• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#7471
อพาร์ทเม้นท์รามคำแหง1รายเดือน ห้องพัก-หอพัก-อพาร์ทเม้นท์รายเดือนรามคำแหง1

อพาร์ทเม้นท์รามคำแหง1รายเดือน "หอพัก ห้องพัก ที่พักรายเดือน ย่านรามคำเเหง" ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1 บอกเลยว่าที่นี่ดีจริง อยู่ติดถนนใหญ่ อพาร์ทเม้นท์รามคำแหงรายเดือนตรงข้ามมหาลัยรามคำเเหง1

อพาร์ทเม้นท์รามคำแหง1รายเดือน ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1 ใกล้รถไฟฟ้าAirport Link, อพาร์ทเม้นท์รายเดือนตรงข้ามมหาลัยรามคำเเหง1
อพาร์ทเม้นท์รามคำเเหง อพาร์ทเม้นท์รายเดือนตรงข้ามมหาลัยรามคำเเหง1 Natnicha Place อพาร์ทเม้นท์รามคำเเหง ใครกำลังหา "หอพัก ห้องพัก ที่พัก ย่านรามคำเเหง" บอกเลยว่าที่นี่ดีจริง อยู่ติดถนนใหญ่
อพาร์ทเม้นท์ ติดท่าเรือรามคำเเหง 29ไม่ต้องเข้าซอยลึก ติด Big C Huamark Supercenter เดินทางง่าย ใกล้รถไฟฟ้า Airport Link เพียงเเค่ 10 นาที (6 km) ติดท่าเรือรามคำเเหง 29 อยู่ตรงข้ามม.รามคำเเหง 1

อพาร์ทเม้นท์รามคำแหงรายเดือน ใครกำลังหา "หอพัก ห้องพัก ที่พัก ย่านรามคำเเหง" บอกเลยว่าที่นี่ดีจริง อยู่ติดถนนใหญ่
อพาร์ทเม้นท์รายเดือนรามคำเเหง1 ลักษณะที่พัก หอพักร่มรื่น ล้อมรอบด้วยต้นไม้ มีที่จอดรถยนต์ เเละรถมอเตอร์ไซค์ ห้องพักสตูดิโอขนาด 25-34 ตรม. มีระเบียง

ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1 อพาร์ทเม้นท์รายเดือนรามคำแหง1 ติด Big C Huamark Supercenter เดินทางง่าย ใกล้รถไฟฟ้า Airport Link ติดท่าเรือรามคำเเหง 29
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง
– ห้องนอน 1 ห้อง ขนาดเริ่มต้นที่ 25-34 ตรม.
– ห้องน้ำภายในห้อง มีเครื่องทำน้ำอุ่น
– มีเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน
– เครื่องปรับอากาศทุกห้อง
– โต้ะทำงาน
– อินเตอร์เนตไร้สาย
– บริการทำความสะอาด/ เครื่องดูดกำจัดไรฝุ่น/ ฉีดพ่นฆ่าเชื้อ
– เช่าทีวี/ตู้เย็นได้

ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1
สิ่งอำนวยความสะดวกภายนอกห้อง
– ลิฟต์ + เครื่องกรองอากาศในลิฟต์โดยสาร
– รถเข็นโรงเเรมสำหรับขนของ
– บริการขนย้ายสัมภาระ
– บริการเรียกรถ Taxi
– ที่จอดรถ
– บริการรับ-ฝากพัสดุ
– เครื่องซักผ้า
– ตู้กดน้ำ
– ร้านค้าภายในอาคาร (ร้านกาเเฟ, ร้านอาหารตามสั่ง, ร้านเย็บผ้า, ร้านซักรีด, ร้านดอกไม้, ร้านกิฟช็อป, ร้านนวดเเผนไทย, ร้านสักคิ้ว, ร้านรองเท้า, ฯลฯ)

ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1
หมายเหตุ ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามา เเละห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง

รายละเอียดการเข้าพัก
รายเดือน : สัญญาขั้นต่ำ 3 เดือน + เงินประกัน 4,000 บาท
– ห้องมาตราฐาน : 5,900 บาท
– ห้องริม/ ห้องมุม : 6,300 บาท
– ห้องใหญ่ : 8,300 บาท
1 ห้อง สามารถพักได้สูงสุด 3 ท่าน


ห้องพักรายเดือนรามคำแหง1
โปรโมชั่น วันแม่

เเทนคำว่ารัก มอบที่พักดีๆให้กับคนพิเศษ อยู่เเล้วอบอุ่นใจ??
จากการสำรวจ คุณเเม่ของผู้พักอาศัยหลายๆท่านค่อนข้างมั่นใจเเละวางใจที่จะให้บุตรหลานพักอาศัยอยู่กับ Natnicha Place...เพราะที่นี่เดินทางสะดวก สะอาด ปลอดภัย พนักงานอัธยาศัยดี เเละ หลายๆท่านก็จองห้องพักอยู่ด้วยกันกับคุณเเม่เช่นกันค่ะ
ตอนนี้ทางอาคารฯ มีจัดโปรโมชั่นวันเเม่อยู่นะคะ รีบจองเลย! รับสิทธิพิเศษก่อนใคร ก่อนหมดโปร ??

ระยะเวลาโปรโมชั่น : วันนี้ – 31 ส.ค. 64 เท่านั้น

*ของขวัญมีจำนวนจำกัดนะคะ


รายละเอียดเพิ่มเติม
https://hawpak.com/อพาร์ทเม้นท์รามคำแหงรา/

คำค้น
อพาร์ทเม้นท์รามคำแหงรายเดือน ,หอพักอพาร์ทเม้นท์รายเดือนใกล้รถไฟฟ้าAirport Link, อพาร์ทเม้นท์รายเดือนติดท่าเรือรามคำเเหง29, อพาร์ทเม้นท์รายเดือนตรงข้ามมหาลัยรามคำเเหง1


 
#7472


นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) (PREB) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า บริษัทยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งรายได้และกำไรท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิรวม 61.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 85.53% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 33.11 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือไตรมาส1 ปี 2564 มีกำไรเพิ่มขึ้น 3.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.53% โดยส่วนใหญ่เป็นกำไรจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการทยอยโอนบ้านในโครงการ "พรรณนา" เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิโดยรวมเพิ่มขึ้น

ขณะที่ไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้ 1,128.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1,068.80 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 900.10 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง 85.84 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 142.27 ล้านบาท



นายวิโรจน์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปีนี้แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ทุกธุรกิจของบริษัทสามารถรักษารายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ และการรับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาเป็นบวกในไตรมาสแรก

โดยไตรมาส 2 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 145.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51.38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 12.90% สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้อยู่ที่ 9.00% โดยธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ 9.31% ดีขึ้นกว่าปีก่อน ที่อยู่ที่ 7.56% เนื่องจากบริษัทสามารถปรับโครงสร้างราคาได้ทันสถานการณ์ที่สอดคล้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน รวมถึงสามารถรับมือกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ในส่วนของธุรกิจงานขายและผลิตวัสดุก่อสร้างยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 25.81% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีอัตรากำไรขั้นต้นต่อรายได้ในระดับสูงที่ 27.88%

"ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดในเซ็กเมนต์นี้ยังมีกำลังซื้อและมีความต้องการซื้ออยู่ ซึ่งเอื้อต่อธุรกิจขายและผลิตวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่เน้นบ้านแนวราบหรูไฮเอนด์ ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั้น บริษัทมีงานสัญญาสร้างในมือ (backlog) มากกว่า 8,000 ล้านบาท แม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้บริษัทมีภาระเรื่องความไม่แน่นอนของการทำงาน รวมถึงต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลาจากการสั่งหยุดงานจากมาตรการของภาครัฐ ซึ่งทำให้บริษัทต้องหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนตลอดเวลา จึงได้มีการปรับฐานราคาการรับงาน และปรับราคาสัญญาก่อสร้างรายใหม่ ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่องและสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ในระดับสูงในทุกธุรกิจ" นายวิโรจน์ กล่าว



นายวิโรจน์ ยังได้กล่าวถึงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไตรมาส 2 นี้ มีรายได้จากยอดโอนถึง 142.27 ล้านบาท สำหรับโครงการ "พรรณนา" บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านพุทธมณฑลสาย 3 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเองเป็นโครงการแรก และได้ผลตอบรับที่ดีจากเฟส 1 ที่ปิดการขายไปเป็นที่เรียบร้อย และได้เปิดเฟส 2 ทันทีในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งยังคงได้การตอบรับที่ดีเช่นเดียวกัน โดยลูกค้ายังมั่นใจและให้ความสนใจเข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่อง แม้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยขณะนี้มีการจองซื้อโครงการแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 760 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการกว่า 1,250 ล้านบาท ซึ่งทำให้มียอด Backlog สะสม ที่จะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปีหน้า

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการ "พิมนารา ศรีนครินทร์-บางนา" โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเองทั้งหมดเช่นกัน โดยจะเปิดรอบ Exclusive Preview ให้ลูกค้าที่สนใจที่ลงทะเบียนมาก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2564 จองแปลงสวยโซนด้านหน้าในราคาพิเศษก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งจากแบบบ้าน รวมถึง Concept โครงการที่มีอัตลักษณ์ความเป็น JAPANDI ผสมผสานวัสดุร่วมสมัยในงานสถาปัตยกรรม ภายใต้แนวคิด LESS FOR MORE LIVING

ทั้งนี้ มั่นใจว่าจากแผนดำเนินงานต่างๆ ที่เป็นไปตามเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพจะส่งผลให้ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทยังสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งรายได้ และกำไรเมื่อเทียบกับปีที่แล้วในทุกๆ ส่วนงาน ทั้งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และส่วนงานผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง สวนกระแสจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัจจัยลบต่างๆ ตลอดปีนี้
#7473


เมื่อเวลา 08.40 น. วันนี้ (16 ส.ค.) นายณฐนนท์ ชลลัมพี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชลลัมพี โปรดั๊กชั่น จำกัด ในฐานะผู้ผลิตละครเรื่อง ให้รักพิพากษาพร้อมด้วยนายกรรชัย กำเนิดพลอย และทีมงานผู้ผลิตละครเรื่องดังกล่าวได้เข้าพบ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด และนายบุญเกียรติ อุดมแสวงโชค ผู้ตรวจการอัยการ ที่ห้องรับรอง ชั้น 9 สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการผลิตละครเรื่อง ให้รักพิพากษา ซึ่งออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีสี ช่อง 3 ว่า ผู้สร้างมิได้มีเจตนาที่จะเขียนบทออกมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพนักงานอัยการแต่อย่างใด หากแต่เป็นบทบาทที่บทละครใส่รายละเอียดลงไปให้ละครน่าติดตามมากยิ่งขึ้นเท่านั้น



ซึ่งอัยการสูงสุด ได้แจ้งกับ นายณฐนนท์ ชลลัมพี และทีมงานที่เข้าพบว่า ได้ดูคลิปบางช่วงบางตอนของละครเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่า มีบทละครที่นักแสดงผู้รับบทเป็นพนักงานอัยการที่แสดง ไม่ได้สอดคล้องกับหลักกฎหมายและระเบียบองค์กรอัยการ ซึ่งอาจส่งผลต่อสังคมให้เข้าใจผิดในบทบาทและภารกิจขององค์กรอัยการที่เป็นหน่วยงานหลักในกระบวนการยุติธรรม เมื่อทางผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตละครได้มาชี้แจงและหาทางแก้ไขร่วมกัน ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี โดยเฉพาะบทบาทของพนักงานอัยการที่สำคัญประการหนึ่งคือการประนีประนอมไม่ให้มีข้อพิพาทในสังคมรวมอยู่ด้วย

ด้านนายณฐนนท์ ชลลัมพี ได้ชี้แจงต่ออัยการสูงสุด พร้อมฝากไปถึงพนักงานอัยการทุกท่านว่า หากบทละครสร้างความไม่สบายใจและสร้างความสับสนให้แก่ประชาชน ทางผู้ผลิตละครขอน้อมรับคำติชมและคำวิจารณ์ทุกอย่าง แต่เนื่องจากละครได้ถ่ายทำเสร็จสิ้นทุกตอนแล้ว ทั้งอยู่ระหว่างมาตรการของรัฐไม่ให้ดำเนินการถ่ายทำละครอีก



ผู้ผลิตละครพร้อมแสดงความรับผิดชอบด้วยการใส่ข้อความชี้แจงก่อนละครจะเผยแพร่ครั้งต่อไปว่า ตัวละคร และ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในละครเรื่อง ให้รักพิพากษา เป็นเรื่องราวสมมุติ ถูกเติมแต่ง และเป็นสถานการณ์เฉพาะบุคคล เพื่ออรรถรสของละคร โดยมิได้มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพใด ๆ และมิได้มีเจตนาชี้นำ ชักจูง และเกิดทัศนคติในทางลบต่อกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากบทละครหรือบทบาทการแสดงของนักแสดงกระทบต่อบทบาท ภาพลักษณ์ของพนักงานอัยการ และองค์กรอัยการ ทางผู้ผลิตละครถือโอกาสขอโทษมา ณ โอกาสนี้

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก อสส.เปิดเผยต่อว่าภายหลังเข้าพบอัยการสูงสุดเเล้ว ทีมผู้จัดละครยังได้เข้าพบ นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)เพื่อชี้เเจงรายละเอียดเรื่องดังกล่าวให้ นาย พชรในฐานะ ประธาน ก.อ.ได้รับทราบ ซึ่งเรื่องนี้นายพชรซึ่งได้รับคำชี้เเจงดังกล่าวเเล้วก็เข้าใจเเละทราบว่าเรื่องนี้เป็นเพียงละคร เเต่ในฐานะประธาน ก.อ.ซึ่งได้รับเสียงสะท้อนในผลกระทบจากน้องๆอัยการทั่วประเทศ เมื่อมีการมาพบพูดคุยกันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ซึ่งเมื่อมีข้อผิดพลาดมีปัญหาข้อขัดข้องก็ได้เข้ามาพูดคุยเเเละเข้าใจตรงกัน
#7474
6 วัน 6 วิชา ขายออนไลน์อย่างไร...ให้ปัง
#7475


สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ แม้จะล็อกดาวน์มาแล้วเกือบ 1 เดือน แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับไม่ได้ลดลง แถมเดินหน้าทำนิวไฮทุกวัน

โดย ศบค. จะมีการพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 18 ส.ค. นี้ ว่ามาตรการต่างๆ ที่ดำเนินการมานั้นได้ผลแค่ไหน? เพียงพอหรือยัง? หรือ ควรต้องขยายเวลาล็อกดาวน์ออกไปอีกหรือไม่? ซึ่งดูจากสถานการณ์ล่าสุดแล้วคงต้องเป็นเช่นนั้น

ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขได้คาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อถึงวันที่ 7 ก.ย. 2564 ว่าหากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์จำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงปลายเดือน ส.ค. ถึงต้นเดือน ก.ย. จะพุ่งสูงถึง 6-7 หมื่นรายเลยทีเดียว น่าจะเป็นอีกสัญญาณสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าคงต้องมีการต่อเวลาล็อกดาวน์ออกไปอีก

แน่นอนว่าหากโรคระบาดยิ่งลากยาว ผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะยิ่งมากขึ้น จากปัจจุบันก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว หลายธุรกิจแทบไม่เหลือสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีรายได้เข้ามาเลย ส่วนหนี้ยังต้องชำระ

แม้ที่ผ่านมาจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 2 เดือน แต่ก็เป็นมาตรการระยะสั้นเท่านั้น โดยช่วงที่พักชำระดอกเบี้ยยังวิ่งไปเรื่อยๆ ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยลูกหนี้ในระยะยาว ธปท. อยู่ระหว่างการพิจารณาออกมาตรการชุดใหม่ โดยจะขอความร่วมมือสถาบันการเงินในการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม ภายใต้แนวทาง "การปรับโครงสร้างหนี้"

ด้วยการ "แฮร์คัท" หรือ การลดยอดหนี้ลง, การลดอัตราดอกเบี้ย, ยืดเวลาชำระหนี้ โดยลดยอดเงินชำระในแต่ละงวด จนกว่ารายได้จะดีขึ้น ค่อยกลับมาชำระตามปกติ

นอกจากนี้ จะออกมาตรการเพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการไม่ต้องจัดชั้นลูกหนี้ที่อยู่ในมาตรการช่วยเหลือเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพื่อลดภาระการตั้งสำรอง

ทั้งนี้ คงต้องรอดูความชัดเจนจาก ธปท. อีกครั้ง เพราะมาตรการต่างๆ ที่ระบุออกมานั้นยังเป็นเพียงแค่แนวคิดเบื้องต้น และถ้าหากมีมาตรการออกมาจริง คงไม่ได้เป็นการบังคัง แต่ให้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละแบงก์

ถือเป็นความปรารถนาดีของ ธปท. ที่จะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิด-19 แต่ในมุมของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และนอนแบงก์ดูจะเป็นข่าวลบ เพราะจะส่งผลกระทบต่องบการเงินโดยตรง

โดยปัจจุบันแต่ละแห่งมีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมจากที่ ธปท. กำหนดไว้อยู่แล้ว ซึ่งจะพิจารณาการช่วยเหลือเป็นรายกรณี และถ้าหาก ธปท. ขอความร่วมมือให้ออกมาตรการเพิ่มเติม เชื่อว่าในทางปฏิบัติหลายมาตรการคงไม่สามารถนำมาใช้ได้เป็นการทั่วไป เช่น การแฮร์คัทหนี้ เพราะผลกระทบของลูกหนี้แต่ละรายไม่เหมือนกัน และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานะการเงินของแบงก์

ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุว่า การแฮร์คัทจะส่งผลเสียต่อทุกบรรทัดในงบการเงินของธนาคาร เนื่องจากเป็นการตัดบัญชีลูกหนี้ออกไปทั้งก้อน แม้ปกติธนาคารจะทำอยู่แล้วแต่ไม่มาก ขณะที่รอบนี้ ธปท. เพียงขอความร่วมมือ ยังไม่ได้บังคับ เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะเลี่ยงไปทำเรื่องการปรับโครงสร้างมากกว่า แต่ฝ่ายวิจัยมองว่าหากสรรพากรมีการลดภาษีเท่ากับมูลหนี้ที่จะแฮร์คัท น่าจะทำให้ทุกธนาคารเร่งแฮร์คัทมากขึ้น

ทั้งนี้ ประเมินว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK จะได้รับจิตวิทยาเชิงลบจากประเด็นนี้มากที่สุด เพราะเมื่อพิจารณาจากโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ (Debt relief program) ของแต่ละธนาคารในงวดไตรมาส 2 ปี 2564 จะเห็นว่า SCB ได้รับจิตวิทยาเชิงลบจากประเด็นนี้มากที่สุด เพราะมีสัดส่วน Debt relief สูงที่สุดในกลุ่มที่ 16% ของสินเชื่อรวม รองลงมาเป็น KBANK ที่ 14% ของสินเชื่อรวม

ส่วนบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ฝ่ายวิจัยมองว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเพราะมีสัดส่วน Debt relief น้อยที่สุดในกลุ่มที่ 3% ของสินเชื่อรวม
#7478


เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เพจ "GMMTV" ออกมาโพสต์ข้อความเตือนไปถึงกลุ่ม หรือบุคคลที่มีการโพสต์พาดพิงนักแสดงในสังกัดให้ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทางค่ายจะดำเนินคดีทางกฎหมาย ทั้งนี้ ทาง "GMMTV" ได้ระบุข้อความว่า

"บริษัท จีเอ็มเอ็มทีวี จำกัด ขอแจ้งว่า เนื่องจากพบว่ามีบุคคลที่กล่าวหรือพาดพิงถึงนักแสดงในสังกัด GMMTV ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Twitter หรือ TikToK โดยใช้ข้อความในลักษณะที่ทำให้นักแสดงผู้ถูกกล่าวถึง และ GMMTV ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือถูกเกลียดชังจากประชาชน

ผู้รับทราบข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว จีเอ็มเอ็มทีวีขอให้ท่านหยุดการกระทำดังกล่าว ไม่ว่าการโพสต์ หรือแชร์ในข้อมูลดังกล่าว หากจีเอ็มเอ็มทีวีได้รับการแจ้ง หรือพบว่ายังมีการกระทำการในลักษณะเดียวกันอีก ไม่ว่าจะใช้ชื่อหรือบัญชีผู้ใช้บัญชีเดิมหรือเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ไม่ว่าชื่อใดก็ตาม จีเอ็มเอ็มทีวีจะไม่นิ่งเฉยและพร้อมจะดำเนินกระบวนการทางกฎหมายจนถึงที่สุด ไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา ต่อท่านผู้โพสต์ หรือผู้แชร์ข้อมูลการโพสต์ดังกล่าว เพื่อปกป้องสิทธิ และชื่อเสียงของนักแสดงและบริษัทต่อไป"
#7479


การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยนับตั้งแต่ระลอกแรกในเดือน ม.ค.2563 ถึงระลอกปัจจุบัน วันที่ 15 ส.ค.2564 มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยรวม 907,157 คน ซึ่งรัฐบาลต้องจัดงบประมาณหลายส่วนเพื่อรับมือการระบาด โดยเฉพาะการออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ฉบับ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่อนุมัติสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขไปแล้วมากกว่า 1 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้สรุปการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ได้จัดสรรสำหรับแผนงานด้านสาธารณสุขรวม 45,000 ล้านบาท แต่การระบาดที่มีอย่างต่อเนื่องส่งให้งบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอและต้องโยกงบประมาณจากแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจเข้ามารวมแล้วจัดสรรให้ด้านสาธารณสุขรวม 63,900 ล้านบาท ผ่านการอนุมัติ 51 โครงการ แบ่งเป็น 5 ด้าน คือ

1.แผนงานเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ 4 โครงการ วงเงิน 6,301 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 6,666 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74.05%

2.แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อหาอุปกรณ์การแพทย์และสาธารณสุขวัคซีนป้องกันโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 20 โครงการ วงเงิน 15,250 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1,606 ล้านบาท คิดเป็น 10.53%

3.แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค 5 โครงการ วงเงิน 30,360 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 17,334 ล้านบาท คิดเป็น 57.10%

4.แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล 14 โครงการ วงเงิน 10,257 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1,822 ล้านบาท คิดเป็น 17.77%

5.แผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 8 โครงการ วงเงิน 1,727 ล้านบาท เบิกจ่าย 180 ล้านบาทคิดเป็น 10.43%

ทั้งนี้ รวมแล้วโครงการตามแผนงานด้านสาธารณสุขที่อนุมัติไว้ 63,897 ล้านบาท เบิกจ่าย 25,610 ล้านบาท คิดเป็น 40.08%


"สาธารณสุข" ทยอยขอใช้งบกลาง

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ใช้งบกลาง 2564 เพื่อใช้ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.2563 ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.2564 วงเงิน 12,669 ล้านบาท ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564

2.โครงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นอกสถานพยาบาล 1,877 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 10 ส.ค.2564

3.โครงการเตรียมพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.25654 วงเงิน 12,567 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 5 พ.ค.2564

4.โครงการจัดหาวัคซีน Sivovac จำนวน 500,000 โดส วงเงิน 321 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 17 เม.ย.2564

5.โครงการจัดหาวัคซีน AstraZeneca จำนวน 35 ล้านโดส วงเงิน 6,387 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 2 มี.ค.2564

6.โครงการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระยะการระบาดระลอกใหม่ วงเงิน 4,661 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 5 ม.ค.2564

7.โครงการจัดหาวัคซีน AstraZeneca 2,379 ล้านบาท ครม.อนุมัติวันที่ 17 พ.ย.2563

งบค่าตอบแทนบุคลากร-จ้างเหมา

ทั้งนี้ หากดูรายละเอียดการประชุม ครม.ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ส.ค.2564 อนุมัติโครงการการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาโควิด-19 ระลอก เม.ย.2563ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ก.ค.-ก.ย.2564 ซึ่งเป็นการขยายโครงการต่อจากโครงการเดิมที่ ครม.เคยอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2564 เพื่อดำเนินการจ่ายค่าตอบแทน ได้แก่ ค่าตอบแทนเสี่ยงภัย ค่าล่วงเวลา (OT) ค่าตอบแทนคณะทำงาน ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา บุคคลภายนอก ค่าใช้สอย ได้แก่ ค่าอำนวยการและสั่งการเชิงบูรณาการ และค่าจ้างเหมาบริการอื่นๆ

นอกจากนี้ กระทรงวสาธารณสุขรายงานว่าการดำเนินการดังกล่าวจะรองรับมาตรการการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อโควิด-19 ลดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย ให้ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงระบบการบริการของสถานพยาบาลและหน่วยบริการ ได้อย่างทั่วถึงสะดวกและรวดเร็ว


นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ในการบริหารจัดการเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงิน 500,000 ล้านบาท ของรัฐบาล ซึ่งในส่วนนี้มีคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการที่มีเลขาธิการ สศช.พิจารณาดูแลตามความเหมาะสมอยู่ 

สำหรับวงเงินงบประมาณสำหรับแผนงานด้านสาธารณสุขที่มีการตั้งวงเงินไว้ 30,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ก็สามารถที่จะบริหารจัดการโดยโยกเอางบประมาณในส่วนของเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาด และงบประมาณแผนงานการฟื้นฟูเศรษฐกิจมาใช้ได้หากมีความจำเป็นซึ่งในการกู้เงินครั้งหลังนี้วางเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นมากขึ้น 

ส่วนงบประมาณที่ไว้ใช้รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อออกไปนอกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่มีงบกลาง วงเงิน 89,000 ล้านบาท ยังมีงบกลางฯโควิด-19 ที่มีการแปรญัตติไว้ที่วงเงิน 16,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้การใช้จ่ายจะคล้ายกับงบกลาง 40,000 ล้านบาท ที่เป็นงบกลางสำหรับใช้ในสถานการณ์โควิดในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งวงเงินนี้ส่วนใหญ่ไว้ใช้ในเรื่องของสาธารณสุข การซื้อยาเวชภัณฑ์และเครื่องมือการแพทย์ในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่วนนี้ถือว่ามีความจำเป็นที่รัฐบาลจะมีเงินอีกส่วนไว้ใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีการระบาดต่อไปอีกระยะ 

คาดต้องการงบสาธารณสุขสูง

นายเดชาภิวัฒน์ กล่าวว่า วงเงินจำนวนนี้หากเทียบกับรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่มีจำนวนมากก็จะเห็นว่าไม่ใช่วงเงินที่มากนัก โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมามีการอนุมัติงบกลาง 2564 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นค่าใช้จ่าย ค่าจ้างล่วงเวลาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.ก็ใช้งบประมาณมากถึง 12,600 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าความต้องการใช้วงเงินงบประมาณด้านสาธารสุขยังคงมีมากในสถานการณ์ช่วงนี้ 
#7480


บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) ฝ่าวิกฤตโควิค-19 โชว์ผลงานครึ่งปีแรกรายได้รวมแตะระดับ 528 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 45.14 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2564 รายได้รวม 294.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% (QoQ) และกำไรสุทธิ 22.49 ล้านบาท รับอานิสงส์จากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลมีงานทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้าน CEO "พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน" ประกาศเดินเกมรุกธุรกิจในครึ่งปีหลังเร่งต่อจิ๊กซอว์การลงทุนด้านพลังงาน หม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆ ขยายฐานลูกค้าทั้งใน-ต่างประเทศ พร้อมส่งซิกจ่อคว้างานหม้อแปลงไฟฟ้าเข้าพอร์ตเพิ่ม 100 ล้านบาท ขณะที่ติดตั้งแผงโซลาร์ฟาร์มยังฉลุย หนุนทั้งปีรายได้แตะ 1,200 ล้านบาทตามแผน

บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC ผู้ผลิตจัดจำหน่ายและให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ว่า แม้ในขณะนี้ประเทศไทยยังต้องเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ทำให้แต่ละองค์กรต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่ง QTC ได้วางกลยุทธ์เชิงรุก โดยเจาะตลาดทั้งในธุรกิจการจำหน่ายและให้บริการหม้อแปลงไฟฟ้า และธุรกิจเทรดดิ้ง จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายโซลาร์เซลล์ให้แก่ LONGI Solar, Trina Solar การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Huawei Solar Inverter รวมไปถึงการจำหน่าย DE BUSDUCT ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจากการวางกลยุทธ์ดังกล่าวภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแผนที่บริษัทฯ วางไว้ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 294.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนนี้ (QoQ) ขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 22.49 ล้านบาท ยังคงทรงตัวหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ (QoQ) ในขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม เท่ากับ 528.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 45.14 ล้านบาท

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) เปิดเผยถึงปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องว่า มาจากการทำการตลาดแบบเชิงรุกในงานซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้า และยังมีการขยายตลาดในส่วนของธุรกิจการจำหน่ายแผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง

ส่งผลให้ในไตรมาสดังกล่าวบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีการชะลอตัวด้านการลงทุนในโครงสร้างขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน แต่บริษัทฯ ยังมีออเดอร์การจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถคว้างานจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้อีกกว่า 123 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งสินค้าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 นี้ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มียอดมูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นแตะระดับ 500 ล้านบาท

ส่วนภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2564 นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ QTC ครบรอบ 25 ปี และย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai สู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจด้านพลังงานเพื่อสามารถต่อยอดธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการศึกษาแผนการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทฯ ในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เร่งเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ ASEAN และคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ จะมีโอกาสคว้างานประมูลของการไฟฟ้าภูมิภาค เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 100 ล้านบาท รวมถึงการบุกตลาดเพื่อลุยงานแผงโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งเป็นสินค้าที่ต้องการของตลาดในขณะนี้ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้ 1,200 ล้านบาท จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน
#7481
ใครที่ตอนนี้ได้รับผลกระทบจากโควิด ตกงาน ปิดกิจการ รายได้ลดลง หนี้สินท่วมตัว เงินไม่พอใช้

อยากมาศึกษาออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร กลัวเจ๊ง คอร์สนี้มีคำตอบ

ออนไลน์ ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ "ทางรอด"

คอร์สออนไลน์  6 วัน 6 วิชา        
- 6 เสาหลักสร้างเพจปัง       
- ยิงแอด facebook ให้ได้ผล        
- แต่งภาพสวยง่าย ๆ จากมือถือ         
- การตลาดบน Tik Tok ให้มีคนติดตามหลักแสน       
- เปิดร้านบนไอจี Instragram
- เคล็ดลับแม่ค้าออนไลน์ร้อยล้าน

สอนแบบจับมือทำ ตั้งแต่พื้นฐาน จนเป็นมืออาชีพ
สอนจากประสบการณ์จริง โดยอาจารย์ที่มีรายได้กว่า 100 ล้านบนโลกออนไลน์
สอนสด ผ่านแอปซูม เรียนได้จากที่บ้าน

เวลาเรียน 19.00 - 22.30

ปรกติคอร์สนี้ราคา 9,800.-
พิเศษ !!!  เฉพาะช่วงโควิด ปรับโปรช่วยชาติ เหลือเพียง 98 บาท!!!
ย้ำ !!! รับจำนวนจำกัดเพียง 20 ท่าน ที่จัดสรรเวลาได้ !!!

คลิ๊กดูรายละเอียดคอร์ส
https://drive.google.com/file/d/1fZIP-BhrqgnSHAb-4HZezzgtKL9qKHFR/view?usp=drivesdk

สนใจ สามารถแอดไลน์สอบถามที่ @049dhubr หรือลิงค์ไลน์
https://lin.ee/4zIaPti

หรือโทร 098-378-1371, 098-378-1373

***เรียนไม่คุ้ม คืนเงินทันที ***
#7482


"เศรษฐา ทวีสิน" ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งต้มยำกุ้ง ปี 2540 ผลกระทบจากโควิดเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นไม่มีงานทำ สูญเสียบ้าน รถยนต์ เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก! แม้จะมีวัคซีนป้องกันโควิด แต่การแจกจ่ายวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างล่าช้า

"การนำเข้าวัคซีน ยังคงเป็นเรื่องแรกที่ทุกคนเรียกร้องมานานแล้ว ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่อยู่บนสมมติฐานว่า วัคซีนต้องมา และฉีดให้ครอบคลุมโดยเร็ว ภายใน 120 วัน 180 วัน หรือ 200 วัน ขึ้นอยู่กับรัฐบาล"

รวมถึงเตรียมการ "สั่งซื้อวัคซีนเข็มที่ 3" หรือเตรียมวัคซีน 2-3 เท่า ของจำนวนประชากร (ราว 200 ล้านโดส) ในปีหน้า เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครแฮปปี้เรื่องวัคซีน ถึงขั้นบุคคลกรทางแพทย์ต้องจับฉลากเพื่อฉีดวัคซีน "ผมว่าโควิดทำให้คนตาสว่าง ว่า...สังคมไทยไม่มีความเท่าเทียมกัน"

อีกเรื่องสำคัญที่สุดคือต้องมองไปให้ไกล ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เฉพาะเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่คือการขับเคลื่อนประเทศที่เข้าไปอยู่บนเวทีแข่งขันโลกที่เราจะแข่งขันได้อย่างมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย

"ไม่ใช่ว่าหลุดจากกับดักโควิดแล้วก้าวไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจ เพราะสู้เขาไม่ได้ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ โฟกัสวันนี้ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากการหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน แต่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยจะต้องเกิดขึ้น! เพราะโลกหยุดมา 2 ปีแล้ว มีคนบอบช้ำ มีคนเจ็บปวด มีธุรกิจที่โซซัดโซเซ ล้มหายตายจากไปเยอะมาก เราจะทำอย่างไรให้ตรงนี้กลับมาได้ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้น"

เศรษฐา ย้ำว่า การเปิดประเทศ120 วัน นั้น ตามทฤษฎียังมีความเป็นไปได้ แต่นัั่นหมายความว่า ต้องฉีดให้ได้วันละ 6 แสนคน ที่ผ่านมามีบางวันสามารถฉีดได้แสดงว่าบุคคลากรทางการแพทย์มีศักยภาพในการฉีดเพียงแต่ว่า "วัคซีนไม่มา! แม้ความหวังหริบหรี่ แต่สุดท้ายวัคซีนก็มาอยู่ดี"


อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เชื่อว่ายังคงเป็นภาพของ "K-Shaped" โดยที่กลุ่มคนรวยจะอยู่ในส่วนของ "K ขาขึ้น" คนรวย-รวยมากขึ้น ส่วน "K ขาลง" จะอยู่ในแรงงานระดับล่างที่ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนช่องว่างของความเลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ การฟื้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆ กัน ต้องเริ่มจากที่ รัฐบาล เตรียมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เหมือนสหรัฐ และยุโรปที่มีแผนงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ออกมาชัดเจน

รัฐบาลต้องมีการพยุงราคาสินค้า หรือจะเรียกว่าประกันราคาสินค้า จำนำ หรือจ้างผลิต สำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ อย่าง ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และอ้อย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลับไปสร้างผลิตผลทางการเกษตรพอที่เลี้ยงครอบครัว

รัฐบาลต้องปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ เรียกเก็บจากคนที่แข็งแรงอยู่บนยอดพีระมิด ไม่ว่าจะเป็นภาษีความมั่งคั่ง ภาษีมรดกเพื่อนำรายได้จากภาษีเหล่านี้มาชดเชยรายจ่ายที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติโควิด

รัฐบาลต้องพิจารณากฏหมายเกี่ยวกับการกระตุ้นการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ให้อินเซนทีฟ และเอื้อนักลงทุน ดึงดูดให้มาลงทุนในประเทศไทย

"ไทยมีความได้เปรียบในเรื่องทำเลที่ตั้ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมาบริหารจัดการเรื่องวัคซีนผิดพลาดเท่านั้น"

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมทางด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการลงทุน เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่นๆ จึงควรต้องขอขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 60% เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่มีการปรับอัตราสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงขึ้นเพื่ออัดฉีดเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ในประเทศ

อีกมาตรการเร่งด่วน รัฐบาลต้องช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น พักหนี้ ให้เงินทุนหมุนเวียน เมื่อเศรษฐกิจกลับมา รวมทั้งธุรกิจสายการบิน หากไม่ช่วยเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจะมีเครื่องบินที่ไหนไปรับนักท่องเที่ยวมาประเทศไทย

"ปัญหาการเมืองเป็นสิ่งไม่ควรมองข้าม เศรษฐกิจและการเมืองเป็นของคู่กันมาตลอด หากแก้ไขเศรษฐกิจได้แต่ถ้าการเมืองไม่ถูกแก้ไขก็จะเกิดการเมืองบนท้องถนน เกิดการประท้วง เกิดความรุนแรง มาฉุดรั้งเศรษฐกิจอยู่ดี หากรัฐบาลทำอย่างผมเสนอ เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา วันนี้ไม่ใช่เรื่องของเราแต่เป็นเรื่องประเทศ เมื่อไรที่ประเทศไปได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้ ยกเว้นคนที่มีปัญหากระแสเงินสดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าถ้าภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ช่วยกันช่วยเหลือสังคม คนตัวเล็ก พวกเราจะผ่านวิกฤติครั้งไปได้"

เช็คสถิติ 'ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล' ออกงวด 16 ส.ค. ย้อนหลัง 10 ปี 'หวย16/8/64'
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ น่าห่วง! พบติดเชื้อเพิ่ม 21,157 ราย เสียชีวิต 182 ราย ไม่รวม ATK อีก 803 ราย
'โควิดติดเชื้อวันนี้' ชลบุรี 1,223 เสียชีวิตอีก 9 ราย จับตาสถานที่ทำงานยอดพุ่ง
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาโควิดของแสนสิริ มองเรื่อง "วัคซีน" เป็นอันดับแรก เพื่อฉีดให้พนักงานและครอบครัว รวมถึงพันธมิตร พนักงานดูแลความสะอาดและความปลอดภัยในโครงการ โดยจองซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม 37,000 โดส ฉีดได้ราว 18,000 คน พร้อมบริจาคให้ราชวิทยาลัยฯ 1,000 โดส เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสังคมของแสนสิริโดย 9,000 โดสฉีดให้พนักงานและครอบครัว อีก 9,000 โดสฉีดให้พันธมิตรและชุมชนรอบแสนสิริ รวมถึงกลุ่มที่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนน้อย เช่น รปภ. แม่บ้าน คนสวน ช่าง คนงานในแคมป์ก่อสร้าง ทำให้แรงงานแคมป์ของแสนสิริ มีภูมิคุ้มกันหมู่กว่า 70% บางไซต์ 100%

พร้อมกันนี้ได้หารือกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการสร้างโรงพยาบาลสนาม ในช่วงเกิดโควิดระลอก 2 ย่านนนทบุรี และสมุทรปราการ แต่ยังไม่ทันลงมือสร้าง สถานการณ์ดีขึ้นจึงไม่ได้ทำ พร้อมกันนี้ มีการบริจาครถตรวจโควิด และช่วงโควิดระลอก 3 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ สร้างห้องอาบน้ำ 500 ห้องสำหรับผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลบุษราคัม โรงพยาบาลสนามเมืองทองธานี ล่าสุดทำห้องไอซียู 17 ห้อง

กรณี หากมีลูกบ้านที่ติดเชื้อระดับสีเขียวและประสงค์ที่จะกักตัวและรักษาตัวแบบ Home Isolation จะมี "พลัส พร็อพเพอร์ตี้" ทำหน้าที่ประสานงานโรงพยาบาล ที่มีบริการเทเลเมดิซีน เข้ามาดูแล

"วันนี้เราอยากเชิญชวนภาคเอกชนและองค์กรต่างๆ ให้ความช่วยเหลือสังคมเพื่อให้เกิดการบูรณาการผู้ที่อ่อนแอให้แข็งแรง ตรงไหนรัฐบาลมองไม่เห็นหรือว่าไม่สามารถเข้าถึงได้ก็เข้าไปช่วยพยุง ไม่ว่าจะเป็นสตรีทฟู้ด โชว์ช้าง โชว์ลิง ลิเก หมอรำ ลำตัด ให้อยู่ได้จนถึงช่วงที่เศรษฐฟื้นตัว"
#7483


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสที่ 2/2564 ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนรวม 8.1% ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 27.5% สาขาอุตสาหกรรมขยายตัว  16.8% สาขาขนส่งขยายตัว 11.6% 

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 2% โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวในภาคการส่งออก  การให้การบริการด้านอาหาร ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวโดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1.5 แสนคน จากประมาณการเดิม 5 แสนคน 

 "เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มีโมเมนตั้มของบางส่วนของการผลิตและกิจกรรมาทางเศรษฐกิจที่ลดลง ตั้งแต่การระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้นตั้งเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา" นายดนุชากล่าว


นอกจากนี้ สศช.ยังปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีในปีนี้ลงจากเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 1.5 - 2.5% เหลือ  0.7 - 1.2 % เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ 

โดยคาดว่าเดือน ก.ย.จะเริ่มมีผู้ติดเชื้อลดลงหลังจากที่เดือน ส.ค.มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุด และเริ่มมีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมทั้งสามารถที่จะไม่มีการระบาดที่รุนแรงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานการผลิต รวมทั้งการกระจายวัคซีนได้ 85 ล้านโดสในปี 2564

สำหรับคาดการณ์แนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564  ณ วันการแถลงในวันที่ 16 ส.ค.ที่สำคัญได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1.1%  การบริโภคภาครัฐขยายตัวได้ 4.3% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.7% การลงทุนภาครัฐลดลงเหลือ 8.7% ขณะที่การส่งออก สศช.คาดว่าจะขยายตัวได้ 16.3% 


สศช.ยังเสนอแนะประเด็นบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 7 ประเด็นสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจมหภาคได้แก่ 

1.การควบคุมสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมทั้งการเร่งรัดจัดหาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง

2.การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจในช่วงที่การระบาดของโรคมีความรุนแรงและมีการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด  ควบคู่ไปกับการปรับมาตรการและดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม เข้าถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพิจารณามาตรการช่วยเหลือ
ภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการสร้างงานใหม่
และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในลักษณะเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ประกอบการธุรกิจในสาขาที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

3.การดำเนินมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดผ่อนคลายลง โดยให้ความสำคัญกับมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ 

4.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า ควบคุมการแพร่ระบาดในฐานการผลิตที่สำคัญ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการขนส่งสินค้า การแก้ไขปัญหาการขาดแรงงานต่างชาติในภาคการผลิต การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ การเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ

5.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ

6.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน  และ 7.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
#7484


นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กนอ. (บอร์ด กนอ.) เมื่อ 11 ส.ค.ได้มีมติอนุมัติโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ภายใต้ชื่อนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด พื้นที่โครงการอยู่ในตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ประมาณ 1,181 ไร่ มูลค่าการลงทุนโครงการ 4,856 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกและเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ เมื่อเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 33,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 8,300 คน

สำหรับพื้นที่โครงการอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 44 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 60 กิโลเมตร และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดประมาณ 119 กิโลเมตร มุ่งเน้นรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงและสมัยใหม่ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าประจุสูง รวมถึงกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ด้วย

โครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แบ่งเป็นพื้นที่ประกอบกิจการประมาณ 70% และเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียวรวมประมาณ 30% โดยได้นำแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ การจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ การจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรมไม่น้อยกว่า 10% และการนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาปรับปรุงคุณภาพ ก่อนนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ภายในโครงการ

"เมื่อเปิดดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แล้วคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในประเทศอีกประมาณ 33,200 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 8,300 คน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากนี้ โครงการฯ มีความเป็นไปได้ทางการตลาดสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่เป้าหมายคือพื้นที่อีอีซี โดยคาดว่าจะขายพื้นที่และให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 4 ปี" ผู้ว่าการ กนอ.กล่าว