• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#3101


"วัคซีน" ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ ทั้งการจัดหาวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เมื่อได้วัคซีนมาแล้วการกระจายแจกจ่ายฉีดให้กับประชาชนมีการจัดสรรอย่างไร และการฉีดให้ประชาชนมีความรวดเร็ว ครอบคลุมแค่ไหน ส่วนการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเกิดจากอะไร แม้กระทั่งประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนจากนานาประเทศเพื่อนำมาฉีดให้กับ "บุคลากรทางการแพทย์" ซึ่งเป็น "ด่านหน้า" กลับถูก "ทวงถาม" จากบุคคลเหล่านั้น 

การบริหารจัดการวัคซีนของภาครัฐที่ยังไม่ถูกใจประชาชนหลายภาคส่วน เกิดมีข้อกังขามากมาย ล่าสุด วันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกา จำนวน 1,503,450 โดส เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ แต่กลับมีกระแสข่าวการจับฉลากได้ฉีดวัคซีน จำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรคไม่สอดคล้องกับบุคลากร เป็นต้น  

ทั้งนี้  ผศ.นพ.ฉัตรชัย มิ่งมาลัยรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม​ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า ...

"โดนเทซ้ำซาก....ที่ธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ร่วมต่อสู้โควิด-19มาตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้วโดยประกาศจัดตั้งรพ.สนามเป็นแห่งแรกของประเทศ เราได้ร่วมต่อสู้มาทุกระลอก จนปัจจุบัน เรามีรพ.สนาม ที่ดูแลเคสสีเหลืองกว่า400เตียง ที่เตียงเต็มตลอด มีรพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติที่ดูเคสสีแดงกว่า100 เตียงซึ่งเตียงก็เต็มตลอด เราตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนที่ฉีดวันละ2-3พันคนต่อวัน มียอดคนฉีดกับเราไปแล้วกว่า1แสนคน มีจัดตั้ง Home isolation ที่มีผู้ป่วยในการดูแลกว่า 1,000 คน

แต่ในวันนี้เราได้รับการจัดวัคซีนไฟเซอร์มาเพียง 60% ของที่ขอไป ทั้งที่ ยอดนี้ลดลงกว่าครึ่งในตอนแรกเพราะฉีดเข็ม3ด้วย Az ไปแล้วเพราะไม่เชื่อใจในการบริหารวัคซีนของรัฐบาล ทั้งที่เราส่งชื่อรายชื่อไปใหม่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่จำเป็นต้องได้เท่านั้นตามข้อบ่งชี้ที่กระทรวงกำหนดซึ่งส่วนใหญ่คือแพทย์และพยาบาล......" 




พร้อมกันนี้ นักธุรกิจชั้นนำของเมืองไทยอย่าง "ปิติ ภิรมย์ภักดี" ผู้บริหารและทายาทของเครือบุญรอดบริวเวอรี่ หรือค่ายสิงห์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวพร้อมภาพประกอบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ความว่า..

"ผมว่าจะไม่ลงละนะ แต่สงสารคนไทย

ศบค.พูดโคตรชัดว่าวัคซีนทำให้จำนวนคนตายลดลง

แล้วทำไมถึงเลื่อน ทำไมถึงฉีดไม่ได้ตามเป้า วัคซีนหายไปไหน รักกันมากๆหน่อยสิ

เตือนไว้ก่อนด่ามาจะด่ากลับ หมดความอนทนแล้วเหมือนกัน

ไม่ต้องชื่นชมหรือมาซื้อของบริษัทผม ผมแค่ทำหน้าที่คนไทยคนนึงที่อยากเห็นสิ่งที่ดีขึ้น"

นอกจากนี้ ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์ครั้งนี้เพื่อเสียสละเป็นกระบอกเสียงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั่นเอง 


"ด่านหน้าต้องจับฉลากเพื่อจะได้ฉีด บางโรงพยาบาลใช้วิธีผสมน้ำเพื่อให้ครบคน ผมขอสละตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้พวกเค้าครับ และเมื่อผมเอาจริงคือเอาจริง"

อย่างไรก็ตาม ปิติ ได้ย้ำการโพสต์ข้อความดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือบุคคลอื่นในครอบครัวแต่อย่างใด 

"ผมมาจากครอบครัวใหญ่ครับ ทุกอย่างที่ผมเขียนหรือพูดไป ผมรับผิดชอบตัวเองได้ครับ ไม่เกี่ยวกับบริษัทหรือคนอื่นในครอบครัว"

ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าว มีคนไลก์กว่า 1.7 หมื่นไลก์(Like) แสดงความคิดเห็น(Comment)กว่า 1,000 และแชร์โพสต์ไปแล้วกว่า 1,600 แชร์ (ณ เวลา 09.36 น.) โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยถึงความกล้าในการออกมาแสดงความคิดเห็นท่ามกลางช่วงวิกฤติโรคระบาด เพราะทุกฝ่ายต่างต้องการให้สถานการณ์ดีขึ้น และการบริหารจัดการวัคซีนดี มีประสิทธิภาพ 
#3102


เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) หรือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ "มิสทิน" และมูลนิธิ ดร.อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ เปิดเผยว่า จากวิกฤตโควิด-19 สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาในสถานการณ์ช่วงนี้ ตอนนี้เครื่องสำอางมิสทิน มีทุนและกล่องยังชีพมาแจก สำหรับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้

ล่าสุด บริษัทได้เตรียมมอบทุน ผ่านโครงการ "มิสทินสู้โควิด" รวมมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,000,000 บาท มอบให้ครอบครัวละ 1 ทุน (ขอสงวนสิทธิ์สำหรับที่อยู่และนามสกุลเดียวกัน) โดยแต่ละทุนประกอบด้วย เงินสด 1,000 บาท และกล่องสินค้ามิสทินเพื่อดำรงชีพ มูลค่า 1,000 บาท


เปิดโอกาสให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์มิสทินสู้โควิด คลิก มิสทีนสู้โควิด.com

ระหว่างวันที่ 12 -14 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2564 เวลา 24.00 น.

ประกาศรายชื่อ บุคคลที่ได้รับการพิจารณาฯ ผ่านทางเว็บไซต์มิสทินสู้โควิด https://bit.ly/3CrEsUp ในวันที 19 สิงหาคม 64 เวลาเที่ยงวันเป็นต้นไป


เงื่อนไขการลงทะเบียน

1. เปิดลงทะเบียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

2. ผู้ได้รับทุน จำนวน 2,000 ทุน จะต้องลงทะเบียน ชื่อ ที่อยู่ จะต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อบัญชีธนาคาร

3. ผู้ยื่นความจำนงขอรับทุน ต้องระบุผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์โควิด 19 เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณามอบทุน

4. หลักเกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการ จะพิจารณาจากรายละเอียดผลกระทบ ที่ผู้ลงทะเบียนแจ้งเข้ามาที่เว็บไซต์มิสทิสสู้โควิดเท่านั้น โดย "เน้นหลักการช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนมากที่สุด" ซึ่งการพิจารณามอบทุน ให้สิทธิ์การรับทุน 1 ครัวเรือนต่อ 1 ทุน และการพิจารณาของคณะกรรมการมูลนิธิ ถือเป็นที่สิ้นสุด
#3103


ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF วันนี้ (9 ส.ค.2564) ปิดตลาดภาคเช้าที่ 38.25 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.68% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,809.06 ล้านบาท พุ่งขึ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลต่อดัชนี SET เป็นอันดับ 2 รองจาก AOT

โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ทยอยปรับประมาณการกำไรปี 2564 รวมถึงปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย GULF ภายหลังปิดดีลซื้อ INTUCH สำเร็จ และขยับขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ด้วยสัดส่วนการลงทุน 42.25% ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 42.75 บาทต่อหุ้น จากเดิม 42.25 บาทต่อหุ้น ส่วน บล.หยวนต้า ให้ราคาเป้าหมายที่ 40.75 บาทต่อหุ้น แต่คาดดีลซื้อ INTUCH จะทำให้ราคาเป้าหมายขยับขึ้นได้อีก 2-4 บาท และ บล.เมย์แบงก์ ให้ราคาเป้าหมาย 38.00 บาทต่อหุ้น แต่มีโอกาสปรับขึ้นเป็น 40.00 บาทต่อหุ้น

นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกหลังสิ้นสุดคำเสนอซื้อ สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของเราในวันศุกร์ที่ผ่านมา เราคงมุมมองบวกต่อการ Unlock Asset Value ใน ADVANC ซึ่งมีโอกาสจะเกิดขึ้นตามมา ดังนั้น เราเชื่อว่าในระยะกลางจะเป็น Catalyst สำคัญต่อ ADVANC
#3104


สถิติผู้ติดเชื้อ "โควิด" ตั้งแต่การระบาดระลอกใหญ่เดือน เม.ย.2664 กำลังดันยอดขยะติดเชื้อให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
จากประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ขอความร่วมมือหน่วยงานรัฐและเอกชน ดำเนินการมาตรการ Work from Home เพื่อลดการรวมกลุ่มในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยกระดับวิกฤติมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมาตรการ Work from Home รวมกับการสิ่งที่แพทย์เสนอให้ประชาชน "ล็อกดาวน์" ตัวเองและคนในครอบครัว เพื่อลดอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จนทำให้ผู้ติดเชื้อ "นิวไฮ" ทะลุ 2 หมื่นคนเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา

ทว่าการล็อกดาวน์ และ Work from Home อีกด้านหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้ชีวิตประจำวันที่บ้านจะเพิ่มปริมาณขยะที่เกิดขึ้นแต่ละวันโดยเฉพาะตัวเลข "ขยะติดเชื้อ" มียอดทิ้งพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวเลขล่าสุดวันที่ 9 ส.ค. มีข้อมูลขยะติดเชื้อ กทม.อยู่ที่ 126,700 กิโลกรัม(กก.) แบ่งเป็นขยะติดเชื้อทั่วไป 70,380 กก. และขยะติดเชื้อโควิด 56,320 กก. มาจากขยะกระดาษทิชชู หน้ากากอนามัย ชุดตรวจแอนติเจนแบบเร็ว (Antigen Test Kit) ภาชนะใส่อาหารและช้อนส้อมพลาสติก(แบบใช้ครั้งเดียว) ขวดน้ำดื่ม หรือหลอดดูดน้ำพลาสติก


"กรุงเทพธุรกิจ" ตรวจสอบข้อมูล กทม.พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ก.ค.2564 มีปริมาณ "ขยะติดเชื้อ" ที่จัดเก็บสูงขึ้นตามลำดับ ดังนี้

เดือน เม.ย. จัดเก็บขยะติดเชื้อเฉลี่ย 61.19 ตันต่อวัน แบ่งเป็นขยะติดเชื้อทั่วไปอยู่ที่ 45.77 ตันต่อวัน และขยะติดเชื้อโควิดเฉลี่ย 15.41 ตันต่อวัน

เดือน พ.ค. จัดเก็บขยะติดเชื้อเฉลี่ย 71.24 ตันต่อวัน แบ่งเป็นขยะติดเชื้อทั่วไปอยู่ที่ 47.86 ตันต่อวัน และขยะติดเชื้อโควิดเฉลี่ย 23.38 ตันต่อวัน

เดือน มิ.ย. จัดเก็บขยะติดเชื้อเฉลี่ย 83.86 ตันต่อวัน แบ่งเป็นขยะติดเชื้อทั่วไปอยู่ที่ 53.41 ตันต่อวัน ขยะติดเชื้อโควิดเฉลี่ย 30.45 ตันต่อวัน

เดือน ก.ค. จัดเก็บขยะติดเชื้อเฉลี่ย 98.83 ตันต่อวัน แบ่งเป็นขยะติดเชื้อทั่วไปอยู่ที่ 61.18 ตันต่อวัน ขยะติดเชื้อโควิดเฉลี่ย 37.65 ตันต่อวัน ทุบสถิติจัดเก็บขยะติดเชื้อมากที่สุด

หรือหากนับสถิติ 7 วันล่าสุด กทม.จัดเก็บขยะติดเชื้อ "โควิด-19" ดังนี้

วันที่ 3 ส.ค. 37,817 กก.

วันที่ 4 ส.ค. 43,000 กก.

วันที่ 5 ส.ค. 37,920 กก.

วันที่ 6 ส.ค. 42,314 กก.

วันที่ 7 ส.ค. 43,924 กก.

วันที่ 8 ส.ค. 41,957 กก.

วันที่ 9 ส.ค. 56,320 กก.


สำหรับแผนจัดการขยะติดเชื้อโควิด ที่มาจากการจัดเก็บขยะบ้าน ชุมชน คอนโด "สำนักงานเขต" จะมีทีมเฉพาะกิจเก็บขยะระบบ "กักตัวที่บ้าน" นำไปไว้ที่จุดพักของเขตพื้นที่ จากนั้นบริษัทกรุงเทพธนาคม(เคที) นำขยะติดเชื้อไปกำจัดที่เตาเผาขยะติดเชื้อที่ศูนย์กำจัดขยะอ่อนนุชรองรับได้ 70 ตันต่อวัน และนำไปกำจัดที่เตาเผาขยะผลิตไฟฟ้าขนาด 500 ตันต่อวัน ที่ศูนย์กำจัดขยะหนองแขมในอุณหภูมิที่ 1 พันองศาเซลเซียส

จากแผนยกระดับระบบ "กักตัวที่บ้าน" นั้น "สำนักสิ่งแวดล้อม" ได้รณรงค์ประชาชนที่ต้องกักตัวที่พัก หอพัก อพาร์ทเมนท์คอนโดมิเนียม และบ้านพักอาศัยในกรุงเทพฯ แยกขยะติดเชื้อออกจากจากขยะทั่วไป โดยกลุ่ม "ขยะติดเชื้อ" ให้นำขยะใส่ถุงมาซ้อนกัน 2 ชั้น แล้วมัดปากถุงให้แน่น ราดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เขียนป้ายหน้าถุงว่า "ขยะติดเชื้อ" และแยกไว้ในที่พักป้องกันเชื้อโควิดกระจายสู่ภายนอก เพื่อเตรียมพร้อมให้ "ทีมเฉพาะกิจ" สำนักงานเขตมาจัดเก็บต่อไป


สำหรับขยะ "หน้ากากอนามัย" ซึ่งผ่านการใช้งานจากบุคคลทั่วไปและผู้ป่วยโควิด-19 ให้ทิ้งหน้ากากอนามัยใส่ถุงปิดสนิท แล้วมัดปากถุงให้แน่น แล้วเขียนติดหน้าถุงว่า "หน้ากากอนามัย" และแยกทิ้งให้ชัดเจนกับขนะทั่วไป หรือทิ้งในถังรองรับหน้ากากอนามัยเฉพาะ (สีส้ม) ซึ่งตั้งวางในพื้นที่สาธารณะ 1 พันจุด อาทิ สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. โรงพยาบาลสังกัด กทม. ศาลาว่าการ กทม. หน้าห้างฯ วัด หรือชุมชนต่างๆ

สถิติขยะติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นตามลำดับจากการระบาดระลอกใหญ่ตั้งแต่เดือน เม.ย.2664 กำลังเป็นอีกหนึ่งข้อปฏิบัติเคร่งครัดจากทุกฝ่าย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์วิกฤติ ไปสู่ทางรอดโดยเร็วที่สุด.
#3105


สหภาพแรงงานและกลุ่มสิทธิแรงงาน 33 กลุ่มจากกัมพูชา ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูลจากโรงงานผลิต 114 แห่งในกัมพูชา ได้เขียนจดหมายถึงแบรนด์เสื้อผ้าแฟชันชั้นนำระดับโลกทั้งหลายในสัปดาห์นี้ รวมถึง อาดิดาส เอชแอนด์เอ็ม ลีวายส์ ไนกี้ พูมา ทาร์เก็ต แก๊ป ซีแอนด์เอ และวีเอฟ คอร์ป ให้ดำเนินการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ พร้อมระบุว่า ในช่วงที่กัมพูชาล็อกดาวน์ประเทศในเดือนเม.ย.และพ.ค. อุตสาหกรรมสิ่งทอสูญเสียรายได้ 117 ล้านดอลลาร์

กลุ่มฯดังกล่าวประเมินว่าแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชาซึ่งมีจำนวนกว่า 700,000 คนถูกผู้ว่าจ้างติดค้างค่าจ้างและเงินชดเชยจำนวนกว่า 393 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่กระทรวงแรงงานของกัมพูชาแนะนำให้โรงงานผลิตปิดโรงงานเพราะสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่โดยไม่ได้จ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าเสียหายแก่แรงงาน รวมทั่้งไม่ได้แจ้งให้แรงงานทราบล่วงหน้า 

"คุน ธาโร"ที่ปรึกษาด้านสิทธิแรงงานจากศูนย์กลางเพื่อพันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน(Center for Alliance of Labor and Human Rights) กล่าวว่า "เนื่องจากแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานที่ควรได้ บรรดาแบรนด์ดังทั้งหลายจึงตกเป็นที่พึ่งของแรงงานเหล่านี้ จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ดังที่ถือเป็นผู้ว่าจ้าง"

ในส่วนของกระทรวงแรงงานกัมพูชา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

               
แบรนด์ดังเสื้อผ้าแฟชันชั้นนำของโลกจำนวนมากที่มีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นในปีนี้ บอกว่า พยายามที่จะจำกัดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ที่มีต่อแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

อาดิดาส เปิดเผยกับเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียว่า บริษัทมีพันธกิจในการจ่ายค่าแรงที่ยุติธรรมและโปร่งใสแก่แรงงานทุกคนในกัมพูชาพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือบรรดาซัพพลายเออร์หลักๆให้ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารเจ้าหนี้เพื่อนำมาใช้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19   

"บรรดาโรงงานที่เป็นซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่ของเราในกัมพูชายังคงรักษาแรงงานที่โรงงานผลิตเอาไว้แต่ลดชั่วโมงการทำงานสืบเนื่องจากการล็อกดาวน์"โฆษกอาดิดาสกล่าว

ด้านพูมา ยืนยันว่า บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้วิธีการยกเลิกคำสั่งซื้อและพยายามไม่ลดออร์เดอร์ซื้อสินค้าจากโรงงานรับจ้างผลิตในกัมพูชาในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19

"เฉิง ลู"นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรม ให้ความเห็นว่าว่า บรรดาแบรนด์ต่างๆเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในสหรัฐและใรนยุโรปมีความคืบหน้าด้วยดี ถึงแม้ว่ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆหลายด้าน รวมถึง ความไม่แน่นอนและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

"ปีนี้ทุกอย่างแพงขึ้นทั้งต้นทุนการขนส่งทางเรือและต้นทุนด้านโลจิสติกส์ วัตถุดิบด้านสิ่งทอไปจนถึงต้นทุนด้านแรงงาน ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในฤดูร้อนปี 2564 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดความไม่แน่นอนแก่ตลาด" ลู กล่าว

ในเวียดนาม ซึ่งปีที่แล้วแซงหน้าบังกลาเทศในฐานะผู้ส่งออกสิ่งทอใหญ่สุดอันดับสองของโลกรองจากจีน ที่กำลังประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19เพิ่ม ก็ปิดโรงงานสิ่งทอและรองเท้าประมาณ 30-35% 

สำหรับกัมพูชา การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนสิ่งซ้ำเติมทางการค้าระลอกสอง หลังจากปีที่แล้ว กัมพูชาสูญเสียสถานภาพพิเศษทางการค้าจากยุโรปเพราะปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยยอดส่งออกเสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาไปยุโรปหดตัว 14% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564
#3106


"เลดี้ กาก้า" และ "โทนี่ เบนเน็ต" ทำเซอร์ไพรส์ โคจรคัมแบ็คมาร่วมงานกันอีกครั้ง ในซิงเกิลล่าสุด "I Get A Kicked Out Of You" กับเพลง Jazz สุดละมุน ซึ่งรวมอยู่ในอัลบั้ม "Love For Sale" ที่จะปล่อย 1 ตุลาคมนี้

ศิลปินสาวแซ่บตัวแม่ "เลดี้ กาก้า" (Lady Gaga) จับมือคุณปู่ "โทนี่ เบนเน็ต" (Tony Bennett) นักร้องเพลงแจ๊ซระดับตำนาน สร้างเซอร์ไพรส์ ด้วยการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ในซิงเกิ้ลล่าสุด
"I Get A Kicked Out Of You" ซึ่งเป็นการโคจรมาร่วมงานกันอีกครั้ง ในรอบ 7 ปี หลังจากอัลบั้ม "Cheek To Cheek" เมื่อปี 2014


I Get A Kicked Out Of You เป็นหนึ่งในผลงานสุดคลาสสิกของ Cole Porter เพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในละครบรอดเวย์เรื่อง "Anything Goes" ในปี ค.ศ. 1934 หลังจากนั้นก็มีศิลปินคนดังนำไปร้อง อาทิ แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) เอลลา ฟิตซ์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald) และ โทนี่ เบนเน็ต

สำหรับ I Get A Kicked Out Of You ในเวอร์ชั่นของ โทนี่ เบนเน็ต & เลดี้ กาก้า เป็นงานเพลงสแตนดาร์ตแจ๊ซสุดละมุน ขึ้นต้นมาด้วยเสียงเปียโนแผ่วพลิ้ว เลกี้ กาก้า ร้องนำมาในแนวทางแจ๊ซได้อย่าง น่าฟัง ก่อนที่คุณปู่โทนี่จะรับลูกต่ออย่างสุดเก๋า จากนั้นดนตรีเร่งจังหวะขึ้นเป็นสวิงสนุก ๆ ชวนโยกตัว ถือเป็นอีกหนึ่งบทเพลงไพเราะน่าฟังไม่น้อย

เพลงนี้ถือเป็นซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้ม ใหม่ "Love For Sale" ของเลดี้ กาก้า ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มประวัติศาสตร์ เพราะจะเป็นการอัดเพลงฉลองอายุ 95 ปีของโทนี่


เลกี้ กาก้า กล่าวว่า "ฉันรู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับ "Tony Bennett" อีกครั้ง และตื่นเต้นจะที่ประกาศอัลบั้มใหม่ของเรา"

Love For Sale เป็นอัลบั้มสดุดีแด่ Cole Porter กับการรวมผลงานเพลงของ "The Cole Porter Song Book" ซึ่งเป็นไอเดียของโทนี่ เบนเน็ต และ เลดี้ กาก้า ที่ได้เคยพูดคุยกันหลังจากอัลบั้มแรกของเขา "Cheek To Cheek" ได้อยู่อันดับ 1 บน Billboard album charts เมื่อปี 2015


อัลบั้ม Love For Sale เป็นงานเพลงแจ๊สที่ได้รวมวงดนตรีหลากหลายเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วงแจ๊ส,วงบิ๊กแบนด์ และวงเครื่องสาย ที่จะมาร่วมบรรเลงสร้างสรรค์ดนตรีให้ทุกคนได้เปิดประสบการณ์ด้านดนตรีแปลกใหม่

โดยอัลบั้มชุดนี้ มีกำหนดปล่อยอัลบั้มนี้ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ผ่านทาง Columbia Records/Interscope Records ผู้สนใจสามารถติดตามมาไว้ในครอบครองกันได้


LOVE FOR SALE TRACK LISTING:

1 - It's De-Lovely
2 - Night and Day
3 - Love For Sale
4 - Do I Love You
5 - I Concentrate On You
6 - I Get a Kick Out of You
7 - So In Love
8 - Let's Do It
9 - Just One of Those Things
10 - Dream Dancing
11 – I've Got You Under My Skin (DELUXE VERSION)
12 – You're The Top (DELUXE VERSION)
#3107


8 ส.ค.2564  นายพยัพ คำพันธุ์  เซียนพระชื่อดัง และศิลปินรุ่นใหญ่ ร่วมกับ นาย คฑาวุธ ทองไทย หรือ อ.ไข่ นักร้องชื่อดังวงมาลีฮวนน่า ในฐานะประธานสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการธารน้ำใจ – ภัย COVID-19 #อย่าสิ้นหวัง #ยังมีเรา #มนต์พระและเสียงเพลง เพื่อช่วยเหลือคนในวงการบันเทิงและคนในวงการพระเครื่อง ที่ติดเชื้อโควิด พร้อมซื้อน้ำมันถวายวัดสำหรับเผาศพผู้ป่วยโควิด, ซื้อถุงซิปบรรจุศพ และชุด PPE ถวายวัด และให้อาสาสมัครกู้ภัย จัดหาเตาเผาศพสำรองสำหรับเผาศพผู้ป่วยโควิด และเยียวยา ช่วยเหลือนักดนตรี-คนในวงการพระเครื่อง


โดย นาย พยัพ   เผยว่า ตอนนี้พี่น้องเราลำบากทุกวงการ เงินที่ได้มาเราจะเอาไปช่วยพี่น้องวงการพระที่ป่วยโควิด ติดเตียง วงการเพลงก็เช่นเดียวกัน 

"ที่โครงการเราบริจาคเตาครั้งนี้ ก็ได้มาจากพี่น้องวงการพระเครื่องทั่วประเทศ และศิลปินวงการเพลง เพราะทางวัดเตาเผาพังหมดแล้ว ก็ต้องขอบคุณเจ้าของเตาที่เอามาตั้งไว้ให้ก่อน ซึ่งตอนนี้เตายังผ่อนส่งอยู่ จึงบอกบุญมายังพี่น้องทั้งวงการพระและวงการเพลง เงินที่พี่น้องได้ทำบุญไม่ได้สูญหายไปไหน เราจะทำทุกอย่างให้เห็น ขอบคุณพี่น้องที่ช่วยบริจาคกันมา เงิน 1 บาทก็สามารถเยียวยาพี่น้องของเราได้"  

 

ด้าน อ.ไข่ มาลีฮวนน่า กล่าวว่า วงการเพลงต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่จะมาร่วมดนตรีเปิดหมวก ร่วมบริจาค ซึ่งการเล่นเปิดหมวก  นักร้อง นักดนตรี สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกแนวดนตรี มี 2 ลักษณะคือ เป็นบัญชีช่วยเหลือนักดนตรีจริงๆ คือท่านเล่น 3 เพลงใน 15 นาที ก็สามารถขายของได้ ลงหมายเลขบัญชีได้ อีกบัญชีคือบัญชีกองกลางของธนาคารกรุงไทย ท่านไหนที่ต้องการบริจาคก็บริจาคได้ โดยกิจกรรมไลฟ์เปิดหมวกสามารถส่งคลิปมาได้ภายในวันที่ 10 สิงหาคม นี้ และจะมีการออนแอร์ระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2564 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ทาง Fanpage : Maleehuana Official เพจไผ่ร้อยกอโปรดักชั่น เพจสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย และลิ้งก์ไปที่เพจคาราบาว เพจคนด่านเกวียน เพจคาราวาน เราร่วมกันได้ครับ เงิน 1 บาท 1 ล้าน คุณค่าทางหัวใจเท่ากัน เราช่วยกันตอนเป็นดีกว่าเห็นกันตอนตาย  เชิญชวนเพื่อนพี่น้องร่วมใจบริจาคกันได้ตามจิตศรัทธา


ทั้งนี้โครงการ ธารน้ำใจ-ภัย COVID-19 เป็นความร่วมมือของบุคคลในวงการพระเครื่อง ศิลปินวงการเพลง และผู้ใหญ่ในวงการบันเทิง อาทิ หงา คาราวาน, แอ๊ด คาราบาว, สีเผือก คนด่านเกวียน , เอกชัย ศรีวิชัย, วงพัทลุง, ศิลปินจากค่ายไผ่ร้อยกอ,วงฟิวส์, รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข, พิศาล เตชะวิภาค(ต้อย เมืองนนท์), ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์, กชสร พิพัฒนกุล (ปู มรดกไทย), ชาติชาย สุขไสย และจิระนันท์ พิตรปรีชา     

ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการได้สำเร็จลุล่วงในเบื้องต้นกับการจัดหาเตาเผาศพสำรองสำหรับเผาศพผู้ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ซึ่ง พยัพ คำพันธุ์, อ.ไข่ มาลีฮวนน่า  ผู้จัดทำโครงการ ธารน้ำใจ-ภัย COVID-19 พร้อมด้วย นก-บริพันธ์ ชัยภูมิ ผู้บริหาร บริษัท เซเว่นสตาร์ สตูดิโอ จำกัด ผู้ผลิตรายการ ชุมทางดาวทอง, ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์ ค่ายกันตนาฯ และ ดร.มนัส  โนนุช ประธานมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ ได้ทำการส่งมอบเตาเผาศพสำรอง ให้กับพระครูปลัดไพฑูรย์ ฐิตาวิทูโร เจ้าอาวาสวัดเสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว     สำหรับผู้ที่จะร่วมบริจาคสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 096 – 0 – 32605 – 7
#3108


จากสถานการณ์ขาดเเคลนชิพสำหรับอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก เป็นเหมือนปรากฎการณ์ที่จุดประเด็นทางการค้าใหม่ ที่จีนเห็นว่า ปัญหาใหญ่จากชิ้นส่วนขนาดเล็กอย่าง "ชิพ" กำลังจะเป็นตัวฉุดแผนพัฒนาประเทศให้ข้ามผ่าน ดิจิทัล ดิสรัปชั่น  ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งจากภายในและการพึ่งพาตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น 

รายงานเรื่อง "Technology & Innovation – China Semiconductor self-reliance will support tech growth but pose overcapacity risk" จัดทำโดย  Moody's Investors Service ระบุว่า จีนกำลังส่งสัญญาณการลงทุนมหาศาลในไม่กี่ปีจากนี้ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้เผชิญปัญหาขาดแคลนชิพและความตรึงเครียดทางการค้าจนสร้างช่องว่างระหว่างดีมานด์และซับพลายในประเทศทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและผลิตเพื่อพึ่งพาตัวเองเป็นทางเลือกที่นำมาใช้ในขณะนี้ 

อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้จะดีจริงหรือไม่อาจเป็นการลงทุนที่ไร้ประสิทธิภาพและเกิดการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรซึ่งนำไปสู่ความเจ็บปวดในระยะยาว 
#3109


การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินได้มีการลงนามร่วมลงทุนกับบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด ไปแล้ว ในขณะที่การพัฒนาส่วนอื่นเพื่อผลักดันเมืองการบินจะเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะใน พื้นที่อุตสาหกรรมการบิน หรือ ATZ ที่จะทำให้สนามบินอู่ตะเภามีศักยภาพเป็นศูนย์กลางการบินได้มากขึ้น

รายงานข่าวจากกองทัพเรือ (ทร.) ระบุว่า ขณะนี้การพัฒนาในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนสนามบินอู่ตะเภายังมีความก้าวหน้า เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการต่างๆ อาทิ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยังคงเริ่มดำเนินงานในส่วนที่สามารถทำได้ เช่น สำรวจพื้นที่โครงการ และออกแบบโครงการ

ขณะเดียวกันกองทัพเรือและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยังหารือในการพัฒนาโครงการอื่นเพื่อรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลลาย โดยส่วนหนึ่งของแผนพัฒนา สกพอ.มีเป้าหมายดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมพัฒนาพื้นที่ ATZ บนพื้นที่ 500 ไร่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมการบิน

สำหรับโครงการ ATZ จะรองรับการลงทุนจากเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกของอีอีซีเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน เบื้องต้น สกพอ.อยู่ระหว่างจัดทำแผน คาดว่าจะเริ่มทดสอบความสนใจของนักลงทุน และเชิญชวนนักลงทุนภายในเดือน ก.ย.นี้

"ขณะนี้แผนลงทุนในอีอีซีไม่ได้หยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาในพื้นที่ใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการบิน โดย สกพอ.ยังมีแผนจะปรับพื้นที่ศูนย์ซ่อมอากาศยานของการบินไทยให้เล็กลง เนื่องจากปัจจุบันการบินไทยยังมีแผนลงทุนโครงการไม่ชัดเจน เพื่อวางแผนเพิ่มพื้นที่ให้เอกชนรายอื่นเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง หรือศูนย์ซ่อมอากาศยานใน ATZ"

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ขณะนี้มีเอกชนสนใจสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานในพื้นที่ ATZ อย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นว่าภายหลังโควิด-19 คลี่คลายแล้วจะทำให้อุตสาหกรรมการบินกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากช่วงปี 2563-2564 การเดินทางท่องเที่ยวชะลอตัว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียจะมีการเดินทางมากที่สุด ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด นำมาสู่การลงทุนศูนย์ซ่อมอากาศยานเพื่อรองรับ

ทั้งนี้ กองทัพเรือได้ประเมินว่า หาก สกพอ.เร่งผลักดัน ATZ โดยมีการสอบถามความสนใจของนักลงทุนและประกาศเชิญชวนภายในปีนี้ จะทำให้โครงการ ATZ มีการลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างเป็นรูปธรรมในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสอดคล้องไปกับสถานการณ์โควิด-19 ที่มีท่าทีจะคลี่คลายใน 2565 จากการเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และคาดว่าการบินจะกลับมาฟื้นตัวเป็นปกติเช่นเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ในช่วงปี 2566–2567

"โครงการ ATZ หากมีการพัฒนา คาดว่าจะเพิ่มอัตราการจ้างงานด้านอุตสาหกรรมการบินกว่า 3,000 ตำแหน่ง และส่งเสริมให้อีอีซีเป็นศูนย์กลางด้านการบิน"

ทั้งนี้ความพร้อมของพื้นที่ฐานรากศูนย์ซ่อมอากาศยานที่กองทัพเรือรับผิดชอบในการดำเนินงาน ปัจจุบันกองทัพเรือได้ประกวดราคาจัดหาเอกชนเริ่มงานแล้ว รวม 4 งาน มูลค่ากว่า 1,890 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 

1.การจ้างปรับถมดินและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 660 ล้านบาท 

2.การจ้างควบคุมงานถมดินและอื่นที่เกี่ยวข้องสำหรับงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 16.5 ล้านบาท

3.การจ้างปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 1,180 ล้านบาท

4.การจ้างควบคุมงานปรับพื้นที่สำหรับก่อสร้างทางขับระยะที่ 1 และลานจอดของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน มูลค่าโครงการ 29.6 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามแผนจะพัฒนาบนพื้นที่ราว 210 ไร่ โดยปัจจุบันการบินไทยยังอยู่ระหว่างทบทวนแผนพัฒนา ซึ่งมีเป้าหมายจะปรับการลงทุนให้สามารถรองรับซ่อมอากาศยานหลายรูปแบบ และยังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการลงทุน โดยขณะนี้มี 3 ทางเลือก คือ 

1.การบินไทยร่วมทุนกับแอร์บัส 2.การบินไทยลงทุนเองและใช้เทคโนโลยีของทางแอร์บัส 3.หาผู้ร่วมทุนใหม่

นอกจากนี้ การการพัฒนาสนามบินยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ จะเป็นการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง 3 รูปแบบ คือ 1.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) 2.ถนน 3.ทางเรือ โดยพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาครอบคลุมบนพื้นที่ 6,500 ไร่ ให้สิทธิบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด 30 ปี ซึ่งจะเป็นการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเพิ่มการใช้เชิงพาณิชย์ จากเดิมที่เน้นภารกิจด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ

เชิดพันธ์ โชติคุณ ประธานเจ้าหน้าที่สายช่าง การบินไทย กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ตามแผนลงทุนของการบินไทย โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานจะดำเนินการบนพื้นที่ประมาณ 210 ไร่ เป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ โดยแบ่งระยะการลงทุนออกเป็น ระยะแรกช่วงปี 2565-2583 จะลงทุนประมาณ 6,400 ล้านบาท โดยการบินไทยลงทุนเอง 2,000 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง และจัดซื้ออุปกรณ์

ทั้งนี้ จะพัฒนาเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงอากาศยานได้ 80-100 ลำ โดยตามแผนเดิมคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2565 มีเป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรกอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท จากการซ่อมอากาศยาน 10 ลำ และประเมินว่าจะมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอีกปีละ 2% และในช่วง 50 ปีจะมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท 
#3110


นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า  ได้เรียกประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ครั้งที่ 5/2564 เป็นวาระพิเศษ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยได้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตร ระดับจังหวัด (คพจ.) ซึ่งเป็นกลไกการทำงานระดับจังหวัดเข้าร่วมประชุมด้วย

เพื่อร่วมกันประเมินสถานการณ์ปริมาณและราคาของมังคุดในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ รวมทั้งผลสำเร็จของมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหามังคุดราคาตกต่ำที่ได้ดำเนินการไปแล้วของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ การกระจายผลผลิตภายในประเทศผ่านช่องทางปกติ ช่องทาง e - Commerce และช่องทางอื่นๆ ซึ่งดำเนินการโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการค้าภายใน บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เช่น การแลกเปลี่ยนมังคุดกับสินค้าข้าวของสถาบันเกษตรกรภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยในเบื้องต้น พบว่าราคามังคุดเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว รวมทั้งพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหามังคุดราคาตกต่ำ ปี 2564 แบบเร่งด่วนฉับพลัน โดยวิธีการแทรกแซงราคาตลาด และการสนับสนุนเงินค่าชดเชยดอกเบี้ย โดยกรมการค้าภายใน และการเคลื่อนย้ายผลผลิตอย่างเร่งด่วนในช่วงผลผลิตกระจุกตัว โดยกรมส่งเสริมการเกษตร นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาและวิเคราะห์แนวทางความเป็นไปได้ของ "การเยียวยาเกษตรกรชาวสวนมังคุด" ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ในโอกาสต่อไป

ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากแผนการบริหารจัดการผลผลิตมังคุดในฤดูดำเนินการในพื้นที่ภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัด จำนวนทั้งสิ้น 155,614 ตัน (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2564) พบว่า มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จำนวน 72,643.73 ตัน คิดเป็นร้อยละ 46.68 ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว จำนวน 82,970.27 ตัน คิดเป็นร้อยละ 53.32 ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคมจะมีมังคุดออกกระจุกตัวในปริมาณมาก (Peak) จำนวนประมาณ 60,000 ตัน

ซึ่งที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบแนวทางการกระจายผลผลิตมังคุดช่วงกระจุกตัว (Peak) ที่กรมส่งเสริมการเกษตรเสนอ โดยได้กำหนดแนวทางการกระจายผลผลิตมังคุด 4 แนวทาง ได้แก่ 1. กลไกตลาดปกติ จำนวน 20,000 ตัน 2. การกระจายผลผลิต จำนวน 40,000 ตัน ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และภาคเอกชน โดยมอบหมายให้ คพจ. ต้นทาง 14 จังหวัด บริหารจัดการผลผลิตอย่างเร่งด่วนโดยมีพาณิชย์จังหวัดในฐานะเลขานุการ เป็น "แม่แรง" สำคัญที่จะประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานข้างต้น

ส่งเสริมให้มีการจัดการผลผลิตต่อเนื่อง เช่น การแปรรูปมังคุดเพื่อเพิ่มมูลค่า และ 4. จัดทำแคมเปญพิเศษ "ช่วยมังคุดใต้ เกษตรกรไทย Happy" "8.8 Sales" จะเริ่มดีเดย์จำหน่ายผลผลิตมังคุดแบบส่งให้ถึงบ้าน ตั้งแต่วันที่ 8 - 31 สิงหาคม 2564 โดยเปิดให้ผู้สนใจทั่วประเทศสามารถสั่งซื้อมังคุดล่วงหน้าในราคา 4 กิโล 100 บาท
สำหรับมังคุดคละเกรด คุณภาพดี สดอร่อย ภายใต้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เช่น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด สมาคมขนส่งโลจิสติกส์ บริษัท Grab และภาคเอกชนอื่นๆ โดยจะมีการคิกออฟแคมเปญในวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2564 เวลา 08.08 น. ณ ห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร

นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า ตามที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ขยายโครงการ "เกษตรกรแฮปปี้" โดยจะจัดแคมเปญใหญ่ใน วันที่ 8 เดือน 8 (สิงหาคม) ผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้สถานที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม9  เป็นจุดคิกออฟกระจายสินค้า ภายใต้มาตรการควบคุมโรคของ ศบค. เพื่อให้ทุกภาคส่วนทั่วประเทศสั่งซื้อมังคุดล่วงหน้าในราคา 4 โล 100 สำหรับมังคุดคละเกรดคุณภาพสดอร่อยภายใต้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เช่น บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์)  บริษัท ไปรษณีย์ไทย สมาคมขนส่งโลจิสติกส์ บริษัทแกร็บ ประเทศไทย ร้านธงฟ้า ฯลฯ

โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าทีมพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เฉพาะกิจ ที่มีคณะทำงานเป็นตัวแทนมาจากหลายภาคส่วน กล่าวว่า ขณะนี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะรับออร์เดอร์มังคุดภายใต้แคมเปญดังกล่าว โดยจะใช้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 และเซ็นทรัล เวสต์เกต เป็นจุด Drop off เพื่อกระจายสินค้า ขณะนี้เป็นที่น่ายินดีว่าหลังจากเริ่มเปิดรับพรีออร์เดอร์มาเป็นเวลา 2 วัน ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากที่สั่งซื้อกันเข้ามาในจำนวนเกิน 100 ตันแล้ว และจะเริ่มจัดส่งตรงถึงบ้านเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

"ท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัยย้ำว่า เราต้องดูแลชาวสวนทุกจังหวัดในภาคใต้พาฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน แม้วันนี้จะมีสัญญาณที่ดีว่าราคามังคุดทั้งหน้าแผงและหน้าล้งปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนของเสถียรภาพราคา จึงต้องมีมาตรการเสริมเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคในประเทศที่เป็นส่วนที่สำคัญในภาวะที่การส่งออกยังมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด-19" นายอลงกรณ์ กล่าว

วันนี้! เช็คเงินเยียวยา 'ประกันสังคม ม.33' ไม่เข้าบัญชี เช็กสาเหตุ 'www.sso.go.th'
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ตายสูง! พบเสียชีวิต 212 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 21,838 ราย ไม่รวม ATK อีก 6,026 ราย
เช็ค! เงินเยียวยา 'ประกันสังคม' ม.33 ไม่เข้า แก้ไขก่อน 9 ส.ค.นี้
ทั้งนี้คณะทำงานฟรุ้ทบอร์ดเฉพาะกิจมีผู้แทนมาจากหลายภาคส่วน ที่มาร่วมผนึกกำลังกันแก้ไขปัญหาราคามังคุด รวมถึงผลไม้อื่น ๆ เช่นลำไย เงาะ ลองกอง ทุเรียนที่กำประสบปัญหาล้นตลาดอาทิ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบการขายแบบ B to G นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประธานคณะอนุกรรมการธุรกิจการเกษตร นายกฤชฐา โภคาสถิตย์ ประธานอนุกรรมการ         อีคอมเมิร์ซ กระทรวงเกษตรฯ.รับผิดชอบการขายแบบ B to B รวมถึงการขายผ่านเครือข่ายสภาอุตสาหกรรม หอการค้า การขายตรงถึงผู้บริโภครวมถึงช่องทางอื่น ๆ ในขณะที่นางดรุณวรรณจะรับผิดชอบการขายและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยมีนายณฐกร สุวรรณธาดา และนายวิเชียร สุขพันธ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ รับผิดชอบแหล่งผลิตผลไม้และจุดกระจายผลไม้

"มังคุดภายใต้แคมเปญนี้เป็นมังคุดดี สดจากต้น อร่อย ส่งตรงจากสวนเมืองใต้ ที่ตั้งใจปลูกโดยชาวสวนแท้ ๆ รับประกันคุณภาพโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การซื้อมังคุดครั้งนี้รับทันทีสองต่อคือได้ทานมังคุดดี และยังมีส่วนช่วยสร้างรอยยิ้ม และส่งกำลังใจให้ชาวสวนมังคุดด้วย ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทย Happy" สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่ช่องทางต่าง ๆ ตามที่ได้แจ้งไว้ในช่วงต้น"

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้รัฐมนตรีเกษตรฯ ในฐานะประธาน Fruit Board ได้สั่งการล่วงหน้าให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ช่วยกันซื้อมังคุด เช่น กรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ทำให้ช่วยระบายมังคุดออกจากแหล่งผลิตหลายร้อยตัน และขอให้ภาครัฐภาคเอกชนช่วยกันซื้อมังคุดให้มากที่สุด และนายเฉลิมชัยจะเป็นผู้นำในการคิกออฟแคมเปญด้วยตัวเอง
#3111


บริษัท โกล. เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีจำนวน 2,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 406 ล้านบาท หรือ 21% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 2 ปี 2563 

โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไชยะบุรี และการรับรู้รายได้บางส่วนจากเงินชดเชยค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงาน ระยะที่ 5 และกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าชธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันมีการหยุดชอมบำรุง

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2564 กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือ17 % โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไชยะบุรี และการรับรู้รายได้บางส่วนจากเงินชดเชยค่าประกันภัยของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงาน ระยะที่ 5 และกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP) ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ลดลง

เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ รับรู้มูลค่า Synergy จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษี จำนวน 436 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ซึ่งส่วนหลักได้รับจากการบริหารจัดการการผลิตและใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน การบริหารส่วนการพาณิชย์ การบริหารจัดการงานจัดซื้อและงานช้อมบำรุงรักษา

บริษัทประเมินว่า เศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประทศไยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2564 มีแนน้มขยายตัวร้อยละ 18 เนื่องจากการระบาดระของ COVD-19 ที่ยึดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นเติมจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ฉบับใหม่ แผนการจัดหาและการกระจายวัคในของไทยที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

ตลอดจนสินค้าที่ขยายตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการกลับมาเปิดดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยชะลอลงไม่มากนัก และสำหรับปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 3.9โดยยังได้รับเงินสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาค
คาดว่า ประเทศไทยะสามารถสร้างระดับภูคุ้มกันหมูได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้นภายในปี 2565

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ. มีมติตรึงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บถึงธันวาคม 2564 โดยยังคงเรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งทาง กกพ. ให้หตุผลสำหรับการตงค่เอฟทีต่อเนื่องไปอีก 4 เดือน เนื่องจากการของเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 เดืนที่ผ่านมาส่งผลให้ราคาก๊าชธรรมชาติเนเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น หากราคาน้ำมันดิบในตตลาดโลกที่พิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้น กกพ. จะจารณาปัจจัยดังกล่าวเพื่อทำให้ค่าไฟามีเสถียรภาพมีความมั่นคง และร่วมขับเคลื่อนตามนโยบายต่างๆของกาครัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่ยังคงรุนแรงและขยาย
พื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน
#3112


นักวิจัยต่างชาติผลิตวัคซีน "ไฟเซอร์" "โมเดอร์น" ประเภท mRNA ให้คนทั้งโลกใช้ และนักวิจัยไทยก็พยายามพัฒนาวัคซีนโควิดเช่นกัน คาดว่ากลางปีหน้า (2565)วัคซีน ChulaCov19 ประเภทmRNA และวัคซีนใบยา (จะสามารถนำมาใช้ในมนุษย์ได้เป็นแห่งแรกในเอเชีย) รวมถึง วัคซีนเชื้อตาย ของมหาวิทยาลัยมหิดล และวัคซีนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   

ทั้งหมด ถ้าผ่านขั้นทดลอง จนแน่ใจว่า มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสร้างภูมิคุ้มกันโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ ก็จะทยอยออกมา

ล่าสุด ทีมงานนักวิจัยคนไทยผู้พัฒนาวัคซีนโควิดทุกทีมกำลังทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อประชาชนไทย เพราะตั้งแต่โควิดระบาดระลอก 3 ทุกคนต่างเศร้าเสียใจที่คนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด แล้วจากไปเหมือนใบไม้ร่วง 

แม้วัคซีนสัญชาติไทยจะออกมาช้า แต่ได้ใช้แน่นอน อาจใช้เป็นวัคซีนป้องกันโควิดเข็ม 3,4,5... เพราะการฉีดวัคซีนหนึ่งเข็มสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้นาน 6-12 เดือน  ยกเว้นมีการคิดค้นใหม่ เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มได้ยาวนานกว่านั้น

ถ้าอย่างนั้นมาดูสิ วัคซีนจากนักวิจัยไทยไปถึงไหนแล้ว



(ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับวัคซีนที่ทดลองในอาสาสมัครมนุษย์ -ภาพจากเฟซบุ๊ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ )

1.วัคซีน ChulaCov19 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในมนุษย์)


-ประเภท mRNA 

ผลิตจากชิ้นส่วนขนาดจิ๋วสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) 

และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด


-ผู้พัฒนาวัคซีน

ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman


-การทดลองที่ผ่านมา

หลังจากทดลองในลิงและหนู พบว่า สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิตการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1ให้กับอาสาสมัครเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน 

กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม 

ถ้าการทดลองได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง จะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดว่าเริ่มต้นฉีดเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป


-จุดเด่น ChulaCov19

จากการทดสอบ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ ความทนต่ออุณหภูมิของวัคซีน พบว่าวัคซีน ChulaCov19 อยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น 


-ความคืบหน้าวัคซีน

กำลังจะทดสอบในอาสาสมัครคนไทยเฟส 1 เพิ่มเติมในกลุ่มผู้สูงอายุ  คาดว่าจะรู้ผลว่าสร้างภูมิคุ้มกันปลายเดือนตุลาคม 2564 และคาดอีกว่าจะเป็นวัคซีนที่ผลิตสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 สำหรับคนไทยโดยมีเป้าหมายว่าจะผลิตออกมา พร้อมขึ้นทะเบียนอย.ได้ในเดือนเมษายน 2565

(ที่มาข้อมูล : เฟซบุ๊คคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ) 

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในเฟซบุ๊คดังกล่าวว่า หากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า "วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร" ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมติว่าเกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit)

"ถ้าวัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า"


(วัคซีน ChulaCov19 ประเภท mRNA อยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ เดือนสิงหาคม 64)




2. วัคซีนจากใบยา

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)


-ประเภทโปรตีนจากใบยา

เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เป็นเทคโนโลยีที่มีมากว่า 15 ปี เคยใช้รักษาโรคอีโบล่า


-ผู้พัฒนาวัคซีน

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานกรรมการบริหาร ทั้งสองทำงานแบบสตาร์ทอัพ ในนามบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ในความดูแลของ CU Enterprise

โดยการวิจัยพัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit ดำเนินการโดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด ,คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


(ในห้องทดลองบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด) 

-การทดลอง 

-วัคซีนใบยาได้ผ่านการทดสอบในหนูและลิง ด้วยการฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบปรากฏว่าลิงมีความปลอดภัย และไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ

ผลเลือดในลิงที่ใช้ทดลองมีค่าเอนไซม์ตับปกติ อีกทั้งจำนวนเม็ดเดือดแดงและเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้เมื่อนำเปปไทด์ไปกระตุ้นเซลล์ของลิงพบว่า มีการกระตุ้น T Cell ได้ดี ซึ่งนับว่าการทดลองดังกล่าวประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

-โดยกระบวนการผลิตวัคซีนที่ใช้พืช สามารถผลิตเป็นจำนวนครั้งละมาก ๆ ได้ และสามารถยกระดับจากการผลิตวัคซีนในห้องทดลอง มาเป็นการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมได้ทันที

การผลิตวัคซีนจากใบยาสูบนี้สามารถผลิตได้ประมาณ 10,000 โดสต่อเดือนในห้องทดลองขนาดเล็กเท่านั้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต


-จุดเด่นวัคซีนใบยา

การผลิตจากพืช เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ในอนาคต ทีมวิจัยสามารถนำรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์นั้นๆ มาผลิตเป็นวัคซีนใช้ได้ทันที เหมาะกับการผลิตวัคซีนที่เชื้อไวรัสมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาตลอด ไม่ต้องเสียเวลานำเข้าวัคซีนเฉพาะบางสายพันธุ์จากต่างประเทศ

วัคซีนมีส่วนประกอบที่เป็นโปรตีน จึงค่อนมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ในส่วนของประสิทธิภาพจะต้องมีการทดลองในมนุษย์กันต่อไปจึงสามารถวัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


-ความคืบหน้า

สิงหาคม-กันยายน 2564  ทดลองอาสาสมัครกลุ่มแรกจำนวน 50 คน อายุ 18 - 60 ปี โดยอาสาสมัครต้องมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน การทดสอบวัคซีน จะเริ่มในเดือนกันยายน

อาสาสมัครจะได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนสองเข็ม เว้นระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ เมื่อทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มแรกเสร็จเราก็จะทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 60–75 ปี ต่อไป คาดว่าวัคซีนใบยาจะพร้อมฉีดให้คนไทยช่วงกลางปี 2565

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ให้ข้อมูลกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ไว้ว่า เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

"พืชที่เราปลูก ไม่ได้ใส่สารพันธุกรรม เป็นพืชธรรมชาติ จนกว่าจะโตเหมาะสม เราก็ฉีดอะโกรแบททีเรียม(การถ่ายโอนดีเอ็นเอ )เข้าไป หลังจากนั้น 4-5 วัน เราก็ตัดพืชมาสกัดโปรตีนที่ต้องการนำไปทดสอบ ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกว่า วันไหนพืชจะผลิตโปรตีนได้มากที่สุด"

หากถามว่า ทำไมต้องเป็นวัคซีนจากใบยา อาจารย์วรัญญู ให้ข้อมูลว่า

"มีโรคมากมายในโลกนี้ ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องก้น ไม่ว่าเทคโนโลยีแบบไหนจะดีแค่ไหน ก็ต้องศึกษา เทคโนโลยีจากโมเลกุลโปรตีนพืชสามารถทำออกมาได้เร็ว ต่อให้ไม่ได้ผล เราก็รู้เร็ว เปลี่ยนได้เร็วการทำวัคซีนโควิดเราใช้ฐานความรู้ไวรัสซาร์สและเมอร์สมาพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ทำแบบนี้"

3. วัคซีนมหาวิทยาลัยมหิดล 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)

-ชนิดเชื้อตาย HXP-GPOVac 

พัฒนาโดย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน  มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม สถาบัน PATH และ The University of Texas at Austin


นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เคยให้ข้อมูลความคืบหน้าไว้ในกรุงเทพธุรกิจว่า

"รายงานผลการทดสอบอย่างเป็นทางการ จะเลือกวัคซีน 2 สูตรที่ดีที่สุดจากการทดลองไป 5 สูตร เพื่อนำมมาทำการทดลองระยะที่ 2 ในอาสาสมัคร 250 คนในเดือนสิงหาคมนี้ และเลือก 1 สูตรที่ดีที่สุดเพื่อทดลองในระยะที่ 3 "

ส่วนการทดลองระยะที่ 3 ในภาคสนามกับอาสาสมัคร 1,000 - 10,000 คน โดยวัคซีนที่ผ่านการวิจัยในมนุษย์ทั้ง 3 ระยะแล้วจะถูกนำไปขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา เพื่อเริ่มการผลิตต่อไป


ขอวัคซีนให้คนไทยทุกคน อย่างเท่าเทียม เสมอภาพ 

...................

4.วัคซีนสวทช. 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)พัฒนาวัคซีนโควิดออกมา 2 ชนิด

1. Adenovirus ที่มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย รูปแบบนี้น่าจะเป็นวัคซีนที่ใกล้เคียงกับหลายๆ ที่ ที่กำลังทดสอบในเฟส1-2 ของทีม 

นักวิจัย สวทช. ผ่านการทดสอบในหนูทดลองที่ฉีดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว พบว่า หนูทดลอง นอกจากไม่มีอาการป่วย ยังมีน้ำหนักขึ้นสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามอย่างเห็นได้ชัด ผลการทดสอบความปลอดภัยไม่มีปัญหา

การผลิตในระดับ GMP ร่วมมือกับ KinGen BioTech เรากำลังจะทดสอบวัคซีนนี้ในอาสาสมัครมนุษย์ในรูปแบบที่สร้างจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในเร็วๆนี้(เดือนสิงหาคม 64) ผลงานวิจัยกำลังเร่งรวบรวมผลส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

2. Influenza virus ที่มีการแสดงออกของโปรตีน RBD ของสไปค์ ตัวนี้กำลังต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19

และผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ตีพิมพ์ไปแล้ว วัคซีนตัวนี้ร่วมมือกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบเป็นตัวต่อมา

"ในเรื่องของการกลายพันธุ์ที่หลายคนเป็นห่วง ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง หนึ่ง.คนที่ได้รับวัคซีนต้องฉีด 2 เข็ม ไม่ใช่ฉีดเข็มแรกแล้วไม่ฉีดต่อ เพราะภูมิคุ้มกันจากเข็มแรก จะเข้าไปจับไวรัสแบบอ่อนๆ หลวมๆ ทำให้ไวรัสเปลี่ยนตัวเองได้และการกลายพันธุ์เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่มีการฉีดเข็มที่สอง

(ที่มาข้อมูล : เพจ Anan Jongkaewwattana)

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เคยให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า  

"เราต้องการวัคซีนที่แข็งแรงจับไวรัสได้ ทำลายให้ตายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ให้เวลามันปรับตัวเปลี่ยนแปลงตัวเอง"
#3113


ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 5 ส.ค.2564

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ ขานรับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน ก.ค.ของสหรัฐฯ ในวันนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,064.25 จุด เพิ่มขึ้น 271.58 จุด หรือ +0.78% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,429.10 จุด เพิ่มขึ้น 26.44 จุด หรือ +0.60% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,895.12 จุด เพิ่มขึ้น 114.58 จุด หรือ +0.78%

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน แม้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงก็ตาม

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 469.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.74 จุด หรือ +0.37%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,781.19 จุด เพิ่มขึ้น 34.96 จุด หรือ +0.52% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,744.67 จุด เพิ่มขึ้น 52.54 จุด หรือ +0.33% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,120.43 จุด ลดลง 3.43 จุด หรือ -0.048%

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) โดยถูกกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,120.43 จุด ลดลง 3.43 จุด หรือ -0.048%

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นทะลุระดับ 1.20% ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดทองคำ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 5.6 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1,808.9 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือน ก.ย. ลดลง 16.9 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 25.292 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาแพลทินัมส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 15.6 ดอลลาร์ หรือ 1.53% ปิดที่ 1,005.7 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 3.40 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ 2,655.10 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 69.09 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 ส.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย และเปิดเผยแผนการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.02% แตะที่ 92.2534 เมื่อคืนนี้

เงินปอนด์แข็งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3932 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3887 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1835 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1838 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7404 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7382 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 109.75 เยน จากระดับ 109.46 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9061 ฟรังก์ จากระดับ 0.9063 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2494 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2551 ดอลลาร์แคนาดา

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 35,064.25 จุด เพิ่มขึ้น 271.58 จุด, +0.78%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,429.10 จุด เพิ่มขึ้น 26.44 จุด, +0.60%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 14,895.12 จุด เพิ่มขึ้น 114.58 จุด, +0.78%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,120.43 จุด ลดลง 3.43 จุด, -0.048%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,781.19 จุด เพิ่มขึ้น 34.96 จุด, +0.52%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,744.67 จุด เพิ่มขึ้น 52.54 จุด, +0.33%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 54,492.84 จุด เพิ่มขึ้น 123.07 จุด, +0.23%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 6,205.42 จุด เพิ่มขึ้น 46.38 จุด, +0.75%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,495.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.45 จุด, +0.30%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,547.27 จุด ลดลง 37.94 จุด, -0.58%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,175.10 จุด ลดลง 7.80 จุด, -0.25%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,204.69 จุด ลดลง 221.86 จุด, -0.84%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,466.55 จุด ลดลง 10.67 จุด, -0.31%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 17,603.12 จุด ลดลง 20.77 จุด, -0.12%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 3,276.13 จุด ลดลง 4.25 จุด, -0.13%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 27,728.12 จุด เพิ่มขึ้น 144.04 จุด, +0.52%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,511.10 จุด เพิ่มขึ้น 7.90 จุด, +0.11%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,779.60 จุด เพิ่มขึ้น 0.90 จุด, +0.01%
#3114


โควิดหนุนเงินดิจิทัลโต-กัมพูชาเล็งเลิกพึ่งดอลล์สหรัฐ ขณะที่การเพิ่มสัดส่วนการใช้เงินท้องถิ่นช่วยให้ธนาคารกลางกัมพูชาดำเนินนโยบายทางการเงินที่เป็นอิสระและควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศได้ดีขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลกเร่งพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองเพื่อทำให้ระบบการชำระเงินค่าสินค้าและบริการในประเทศมีความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยในยุคที่ระบบดิจิทัลกำลังขยายเข้าไปในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ นั่นเท่ากับว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสกุลเงินหลักของโลกเริ่มลดบทบาทลงเรื่อยๆ

จีน ได้ทำการทดสอบหยวนดิจิทัลในเมืองใหญ่หลายเมือง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)ประกาศโครงการยูโรดิจิทัลเมื่อเดือนที่แล้วพร้อมทั้งบอกว่าจะใช้เวลาสองปีในการพัฒนาและดูว่าสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง(ซีบีดีซี)จะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกอย่างไร

ซีบีดีซีเป็นสกุลเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง สามารถชำระค่าสินค้าและบริการ รักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ ต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิทคอยน์ อีเธอร์ หรือริปเปิ้ลที่ออกโดยภาคเอกชน และมีมูลค่าผันผวนจากการใช้เพื่อเก็งกำไร จึงไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ

ซีบีดีซีมี 2 รูปแบบคือ ซีบีดีซีสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน และสำหรับธุรกรรมรายย่อยของภาคธุรกิจและประชาชน

รายงานวิเคราะห์ในเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย ระบุว่า ตอนนี้ธนาคารกลางกว่า 60 ประเทศทั่วโลกกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการออกซีบีดีซี และกัมพูชาก็เป็นผู้นำในการแข่งชันด้านนี้ หลังจากธนาคารกลางกัมพูชา(เอ็นบีซี)เปิดตัว"บากอง"สกุลเงินดิจิทัลของประเทศในเดือนต.ค.ปี 2563 ภายใต้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนจากบริษัทโซรามุตสึของญี่ปุ่นโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการยอมรับเงินเรียลซึ่งเป็นเงินสกุลท้องถิ่นของกัมพูชาและค่อยๆลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ

"ชี เซเรย์" ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวว่า โครงการบากองซึ่งเปิดดำเนินการในไตรมาสนี้เป็นช่องทางการชำระเงินแห่งชาติของกัมพูชา และมีบทบาทสำคัญในการนำผู้เล่นทุกคนในธุรกิจการชำระเงินเข้ามาอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน เพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้งานปลายทางในการชำระเงิน โดยไม่คำนึงถึงว่าสถาบันการเงินที่พวกเขาทำธุรกรรมด้วยเป็นธนาคารอะไร และในอนาคตจะอนุญาตให้มีการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่านระบบบากอง


นับจนถึงเดือนมิ.ย.ผู้ใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของบากองเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวจากประมาณสามเดือนก่อนหน้านี้เป็น 200,000 ราย ขณะที่ระบบโดยรวมของบากองเข้าถึงผู้ใช้ประมาณ 5.9 ล้านคน ในจำนวนนี้ รวมถึงผู้ติดตั้งแอพพลิเคชันบนมือถือของธนาคาร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีการทำธุรกรรมโดยรวม 1.4 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์

ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวว่า "ยอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการชำระเงินด้วยระบบดิจิทัลในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดในกัมพูชาและรัฐบาลออกมาตรการควบคุมด้านต่างๆทำให้ผู้คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีกันมาขึ้น"

อย่างไรก็ตาม บากองมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคริปโตเคอร์เรนซีแบบไร้ศูนย์กลางการควบคุมอย่างบิทคอยน์เนื่องจากโครงการสกุลเงินดิจิทัลของกัมพูชาเป็นระบบปิด ที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารของประเทศและหน่วยงานด้านการเงิน ที่สำคัญไม่สามารถนำเงินบากองนี้ไปใช้เพื่อการเก็งกำไรได้

นอกจากนี้ กระเป๋าเงินบากองยังถูกเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคาร ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลของพวกเขา สำหรับสกุลเงินของประเทศ

"การทำธุรกรรมทั้งหมด จะเป็นแบบเรียลไทม์ และจะถูกบันทึก จัดเก็บไว้อย่างปลอดภัยที่ธนาคารกลาง" ผอ.ธนาคารกลางกัมพูชา กล่าวและเชื่อว่าธนาคารกลางอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาระบบแบบเดียวกับที่กัมพูชาทำอยู่ในตอนนี้

ชาวกัมพูชาสามารถใช้เงินบากองซื้อสินค้าตามร้านค้า หรือส่งเงินผ่านแอพฯมือถือ โดยไม่ต้องใช้เงินสด พร้อมทั้งนำเงินนี้ไปชำระหนี้และส่งเงินนี้กลับประเทศในรูปเงินเรียล หรือ ดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลักๆที่กัมพูชาออกเงินสกุลดิจิทัลนี้มาก็เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในประเทศใช้เงินเรียลมากขึ้น

ปัจจุบัน กัมพูชาใช้เงินสองสกุลในการซื้อขายคือเงินเรียลและเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เงินดอลลาร์สหรัฐได้รับความนิยมและแพร่หลายในระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า

ชี กล่าวด้วยว่า การใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นประโยชน์กับประเทศในช่วงประเทศกำลังฟื้นตัวจากภาวะสงครามแต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจของกัมพูชาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้เงินท้องถิ่นยังช่วยให้ธนาคารกลางกัมพูชาสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินที่เป็นอิสระได้ต่อไป รวมทั้งควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศได้ดียิ่งขึ้น

แต่ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา ก็ยอมรับว่า แม้จะมีการใช้เงินเรียลเพิ่มขึ่้นในการทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัล นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเงินบากอง แต่เงินสกุลดิจิทัลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจกัมพูชาที่พึ่งพาดอลลาร์สหรัฐไปเป็นระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเงินสกุลท้องถิ่นได้ ยังมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายอื่นๆเข้ามาช่วย เช่น เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งเนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ

"ภาระกิจหลักของบากองคือเพิ่มการใช้เงินเรียลในระบบดิจิทัลและมีเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่ทำให้ชาวกัมพูชาใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพียงสกุลเดียวในการซื้อสินค้าและบริการ"ผู้อำนวยการธนาคารกลางกัมพูชา กล่าว

ธนาคารกลางกัมพูชา ระบุด้วยว่าขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินบากอง โดยกำลังทำงานร่วมกับธนาคารเมย์แบงก์ของมาเลเซียและธนาคารกลางแห่งประเทศไทย(ธปท.)
#3115


กรุงไทย มอง "เงินบาท" ยังอยู่ในโหมดอ่อนค่าจากปัญหาโควิดระบาดรุนแรงในไทยและจับตาเงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หลังนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบเงินบาทวันนี้33.10- 33.20บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.15 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.14 บาทต่อดอลลาร์แลพ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแรงซื้อดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเข้ามาเร่งปิดความเสี่ยงเนื่องจากกังวลว่า เงินบาทอาจจะอ่อนค่าเร็วและแรง

ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ เนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน

ทั้งนี้ ในระยะสั้น อาจต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ เพราะ เงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ตามแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่แข็งค่าขึ้น รวมถึง ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวล ปัญหาการระบาดโควิด-19 ทั่วโลก อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็พร้อมอ่อนค่าลง หากบรรยากาศการลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด

เรามองว่า แนวต้านสำคัญของค่าเงินยังอยู่ในโซน 33.20-33.25 บาทต่อดอลลาร์ และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามาช่วยลดความผันผวนของเงินบาทลงในระยะสั้น ทำให้ เงินบาทอาจยังประคองตัวในช่วง 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์  ในขณะที่แนวรับของเงินบาทก็ปรับขึ้นมาสู่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ผู้นำเข้าบางส่วนต่างรอจังหวะย่อตัว เพื่อทยอยปิดความเสี่ยงค่าเงิน

ในส่วนความเคลื่อนไหวของ"ตลาดการเงิน" ยังคงมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19, รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึง ทิศทางของนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง

โดยในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในโหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น และเริ่มทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่าปัญหาการระบาด Delta ในสหรัฐฯ อาจกดดันให้โมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจลดลงหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เริ่มออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ก็เพิ่มขึ้นเพียง 3.3 แสนตำแหน่ง น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่เกือบ 7 แสนตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ (Crude Oil Inventories) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด สะท้อนถึงความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Richard Clarida ที่ออกมาสนับสนุนการทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการทยอยขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 ซึ่งทั้งภาพความกังวลปัญหาการระบาด Delta และแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้กดดันให้ ดัชนี Dowjones ปิดลบ -0.92% เช่นเดียวกันกับ ดัชนีS&P500 ที่ปรับตัวลดลงราว -0.46% ส่วน หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.13%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้น +0.65% นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังรายงานผลปะกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงออกมาดีต่อเนื่อง Infineon +4.07%, ASML +2.93% ขณะเดียวกันแนวโน้มธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ รวมถึงความหวังแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มธนาคาร Adidas +4.04%, BNP Paribas +1.19%, Santander +1.05%

ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังตัวอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของเดลต้าทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยยังเป็นที่ต้องการของตลาด ดังจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1.18%

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดที่ออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่าง การทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์โดยรวมพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของโควิด-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.30 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง สู่ระดับ 1.184 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงแตะระดับ109.5 จุด

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่วนในด้านข้อมูลเศรษฐกิจและผลการประชุมธนาคารกลางนั้น ตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แม้ว่าล่าสุด อังกฤษจะพบการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากยอดผู้ป่วยหนักและยอดผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มในอัตราเร่งตามยอดผู้ติดเชื้อใหม่ อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดอาจทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทั้ง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องต่อ ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินบางส่วนเริ่มสนับสนุนการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องในปลายปีนี้ หรือ ช่วงต้นปีหน้า

ส่วนในฝั่งไทย ภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ซบเซาลงหนักจากปัญหาการระบาด Delta ที่รุนแรงมากขึ้น จะกดดันให้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนกรกฎาคม ชะลอลงสู่ระดับ 0.10% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ก็จะชะลอลงสู่ระดับ 1.0% เช่นกัน โดยอัตราเงินเฟ้อยังได้แรงหนุนจากราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่แรงกดดันจะมาจากภาวะการบริโภคที่ซบเซาและมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ ลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า
#3116


ยังคงเดินหน้าส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง สำหรับ "ดีเจต้นหอม ศกุนตลา" และ "กอล์ฟ อัครนันท์" สองซีอีโอแห่งแบรนด์ Hira Bule ที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมกันกระจายความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการมอบกล่องปันสุข และการบริจาคเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 20 เครื่อง เพื่อต่อลมหายใจของผู้ป่วยกึ่งวิกฤต ที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่บ้านและที่โรงพยาบาลสนาม

ล่าสุดแท็กทีมพิธีกรคนดังอย่าง "ดีเจมดดำ คชาภา" เพื่อเพิ่มกำลังความช่วยเหลือ ด้วยการนำรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Hira Blue ในรายการ แฉ ทางช่อง GMM25 โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ไปต่อบุญจัดซื้อเครื่องผลิตออกซิเจน สำหรับใช้ในการช่วยเหลือ ดูแล และรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19

โดย กอล์ฟ อัครนันท์ ได้เล่าถึงไอเดียของการช่วยเหลือในครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยตรวจพบติดเชื้อโควิดที่อเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์เฉียดตาย จนเห็นถึงจำเป็นอย่างมากของเครื่องผลิตออกซิเจน ว่ามันสำคัญเพียงใดต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ขาดแคลน จึงริเริ่มทำโปรเจกต์นี้ พร้อมๆ กับการสร้างคลินิก 1 บาทที่ และการมอบข้าวสาร เพื่อดูแลความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนใน จ.กาญจนบุรี ด้วย
"ตัวผมเป็นคนเมืองกาญจนบุรีโดยกำเนิด พ่อแม่ก็คนเมืองกาญจน์ เรียนเมืองกาญจน์ จบโรงเรียนวิสุทธิรังษี ตอนนี้ผมทำธุรกิจจนประสบผลสำเร็จในขั้นแนวหน้า พอวันหนึ่งมีโอกาสก็อยากจะขอตอบแทนคุณบ้านเกิด ด้วยการแบ่งปันและมอบความช่วยเหลือให้พี่พี่น้องชาวเมืองกาญจน์ ซึ่งเบื้องต้นได้ซื้อข้าวสารหอมมะลิของชาวนากาญจนบุรีกว่า 100 ตัน เพื่อนำไปมอบให้กับคนที่หาเช้ากินค่ำ และขาดรายได้จากการล็อคดาวน์ ครัวเรือนละ 5 กิโลกรัม และดำเนินการเปิดคลินิก 1 บาท เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางให้พี่น้องชาวเมืองกาญจน์ที่ขาดแคลน ได้เข้าถึงการรักษาที่ง่าย รวดเร็ว และราคาถูก ด้วยการจัดบริการรักษาผู้ป่วยภายในจังหวัด มีค่าใช้จ่ายเพียงเคสละ 1 บาท และจะดูแลจนกว่าไวรัสโควิดจะหมดไป สัญญาจะดูแลพี่น้องตลอดไป จากใจ กอล์ฟ อัครนันท์ ฉายาอายุน้อยร้อยล้านครับ"

ขณะที่อีกหนึ่งซีอีโออย่าง ดีเจต้นหอม ศกุนตลา ได้เล่าถึงที่มาโปรเจกต์นำยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Hira Blue ไปจัดซื้อเครื่องผลิตออกซิเจนว่า ในสภาวะวิกฤตแบบนี้ สิ่งเดียวที่เราสามารถช่วยเหลือกันได้ คือ โอกาส เธอจึงขานรับไอเดียของ กอล์ฟ อัครนันท์ เพื่อต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยที่กำลังนอนรอความช่วยเหลืออยู่ตอนนี้
"จริงๆ แล้วหอมทำบุญมาโดยตลอด เริ่มต้นจากการช่วยเหลือสัตว์ แล้วก็ค่อยๆ ต่อยอดมาเป็นการช่วยเหลือคน ก่อนหน้านี้หอมเคยเปิดให้คนมาลงทะเบียนบนโซเชียล ซึ่งในเวลาเพียง 15 นาที มีเคสที่ต้องการความช่วยเหลือพุ่งไปที่ 8,000 เคส มันแสดงให้เห็นว่าความต้องการความช่วยเหลือตอนนี้มีมากมายเพียงใด และยิ่งได้ฟังจาก กอล์ฟ คือ เวลาใครสักคนที่เป็นโควิด ถังออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และความโชคดีคือ หุ้นส่วนของเราทั้งหมด เวลาเราขอหรือทำเรื่องอะไรเกี่ยวกับงานบุญ ทุกคนจะบอกโอเคทำเลยช่วยชีวิตคนก่อน เลยทำให้หอมตระหนักและเห็นว่า สิ่งเหล่านี้มีค่า มันคือความภูมิใจที่เกิดมาเป็นมนุษย์"

นอกจากนี้ ทั้ง ดีเจต้นหอม และ กอล์ฟ ยังได้ประเดิมความช่วยเหลือล็อตแรกในรายการ แฉ ด้วยการมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จำนวน 20 เครื่อง ให้กับ "บุ๋ม ปนัดดา" พิธีกรจิตอาสา และประธานองค์กรทำดี ที่ขณะนี้รับอาสาปฏิบัติงานช่วยเหลือ เยียวยาผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนหลายร้อยราย พร้อมกับเชิญชวนสำหรับคนที่มีกำลัง ให้ออกมาช่วยเหลือคนที่ไปต่อไม่ได้ เพราะความเหลือเป็นสิ่งที่ไม่ต้องรอ โดยเฉพาะในเวลาที่บ้านเมืองเรากำลังเผชิญกับวิกฤตร้ายแรงแบบนี้
#3117


แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า อาลีบาบาเริ่มต้นปีงบประมาณนี้ด้วยไตรมาสแรกที่ดี โดยในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2564 อีโคซิสเต็มทั้งหมดของอาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำทั่วโลกแตะ 1,180 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 45 ล้านคนจากไตรมาสเดือนมีนาคม ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน ตลอดการดำเนินงานมามากกว่า 20 ปี อาลีบาบาได้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งฝั่งผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และมีกลไกมากมายที่ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

"เราเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการสร้างคุณค่าในระยะยาวของอาลีบาบา เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสบการณ์ให้ผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเราประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล"

แม็กกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างที่บริษัทเคยประกาศไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้วว่ากำลังนำกำไรส่วนเกินและเงินทุนมาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ขาย และลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเจาะตลาดใหม่และให้บริการผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

"เรากำลังเพิ่มวงเงินให้โครงการซื้อหุ้นคืน (Share repurchase) จากเดิม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเราเชื่อมั่นว่าอาลีบาบามีศักยภาพในการสร้างการเติบโตระยะยาว เรามีเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เราซื้อหุ้นคืนจากใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (ADS) แล้วราว 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ"

ผลประกอบการประจำไตรมาส (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) ชี้ว่าอาลีบาบาทำรายได้รวม 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากไม่นับการรวมธุรกิจของ Sun Art แล้ว รายได้ของบริษัทเติบโตที่ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 187,306 ล้านหยวน (ราว 958,936 ล้านบาท)

จำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเต็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน และ 265 ล้านคนในต่างประเทศซึ่งให้บริการโดยลาซาด้า อาลีเอ็กซเพรส Trendyol และ Daraz

กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 30,847 ล้านหยวน (ราว 157,925 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 48,628 ล้านหยวน (ราว 248,957 ล้านบาท) กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 33,603 ล้านหยวน (ราว 172,034 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 20,683 ล้านหยวน (ประมาณ 105,889 ล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับ 36,570 ล้านหยวนในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการจ่ายค่าปรับบางส่วนเป็นจำนวนเงิน 9,114 ล้านหยวน (ราว 46,660 ล้านบาท) จากค่าปรับทั้งหมด 18,228 ล้านหยวน ตามคำสั่งของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (ค่าปรับเพื่อต่อต้านการผูกขาดตลาด) และกำไรที่ลดลงเนื่องจากบริษัทนำเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักเชิงกลยุทธ์
#3118


นาย ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และผู้ดูแลโครงการในประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ในภาวะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยและส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาพรวม  แต่ผลประกอบการจากการลงทุนในประเทศออสเตรเลียกลับมีผลประกอบการดี โดยครึ่งปีแรกของปี 2564 ตัวเลขยอดสัญญาและยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการศุภาลัยในออสเตรเลียเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563


โดยยอดสัญญาครึ่งปีแรกของปี 2564 คิดเป็น 3,525.9 ล้านบาท เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2563 อยู่ที่ 561.5 ล้านบาท โดยศุภาลัยมีโครงการที่สร้างรายได้ให้บริษัทฯ อย่างสูงถึง 3 โครงการจากทั้งหมด 11 โครงการ คือ Balmoral Quay, New Haven และ Katalia และคาดหวังว่าทั้ง 3 โครงการนี้จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อกิจการของบริษัทฯในประเทศออสเตรเลียต่อไปในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 และปี 2565

โครงการ Katalia เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง บมจ.ศุภาลัย กับบริษัท Stockland ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย โครงการนี้มีทุนเรือนหุ้นประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่งเปิดขายไปเมื่อไตรมาส 4 ของปี 2563 และสามารถทำยอดขายในอัตราต่อเดือนที่สูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของออสเตรเลีย  


นาย ประศาสน์  กล่าววว่า ขณะที่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีแรกของปี 2564 มีมูลค่า 1,726.4 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 อยู่ที่ 767.6 ล้านบาท โดยโครงการ Gen Fyansford ซึ่งจัดสรรที่ดินบนทำเลเหมืองหินปูนเดิม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง Geelong ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Melbourne มียอดโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด บมจ.ศุภาลัยเชื่อมั่นว่าโครงการต่างๆในประเทศออสเตรเลียจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญในด้านรายได้ที่จะทำให้บริษัทฯบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการที่ตั้งเอาไว้ในปี 2564 นี้
#3119


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ทำการศึกษาแนวโน้มตลาดของสินค้าต่าง ๆ ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้นำมาแจ้งทิศทางและช่วยแนะนำให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทยได้มีการปรับตัว และเพิ่มโอกาสในการทำตลาด โดยได้ทำการศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งพบว่าแนวคิดแฟชั่นหมุนเวียน (Circular Fashion) กำลังเป็นที่นิยมที่นำมาใช้ในการวางแผนและออกแบบการผลิตเพื่อลดการเกิดของเสียและมลพิษ การผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุที่ปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การเพิ่มระยะเวลาใช้งานเสื้อผ้า รวมทั้งการนำเสื้อผ้าเก่ามาผลิตเป็นเสื้อผ้าใหม่ เกิดการหมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรได้อย่างสูงสุด

ทั้งนี้ นอกจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมแฟชั่นแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เพราะการที่ร้านค้าต้องปิดตัวลง ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน และลดการใช้ชีวิตทางสังคม ทำให้ยอดการจำหน่ายเสื้อผ้าลดลง ซึ่งผลการสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคทั่วโลกในปี 2563 ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคมีรายได้ลดลง และอุตสาหกรรมแฟชั่นถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากผู้บริโภคกว่า 51% จะลดการใช้จ่ายในการซื้อเสื้อผ้ารองเท้าลงและมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญต่อความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากขึ้น และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้งานได้ยาวนานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากนี้ ได้มีผลการสำรวจว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Millennial (ผู้ที่อายุระหว่าง 24-37 ปี) และ Gen Z (ผู้ที่อายุระหว่าง 13-23 ปี) ใส่ใจเป็นพิเศษต่อสินค้ารักษ์โลก และกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอุตสาหกรรมที่มีต่อสิงแวดล้อม รวมทั้งมีความตระหนักถึงการลดการใช้พลาสติกและคาดหวังให้แบรนด์สินค้าต่าง ๆ สนับสนุนแนวคิดเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

นายภูสิตกล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้เห็นว่าแฟชั่นหมุนเวียน เป็นแนวคิดที่จะช่วยสร้างช่องทางการตลาดใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบันไปพร้อม ๆ กับช่วยลดขยะและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้จากในวงการแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจบ้างแล้ว เช่น ธุรกิจให้เช่าเสื้อผ้า ธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสอง รวมไปถึงการผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุรีไซเคิล หรือวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทย ก็ควรที่จะศึกษาและวางแผนการทำตลาดภายใต้แนวคิดนี้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สนค.เห็นว่า ในส่วนของผู้บริโภค หากตระหนักถึงการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาจทำได้โดยเลือกสินค้าที่มีคุณภาพหรือเลือกใช้เสื้อผ้าจากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนทิ้งเสื้อผ้า พยายามซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อใช้งานให้นานขึ้น บริจาคเสื้อผ้า และแยกขยะเสื้อผ้า สิ่งทอ เมื่อต้องการทิ้ง เพราะเสื้อผ้าสิ่งทอเหล่านี้ สามารถนำไปรีไซเคิลให้กลายเป็นเสื้อผ้าใหม่หรือสินค้าประเภทอื่นได้

ปัจจุบัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมตามการเติบโตของธุรกิจแฟชั่น โดยเฉพาะกระแส Fast Fashion ซึ่งเป็นเทรนด์เสื้อผ้าที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและผู้ประกอบการต้องผลิตสินค้าออกมาให้ทันความต้องการ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความทันสมัยและซื้อบ่อยขึ้น อาจกลับทำให้สินค้าคุณภาพด้อยลง ใช้งานได้ไม่นาน และใช้ซ้ำได้น้อยครั้ง เสื้อผ้าปริมาณมหาศาลจึงต้องกลายเป็นขยะในที่สุด โดยแต่ละปีจะพบว่ามีเสื้อผ้าและสิ่งทอกว่า 85% ถูกทิ้ง และมีเพียง 15% ที่ได้รับการรีไซเคิลหรือนำไปบริจาค
#3120


เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก หลังมีสื่อต่างประเทศรายงานว่า "เทเลนอร์ กรุ๊ป" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จะโบกมือบ๊ายบาย! ประเทศไทย
เตรียมขายหุ้นทั้งหมดใน DTAC มูลค่ารวม 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ ราว 6.6 หมื่นล้านบาท จนส่งผลให้ราคาหุ้น DTAC พุ่งแรงติดจรวจ ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 29 ก.ค. หลังมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดออกมา โดยระหว่างวันราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 36.75 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ 35.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือ 11.72%

ก่อนที่สุดท้ายแล้วทางเทเลนอร์ออกมาสยบข่าวลือ โดย เกลนน์ แมนเดลิด ผู้อำนวยการสายงานสื่อสารองค์กร เทเลนอร์ เอเชีย ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เทเลนอร์ กรุ๊ป จะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวลือหรือการเก็งกำไรในตลาด พร้อมยืนยันว่าเทเลนอร์ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจในประเทศไทย และกลยุทธ์ในตลาดเอเชียยังไม่เปลี่ยนแปลง

ถือเป็นการคอนเฟิร์มว่า ขณะนี้ เทเลนอร์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของนอร์เวย์ จะยังคงปักหลักเดินหน้าดำเนินกิจการในประเทศไทยต่อไป หลังเข้าลงทุนในหุ้น DTAC มาร่วม 20 ปี ตั้งแต่ปี 2544 จนมาถึงปัจจุบันกิจการของ DTAC ในไทยยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และผลกำไรหลักให้กับเทเลนอร์

ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เทเลนอร์ถือหุ้น DTAC ผ่าน TELENOR ASIA PTE LTD ในสัดส่วน 45.87% และลงทุนทางอ้อมผ่าน บริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด อีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อลองคำนวณย้อนกลับมาดู หากกระแสข่าวขายกิจการมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เป็นจริง เท่ากับว่าราคาหุ้น DTAC ที่เทเลนอร์จะขายออกมาต้องมากกว่า 40 บาทต่อหุ้นแน่นอน ซึ่งสูงกว่าราคาในกระดาน จึงเป็นอีกแรงหนุนให้ราคาหุ้นพุ่งแรง

ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวขายกิจการ DTAC ในไทยของเทเลนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีข่าวแพร่สะพัดออกมาเป็นระยะ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ทั้งการแข่งขันด้านราคา การพัฒนาโครงข่าย การประมูลไลเซ่นส์ ไปจนถึงความเร็วอินเตอร์เน็ตเพื่อมัดใจผู้บริโภค

จนทำให้บริษัทเพลี่ยงพล้ำถูก "TrueMove H" ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชิงมาร์เก็ตแชร์ขึ้นไปเป็นอันดับ 2 และถูก "AIS" ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่เป็นเจ้าตลาดทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสข่าวออกมาว่า หรือจะถึงเวลาแล้วที่เทเลนอร์จะต้องยอมยกธงขาว?

แต่ประเด็นนี้ ชารัด เมห์โรทรา ซีอีโอคนปัจจุบันของ DTAC เคยให้มุมมองไว้ว่า อันดับเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ DTAC ต้องสู้กับตัวเองก่อน ถ้ามีบริการที่ดี มีคุณภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เดี๋ยวอันดับจะดีขึ้นเอง ดังนั้นแค่เรื่องมาร์เก็ตแชร์คงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เทเลนอร์ยอมถอย

สำหรับกระแสข่าวลือรอบล่าสุดนี้ ถูกนำมาเชื่องโยงกับการที่เทเลนอร์ขายกิจการในเมียนมาให้กับ M1 Group จากประเทศเลบานอน มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ หรือ ราว 3.4 พันล้านบาท เมื่อต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะตั้งแต่เกิดรัฐประหารส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมเต็มๆ เนื่องจากถูกจำกัดการให้บริการ มีการสั่งปิดเครือข่าย ซึ่งเทเลนอร์มองว่าสถานการณ์ในเมียนมาคงไม่ได้ดีขึ้นในเร็ววันนี้จึงยอมถอนตัวออกมา

ดังนั้นการขายธุรกิจในเมียนมาคงไม่เกี่ยวกับกิจการในประเทศไทย เพราะในไทยแม้จะถูกคู่แข่งชิงส่วนแบ่งไปเยอะ แต่ DTAC ยังเป็นกิจการหลักที่สร้างรายได้ให้กับเทเลนอร์ และมีสัดส่วนรายได้มากที่สุดในตลาดเอเชีย

แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหม? ที่เทเลนอร์จะขายหุ้น DTAC ต้องตอบว่าทุกอย่างมีโอกาสเกิดขึ้นได้หมด แต่ที่น่าสนใจ คือ ถ้าขายจริงจะขายให้ใคร ซึ่งดูแล้วโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นโอเปอเรเตอร์มือถือในตลาดด้วยกัน เพราะไม่ใช่ธุรกิจง่ายๆ ที่ใครจะเข้ามา ต้องอาศัยความชำนาญ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทุกๆ ฝ่าย

โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กระแสข่าวที่ออกมามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย เพราะหากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งในประเทศเข้าซื้อ DTAC จะส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เข้าข่ายผูกขาดทางการค้า ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอาจจะตามมาด้วยเงื่อนไขที่จำกัด Synergy ในการทำธุรกิจ

ขณะที่ในระยะสั้น ADVANC อาจติดปัญหาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง ส่วน TRUE ยังมีความท้าทายจากภาระหนี้สินที่ยังสูง

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952032