรให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ทราบภายในวันที่ 17 ก.ย.2564

3. เมื่อครบกำหนดเวลาตามข้อ 2 หาก STAR ได้แจ้งแนวทางดำเนินการของบริษัทอย่างครบถ้วนชัดเจนแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะอนุญาตให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทได้เป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อครบเวลาดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทจนกว่าบริษัทจะดำเนินการให้เหตุแห่งการเพิกถอนหมดไปและดำเนินการให้บริษัทมีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ

หากบริษัทไม่แจ้งแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอนภายในกำหนดเวลาตามข้อ 2 ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจไม่อนุญาตให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัท

4. ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้ระยะเวลา STAR ในการแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ 18 ส.ค.2564 ซึ่งกำหนดเป็น 3 ระยะ โดยแต่ละระยะมีเวลา 1 ปี (NC ระยะที่ 1, NC ระยะที่ 2 และ NC ระยะที่ 3 เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว หากบริษัทยังไม่สามารถแก้ไขเหตุเพิกถอนให้หมดไปได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสนอคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทต่อไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลสำคัญของบริษัท พร้อมทั้งติดตามการนำเสนอแนวทางดำเนินการแก่ไขเหตุเพิกถอนของบริษัทต่อไป
#3178
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3179
ขอแสดงความยินดี และ ขอบคุณลูกค้าของเรา 
สามารถสร้างยอดขายบ้านได้อันดับ 1 ไม่เป็น 2 รองใคร 
ขายฝาก ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายรถ
ถ้าอยากขายได้เร็ว ขายได้ไว ต้อง Teesuay.com
http://teesuay.com/
เพราะที่สวย ทำให้เราขายได้ ขายดี ขายจริง ขอบคุณมากๆครับ
อันดับ 1 เลยจริงๆ ปิดการขายได้เร็ว และ ไวมาก
#3180


ในยุคที่ผู้คนใช้เครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันจนคล้ายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้ว ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเวลาเข้านอน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ในภาวะที่การเดินทางระหว่างประเทศก็เป็นไปได้ยาก บางรายอาจไม่ทราบวิธีการเข้าถึงข้อมูลด้านการค้า ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจในปัจจุบัน การมีข้อมูลที่มากกว่าจะช่วยให้เราสามารถวางแผน ตัดสินใจ และดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

DITP Overseas เป็นบริการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) พร้อมจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการ โดยรวบรวมข้อมูลความรู้ด้านการค้า และเทรนด์สินค้าใหม่ๆ จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 32 แห่ง ใน 6 ภูมิภาคซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ได้แก่ ภูมิภาคอเมริกา ลาตินอเมริกา ภูมิภาคยุโรป และCIS ภูมิภาคแอฟริกา และตะวันออกกลาง

โดยข้อมูลของ DITP Overseas เหล่านี้ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ ย่อย และนำเสนอให้เข้าถึงง่ายและสะดวกมากขึ้น ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งเอกสารข้อมูล ภาพ เสียง และโมชั่นกราฟฟิก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้พิจารณาปัจจัยแวดล้อมของแต่ละตลาดสินค้าที่สนใจ สร้างโอกาสและต่อยอด เพื่อประโยชน์ด้านการค้าของตนเองต่อไป

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กำลังพัฒนาคู่มือการค้าของทั้ง 27 ประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจตลาดใน 6 ภูมิภาคนี้ ช่องทางในการค้นหาข้อมูลการค้าได้สะดวก โดยสามารถกรอกรายละเอียดเพื่อสมัครสมาชิก และรับข่าวสารกิจกรรมด้านการค้าและรับสิทธิในการสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทางการค้าจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้ง 32 แห่งได้ง่ายๆ ในรูปแบบกิจกรรมสัมมนาออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญตลาดการค้าในแต่ละประเทศ หรือกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งออฟไลน์และออนไลน์

โดยระบบการจัดเก็บรายชื่อดังกล่าว ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้สำนักส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจของผู้ประกอบการไทย และสามารถนำเสนอข้อมูลต่อไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศที่สนใจได้โดยตรงอีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลสำคัญด้านการค้าเหล่านี้ได้ ผ่านช่องทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์มได้ทาง

FB: DitpOverseas https:// www.facebook.com/ditpoverseas
Youtube: DITP Overseas
Website: https:// ditp-overseas.com/