• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#7486


แม้จะเป็นเพียงการควบรวมกันของ 2 บริษัทสตาร์ทอัพในอินโดนีเซีย แต่ก็ถือป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย และจะกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ติดอันดับ Top 3 ของประเทศ โดยเมื่อรวมมูลค่าธุรกรรม หรือ Gross Transaction Value (GTV) ของ 2 บริษัทนั้น จะมีมูลค่ามากถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญ คิดเป็น 2% ของ GDP อินโดนีเซีย อีกทั้งผู้บริหารยังตั้งเป้าว่า อาจจะไปได้ถึง 5-10% ของ GDP ภายหลังจากควบรวมกันเป็น GoTo หลังจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศอินโดนีเซียและที่สหรัฐฯ พร้อมนำเม็ดเงินที่จะมาพลิกโฉมหน้าการแข่งขันของอุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่ในประเทศ แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย ซึ่งจะได้รับผลกระทบและแรงกระเพื่อมจากดีลครั้งนี้

ก่อนอื่น ไปดูว่า GoTo คือใคร และทำไมถึงจะสร้างผลกระทบต่อวงการบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนได้มากขนาดนี้

บริษัทแรกของการควบรวม คือ Gojek เป็น Platform เรียกรถ (Ride-hailing) ที่กำลังแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในเวทีเดียวกันกับ Grab ในหลายประเทศในอาเซียน ในอินโดนีเซียนั้น Gojek ยังมีบริการอื่นๆ ที่เป็น on-demand services อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การส่งของ การส่งอาหาร ของกินของใช้ ดอกไม้ ยา รวมถึงบริการที่เป็น Lifestyle services ต่างๆ เช่น จ้างคนทำความสะอาดบ้าน นวด ติวเตอร์ เทรนเนอร์ฟิตเนส จัดสวน ตัดผม และยังมีบริการ จองตั่วรถ คอนเสิร์ต อีเว้นท์ รวมไว้ในแอปเดียวอีกด้วย GoJek ยังทำธุรกิจการเงิน (Financial services) ในชื่อ GoPay ซึ่งเป็น e-wallet สำหรับชำระค่าบริการต่างๆ รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคด้วย ซึ่งถือได้ว่า มีความพร้อมที่จะเป็น SuperApp สำหรับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

ขณะที่อีกบริษัทหนึ่งของการควบรวมก็แข็งแกร่งในสมรภูมิของตัวเองเช่นเดียวกัน คือ Tokopedia นั้นเป็น platform e-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ชนิดที่ว่า แม้ Shopee จะเป็นผู้นำในทุกประเทศในอาเซียนแล้วนั้น แต่ในอินโดนีเซียทั้ง  2 บริษัท ยังคงคู่คี่สูสีกันอยู่ โดย Tokopedia นั้น เป็นผู้บุกเบิกตลาด e-commerce มาตั้งแต่ปี 2009 และปัจจุบันเป็นผู้นำในตลาด C2C ที่ส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงราว 45% มีผู้ใช้งานต่อเดือนมากถึง 129 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้ได้จากหลากหลายช่องทาง ทั้งจากการโฆษณาสินค้า การเก็บค่าคอมมิชชั่น รวมถึงค่าบริการเสริมอื่นๆ ใน Tokopedia นั้น ผู้ใช้งานยังสามารถสั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตและจากตลาดทั่วไปได้ ทำให้ความกว้างของสินค้านั้น ครอบคลุมของใช้ในชีวิตประจำวันได้เกือบทุกอย่าง

ดังนั้น การรวมกันของบริษัทใหญ่นี้ จึงทำให้ความเป็นผู้นำในทั้ง 2 ตลาด ถูกเสริมความแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งการรวมกันของฐานลูกค้า การเพิ่มประสิทธิภาพในค่าใช้จ่ายทางการตลาดและระบบหลังบ้าน การจัดการโลจิสติกส์ ซึ่งอินโดนีเซียนั้น มีภูมิประเทศที่เป็นเกาะมากกว่า 17,000 เกาะ การควบรวมกันจะส่งผลบวกต่อการจัดส่งสินค้าและต้นทุนของทั้งสองบริษัทอย่างมาก และที่สำคัญที่สุด คือ ข้อมูลลูกค้า ฐานข้อมูลของ GoTo จะมีข้อมูลลูกค้าที่มีความละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อธุรกิจต่อเนื่องของบริษัท คือ ธุรกิจการเงิน (Financial services) ในการทำ Credit scoring การปล่อยสินเชื่อ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินแก่ลูกค้า การรวมกันของทั้ง 2 นี้ ยังถือว่า เป็นบริษัทแรกในโลกที่สามารถให้บริการได้ทั้ง e-commerce platform และ on-demand services อีกด้วย

ด้านการถือหุ้น GoTo จะมาจากผู้ถือหุ้นของ Gojek 58% และ Tokopedia 42% ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทรวมจะเป็น Alibaba และ SoftBank โดย Alibaba นั้นยังถือหุ้นในคู่แข่งของ Tokopedia อย่าง Lazada ขณะที่ Softbank ก็ถือหุ้นในคู่แข่งของ Gojek อย่าง Grab เป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบนิเวศน์ของวงการบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนนั้นมีความทับซ้อนกันเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Facebook Google JD.com PayPal Tencent และ Visa รวมถึงกองทุนขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง

Goto เตรียมตัวที่จะจดทะเบียนใน 2 ตลาด (Dual listing) ทั้งอินโดนีเซียและสหรัฐฯ โดยคาดการณ์กันว่าจะระดมที่มูลค่ากิจการมากถึง 3.5-4.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวของมูลค่ารวมของ 2 บริษัทที่ 18 ล้านเหรียญ ที่เคยระดมทุนไปในปี 2019 และ 2020 ตามลำดับ และเป็นมูลค่าที่ใกล้เคียงกับ Grab บริษัทสิงคโปร์ที่กำลังจะจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ผ่านการระดมทุนแผนพิเศษ Special Purpose Acquisition Company (SPAC) หนุนโดย Altimeter Capital ที่มูลค่ากิจการราว 4 หมื่นล้านเหรียญ หลังทั้ง Gojek และ Grab ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการควบรวมกันได้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในเวทีอาเซียนเดียวกันนั้น ยังถือว่าห่างจากมูลค่าของ SEA group อยู่มาก ที่ราว 14.5 หมื่นล้านเหรียญ ที่มีทั้งธุรกิจ e-commerce ธุรกิจการเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจเกมส์ของ Garena ที่ถือว่ายังเป็นตัวแปรที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของ Platform Technology ในภูมิภาคนี้อยู่
ภายหลังการระดมทุน GoTo อาจไม่หยุดเพียงความเป็นผู้นำในตลาดอินโดนีเซีย แต่ยังจะขยายไปในตลาดอื่นๆในอาเซียนที่ Gojek นั้นได้เริ่มธุรกิจเอาไว้แล้ว รวมถึงประเทศอื่นๆได้อีกด้วย และไม่เพียงแต่ GoTo เท่านั้น ยังมีสตาร์ทอัพเทคโนโลยีรายอื่นๆอีก ทั้ง Grab Traveloka Bukalapak ที่กำลังเตรียมตบเท้าเข้าระดมทุนผ่านตลาดต่างๆ ซึ่งถือเป็นการนำเม็ดเงินเข้าเพิ่มในระบบนิเวศน์ของบริษัทเทคโนโลยีให้อุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและช่วยให้สตาร์ทอัพขนาดเล็กใหม่ๆได้เติบโตตามมาได้เร็วขึ้น ทำให้ในระยะข้างหน้า แม้ว่าผลกระทบและแรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นต่อวงการบริษัทเทคโนโลยีในอาเซียนจะยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองต่อไป แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ความเข้มข้นของการแข่งขันจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสมรภูมิรบอาเซียนนั้นได้เพิ่มขึ้นแล้ว
#7487


นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เห็นชอบ โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 (ใหม่) โดยโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ จำแนกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1.ราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้กับโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วย (1) ราคาเฉลี่ยก๊าซฯ อ่าวไทย (Gulf Gas) (2) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และ (3) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติในทะเล (Zone 1)

2.ราคาก๊าซธรรมชาติที่ Shipper ปตท. ขายในกลุ่ม Old Supply ประกอบด้วย (1) ราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยหลังโรงแยก (รวมค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติในทะเล) ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ณ ชายแดน และก๊าซ LNG (รวมค่าบริการสถานี LNG ในการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซ) (Pool Gas) (2) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (S) และ (3) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 2-4) (โรงไฟฟ้าน้ำพอง ราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซให้เป็นไปตามที่ ปตท. รับซื้อจากผู้รับสัมปทานค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ และค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 5))

และ 3.ราคาก๊าซธรรมชาติที่ New Shipper ขายไฟฟ้าเข้าระบบใน Regulated Market ประกอบด้วย (1) ราคา LNG (2) ค่าบริการสถานี LNG ในการเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซ (3) ค่าบริการในการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ และ (4) ค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติบนบก (Zone 3)

โดยที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการทบทวนพื้นที่ (Zone) ในการคิดค่าบริการตามการใช้ระบบท่อส่งก๊าซของ ผู้ซื้อก๊าซ โดยคำนวณค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติพื้นที่ 1 ที่รวมค่าผ่านท่อในทะเลทั้งหมด ซึ่งนำค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด (TTM) นำมาคำนวณรวมในอัตราค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ   ในทะเลของ ปตท. ด้วย และกำหนดให้โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ มีผลบังคับใช้ภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ระหว่างกำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่ง (S) และค่าผ่านท่อ (T) ตามโครงสร้างใหม่ ให้กำหนดอัตราค่าบริการจัดหาและค้าส่ง (ในแต่ละประเภทผู้ใช้ก๊าซ คิดตาม % Margin โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ย (Pool Gas) ตามวิธีปัจจุบันและกำหนดค่าผ่านท่อ (T) สำหรับ Shipper รายใหม่ที่นำเข้า LNG เท่ากับอัตราค่าผ่านท่อบนบก (Zone 3 ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าในภาพรวมลดลงประมาณ 56 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็นค่า Ft ลดลงประมาณ 0.39 สตางค์/หน่วย

รวมถึง ที่ประชุม กพช. ยังได้เห็นชอบการนำเข้า Liquefied Natural Gas (LNG) ที่ไม่กระทบต่อ Take or Pay สำหรับ ปี 2564 -2566 เท่ากับ 0.48 1.74 และ 3.02 ล้านตันต่อปี ตามลำดับ โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาทบทวนหากพบว่าปริมาณความสามารถในการนำเข้า LNG มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากตัวเลขดังกล่าว และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดสรรปริมาณการนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติ ในระยะที่ 2 คือ Regulated Market และ Partially Regulated Market สำหรับ New Demand และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าของ Shipper รวมทั้งกำกับดูแลต่อไป



นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า กพช. ยังได้พิจารณาเห็นชอบ กรอบแผนพลังงานชาติ ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายภาคพลังงาน โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070 สำหรับแนวนโยบายของแผนพลังงานชาติ (Policy Direction) เพื่อขับเคลื่อนให้ภาคพลังงานสามารถบรรลุเป้าหมายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสีเขียวในภาคพลังงาน อาทิ

(1) เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 พิจารณาร่วมกับต้นทุนระบบกักเก็บพลังงานระยะยาว

(2) ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ตามนโยบาย 30@30 การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งมาเป็น EV เป็นแนวทางที่ช่วยในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเพิ่มความสามารถในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาสภาพอากาศจากภาวะฝุ่นละออง PM 2.5

(3) ปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มากกว่าร้อยละ 30 โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานสมัยใหม่ มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน

(4) ปรับโครงสร้างกิจการพลังงานรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ตามแนวทาง 4D1E (Decarbonization: การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน Digitalization: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบพลังงาน Decentralization: การกระจายศูนย์การผลิตพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน Deregulation: การปรับปรุงกฎระเบียบรองรับนโยบายพลังงานสมัยใหม่ และ Electrification: การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า) ทั้งนี้เป้าหมายลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในช่วงดังกล่าว (2065 – 2070) ขึ้นอยู่กับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการสนับสนุนทางการเงิน 

ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนสู่ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2065-2070 อย่างต่อเนื่อง และเพื่อแสดงถึงจุดยืนและการเตรียมการในการปรับเปลี่ยนให้รองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่ neutral-carbon economy การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดภายในช่วงเวลา 1-10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564 - 2573) กพช. จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการระยะเร่งด่วน ดังนี้

(1) จัดทำแผนพลังงานชาติ ภายใต้กรอบนโยบายที่ทำให้ภาคพลังงานขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจให้สามารถรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ neutral-carbon economy ได้ในระยะยาว ครอบคลุมการขับเคลื่อนพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน

(2) พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ และปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ภายใต้ PDP2018 rev.1 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2564 – 2573) ตามความเหมาะสม อาทิ ปรับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าให้มีการผูกพันเชื้อเพลิงฟอสซิลเท่าที่จำเป็นและสามารถรองรับการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้ในระยะยาว การคำนึงถึงต้นทุนและความก้าวหน้าเทคโนโลยีเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้นำหลักการวางแผนเชิงความน่าจะเป็นโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) มาใช้เป็นเกณฑ์ แทนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ซึ่งไม่สามารถวิเคราะห์ผลจากความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้การประเมินและการวางแผนความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศมีความแม่นยำมากขึ้น

(3) ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมพื้นที่ศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคต และสามารถตอบสนองต่อการผลิตไฟฟ้าได้อย่างทันท่วงทีโดยไม่กระทบกับความมั่นคงของประเทศ

สำหรับกระบวนการจัดทำแผนพลังงานชาติ คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2565 โดยจะมีรับฟังความคิดเห็นกรอบแผนพลังงานชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2564 เพื่อนำความเห็นมาประกอบการจัดทำแผน 5 แผนหลัก และรวมเป็นแผนพลังงานชาติ หลังจากนั้นจะมีการรับฟังความคิดเห็นร่างแผนพลังงานชาติ ก่อนนำเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบต่อไป
#7489
Sharisma ตัวช่วยลดอายุเซลล์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ครบเครื่องเรื่องสุขภาพ 

สัมผัสกับศาสตร์แห่งรางวัลโนเบลครั้งแรกในประเทศไทย ให้คุณได้ฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณในทุกมิติ รวมถึงผิวหน้า ผิวกาย ระบบภูมิคุ้มกัน กับการลดอายุที่ระดับเซลล์ 

Talos95  สารสกัดสำคัญที่สำคัญใน Sharisma ที่แรกที่เดียวในประเทศไทย ศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 3รางวัล ช่วยลดอายุเซลล์ได้จริงมีงานวิจัยรองรับ Telomere Health Support

Astaxanthin จาก AstaReal
 ราชาแห่งสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีมากถึง 6000 เท่า เกราะป้องกันผิวและร่างกาย จากมลพิษและสิ่งเร้าภายนอก

Pure collagen dipeptide จาก Wellnex โมเลกุลเล็กที่สุด ดูดซึมได้ทันที เข้มข้นด้วยกรดอะมิโน po-og กระตุ้นการสร้ๅงคอลลาเจนได้ดีถึง 10 เท่า เป็นcollege อันดับหนึางในญี่ปุ่น

Camucanu King of Natural VitaminC วิตามินซีเข้มข้นกว่าส้มถึง 60 เท่า ปกป้องเซลล์และปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดบำรุงตับ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส

Gos�  สารสำคัญในน้ำนมแม่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน #Prebiotic และผลวิจัยด้านความงามพบว่า สามารถลดริ้วรอยได้

MitoActive บูสท์การเผาผลาญระดับเซลล์ กระชับสัดส่วน กล้ามเนื้อทนทาน ออกกำลังกายได้นานขึ้น

สารสกัดเข้มข้นจากทั่วโลกอีก 20 ชนิดอัดแน่นเต็มกล่อง 


No sugar No Cholesterol > ปราศจากสารให้ความหวานและน้ำตาล จึงไม่ทำให้เกิดไขมันที่ก่อตัวในเส้นเลือด

วิธีการทาน ทานตอนท้องว่าง 
ทานวันละ 1 ซอง ลดอายุเซลล์ได้ถึง 7.4 ปี
ทานวันละ 2ซอง ลดอายุเซลล์ได้ถึง 8.5 ปี
เมื่อทานต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน 

โปรโมชั่นพิเศษ
จากปกติกล่องละ 1,290 บาท
 1 890 บาท รวมส่ง 950 บาท ประหยัดไป 400 บาท
 2 กล่อง 1,780 บาท รวมส่ง 1,840 บาท ประหยัดไป 820 บาท 
 3 กล่อง 2,670 บาท รวมส่ง 2,700 บาท ประหยัดไป 1,270 บาท 
 4 กล่อง 3,560 บาท รวมส่ง 3,600 บาท ประหยัดไป 1,700 บาท 
 5 กล่อง 4,450 บาท รวมส่ง 4,500 บาท ประหยัดไป 2,100 บาท 

ช่องทางการส่งของเรา มีทุกช่องทางนะคะ
ส่งไปรษณีย์ Kerry flash เริ่มต้นที่ 60 บาท
Grab หรือ line man คิดตามระยะ ทางนะคะ

ทางทีมกำไร
-  เปิดรับ Holding มาร่วมทีม สร้างรายได้ไปด้วยกัน 
-  ทางทีมมีการเทรน Holding ในทีมแบบ private 
-  Holding ทีมกำไรมีแผนโปรโมทเฉพาะทีม 
-  มี Add เฉพาะทีม 
-  ไม่ทิ้ง Holding ให้เคว้งคว้าง
-  ปั้น Holding แม้ไม่มีพื้นฐานหรือประสบการณ์การขายออนไลน์มาก่อน เพียงแค่ตั้งใจพอค่ะ เชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า และลงมือทำ ถึงเป้าหมายแน่นอน 

สนใจติดต่อ 
Line@ : @gumrai (มี@) 

https://lin.ee/L2ygeGr


IG : Gumrai_kaikong 

https://www.instagram.com/p/CSDqkpeHY5O/?utm_medium=copy_link

Facebook Sharisma เพจดีลเลอร์รายใหญ่ 

https://www.facebook.com/100369412341981/posts/112206244491631/?d=n

Call : 090-9914691





























 
#7490


กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมิตี้ จำกัด เปิดมุมมองว่า การระบาดของโควิด-19 เป็นเสมือนตัวเร่งให้หลายองค์กรมองหาการสร้างชุมชนดิจิทัลและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น อมิตี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถรวมฟีเจอร์โซเชียลเข้าไปในแอพฯ และเว็บไซต์ขององค์กรได้โดยการเขียนโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้งานรายเดือนสามารถส่งข้อความและมีปฏิสัมพันธ์ผ่านหลายพันล้านข้อความในแต่ละเดือนได้โดยง่าย

"ในปีแรกของการระบาดของโควิด-19 อมิตี้เห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า จากองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการรวมฟีเจอร์โซเชียลต่าง ๆ เช่น ฟีด โปรไฟล์ กลุ่ม แชท และวิดีโอสตรีม เข้าไปในแอพฯและเว็บไซต์ขององค์กร เพื่อดึงดูดลูกค้า ผู้ใช้ และพนักงาน ซึ่งอมิตี้สามารถพลิกกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วยบริการที่ครอบคลุม ทั้งในด้านฟีเจอร์โซเชียล การมีส่วนร่วมของพนักงาน และแชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วยแมชชีนเลิร์นนิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้งานผ่านช่องทางที่หลากหลายได้อย่างชาญฉลาด"

ตั้งเป้าเบอร์ 1 ระดับโลก

ในปี 2563 อมิตี้ได้เข้าซื้อกิจการของ ConvoLab ซึ่งเป็นบริษัทแชทของไทย และย้ายบริการทั้งหมดไปยังคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรมและปรับขนาดแพลตฟอร์มโซเชียลใหม่อย่างรวดเร็ว ให้มีความโดดเด่นในด้านบริการ ได้แก่ คอนเทนเนอร์ ฐานข้อมูล และแมชชีนเลิร์นนิ่ง โดยเสนอประสบการณ์การใช้โซเชียลและสร้างชุมชนดิจิทัลที่ไม่เหมือนใคร เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และเปิดโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ 

นอกจากนี้ยังใช้สถาปัตยกรรมแบบ Serverless ช่วยให้บริษัทสามารถปรับขยายตามจำนวนลูกค้าได้เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลอัตโนมัติรองรับลูกค้าในกรณีที่มีการปล่อยแคมเปญบนโซเชียลมีเดียหรือทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย นอกจากนั้นการใช้ Amazon Personalize ซึ่งเป็นบริการแมชชีนเลิร์นนิ่ง ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลแบบเรียลไทม์จำนวนมากที่มีความแม่นยำสูงได้รวดเร็วขึ้น

ในด้านขององค์กร อมิตี้ให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรมและการเติบโตระดับโลกได้เร็ว เนื่องจากอมิตี้เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์แห่งเดียวในประเทศและอาเซียน ที่โปรดักท์กำลังเติบโตในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้านซอฟต์แวร์ใน 3 ตลาด ได้แก่ จีน ยุโรป สหรัฐ รวมทั้งมีลูกค้าทั้งองค์กรระดับเอสเอ็มอี ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่หลายร้อยแห่ง และบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในเอเชียอย่างจีน ยุโรปและอเมริกาเหนือ


สร้างทีมงานระดับนานาชาติ

ส่วนมุมมององค์กรธุรกิจเทคโนโลยีในอาเซียนและไทย กรวัฒน์ มองว่า ยังมีขนาดเล็กทิ้งช่วงห่างยุโรป อเมริกาและจีน พอสมควร ทั้งในแง่ของการใช้จ่ายและขนาด ซึ่งยังไม่มีผู้เล่นรายใดที่พัฒนา B2B SaaS ที่ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทที่สำเร็จ ซึ่งอมิตี้เน้นการเป็นบริษัทระดับโลกตั้งแต่แรก โดยบริษัทมีพนักงานมากกว่า 30 ชาติ และมีสำนักงานในไมอามี่ ลอนดอน มิลาน และไทย ซึ่งในไทยมีพนักงานมากกว่า 20-25 ชาติ โดยจุดสำคัญคือพยายามสร้างทีมระดับนานาชาติที่มีความแข็งแกร่ง

"ทั้งนี้การสร้าง B2B SaaS ต่างจากการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่ง B2B SaaS เป็น ธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนกำไรสูงมาก หากดูมูลค่าตลาดของบริษัทที่ทำคลาวด์ เทคโนโลยี จะเห็นได้ว่าบริษัท B2B SaaS ทำกำไร และมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลก แต่ธุรกิจเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคยังยากที่จะเห็นกำไร และสร้างให้เสถียรทำให้การเติบโตในต่างประเทศค่อนข้างยาก"

ส่วนคำแนะนำสำหรับตลาด B2B SaaS หากสตาร์ทอัพรายอื่นต้องการจะเข้าสู่ตลาดนี้ กรวัฒน์ กล่าวว่า B2B SaaS เป็นเนเจอร์ที่ค่อนข้างต่าง หากชนะในไทยได้ ก็ชนะตลาดยุโรป อเมริกา จีน ได้เช่นกัน แต่อย่างแรกคือ ต้องหาโฟกัส ตลาดที่เฉพาะเจาะจง ที่คนอื่นอาจจะยังไม่ได้ทำได้ดีมาก จากนั้นพยายามพัฒนาให้ตอบโจทย์ภูมิภาคและระดับโลก

อย่างไรก็ตามความได้เปรียบของลูกค้าไทยและอาเซียน คือมีการใช้สมาร์ทโฟนค่อนข้างเร็ว ทำให้เห็นว่าในอนาคตคนจะต้องการซอฟต์แวร์มากขึ้น อีกทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ภาษี ทำให้ไทยมีความก้าวหน้ากว่าในอเมริกา ยุโรป จึงค่อนข้างง่ายที่จะเซ็ตอัพ 

ขณะเดียวกันภาพรวมการแข่งขัน กรวัฒน์ เผยว่า ยังไม่มีคู่แข่งที่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นโซเชียลองค์กร บริการหรือฟีเจอร์สำเร็จรูป คู่แข่งส่วนใหญ่ตั้งเป้าไปที่บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีตลอดจนผู้บริหารด้านเทคนิค เป็นการซื้อโมดูลแชทและ plug-in เข้าไป ฉะนั้น จึงต้องพยายามเติบโตให้เร็ว เพราะอีกไม่นานจะมีคู่แข่งมากขึ้น และอีกหนึ่งจุดประสงค์ที่ทำให้อมิตี้แข่งในต่างประเทศได้ ต้องบอกว่าในไทยยังไม่ค่อยมีบริษัทที่ทำ IaaS ทั้งตลาดอาเซียน เอเชีย

เน้นเทคโนโลยีสร้างจุดแข็ง

ส่วนจุดแข็งของอมิตี้คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยปีที่ผ่านมางบการวิจัยและพัฒนาของบริษัทประมาณ 7-8 ล้านดอลลาร์และใช้วิศวกรประมาณ 60-70 คน แน่นอนว่าเมื่อพัฒนาเทคโนโลยีมาตลาด 8-9 ปี งบการวิจัยและพัฒนาทั้งสิ้นประมาณ 20 ล้านดอลลาร์

เนื่องจากอมิตี้ต้องพัฒนาและจำหน่ายเทคโนโลยีให้กับลูกค้าวิศวกร ดังนั้น คุณภาพโปรดักท์ ความสามารถของกระบวนการ ระบบปฏิบัติการจะต้องดี ซึ่งต้องทำงานร่วมกับ AgriTech ของ AWS เพื่อดีไซน์ ทั้งลงทุนเพื่อที่จะทำสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์รองรับปริมาณการใช้งานจำนวนมาก ทุกเดือนอมิตี้ให้บริการ 3 พันล้านข้อความ นี่คืออุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่สูง

ทั้งนี้ เป้าหมายและทิศทางอมิตี้หลังจากนี้ จะมุ่งให้เกิดการเติบโตที่สุด และยึดหมวดหมู่ และ IaaS จึงต้องพยายามก้าวสู่ผู้นำในตลาดโลก โดยทุ่มทางการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จักนำเสนอชุดผลิตภัณฑ์พร้อมฟีเจอร์สำเร็จรูป คาดว่า 3-4 ปี อมิตี้จะเป็นบริษัทที่ทำซอฟต์แวร์ใหญ่ระดับสากลได้
#7491


อัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด อีตั้น กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ รายใหญ่ ระบุว่า อีตั้น กำลังจะเสริมรถใหม่ เข้ามาทำตลาดช่วงปลายปี เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชอบเอสยูวี หรูหราขนาดใหญ่ "แลนด์ ครุยเซอร์" (LAND CRUISER 2022)

 แลนด์ ครุยเซอร์ เป็นรถเอสยูวี ขนาดฟูลไซส์ โดยมีให้เลือก 5 รุ่นย่อย ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และ เครื่องยนต์ดีเซล และมีให้เลือกทั้งแบบเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง และ 3 แถว 7 ที่นั่ง


ทั้งนี้ แลนด์ ครุยเซอร์ เตรียมจะเปิดตัวในญี่ปุ่น เร็วๆ นี้ แต่อีตั้นเปิดให้ลูกค้าจองเรียบร้อยแล้ว

โดย แลนด์ ครุยเซอร์ ผลิตขึ้นบนแพลทฟอร์มใหม่ TNGA-F ออกแบบมาสำหรับรถในกลุ่ม เอสยูวี ที่ใช้โครงสร้างแบบ Body-on-frame โดยเฉพาะ โดยช่วยให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง แต่แข็งแรงมากขึ้น และน้ำหนักตัวลดลง 200 กก.

ระบบช่วงล่าง เทคโนโลยีใหม่ E-KDSS โดยทำงานแปรผันกับสภาพพื้นผิวถนนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในทางเรียบ ทางต่างระดับ พื้นผิวถนนทุรกันดาร เป็นคลื่นเป็นลอน หรือเส้นทางออฟโรด

ตัวรถ ออกแบบให้ยังคงมีกลิ่นอายของรุ่นเดิมๆ ด้วยเส้นสาย ความเป็นเหลี่ยมสัน เพื่อทำให้รถดูมีความบึกบึน กระจังหน้าออกแบบเป็นรูปตัว U ตกแต่งด้วยโครเมียม ไฟท้ายดีไซน์ใหม่


 

 


นอกจากนี้การออกแบบต่างๆ ทำให้เหมาะกับการใช้งานนอกถนนมากขึ้น เช่น ตำแหน่งไฟ และรูปทรงกันชนที่ป้องกันความเสียหายระหว่างการขับขี่ในเส้นทางทุรกันดาร

ส่วนมิติตัวรถ

ความยาว 4,990 มม.
กว้าง 1,980 มม.
ฐานล้อ 2,850 มม.
ส่วนภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้มีความหรูหรามากขึ้น และรุ่นท็อปมาพร้อมกับมูนรูฟ เบาะปรับไฟฟ้า, หน้าจอขนาดใหญ่แบบทัชสกรีน ประตูท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ ฟรี ติดตั้งกล้อง 360 องศา แผงหน้าปัดแบบแนวนอนช่วยให้จับตำแหน่งของรถได้ง่าย


สำหรับเครื่องยนต์แบ่งเป็น

เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ V6 ความจุกระบอกสูบ 5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 409 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล ความจุกระบอกสูบ 3 ลิตร กำลังสูงสุด 304 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร
เช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40 เช็ควันรับเงินเยียวยา ที่นี่
เช็คเงิน 'เยียวยาประกันสังคม' ม.33 พื้นที่สีแดงเข้ม โอนเข้า 'พร้อมเพย์' วันแรก
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ทะลุ 2หมื่น! พบเสียชีวิต 188 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 20,200 ราย ยังไม่รวม ATK อีก 522 ราย
ระบบความปลอดภัยติดตั้งระบบ  Toyota Safety Sense 2.0 เวอร์ชั่นล่าสุด ประกอบไปด้วย

ฟังก์ชั่นตรวจจับจักรยานในเวลากลางวัน
ระบบ Parking Support Brake ซตรวจจับสิ่งกีดขวางในขณะถอยจอดด้วยความเร็วต่ำทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวรถ
ฟังก์ชั่นตรวจจับคนเดินถนนแบบ ทั้งกลางวัน-กลางคืน
Pre-Collision System หลีกเลี่ยงการปะทะทางด้านหน้า

และในรุ่น ท็อป  มาพร้อม ระบบช่วยขับ ระบบ Multi-Terrain Monitor กล้องรอบตัวรถ ที่สร้างเส้นไกด์ไลน์ เพื่อช่วยให้ผู้ขับสามารถเห็นมุมล้อขณะขับขี่ ได้ภายในห้องโดยสารโดยไม่ต้องลงมาจากรถ รวมถึงระบบ Multi-Terrain Select ผู้ขับสามารถเลือกการตอบสนองของช่วงล่างให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง
#7492


คาร์สเทน วอร์โฮล์ม นักกรีฑา นอร์เวย์ ทุบสถิติโลกของตัวเอง คว้าเหรียญทองการแข่งขันวิ่งข้ามรั้ว 400 เมตรชาย โอลิมปิก 2020 เมื่อวันอังคารที่ 3 สิงหาคม

วอร์โฮล์ม เข้าเส้นชัยคนแรก เวลา 45.94 วินาที เร็วกว่าของเดิม ซึ่งทำไว้ 46.70 วินาที ที่กรุงออสโล เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ขณะที่ ไร เบนจามิน นักวิ่ง สหรัฐอเมริกา ทำเวลาดีกว่าสถิติโลกเดิมเช่นกัน 46.17 วินาที และ อลิสัน ดอส ซาน โตส จาก บราซิล ทำเวลา 46.72 ซิวเหรียญเงิน และทองแดง ตามลำดับ

วอร์โฮล์ม วัย 25 ปี กล่าว "บางครั้งขณะฝึกซ้อม โค้ชของผมย้ำเสมอว่า นี่อาจเป็นการแข่งขันที่สมบูรณ์แบบมากสุด แต่มันยากเหลือเกินที่คาดหวัง มันเป็นบางสิ่งที่คุณไม่เคยคิดเอาไว้เลย"

วอร์โฮล์ม ฉีกเสื้อหลังเข้าเส้นชัย พร้อมอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เหมือนตอนพิสูจน์ตัวเองแก่วงการกรีฑาระดับโลก ในรายการ เวิลด์ แชมเปียนชิป เมื่อปี 2017
 
#7495


เป็นระยะเวลา 16 เดือนแล้ว ที่วิกฤติโควิด-19 ยังอยู่กับคนทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย และสร้างความเสียหายต่อสุขภาพ ประชากรกว่า 198 ล้านคนต้องติดเชื้อไวรัส และกว่า 4.2 ล้านคนต้องเสียชีวิต

ส่วนประเทศไทย ผู้ติดเชื้อล่าสุด ณ วันที่ 1 สิงหาคม ยอดพุ่งทยานแตะ 18,000 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 133 ราย จนรัฐต้องประกาศขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่ม 16 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด พร้อมยืดระยะเวลา "ล็อกดาวน์" ออกไปอีก 14 วัน เพื่อบริหารจัดการการแพร่ระบาดของไวรัส 

ความสูญเสียครั้งนี้ไม่จำกัดวงแค่สุขภาพ แต่ทำลายล้าง "เศรษฐกิจ" หรือจีดีพีของทั้งโลกและไทยกลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งความหวังเดียวที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องถึงการกู้ชีพจรเศรษฐกิจได้ ต้องแก้ที่ต้นตอ นั่นคือการ "ฉีดวัคซีน" โดยเร็วและทั่วถึง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เมื่อคนแข็งแรง ย่อมมีพลังไปพลิกฟื้นเรื่องปากท้องได้อีกครั้ง 

ประเทศไทยมี "เครื่องยนต์" สำคัญที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ จากอุตสาหกรรมหลายเซ็กเตอร์ แต่หนึ่ง "ฮีโร่" ต้องมี "อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว" อยู่ในทำเนียบ เพราะไม่เพียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลกมาเยือน ยังสร้างรายได้มหาศาล โดยปี 2562 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเยือนไทยร่วม 40 ล้านคน ทำเงินให้ประเทศมูลค่าราว 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของจีดีพี 

ทว่า นับต้ังแต่วินาทีที่โรคระบาดลามโลก ได้ "ชัตดาวน์" เศรษฐกิจทุกประเทศ และ "ดับเครื่องยนต์" เซ็กเตอร์ "การท่องเที่ยว" ให้จอดสนิท ทั้งห่วงโซ่ธุรกิจเสียหายสาหัส โรงแรมปิดให้บริการ สายการบินต้องหยุดบิน ทำให้ขาด "รายรับ" แต่ต้อง "แบกภาระรายจ่าย" รอบด้านทำให้ผู้ประกอบการต้อง "ขาดทุน" 

ส่วน "แรงงาน" ในภาคการท่องเที่ยวนับ "ล้านคน" ต้องตกงาน ว่างงาน หยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ฯ ท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย เชื่อว่าไม่มีใครปล่อยให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร "เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล" เคยทิ้งวรรคทองให้โลกจำ "Never let a good crisis go to waste."  

"เนชั่น ทีวี ช่อง 22" จัดฟอรั่มออนไลน์ หยิบหัวข้อ "ไทยพร้อม...เปิดประเทศ ฟื้นท่องเที่ยว" เชิญตัวแทนภาครัฐ เอกชน ภาคการท่องเที่ยวมาช่วยระดมสมองเพื่อพลิกฟื้นท่องเที่ยวระยะสั้น และปลดล็อกกับดักดีใจกับ "ตัวเลข" นักท่องเที่ยวปีละหลายสิบล้าน สู่การแสวงหาโอกาส ตลาด นักเดินทางกลุ่มใหม่หลังโควิด-19 คลี่คลาย

++กล้าปลดล็อกอุปสรรค

แก้ "คอขวด" ท่องเที่ยว

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ไทยควรใช้ห้วงเวลาที่โรคโควิดระบาดซ่อมบ้านหรือปรับปรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ดี ไม่ใช่แค่จังหวัดที่มีเศรษฐกิจอิงการท่องเที่ยวหรือเมืองหลัก แต่ต้องขยายสู่เมืองรองด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงทางเดิน ชายหาด ฯ  

 นอกจากนี้ ท่ามกลางการบริหารจัดการไวรัส มีการกระจายฉีดวัคซีน จึงเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลด้านสาธารณสุขต้องกระจ่างแจ้งเพื่อสร้างความสบายใจให้กับทุกฝ่าย เพราะนาทีนี้ วัคซีนเป็นทรัพยากรหายาก และเงินงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายมีอยู่จำกัด 

ขณะเดียวถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องมี "ความกล้า" ในการแก้ไขกฏระเบียบที่เป็น "คอขวด" กติกาที่เป็นอุปสรรค สร้างความไม่สะดวก ช่วยลดภาระให้กับประชาชน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้ใช้ชีวิตยากลำบากอยู่แล้ว

"ใช้วิกฤติให้เกิดโอกาสใหม่ ต้องกล้าผ่าตัด รื้อกฎระเบียบ ใช้ปากกาแก้ไขกฎกระทรวง ค่าธรรมเนียมต่างๆ ตอนนี้มีประชุมเยอะ ก็ประชุมออนไลน์ซะ"   

ส่วนการปั๊มชีพจรผู้ประกอบการท่องเที่ยวระยะสั้น รัฐควรพิจารณากระบวนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ จากปีก่อนพูดไม่ถนัด เพราะยังไม่เห็นผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ที่ยังทำ "กำไรมาก" 

"ตอนนี้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกำลังอ่อนแอ หลังจมน้ำมานาน แต่การพิจารณาให้สินเชื่อสามารถช่วยคนที่กำลังขึ้นจากน้ำ และดึงผู้ประกอบการในห่วงโซ่หรือซัพพลายเชนให้พ้นน้ำได้ทั้งระบบ"  


++4D คัมภีร์ดึงดูดนักเดินทาง

ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ฉายภาพธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมีความสุขกับตัวเลขนักท่องเที่ยวร่วม 40 ล้านคนต่อปี แต่โลกภายใต้โควิด ยากจะเห็นจำนวนคนมากมายเดินทางเช่นเดิม เพราะผ่านพ้นครึ่งปีแรก นักท่องเที่ยวมาไทยกว่า 34,000 คนเท่านั้น หลังเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อ้าแขนรับนักเดินทางไปเกือบครึ่งหนึ่ง 


นอกจากนี้ โลกวิถีปกติใหม่(New Normal) แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม เพราะการจองทริปเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ไม่เตรียมการนานเหมือนในอดีต เพราะมีเงื่อนไขสถานการณ์โรคระบาดของแต่ละประเทศให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต มีผลต่อตารางการท่องเที่ยวทั้งสิ้น 

ท่ามกลางตัวแปรที่หลากหลาย แต่ภารกิจของททท. คือต้องผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโต จึงผ่อนเกียร์ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์การท่องเที่ยวไม่ได้ มุ่งผนึกกับสำนักงานทั้ง 29 ประเทศ ดึงนักเดินทางให้กลับมาเยือนไทย สื่อสารให้เข้าใจไทยมีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ พัก อาศัย เที่ยวในเกาะได้ หากอยู่ครบตามเงื่อนไข ไร้ความเสี่ยงโรคระบาด อาจได้ขยายพื้นที่เที่ยวยังจุดอื่นๆได้ขึ้นภายใต้สถานการณ์และการควบคุมโรคระบาด  

ขณะที่การทำตลาดจะยึดสูตรเดิมไม่ได้ เพราะพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน จึงต้องปรับตัวเข้ากับกลุ่มเป้าหมาย คัมภีร์ 4D ลุยตลาด ได้แก่ Demand ผู้ประกอบการต้องฟังความต้องการของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders)ที่ทำงานร่วมกัน อย่างยุคนี้มาเที่ยวโรงแรม ที่พักต่างๆต้องปลอดภัย เมื่อมาต้องตรวจเชื้อโควิด-19 ทำให้กินเวลานานขึ้น มีผลต่อเวลาเช็คอิน เช็คเอาท์ จึงต้องปรับให้เหมาะสม ไม่ยึดกฏเหล็กนับ 24 ชั่วโมง เช่น หากมาเช็คอิน 08.00 น. แล้วต้องเช็คเอาท์ เวลาใกล้เคียงกัน แขกเข้าพักต้องตื่นเช้าเพื่อออกจากโรงแรม อดมื้อเช้า เหล่านี้ต้องยืดหยุ่นได้ อย่าคำนึงถึงแค่ผลทางธุรกิจ

"กลยุทธ์เดิมอาจพัฒนาสินค้าดีขึ้นห้างขาย ประเทศไทยสวยหล่อเลือกได้ นักท่องเที่ยวมาเยือน 40 ล้านคน Enjoy มานาน แต่ยุคนี้ต้อง Demand Driven ทำตลาดต้องฟังเสียงลูกค้า ตอนนี้นักท่องเที่ยวพาครอบครัว คนรักมาเที่ยวจะมองหาสถานที่เที่ยวแล้วมั่นใจ ปลอดภัย"

Data Driven ข้อมูลขับเคลื่อนธุรกิจ ทำตลาดต้องรู้สถานการณ์แต่ละประเทศมีเงื่อนไขเกี่ยวกับโรคโควิด-19 อย่างไร ไทยอยู่ในโซนสีไหนของแต่ละประเทศ เพราะมีผลต่อการพัก กักตัวของนักท่องเที่ยวเมื่อกลับประเทศเหล่านั้น Digital โรคระบาดเป็นปัจจัยเร่งให้ดิจิทัลทรงพลังมากขึ้นและเปลี่ยนทุกสิ่งทั้งการติดต่อกัน อีเวนท์แบบกายภาพหรือ Physical ลดลง หากนักท่องเที่ยวไม่ต้องการใช้จ่ายเงินสด โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ต้องมีเทคโนโลยี บริการอิเล็กทรอนิกส์รองรับ และควรใช้เวลานี้ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง เพราะยังมีเวลาก่อนนักเดินทางกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง

  Domestic กลับมาพึ่งการตลาดในประเทศ เมื่อคนไทยหยุดเชื้อเพพื่อชาติเป็นเวลานาน หากนโยบายเปิดประเทศ สถานการณ์โควิดคลี่คลาย การกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย เป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ "จีน" เป็นกรณีศึกษาน่าสนใจ เมื่อรัฐยังไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ ประชากรจำนวนมากเดินทางเที่ยวในประเทศทำสถิติเท่ากับปี 2562 การพักที่จุดหมายปลายทางต่างๆนานขึ้น เช่น ไปมาเก๊า 5 วัน จากปกติ 1-2 วันเท่านั้น 

++ เที่ยวเชิงสุขภาพ 

New S-Curve เติบโต   

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย อดีตเคยมีนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจากยุโรป สหรัฐฯ เข้ามาพักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน กระทั่ง "มังกรผงาด" จีนยุคใหม่ต่างพากันตบเท้าออกนอกประเทศเพื่อชมโลกกว้าง ไม่เพียงเท่านั้น ยุคโลกไร้พรมแดน ทำให้มีนักท่องเที่ยวอิสระ(FIT)ทั่วทุกมุมโลกออกเดินทางมากขึ้น ทำให้กลุ่มเป้าหมายของแต่ละตลาดเปลี่ยน รวมถึงไทยที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลมามหาศาล 

ทว่า จากนี้ไปตัวเลข ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญสุดอีกต่อไป เพราะผู้ประกอบการตีโจทย์ใหม่ ป้องกันความเสี่ยงจากตลาดเดียว และขยายตลาดเพิ่มขุมทรัพย์รายได้ ซึ่งหลายส่วนเห็นพ้องว่าหลังโรคโควิดระบาด การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) รวมถึง การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์(Medical Tourism) จะมีบทบาทยิ่งขึ้น 

กิตติศักดิ์ ปัทมะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจมนทาระ ฮอสพิตาลิตี้ กรุ๊ป ผู้บริหาร ตรีสรา รีสอร์ต ภูเก็ต หยิบข้อมูลย้อนหลังปี 2560 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่าถึง 6.4 แสนล้านดอลลาร์ ขนาดใหญ่กว่าจีดีพีไทยมาก และมีอัตราการเติบโตราว 7% ขยายตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจหลายประเทศด้วยซ้ำ 

ทั้งนี้ หากธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่พึ่งพาชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะจีน รัสเซีย ซึ่งยังไม่กลับมาในเร็วๆนี้ ทำให้ต้องปรับตัวหาตลาดใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวให้ได้

นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์โรคระบาด และศึกษาข้อมูลต่างๆ ทำให้กรณีที่น่าสนใจ อย่างสหรัฐฯ มีผู้ป่วยนับล้าน หากไม่มีโรคเรื้อรังอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล 14% หากมีโรคเรื้อรัง อัตราจะเพิ่มเป็น 45% หรือราว 3 เท่าตัว และมีผลต่อการเสียชีวิตจาก 5% เป็น 20% หรือเพิ่ม 4 เท่าตัว ผลกระทบไม่ได้เกิดกับร่างกายเท่านั้น แต่มีผลต่อสภาพจิตใจของคนในครอบครัวด้วย 

ขณะที่พฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพยังสูง 2-4 เท่าตัว และใช้เวลาทำกิจกรรม พักผ่อนยาวนานเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวทั่วไป ส่วนการเดินทางยังไปพร้อมครอบครัว พ่อแม่ ลูกฯ 

"โควิดทำให้คนตระหนักเรื่องสุขภาพ และกระตุ้นตลาดความต้องการตลาดสุขภาพทั่วโลก wellness tourism จึงเป็นโอกาสในวิกฤติ" 

ทั้งนี้ บริษัทจึงพัฒนาโครงการ "ตรีวนันดา" บนพื้นที่ 600ไร่ มีโซนที่พักอาศัย และรีสอร์ท รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยจุดเด่นโครงการไม่เพียงรองรับนักท่องเที่ยว แต่ยังตอบโจทย์การลงทุนด้วย เพื่อให้ลูกค้าที่ลงทุนสามารถปล่อยเช่าได้ผลตอบแทน ซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนส่งเสริมเครื่องยนต์เศรษฐกิจภูเก็ตและประเทศต่อไป

"ระยะยาว Wellness Tourism ตอบโจทย์การผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตในอนาคต เพราะคนทัวโลกต้องการมีสุขภาพดี ประเทศไทยมีทรัพยากร วัฒนธรรม บุคลากรตอบโจทย์" 

 ศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เห็นพ้องว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ถือเป็นปัจจัยสร้างการเติบโตใหม่หรือ New S-Curve ของภาคท่องเที่ยว เพราะโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องรักษาชีวิต รักสุขภาพ หันมาสร้างภูมิป้องกันโรคต่างๆมากขึ้น 


หากมองดูประเทศไทย มีจุดแข็งมากมายที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ ทั้งมีทรัพยากรสมุนไพร การปลดล็อกกัญชาเพื่อทางการแพทย์ และเชิงพาณิชย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บริษัทนำไปต่อยอดในโครงการมายโอโซน เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต ยกระดับเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางเหมือนการไปดื่มไวน์ณ เมืองต่างๆในประเทศฝรั่งเศส 

"โควิดทำให้คนโหยหามากสุดคือสุขภาพ เพราะมีเงินก็ตาย ขณะที่การส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เมดิคัล ฮับต่างๆ ไม่ยาก เพราะไทยมีจุดแข็งอยู่แล้ว หากทำได้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาเร็ว"

พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่จะยั่งยืน ต้องหันพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และไม่แค่การรักษาพยาบาล แต่มองถึงการเป็นแหล่ง "ดิจิทัล ดีท็อกซ์" ใช้พื้นที่อับสัญญาณโทรศัพท์ พัฒนารีสอร์ท เพื่อให้นักเดินทางมาปรับคุณภาพชีวิต กลับมาตั้งสติมากขึ้น 

นอกจากนี้ จะยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร Agro Gastronomy เชื่อมโยงการเกษตรกับอาหารแบบครบวงจร มีลายแทงร้านเด็ดดี ปราศจากสารเคมี ดึงนักเดินทางให้มาเที่ยวแล้วได้เรียนรู้ศาสตร์การทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพติดตัวกลับไป เป็นต้น  

ภูเก็ต จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของไทย แต่ละปีโกยนักเดินทางจำนวนมาก เศรษฐกิจท้องถิ่น 95% พึ่งพาการท่องเที่ยว แต่โควิดทำให้ต้องคิดใหม่ ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต บอกว่า ระยะยาวการฟื้นเศรษฐกิจภูเก็ต ต้องไม่ยึดติดกับท่องเที่ยว ต้องสร้างเครื่องยนต์ใหม่ เช่น การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การศึกษา สมาร์ทซิตี้ฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ยอมรับว่าจะก้าวไปสู่จุดดังกล่าว เป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อย พัฒนาระบบขนส่ง ดูแลการท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อมให้ดี

"เพื่อไม่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ  ควรหานวัตกรรมทางการเงินเพื่อให้ภูเก็ตเดินหน้าต่อได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนมองระยะยาว ต้องเอาตัวรอดปัจจุบันก่อน หากติดหล่มการจัดการโรคระบาด อนาคตคงเป็นแค่ฝัน"
#7496
ป้ายไฟวิ่ง LED เปลี่ยนข้อความผ่านมือถือ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน

ป้ายไฟวิ่งLED เปลี่ยนข้อความผ่านappมือถือ(เชื่อมต่อทางwi-fi) หรือส่งผ่านระบบLAN  ขนาดป้าย 105x25cm ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน มีให้เลือก 4สี แดง,เขียว,น้ำเงิน ราคา 2,900บาท และFull colors  ราคา4,200 บาท ใส่คำ,ข้อความ,วันที่,เวลา,รูปภาพต่างๆได้ ป้ายติดตั้งง่าย โครงสร้างแข็งแรงทนทาน

ทางร้านลงคำให้ฟรีในครั้งแรกและสอนวิธีการใช้งานให้ลูกค้าสามารถลงข้อมูลได้ด้วยตัวเอง แถมขายึดป้ายฟรี

สนใจติดต่อ 0945102033
Line :@gentech
หน้าร้านเซียร์รังสิต ชั้น 1


#7497


โรงพยาบาลบุษราคัม Big Cleaning ทำความสะอาดจุดแรกรับผู้ป่วย พร้อมปรับระบบจัดทางด่วนสำหรับกลุ่มเปราะบาง เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง พิการ ให้เข้ารับการประเมินก่อน และจัดโซนผู้ป่วยเพื่อง่ายต่อการดูแล

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุษราคัม ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลบุษราคัม ได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ข้อมูลถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ให้การดูแลผู้ป่วยแล้วจำนวน 13,275 ราย โดยในเช้าวันนี้ได้จัด Big cleaning ทำความสะอาดครั้งใหญ่ในบริเวณจุดแรกรับผู้ป่วย ทั้ง 2 จุด พร้อมปรับระบบประเมินผู้ป่วยแรกรับ โดยเพิ่มทางด่วน Fast Track สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยที่ต้องให้ออกซิเจน เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เป็นต้น ให้ได้รับการประเมินอาการก่อน และจัดโซนผู้ป่วยให้ง่ายต่อการดูแลรักษา เนื่องจากระยะหลังพบผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเปราะบางเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้เตรียมนำเก้าอี้รถเข็นเข้าไปยังหอผู้ป่วยจำนวน 231 ตัว และเก้าอี้นั่งสำหรับขับถ่ายข้างเตียงผู้ป่วย จำนวน 62 ตัว เก้าอี้อาบน้ำ จำนวน 5 ตัว เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ป่วย และกำลังจัดหาเตียงลมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยวิกฤติเพิ่มเติม ต้องขอขอบคุณทหารจิตอาสาที่ให้ความร่วมมือ สนับสนุนในการเข้าไปอำนวยความสะดวกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและเปลี่ยนเตียงที่ชำรุด รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเป็นจิตอาสา วัดความดันโลหิต วัดค่าออกซิเจนในเลือด ประสานงานเจ้าหน้าที่กับผู้ป่วย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับสถานการณ์เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัมวันนี้ มีผู้ป่วยที่นอนรักษาอยู่ 3,233 ราย เป็นกลุ่มสีเหลืองอ่อน 2,771 ราย สีเหลือง 287 ราย สีแดง 175 ราย โดยมีมาตรฐานการรักษาตามแนวทางของกรมการแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ที่รักษาหายแล้วครบ 7 - 10 วัน สามารถให้กลับไปกักตัวที่บ้านต่อได้เพื่อที่จะมีเตียงไว้สำหรับผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป
#7499



บรรดาคนรักเลข มาขอโชค "ต้นโพธิ์ข้างทาง" ในปากน้ำโพ ไม่ผิดหวังได้ "เลขเด็ด" กลับไปลุ้นรวยงวดนี้ 1/8/64

กลางดึกวันที่ 31 ก.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านที่ทราบข่าวว่าต้นโพธิ์ข้างถนนหน้าหมู่บ้านโครงการ แห่งหนึ่งใน ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มักจะให้โชคกันคนที่มีดวงทางด้านเสี่ยงโชค จึงได้เดินทางไปบริเวณหน้าหมู่บ้านดังกล่าว


ทั้งนี้ พบชาวบ้านที่เข้ามาขอโชคโดยได้จุดธูปไหว้ขอโชค หลังจากนั้นก็นำแป้งไปทาถูบริเวณต้นโพธิ์ จนเห็นเลข 53 สำหรับต้นโพธิ์ดังกล่าวนั้น จะมีชุดสะไบแขวนอยู่เต็มต้นแทบทุกกิ่งก้าน เนื่องมาจากมีคนได้โชคแล้วนำชุดสะไบมาถวายแทบทุกงวดเลย.

https://www.thairath.co.th/lottery/news/2154478
#7500


"บิ๊กป๋อม" อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ อุปนายกสมาคมกีฬาฟุต.แห่งประเทศไทยฯ ฝ่ายพัฒนาฟุตซอลและฟุต.ชายหาด ได้กล่าวถึงภาพรวม ในการจัดการแข่งขัน CONTINENTAL FUTSAL CHAMPIONSHIP THAILAND 2021 และ ผลงานของ ทีมฟุตซอล ทีมชาติไทย ในการเตรียมทีมก่อนไป ฟุตซอลโลก 2021 ว่า

"ในนาม สมาคมกีฬาฟุต.แห่งประเทศไทยฯ ผมต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ช่วยสนับสนุน ทำให้เกิดการแข่งขันในครั้งนี้ ทั้ง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย ศบค. กรมควบคุมโรค ฝ่ายจัดการเเข่งขัน และ ทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมแรงร่วมใจทำงานหนักกันทุกวัน จนทัวร์นาเม้นต์นี้ประสบความสำเร็จ ซึ่ง รายการนี้มีความสำคัญต่อทีมฟุตซอล ทีมชาติไทย เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการทดสอบเตรียมทีมในระยะแรก ก่อนไป ฟุตซอลโลก"

"รายการนี้ เรามีทีมที่ไป ฟุตซอลโลก ถึง 5 ทีม เข้ามาร่วมแข่งขัน การแข่งขันทุกแมตช์จึงเข้มข้นมาก ๆ อีกทั้งต้องลงเล่น 5 แมตช์ ใน 6 วัน ก็ถือว่าหนักมาก ในการเเข่งขันระดับนานาชาติเเบบนี้ ต้องขอชมเชยทุกทีม ที่เล่นกันเต็มที่ในทุกเเมตช์ เป้าหมายสำคัญของทีมชาติไทยครั้งนี้ ก็คือ การทดสอบระบบทีม เเละ การทำงานร่วมกันของทีมกับหัวหน้าผู้ฝึกสอน เเละ ทีมสต๊าฟฟ์ชุดใหม่ ก่อนหน้านี้ เรามีเวลาเตรียมทีมฝึกซ้อมเพียง 9 วัน เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ซึ่งผลงานโดยรวมออกมาได้ขนาดนี้ ค่อนข้างน่าพอใจในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่การเข้ามาชิงกับ อิหร่าน ก็ถือว่าทุก ๆ คนได้ผ่านเกมที่มีมาตรฐานสูง หลากหลายสไตล์ รวมทั้ง ผ่านสภาวะความกดดันในแต่ละแมตช์มาได้"

"สำคัญคือ เราสามารถประเมินทีมในขณะนี้ได้ ซึ่งมีทั้งข้อดีเ เละ จุดด้อย ที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกันอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องของเกมรับ และ สมรรถภาพของร่างกาย รวมถึง รายละเอียดต่าง ๆ ในด้านเเท็คติค ความเข้าใจในการใช้ Video Support เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาระบบทีมให้ลงตัว ก่อนการเเข่งขัน ฟุตซอลโลก โอกาสนี้ ผมขอเเสดงความชื่นชม และ ยกย่องความเป็นนักสู้ของนักฟุตซอลทีมชาติ ที่มีสปิริตทีมที่ยอดเยี่ยม เห็นได้ว่า เกือบทุกเกมที่เราโดนนำก่อน แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมาคว้าชัยชนะได้ นั่นเป็นปัจจัยสำคัญ ที่เราได้ในเเง่ของทัศนคติการเล่น และ ความมุ่งมั่นกระหายชัยชนะ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของทีมชาติไทยชุดนี้ ในการไปสู้ศึกในเวทีโลก"

"หลังจากนี้ เราจะมีเวลาอีกประมาณเดือนเศษ จบทัวร์นาเม้นต์นี้ ก็จะปล่อยนักเตะได้กลับไปพัก ก่อนจะเรียกรวมพลอีกครั้ง ในฐานะฝ่ายพัฒนาฟุตซอลและฟุต.ชายหาด ของ สมาคมกีฬาฟุต.ฯ ก็ต้องเร่งเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งการฝึกซ้อม และ หาเกมอุ่นเครื่องเพิ่มอีก 4-5 แมตช์ โดยเฉพาะทีมจากยุโรป หรือ แอฟริกา เรามีเเผนงานในการจัดทัวร์นาเม้นต์ เพื่อทดสอบระบบทุกอย่างของทีมในขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้พร้อมมากที่สุด ก่อนจะไป เวิลด์คัพ"

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075195