• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3161


ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล กรรมการบริหารทุน วว. และ กรรมการ ปณท. เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) มุ่งศึกษา วิจัย พัฒนา นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าทุกรูปแบบ ผ่านช่องทางของไปรษณีย์ไทย ให้มีความแข็งแรง ทนทาน ได้มาตรฐาน ป้องกันความเสียหายของสินค้า ช่วยลดต้นทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้รับสินค้า พร้อมรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเป็นการเสริมแกร่ง เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย / ขนส่งสินค้า ให้แก่ผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 อย่างเข้มแข็ง ด้วยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 2 ปี โอกาสนี้ ดร.พัชรา มณีสินธุ์ รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม วว. และ ดร.อาภากร สุปัญญา รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ในวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา บริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานสู่สากล รวมทั้งสร้างนวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการเข้าไปตอบโจทย์แก้ปัญหา รวมทั้งสร้างโอกาสผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดำเนินงานร่วมกับ วว. มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือทั้งสองหน่วยงานมุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้ขนส่งผ่านช่องทางไปรษณีย์ ดังนี้ 1.บรรจุภัณฑ์ที่มีความแข็งแรง ได้มาตรฐาน ช่วยป้องกันความเสียหายของสินค้า และมีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการตลาดยุคอีคอมเมิร์ซ 2.บรรจุผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพได้ง่าย หรือต้องการดูแลเป็นพิเศษ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ ยา เวชภัณฑ์ และปลาสวยงาม เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการจัดส่งในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม และ 3.การพัฒนามาตรฐานการใช้งานบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งผลิตภัณฑ์ ผ่านช่องทางไปรษณีย์ในประเทศ

นอกจากนี้จะมีการใช้ศักยภาพของหน่วยงานในการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายหรือขนส่งสินค้านวัตกรรม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์/บรรจุภัณฑ์ ให้กับผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs ในเครือข่ายของทั้งสองหน่วยงาน ตลอดจนการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าที่ ปณท วว. หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่เป็นพันธมิตรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และอำนวยความสะดวกในการให้บริการ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจการและการขยายกิจการของธุรกิจไทยด้วย

"วว. และ ปณท. จะดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ 2 ปี โดยมุ่งผลิตผลงานให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ช่วยเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบไทย ทั้งนี้ วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย เป็นหน่วยงานกลางของชาติด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลระดับนานาชาติ เพื่อช่วยรักษาคุณภาพสินค้า ลดความสูญเสียของสินค้าจากการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก ตลอดจนส่งเสริมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ให้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป เพื่อยกระดับมาตรฐานการบรรจุหีบห่อของประเทศ วว. พัฒนาบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีบทบาทในตลาดอีคอมเมิร์ซ และจะช่วยเสริมให้การดำเนินงานร่วมกันของ 2 หน่วยงานเข้มแข็งยิ่งขึ้น อาทิ กล่องขนส่งมะม่วงสำหรับจำหน่ายออนไลน์ขนาดบรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม กล่องเก็บกลิ่นทุเรียนล็อคกลิ่นได้ 100% กล่องบรรจุต้นไม้ ขนาด 20 x 20 x 50 ซม. เป็นต้น ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มอล" ผู้ว่าการ วว. กล่าว

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) กล่าวถึงภารกิจหลักของไปรษณีย์ไทย ในการให้บริการด้านการขนส่งที่มีความเชี่ยวชาญในการนำส่งพัสดุ สิ่งของ สินค้าต่างๆ ให้ถึงมือผู้รับครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากศักยภาพด้านการขนส่ง ไปรษณีย์ไทยยังให้ความสำคัญเรื่องของบรรจุภัณฑ์มาโดยตลอด ได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะกับสินค้าแต่ละประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับขนส่งต้นไม้ ผลไม้ตามฤดูกาล หรือปลาสวยงาม เป็นต้น เพื่อรองรับการขนส่งให้มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมสภาพของสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายใน ด้วยราคาคุ้มค่า คุ้มต้นทุน ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ร้านค้าออนไลน์ ได้เติบโตขึ้น


ครั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยได้จับมือกับหน่วยงานที่แข็งแกร่งในด้านงานวิจัยและการพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์และถ่ายทอดเทคโนโลยี อย่าง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับ หรือ ยา เวชภัณฑ์ต่างๆ ที่มีความจำเป็นและมีปริมาณการส่งจำนวนมากขึ้นในช่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะนี้ โดยเราคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นหลัก จึงได้มุ่งเน้นที่จะออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับการใช้งานให้มากที่สุด เพื่อช่วยคงสภาพสิ่งของในระหว่างการนำส่งให้มีความปลอดภัย รวมทั้งลดต้นทุนของผู้ส่งซึ่งส่วนใหญ่
#3162


"บล.กรุงศรี" คาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) แกว่งตัว 1,535-1,555จุด ปัจจัยบวกวลับลบ แม้มีแรงเฟดลดคิวอีในปีนี้ -ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลง-ม็อบไล่รัฐบาลยืดเยื้อกดดันแต่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดเริ่มทรงตัว ฉีดวัคซีนเร่งตัว หวังผ่อนคลายล็อกดาวน์หนุน

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.2564) คาดดัชนี SET แกว่งตัว 1,535 – 1,555 จุด จากปัจจัยบวกและลบที่คละเคล้าโดยภาวะตลาดมีแรงกดดันจาเฟด ส่งสัญญาณลดการใช้ คิวอีลงในปีนี้ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรงและการชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตามยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเริ่มทรงตัวรวมถึงการฉีดวัคซีนที่เร่งตัวขึ้นจึงคาดหวังการผ่อนคลาย ล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจและภาวะการลงทุน


กลยุทธ์การลงทุน แนะเลือกลงทุน ( Selective Buy) เช่น กลุ่มส่งออก HANA KCE TU CPF GFPT ASIAN EPG NER อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า ,กลุ่มเดินเรือ PSL TTA RCL แนวโน้มค่าระวางเรือปรับตัวขึ้น และกลุ่มเปิดเมือง AOT CPN CRC HMPRO AAV BA MINT CENTEL AMATA WHA 

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ EPG (ปิด 12.6 ซื้อ/เป้า 16 บาท) แนวโน้ม 2Q22 (ก.ค.- ก.ย.) ยังแกร่งต่อจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทั้ง 3 ธุรกิจ คือ ฉนวนกันความร้อน, ชิ้นส่วนรถยนต์ และ Packaging ขณะที่วันนี้ได้ Sentiment บวกจากเงินบาทอ่อนค่าและน้ำมันดิบร่วงแรงหนุนมาร์จิ้นเพิ่ม

และTMT (ปิด 11 ซื้อ/เป้า 12.5) ดักซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 ส.ค. ให้เงินปันผล 0.6 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield 5.5% ขณะที่แนวโน้ม 3Q21 ยังดีต่อเนื่องจากราคาเหล็กยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและคาดว่าตลาดจะทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์
#3163


นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT  เปิดเผยครึ่งปี 2564 คาดการณ์ว่า ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ผลจากการเริ่มมีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐปี 2564 เพิ่มขึ้นถึงสองแสนกว่าล้านบาท โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะเหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่าหนี่งแสนล้านบาท สำหรับการส่งออกหม้อแปลงไฟฟ้า แม้ภาวะเศรษฐกิจโลก อาจจะยังค่อยๆ ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้น และมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีนโยบายที่จะรักษาฐานตลาดเดิม และมุ่งขยายฐานตลาดใหม่ในต่างประเทศ

"และในครึ่งปีหลังของปี 2564 บริษัทฯ คาดว่าจะเป็นอีกปีที่จะมีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในส่วนของผลิตภัณฑ์หม้อแปลงไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้น บริษัท มีงานในมือ (Backlog) ณ.สิ้นมิถุนายน 2564 มูลค่า 1,151 ล้านบาทแล้ว แบ่งเป็นงานในภาครัฐบาลและเอกชน 1,022 ล้านบาท และ อีก 129 ล้านบาท จะเป็นงานภาคส่งออกต่างประเทศ" 

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า บริษัทและบริษัทย่อย มีผลกำไรขาดทุนสุทธิ 3.18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดบัญชีเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 80.05 ล้านบาท โดยมีมีรายได้จากการขาย 857.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 83.51 ล้านบาท หรือ 10.80 % ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้หม้อแปลงไฟฟ้า และบริษัทฯ มีรายได้จากการบริการ 69.30 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 3.46 ล้านบาท หรือ 5.25% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการบริการหม้อแปลงไฟฟ้า

ทั้ง้นี้บริษัทมีรายได้ตามสัญญาก่อสร้าง จากการดำเนินการของบริษัทย่อย 16.86 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 10.18 ล้านบาท หรือ 37.65% เนื่องจากสภาพการแข่งขันในช่วงโควิดสูงขึ้น ทำให้รายได้ของบริษัทย่อยลดลงบริษัทยังมีกำไรขั้นต้นจากการขาย 18.52 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากาไรขั้นต้นเท่ากับ 13.53 % เนื่องจากในไตรมาสนี้ส่งมอบงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยเฉพาะธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า และยังมีกำไรขั้นต้นจากการบริการ 48.44 % เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 36.99 % ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของการบริการหม้อแปลงไฟฟ้า
#3164


"วันสารทจีน 2564" เป็นวันที่ลูกหลานแดนมังกรจะตั้งโต๊ะอาหารคาวหวานเพื่อไหว้ผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูและเป็นนัยว่าทำบุญส่งมอบอาหารไปถึงญาติผู้ล่วงลับให้ได้กินอิ่มหนำอีกครั้งในช่วงปลายปี (หลังจากที่ไหว้บรรพบุรุษไปแล้วในวันตรุษจีนช่วงต้นปี) และเมื่อพูดถึงการซื้อ  "ของไหว้"  สำหรับวันสารทจีนในปีนี้อาจจะไม่คึกคักเหมือนปีที่ผ่านๆ มา เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองกว่าทุกปี 


แต่ไม่ว่าจะฝืดเคืองอย่างไร บางครอบครัวก็ยังคงสืบทอดธรรมเนียมปฏิบัติในการไหว้  "สารทจีน"  เอาไว้เหมือนทุกปี แต่ปีนี้อาจจะต้องมีเทคนิคในการซื้อของไหว้ให้ประหยัด และงบไม่บานปลายกันหน่อย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รวบรวมทริกดีๆ สำหรับการซื้อของไหว้ให้ครบและคุ้มค่า รวมถึงแนะนำวิธีการตั้งโต๊ะไหว้ว่าต้องทำอย่างไร เตรียมของไหว้อะไร และไหว้เวลาไหนบ้าง? มาเช็คลิสต์ทางนี้...

1. เตรียมของไหว้มงคล "วันสารทจีน" 2564

ตามคติความเชื่อของชาวจีน (และชาวไทยเชื้อสายจีน) เวลาถึงวันสำคัญประจำปีที่จะต้องมีการตั้งโต๊ะไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไหว้บรรพบุรุษก็ตาม "ของไหว้"  เหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นของคาว ของหวาน หรือผลไม้ จะต้องมีความหมายมงคล ตามความเชื่อที่ว่าเมื่อไหว้ด้วยสิ่งของมงคลแล้ว ความดีอันเป็นมงคลทั้งหลายก็จะตกแก่ผู้ไหว้ ทำให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้า ราบรื่น ค้าขายรุ่งเรืองเฟื่องฟู เป็นต้น

สำหรับ "ของไหว้" ที่ต้องใช้ในไหว้บรรพบุรุษในวัน "สารทจีน"  จะมีความคล้ายคลึงกับของไหว้ในวันตรุษจีน โดยจะใช้ทั้งของคาวจำพวกเนื้อสัตว์ที่มีความหมายมงคล ขนมมงคล และผลไม้มงคล ดังนี้

'สารทจีน' ความหมาย 'มงคล' ของไหว้ และไหว้อะไรบ้าง
'สารทจีน' VS 'ตรุษจีน' ลูกหลานแดนมังกรรู้ไหมต่างกันยังไง?

- เนื้อสัตว์ : เนื้อสัตว์ 3 อย่าง  (ซาแซ)  หรือเนื้อสัตว์ 5 อย่าง  (โหงวแซ) ต้องเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่มีความหมายมงคล  เช่น เป็ดพะโล้ต้ม ไก่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมูกรอบ ขาหมู ปลานึ่ง  กุ้งต้ม เป็นต้น ส่วนเนื้อสัตว์ที่้ไม่ควรนำมาเป็นของไหว้คือเนื้อวัวและเนื้อแพะ

- ผลไม้ :  ถัดมาก็ต้องเตรียมผลไม้มงคล 3 (ซาก้วย) หรือผลไม้มงคล 5 อย่าง (โหงวก้วย) ก็ได้ โดยต้องเลือกผลไม้ที่มีความหมายมงคลเช่นกัน ได้แก่ แอปเปิ้ลแดง ส้ม สาลี่ ลูกพลับ องุ่นแดง แก้วมังกร  สับปะรด กล้วยหอมทอง  ทับทิม  เป็นต้น  สังเกตว่าจะเน้นผลไม้สีแดงและสีเหลืองทอง ซึ่งชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นสีแห่งความเฮงและความโชค ส่วนผลไม้ที่ไม่ควรนำมาเป็นของไหว้คือ ผลไม้ที่มีสีดำ เช่น องุ่นดำ เป็นต้น

- ขนม :  ส่วนขนมที่ขาดไม่ได้ในการไหว้สารทจีนก็คือ  "ขนมเข่ง"  ส่วนขนมเทียนและขนมเปี๊ยะนั้นจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ และข้อสำคัญคือช่วงสารทจีนไม่นิยมใช้ขนมจันอับมาไหว้บรรพบุรุษ


2. เลือกซื้อ "ของไหว้" สุดประหยัดจัดได้ครบ!

อย่างที่บอกไปว่าปีนี้เกิดวิกฤติโรคระบาดโควิด ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคือง การจับจ่ายหาซื้อ "ของไหว้"  ปีนี้จึงต้องประหยัดงบเข้าไว้ สำหรับวิธีการเลือกซื้อของไหว้สำหรับวัน  "สารทจีน"  นั้นก็คือ เน้นซื้อให้ครบทั้ง 3 หมวด คือ ของคาว ขนม และผลไม้ แต่ให้ลดปริมาณลง แม้ว่าตามความเชื่อของลูกหลานแดนมังกร เวลาจะซื้อเนื้อสัตว์ที่เป็นของไหว้ต้องซื้อให้เต็มทั้งตัวก็ตาม  แต่ยังไงก็ควรจับจ่ายตามความสะดวกและตามกำลังทรัพย์ของแต่ละบ้านมากกว่า

วิธีเลือกซื้อเนื้อสัตว์มงคล : เปลี่ยนจากซื้อเป็ดต้มและไก่ต้มทั้งตัว เป็นซื้ออย่างละครึ่งตัว เปลี่ยนจากซื้อขาหมูทั้งขา เป็นสามชั้นต้ม 1 ชิ้น และซื้อของทำกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบทานอีกสัก 2-3 อย่าง

วิธีเลือกซื้อผลไม้มงคล : ซื้อแค่ 3 ชนิดก็เพียงพอแล้ว เช่น แอปเปิ้ลแดง สาลี่ กล้วยหอม

วิธีเลือกซื้อขนมมงคล : เน้นขนมเข่ง ขนมเทียนเป็นหลัก ส่วนขนมอื่นๆ ไม่ต้องก็ได้ และอย่าลืมถ้วยน้ำชาและชามข้าวสวยตามจำนวนญาติผู้ล่วงลับที่จะไหว้

ซื้อของจำเป็นอื่นๆ : กระดาษเงินกระดาษทอง กงเต๊ก ชุดเสื้อผ้ากระดาษ เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีสำหรับเผาส่งไปให้ผู้ล่วงลับ


3. วิธีตั้งโต๊ะไหว้ "สารทจีน" 3 ครั้ง  พร้อมเวลาไหว้

ส่วนการจัดโต๊ะไหว้  "สารทจีน"  นั้นจะแบ่งการไหว้ออกเป็น 3 ครั้ง โดยแบ่งออกเป็น

-  ตั้งโต๊ะไหว้เจ้าที่ : ไหว้กันในตอนเช้า ไม่เกินเที่ยงวัน โดยต้องเตรียมทั้งของคาว ขนม และผลไม้ โดย "ของไหว้"  ที่ต้องมีในการไหว้ช่วงนี้คือ ขนมเทียน ขนมเข่ง และต้องแต้ม จุดสีแดง ไว้ตรงกลาง เนื่องจากความเชื่อของชาวจีนที่ว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล นอกจากนั้นก็มี น้ำชา หรือ เหล้าจีน และ กระดาษเงินกระดาษทอง

วิธีไหว้ :  จัดอาหารมงคลเหล่านี้ไว้บนโต๊ะ จุดธูป 5 ดอกยกขึ้นไหว้พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน จากนั้นพอไหว้เสร็จก็เผากระดาษเงินกระดาษทอง

-  ตั้งโต๊ะไหว้บรรพบุรุษ :  ไหว้ช่วงสายๆ และไม่เกินเที่ยงวันเช่นกัน โดยใช้ชุดของคาว ขนม ผลไม้ เหมือนกับที่ไหว้เจ้าที่ และให้เพิ่มอาหารเมนูโปรดของเหล่าบรรพบุรุษเข้ามา และให้จัดชามข้าวสวย ถ้วยน้ำชา เก้าอี้ ตามจำนวนของบรรพบุรุษที่จะไหว้ด้วย ขณะที่ไหว้ก็สามารถเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษ ชุดกงเต็ก ฯลฯ ไปพร้อมๆ กันเลยก็ได้ 

วิธีไหว้ :  จัดอาหารมงคลเหล่านี้ไว้บนโต๊ะ ไหว้บรรพบุรุษที่เสียนานแล้วใช้ธูป 3 ดอก สำหรับบรรพบุรุษที่เพิ่งเสียได้ไม่นานใช้ธูป 1 ดอก


-  ตั้งไหว้ผีไม่มีญาติ สัมภเวสี  :  ไหว้ช่วงบ่ายแก่ๆ ถือเป็นการให้เกียรติผู้อื่นของคนจีน และเป็นการให้ทาน โดยการทำเช่นนี้เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้ไหว้ทำการงานลื่นไหลไม่ติดขัด ค้าขายดี มีความเจริญรุ่งเรือง

วิธีไหว้ :  ต้องจัดโต๊ะไหว้บริเวณนอกตัวบ้าน ของไหว้จะมีทั้งของคาว ขนมหวาน และผลไม้ ตามต้องการ ที่พิเศษคือต้องมีข้าวคลุกกระเทียมเจียวแบบจีนโบราณ  เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ให้เจ้าบ้านจุดธูปจำนวนมากไหว้ แล้วปักธูปที่อาหารหรือภาชนะอย่างละ 1 ดอก ส่วนคนอื่นๆ ในบ้านใช้ธูปเพียงดอกเดียวไหว้ เมื่อธูปหมดดอกต้องจุดประทัดเพื่อไล่ผีที่มาร่วมกินอาหารให้เตลิดไป และใช้ไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ให้พ้นไปด้วย
#3165


ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากการตรวจพบโควิดบนบรรจุภัณฑ์ทุเรียนไทยในมณฑลเจียงซี ซึ่งเป็นการสุ่มตรวจเชื้อตามปกติในพื้นที่ และส่งผลให้สำนักงานป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แขวงซงโจว เขตไป๋หยุน นครกว่างโจว ออกประกาศเกี่ยวกับการระงับทุเรียนไทยที่มีแหล่งผลิตในบางพื้นที่ของไทย ไม่ให้เข้ามาจำหน่ายในพื้นที่ซึ่งมีตลาดเจียงหนานเป็นตลาดค้าส่งขนาดใหญ่และตลาดอื่น ๆ เนื่องจากพบความเชื่อมโยงจากกรณีของมณฑลเจียงซี  จึงได้มอบหมายให้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบประเด็นดังกล่าว โดยสั่งการให้ทูต/กงสุลเกษตรในจีนประสานงานแก้ไขปัญหาและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง จนมีการยกเลิกประกาศฯ สามารถปลดล็อคการระงับการจำหน่ายในตลาดเจียงหนาน นครกว่างโจวได้สำเร็จ



ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ตลาดค้าส่งผักและผลไม้เจียงหนาน นครกว่างโจว ซึ่งเป็นตลาดผักผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของจีน ได้ออกประกาศการกลับมาดำเนินการปกติ ไม่มีการห้ามสินค้าผลไม้ไทยมาจำหน่ายในตลาด แต่จะอนุญาตให้สินค้าผลไม้ที่มีรับรองครบเท่านั้นถึงจะเข้าตลาดได้ คือ ใบรับรองการผ่านพิธีการศุลกากร ใบตรวจสอบกักกัน ใบรับรองการฆ่าเชื้อ และผลการตรวจโควิด ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการอย่าหลงเชื่อข่าวลือ (fake news)


นอกจากนี้ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมนัดหมายหารือทวิภาคีกับฝ่ายจีนเพื่อหารือร่วมกันแก้ไขปัญหาและผลักดันผลไม้ไทยสู่ตลาดจีน พร้อมทั้งได้แจ้งให้ผู้ประกอบการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทยเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันเชื้อโควิดปนเปื้อนในผลไม้ไทยส่งออก ต้องทำการฆ่าเชื้ออย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้าเกษตรไทยมีมาตรการคุมเข้มการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิดตั้งแต่ต้นทาง

 


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กล่าวว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงระบาดในไทยและหลายประเทศทั่วโลก ประกอบกับไทย  ยังมีอัตราผู้ติดเชื้อ    ในประเทศสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายต่างเกิดความกังวลนั้น

 ในส่วนของสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก  ทาง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเข้มงวดในมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อของสินค้าเกษตรในทุกกระบวนการให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยมีการกำชับและคุมเข้ม ครอบคลุมในทุกมาตรการ ตั้งแต่มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันสำหรับเกษตรกรในการดูแลตนเอง การทำความสะอาดพื้นที่และสวนเกษตร

 

 มาตรการสำหรับผู้ประกอบการสถานประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ (ล้ง) และมาตรการสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเกษตร  มีการเฝ้าระวัง ตั้งแต่การพ่นยาฆ่าเชื้อตั้งแต่ต้นทางจากสวน จนถึงระบบขนส่ง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ภายในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชของกรมวิชาการเกษตร ติดตามกำกับดูแลที่โรงคัดบรรจุให้ปฏิบัติตามมาตรการ และตรวจสอบใบรับรอง GAP และศัตรูพืช เพื่อออกใบรับรองสุขอนามัยพืชให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกอย่างเคร่งครัด โดยยึดตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO)  และ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)

ขณะที่ด้านปศุสัตว์ ได้เน้นย้ำมาตรการป้องกันอย่างเต็มที่ โดยกรมปศุสัตว์ กรมควบคุมโรค ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ และผู้ประกอบการ มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในโรงงาน และตรวจสอบประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการเก็บสินค้าตัวอย่าง หากพบมีความเสี่ยงหรือปนเปื้อนเชื้อ กรมปศุสัตว์จะไม่อนุญาตให้ทำการจำหน่ายหรือส่งออกในทันที นอกจากนี้   จากที่โรงานผลิตมีขอบเขตพื้นที่ชัดเจน ดังนั้น หากพบการติดเชื้อของพนักงานในโรงงาน จะสามารถคัดแยกผู้ติดเชื้อออกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปตามแนวทางบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) ของกรมควบคุมโรค



สำหรับสินค้าประมง กรมประมงได้เข้มงวดระบบการควบคุมตรวจสอบ ตั้งแต่ต้นทาง เช่น เรือประมง มีการผ่านการตรวจสอบ มาตรฐานสุขอนามัย มีมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจะต้องได้มาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP) โดยสินค้าประมงส่งออก     มีการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยตลอดสายการผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบที่นำเข้าโรงงาน กระบวนการในการแปรรูป การบรรจุ              ตามมาตรฐาน Good Man.cturing Practice หรือ GMP และ Hazard Analysis Critical Control Point หรือ HACCP เพื่อให้ ระบบคุณภาพของโรงงานและผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานสากล  นอกจากนี้ กรมประมงได้ร่วมกับผู้ประกอบการ กำหนดมาตรการ ในการเฝ้าระวัง ติดตามและดูแลแรงงานในสถานประกอบการตามมาตรฐานการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ทางกระทรวง สาธารณสุขกำหนดไว้ทั้งมาตรการ Bubble and seal และอื่นๆ ที่จำเป็น


"ผมขอเรียนให้ประชาชนผู้บริโภคสินค้าเกษตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คลายความกังวลและสบายใจได้ว่า             กระบวนการผลิตสินค้าเกษตรไทย ปราศจากการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19  โดยหลายประเทศ ในขณะนี้ ได้ยกระดับมาตรการควบคุมเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิด-19 ในสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก สินค้านำเข้าจะต้องมีการฆ่าเชื้อบรรจุภัณฑ์ก่อนเข้าสู่ตลาดในประเทศต่าง ๆ และตรวจถูกตรวจเพื่อหาเชื้อโควิด-19"

 ซึ่งปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการและกำชับให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ เข้มงวดตลอดสายการผลิตให้มากยิ่งขึ้น มีการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้า ทั้งกลุ่มพืช ไม้ผล ปศุสัตว์ ประมง เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่พบการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 แต่อย่างใดในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร นอกจากนี้            ขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการทุกท่าน ควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการปนเปื้อนของเชื้ออย่างเข้มงวดให้มากกว่าเดิม ทั้งนี้ หากมีการตรวจพบเชื้อปนเปื้อนในกระบวนการผลิต กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพณิชย์ กระทรวงแรงงาน และผู้ประกอบการ เราจะร่วมมือกันในการตรวจสอบย้อนกลับ ถึงสาเหตุการปนเปื้อนอย่างเร่งด่วนและเร่งแก้ปัญหาในทันที" 
#3166


ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซถือเป็นอีกช่องทางที่เปิดกว้างสำหรับผู้ขาย ไม่จำกัดเรื่องอายุ เพศ หรือการศึกษา ทุกคนสามารถสร้างอาชีพและมีรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ ลาซาด้าในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ขายให้สามารถสร้างธุรกิจและประสบความสำเร็จผ่านแพลตฟอร์มของลาซาด้า โดยเล็งเห็นถึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างโอกาสและช่องทางหารายได้ตั้งแต่วัยรุ่น จึงเปิดตัวโครงการ "Lazada Young Millionaires Club ปลุกฝันปั้นแสนแรกกับลาซาด้า" ผลักดันคนรุ่นใหม่ให้สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ สร้างรายได้หลักแสนด้วยตัวเอง เพื่อต่อยอดเป็นเจ้าของธุรกิจหลักล้านในอนาคต อีกทั้งยังติดอาวุธการตลาดออนไลน์ให้วัยรุ่นรวยเงินแสนได้อย่างรวดเร็วแบบไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย

นายวีระพงศ์ โก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า "ในสถานการณ์ปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์ถือเป็นช่องทางที่สำคัญมากในการทำธุรกิจ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความฝันของคนรุ่นใหม่มากมาย โดยเฉพาะการเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์ เราจึงอยากผลักดันความฝันของคนเหล่านั้นให้สำเร็จ ด้วยการต่อยอดโครงการในปีก่อน นั่นคือ "Lazada Millionaires Club" มาเป็น "Lazada Young Millionaires Club" ในปีนี้ โดยมุ่งถ่ายทอดเคล็ดลับความสำเร็จสู่กลุ่มวัยรุ่นที่ฝันอยากจับเงินแสนบาทแรก เพื่อตั้งต้นสู่ธุรกิจหลักล้าน โดยสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองกับลาซาด้า ที่ทั้งสมัครง่ายและมี Lazada University คอร์สถ่ายทอดทุกกลยุทธ์การตลาดออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยสนับสนุนการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้เลือกใช้ และแคมเปญหลากหลาย โดยเฉพาะลาซาด้า 9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์ ที่กำลังจะมาถึงนี้ ถือเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่เริ่มต้นสร้างรายได้ และลาซาด้ายังมีแคมเปญโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายให้ร้านค้าสามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งปี ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้ขายวัยรุ่นสามารถเติบโตในธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้อย่างมั่นคง"



โดย Lazada Young Millionaires Club เผย How-to พิชิตเงินแสนแรกกับลาซาด้า ชวนคนรุ่นใหม่ปลุกฝันสร้างโอกาสและรายได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ทำได้ ดังนี้
• สมัครเปิดร้านค้าออนไลน์ผ่าน Lazada Seller Center เพียงแค่ 5 นาที ก็เริ่มต้นการทำธุรกิจออนไลน์บนแพลตฟอร์มลาซาด้า สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ได้ง่ายๆ
• พร้อมลุยตลาด ด้วย Lazada University คอร์สออนไลน์สอนเทคนิคการขายของออนไลน์แบบครบวงจร เรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
• จัดเต็มด้วย Lazada Sponsored Solutions เครื่องมือช่วยขาย โซลูชั่นทางการตลาดให้ผู้ขายเจาะกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำ ช่วยเพิ่มการมองเห็นและกระตุ้นยอดขายสำหรับธุรกิจออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพดันยอดให้พุ่งผ่านแคมเปญ ซึ่งลาซาด้ามีแคมเปญให้ร่วมได้ตลอดทั้งปี มาเริ่มจับแสนแรกไปกับแคมเปญลาซาด้า 9.9 ลดอลัง ปังทุกแบรนด์ ที่กำลังจะมาถึงนี้ได้เลย



พิเศษไปอีกขั้นกับโปรโมชั่นร้านใหม่ ติดเทอร์โบ เปิดร้านกับลาซาด้าในเดือนสิงหาคม รับสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ
• คูปองส่วนลดกระตุ้นยอดขายจากลาซาด้า ส่วนลดสูงสุด 50% และส่วนลด 120 บาท
• คูปองส่งฟรีจากลาซาด้า ส่วนลดค่าขนส่งมูลค่าสูงสุด 30 บาท
• ทีมงานดูแลร้านค้าแบบพิเศษส่วนตัวเป็นเวลา 30 วัน
• แคมเปญลาซาด้าช่วยไทย

นอกจากนี้ลาซาด้ายังผนึกกำลังกับรายการ "อายุน้อยร้อยล้าน" ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจเปิดร้านค้าออนไลน์ พร้อมแชร์ประสบการณ์ตรงจากผู้ขายรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ปลุกฝันปั้นแสนแรกได้สำเร็จจาก Lazada Young Millionaires Club เริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 20 สิงหาคมนี้ โดยสามารถติดตามเรื่องราว และแรงบันดาลใจดีๆ จากผู้ขายของลาซาด้า ที่ https://www.facebook.com/Ryounoi100lan
#3167


นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังว่า จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนป้องกัน COVID-19 ในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมในระดับที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 นี้ จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า COVID-19 สายพันธ์เดลต้าที่กำลังระบาดในบางประเทศขณะนี้ อาจส่งผลให้แผนการเปิดประเทศล่าช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนแต่แนะนำให้นักลงทุนทำการลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์เพื่อเป็นการลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยรวม ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบ Risk Target Fund ตามระดับความเสี่ยง

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แนะนำกองทุนผสมจำนวน 3 กองทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์โดยคำนึงถึงระดับความเสี่ยงของตนเอง และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก กองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ พร้อมทั้งกำหนดมูลค่าความเสี่ยง (VaR หรือ Value-at-Risk) ให้อยู่ในกรอบที่กำหนด โดยทั้ง 3 กองทุนนี้ ประกอบด้วย

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 2 (SCBSMART2) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนดประมาณ -5% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 25% และลงทุนเฉพาะในประเทศไทย โดยกองทุนนี้ได้เปิดให้นักลงทุนได้ลงทุนได้เลือกลงทุนถึง 3 Share Class ได้แก่ 1) SCBSMART2 - ชนิดจ่ายเงินปันผล 2) SCBSMART2A - ชนิดสะสมมูลค่า และ 3) SCBSMART2-SSF – ชนิดกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน ซึ่งรวมถึงการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากการลงทุน 

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 3 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART3) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -10% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 34% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 35% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBSMART3 จัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund Moderate Allocation ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2564)

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ทแพลน 4 (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSMART4) จัดสรรสินทรัพย์โดยควบคุมมูลค่าความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ประมาณ -15% ต่อปี กองทุนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 43% รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 36% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุน SCBSMART4 จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Moderate Allocation ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2564) ทั้งนี้ กองทุน SMART3 และกองทุน SMART4 อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในต่างประเทศ

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงแรกความกังวลต่อการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าจะมีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังคงทรงตัวในระดับสูง ซึ่งทำให้เกิดการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการติดเชื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้นจนระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ ในขณะที่การกระจายการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้าทำให้โอกาสการกลับมาเปิดประเทศในช่วงปลายปียังมีความท้าทายอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนก.ค.การฉีดวัคซีนจะมีการเร่งตัวขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป และคาดว่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในเรื่องการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และเสถียรภาพของรัฐบาลจากการชุมนุมประท้วงที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับตราสารหนี้ เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวได้ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก โดยล่าสุดอยู่ในกรอบประมาณ 1.3 – 1.4% ซึ่งคาดว่าผลตอบแทนระยะยาวอาจปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน FED เริ่มพิจารณาการลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ (QE) และแนวโน้มการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศหลัก ๆ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและยังคงเป็นปัจจัยบวกในระยะถัดไป

ในส่วนของตลาด REITs และ Infra จะสามารถกลับมา outperform ตลาดหุ้นโลกด้วยธีม recovery จากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยหลัก ๆ อาทิเช่น การเปิดเมืองในบางประเทศที่มีแนวโน้มเป็นไปค่อนข้างเร็ว รวมถึงผลประกอบการของ REIT ทั่วโลกที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ปี 2563 กำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการปรับประมาณการ Earnings ของ REIT ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการ Lockdown เป็นต้น
 
#3168


เช็คด่วน! ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นัดลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนโควิด สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป 20,000 ราย ที่ยังไม่ได้เข็มแรก

เช้าวันนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศแจ้งเปิดลงทะเบียนขอรับการจัดสรรวัคซีนหลัก สำหรับบุคคลธรรมดา

ขอเชิญประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่เคยเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน ลงทะเบียนและจองคิวนัดหมายการฉีดวัคซีนโควิด-19 หลัก AstraZeneca และ Sinovac (เข็มที่ 1) ณ ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ CAT Convention Hall ถนนแจ้งวัฒนะ

ลงทะเบียนนัดหมายการฉีดวัคซีน คลิกที่นี่ 

กำหนดการนัดฉีดตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม – 3 กันยายน 2564

เปิดลงทะเบียน วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564 เวลา 9.09 น. เป็นต้นไป จนกว่าจะเต็มจำนวน (ประมาณ 20,000 ราย)


เงื่อนไขจองฉีดวัคซีนโควิด

ผู้ลงทะเบียนต้องระบุเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทาง หรือเลขที่บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ไม่มีนโยบายให้ฉีดวัคซีนสลับชนิดกัน เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน
ผู้ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนหลักกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ไม่สามารถเลือกชนิดของวัคซีนได้ โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะให้บริการตามโควต้าวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรมาจากกระทรวงสาธารณสุข
ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จ และได้วัน-เวลานัดหมายเข้ารับวัคซีนแล้ว กรุณาเตรียม QR Code ที่ได้รับจากระบบ พร้อมบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อนำมาใช้เช็กอินในวันนัดฉีดวัคซีน
เข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ที่ "ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ CAT Convention Hall ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 7 กรุณามาตรงตามเวลาที่ลงนัด หรือมาก่อนเวลาไม่เกิน 15 นาที เพื่อลดความแออัดในพื้นที่การให้บริการ
#3169


เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ประกาศแผนรุกธุรกิจหลังประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน พร้อมก้าวสู่กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร เชื่อมต่อโลกการเงินปัจจุบันสู่โลกดิจิทัลหรือ Digital Financial Service มั่นใจรายได้และกำไรปีนี้แตะ 3 หลักในตัวเลขที่สูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ เชื่อมั่นรายได้จะเติบโตก้าวกระโดดในปี 2565 พร้อมเดินหน้าธุรกิจ ICO ต่อเนื่อง เร่งขอไลน์เซนส์เพิ่มอีก4ใบ

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) เปิดเผยว่า ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเอ็กซ์สปริง ทั้งการเปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" และการได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จนสามารถเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน รวมถึงการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ใน Digital Financial Service โดยปัจจุบันเอ็กซ์สปริงประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์ โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ธุรกิจจัดการกองทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยบริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด และธุรกิจจัดการเงินลงทุน

"การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้เอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ที่จะนำไปพัฒนาธุรกิจใน 3 ด้าน อาทิ 1. ธุรกิจดิจิทัล: มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน 2. ธุรกิจปัจจุบัน ในการขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี 3. ชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน"

สำหรับผลประกอบการของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ถือว่าน่าพอใจ โดยมีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 791% ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวก และทำให้เชื่อมั่นว่าแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่งในช่วงต่อจากนี้ จะทยอยส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีรายได้เติบโตก้าวกระโดดได้ในปี 2565

นายระเฑียร กล่าวต่อว่า 3 จุดแข็งของเอ็กซ์สปริง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ พันธมิตร – เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 Licenses ในมือ โดยมีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจให้เติบโต ในด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชันในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital) นอกจากนี้เอ็กซ์สปริงจะพัฒนาต่อยอดในอนาคต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วยโดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตทำธุรกิจเพิ่มเติมอีก 4 ไลน์เซนส์โดยคาดว่าจะได้ในปลายปีนี้หรือไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างแพลตฟอร์มมีความสมบูรณ์มากขึ้น

ส่วนบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด "XSpring AMC" บริษัทย่อยของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ร่วมมือกับแสนสิริ "ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์" ที่ประกอบด้วยลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย และสัญญาหลักประกันซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) เพื่อนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว โดยได้เริ่มดำเนินการแล้วในไตรมาส2ที่ผ่านมา

ด้านธุรกิจ Digital Finance ผ่านเอ็กซ์สปริง ดิจิทัล ผู้ ให้บริการระบบได้เสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ออก ICO 2 ตัวในปีนี้ คือ "โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนสิริฮับ" (SiriHub Investment Token) ซึ่งเป็น Real Estate-backed ICO ตัวแรกของไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจะเปิดขายในเดือนหน้า และ "Ready to use Utility Token" ที่เตรียมเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวงการเอนเตอร์เทนเมนต์และ EV Charging Ecosystem ของประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งด้านการให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจร รวมถึงการเปิดรับคริปโทในการซื้อที่อยู่อาศัยและชำระค่าส่วนกลางของแสนสิริทุกโครงการ ครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

"เอ็กซ์สปริง ยังมีแผนการเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital asset broker and dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital asset fund manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-architecture licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูง เป็นต้น กลุ่มธุรกิจเอ็กซ์สปริง ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจ และขอให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจการเงิน ขับเคลื่อนธุรกิจเต็มที่อย่างไม่หยุดยั้ง สร้างโอกาสการลงทุนที่หลากหลายและเหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนและความพึงพอใจให้กับนักลงทุนที่สนใจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่รวมทั้งกลุ่ม Wealth อันจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ผู้นำบริการทางการเงินครบวงจรทั้งโลกการเงินปัจจุบันและโลกการเงินดิจิทัลได้ในที่สุด"
#3170


"คลัสเตอร์โรงงาน"คำซ้ำที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับการระบาดโควิด-19  ซึ่งพบว่ามีส่วนที่เป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อนในการสื่อสารระดับท้องถิ่นที่มักจะระบุว่า จำนวนพนักงานทั้งหมดของโรงแปรรูปอาหารเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความตระหนกตกใจให้สังคมไม่น้อย  ดังนั้นต้องร่วมด้วยช่วยกันไม่ใช่แค่ให้กระแสข่าวสงบลงแต่ต้องร่วมกันจัดการกับสถานการณ์ให้เกิดความปลอดภัยและอุ่นใจ ทั้งกับตัวโรงงานที่ดำเนินการโดยภาคธุรกิจเองและชุมชนโดยรอบ 

แนวทางดังกล่าวสามารถพิจารณาได้จากตัวอย่างของ โรงงานแปรรูปอาหารของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซีพีเอฟ ที่มีการยกระดับความเข้มข้นของการเฝ้าระวัง และป้องกัน เพื่อควบคุมเชื้อและการปนเปื้อนต่างๆ โดยนำมาตรการบับเบิลแอนด์ซีล (Bubble and Seal) ที่สามารถปกป้องได้ทั้งพนักงาน และชุมชนให้ปลอดภัยมาใช้เป็นแกนหลัก

สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าติดตามมาตรการบับเบิลแอนด์ซีลของโรงงานแปรรูปอาหาร อ.แกลง จ.ระยอง ระบุว่า ซีพีเอฟ มีมาตรการที่ถูกต้องตามระบบสาธารณสุข มีความครอบคลุมการจัดการคนงานทั้งระบบ รวมถึงสถานที่ และทำได้เหนือกว่ามาตรฐานในบางจุด โดยเฉพาะการทำบับเบิลแอนด์ซีลที่ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ถือเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

บับเบิลแอนด์ซีล เป็นการควบคุมกลุ่มแรงงานในโรงงาน โดยมีการจัดการในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกัน ด้วยการแบ่งคนเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อคัดแยกคนที่ไม่ติดเชื้อ และกลุ่มเสี่ยง ออกจากกัน นอกเหนือจากกลุ่มที่ติดเชื้อจะถูกนำตัวเข้ารักษา ที่สำคัญคือ จะไม่มีการทำงานข้ามกลุ่มกัน และไม่ให้มีกิจกรรมนอกสถานประกอบการหรือนอกที่พักอาศัยที่สถานประกอบการจัดไว้ให้ เพื่อให้การควบคุม สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และลดการแพร่กระจาย การดำเนินการของสถานประกอบก็ยังดำเนินต่อไปได้ ซึ่งปัจจุบันหลายหน่วยงานต่างร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้อุตสาหกรรมยังคงเดินไลน์สายผลิตอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการปฏิบัติสำหรับโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารนั้น ผู้ประกอบการคุมเข้มกันตั้งแต่ในส่วนของพนักงานที่เข้าปฏิบัติงาน จะต้องผ่านการตรวจโควิด-19 ก่อนเข้าปฏิบัติงาน ในส่วนสถานที่ผลิต จะมีการรักษาความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต และทุกจุดสัมผัสในอาคารผลิตตามหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิต (GMP) ด้วยความปลอดภัยในอาหารเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เป็นหนึ่งในมาตรการที่ภาครัฐสนับสนุนและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน เต็มรูปแบบ ตามแนวทาง Factory Quarantine เป็นทำการตรวจเชิงรุกพนักงานทุกคน และคัดแยกพนักงานเป็น 2 กลุ่ม คือผู้ที่มีผลบวกส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ส่วนผู้ที่ไม่ติดเชื้อหรือมีผลเป็นลบสถานประกอบการได้จัดรถรับส่งให้พนักงานที่ปลอดเชื้อทั้งหมด เข้าที่พักในโรงแรมที่จัดหาให้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากการเดินทางของพนักงาน

" เรียกว่าป้องกันทั้งพนักงานและชุมชนให้ปลอดภัยในทุกๆวันก่อนเข้าปฏิบัติงาน พนักงานทุกคนต้องตรวจวัดอุณหภูมิด้วยเทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท หากพบว่ามีอุณหภูมิเกิน 37.30 C หรือมีอาการป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง จะถูกส่งเข้าสู่ระบบการกักตัวทันที"

 นอกจากนี้ จะต้องมีการสื่อสารให้พนักงานทั้งโรงงานได้ทราบถึงมาตรการป้องโควิดได้รับทราบอย่างต่อเนื่องและทวนสอบความเข้าใจอย่างสม่ำเสมอ ในส่วนของพื้นที่โรงงาน จะต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคตามมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุข ควบคุมการดำเนินงานโดยกรมอนามัยในพื้นที่จังหวัด รวมถึง swab พื้นผิวสัมผัสที่เป็นจุดสัมผัสร่วมทุกจุดในโรงงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อประเมินการคงค้างของเชื้อโควิด 19 ทุกสัปดาห์ในทุกจุดเสี่ยง ควบคู่ไปกับการตั้งการ์ดสูง เป็นสิ่งที่ยังต้องให้ความสำคัญ

แนวทางปฎิบัติเหล่านี้ เป็นหนทางที่จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว ควบคู่ไปกับการปฏิบัติหน้าที่ผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อคนไทยอย่างต่อเนื่องบับเบิลแอนด์ซีล จึงเป็นอีกการจัดการที่มุ่งมั่นป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตที่มีผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้คนไทยสังคมไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19ไปด้วยกัน
#3171


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า  จากการที่ ศบค.ขยายล็อกดาวน์อีก 14 วัน ไปจนถึง 31 ส.ค. 2564 ก็ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เพราะเหตุผลที่ต้องมีการขยายเวลาล็อคดาวน์เพิ่มเติมอาจมาจากตัวเลขของผู้ติดเชื้อ และ ผู้เสียชีวิต ที่ไม่ได้ลดลง อย่างที่หลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น แต่กลับมีตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในบางช่วงด้วยซ้ำซึ่งการขยายการล็อคดาวน์ เพิ่มเป็น 14 วัน หอการค้าไทย มองว่าคงมีความจำเป็น แต่สิ่งที่อยากสะท้อนให้ภาครัฐมองในมุมของเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนควบคู่กันไปด้วย โดยขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการเสริมมาเยียวยาให้รวดเร็ว เพราะเท่าที่ผ่านมาถึงแม้ว่าหลายส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ในการล็อคดาวน์ของรัฐบาล แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามมาตรการที่ประกาศออกมาอยู่แล้ว และต้องยอมรับว่าไม่เฉพาะผู้ประกอบการที่บอบช้ำจากการหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังกระทบถึงคนใน supply chain ในธุรกิจนั้น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าประชาชนทั่วไปก็ต่างรับผลกระทบทั้งสิ้น
                 

หอการค้าเห็นด้วยที่จะต้องควบคุมการแพร่ระบาดในลดลงกว่านี้ให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้รัฐบาลอาจจะต้องพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือมาเสริมทันทีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการชดเชยกลุ่มต่าง ๆ ให้ครอบคลุม  รวมถึงอาจจะต้องพิจารณาผ่อนปรนให้สำหรับบางกิจการเพื่อให้สามารถเปิดธุรกิจได้อีกครั้ง โดยรัฐบาลต้องมีเกณฑ์หรือตัวชี้วัดเพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับกิจการที่จะเปิด ซึ่งขอย้ำว่าการควบคุมการระบาดต้องควบคู่กับการเดินหน้าประคองเศรษฐกิจไปด้วย
             

"ภาคเอกชนมองว่าการล็อคดาวน์อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ดีที่สุด หากไม่มีการเร่งตรวจเชิงรุกด้วย ATK และต้องเร่งบริหารจัดการให้มีราคาที่ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ประชาชนหาซื้อง่ายก็จะยิ่งเพิ่มความถี่ในการตรวจและทั่วถึงมากขึ้น ทำให้การแยกผู้ป่วยออกมารักษาด้วยมาตรการ Isolation ในระดับต่าง ๆ ตามความรุนแรงของอาการได้อย่างรวดเร็ว และรัฐต้องเร่งจัดหาวัคซีนเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนให้ได้มากที่สุด"

ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องพิจารณาผ่อนคลายกฎระเบียบบางประการที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการควบคุมการแพร่ระบาด เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ลดขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาต่าง ๆ ให้สั้นลง เพราะสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป หากยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมจะทำให้การควบคุมการระบาดยิ่งล่าช้าออกไป และในทางกลับกันตัวเลขอาจจะยังคงสูงขึ้นพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว หากผู้ประกอบการหยุดหรือปิดตัวลงก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน


นายสนั่น กล่าวว่า ในระหว่างนี้ รัฐบาลก็ต้องเตรียมแผนที่จะฟื้นฟูและเปิดประเทศ หากสถานการณ์เริ่มดีขึ้น เพราะหอการค้าเชื่อว่า หลังจากนี้หลายธุรกิจจะประสบปัญหาด้านการเงิน และมีบางธุรกิจที่ต้องปิดกิจการอย่างถาวร โดยประเด็นนี้ก็จะต้องจัดเตรียมแนวทางช่วยเหลือและฟื้นฟูให้กิจการที่ยังอยู่กลับมาแข่งขันได้ ในขณะที่แผนเปิดประเทศจะต้องจัดเตรียมให้รอบด้านเพราะจำเป็นที่จะต้องเปิดประเทศควบคู่กับการอยู่ร่วมกับโควิด - 19 ไปอีกระยะหนึ่ง จะรอเปิดประเทศภายหลังโรคระบาดหมดไปคงเป็นไปไม่ได้
             

ส่วนโมเดลภูเก็ต Sand Box ที่ได้ดำเนินการมาถือเป็นการทดสอบความพร้อมด้านต่าง ๆและรัฐต้องเร่งปรับปรุงในส่วนที่เห็นว่าเป็นปัญหา ซึ่งวันนี้ภาคเอกชนเห็นด้วยกับมติของศบค.ที่เห็นชอบแนวทางการเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวจากจังหวัดภูเก็ต (PhuketSandbox) เดินทางเชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่น เริ่มจาก สุราษฎรธานี (เกาะสมุย เกาะพะงันเกาะเต่า) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล) และ พังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่) ภายใต้มาตรการ 7+7 คือ หลัง 7 วันแรกตรวจไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางไปยังอีก 3จังหวัดดังกล่าวเพื่อพักอยู่อีก 7 วัน ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มงวด โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.64 หากประสบความสำเร็จก็ควรจะพิจารณาขยายโมเดลไปยังจังหวัดท่องเที่ยวในภูมิภาคอื่น ๆ ก็จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติในขนาดเดียวกันเศรษฐกิจก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้


นายสนั่น กล่าวว่า  สำำหรับการผ่อนคลายที่ให้สถาบันการเงินเปิดในห้างได้ ก็จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการที่ปิดได้ส่วนหนึ่ง ส่วนธุรกิจที่เหลือก็คงต้องรอการพิจารณาผ่อนคลายต่อไป เพราะตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังสูง และกังวลว่าจะเป็นเหตุให้ผู้คนออกเดินทาง เชื่อว่าทางรัฐบาลและทางสาธารณสุขเป็นกังวลในส่วนนี้ แต่ทาง หอการค้าไทย ก็ยังหวังว่า เราต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้แต่ละธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินการควบคู่กับการระบาดไปให้ได้

ส่วนมาตรการคุมเข้มเพิ่มเติมกรณีทำ company isolation ตรวจ ATK ก่อนคลายล๊อคดาว์นนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดี รวมถึงที่จะมีระบบจัดทำ thai covid pass นั้น ก็ตรงกับข้อเสนอที่หอการค้าเสนอ ให้มี superapp เพื่ออำนวยความสะดวกและเปิดดำเนินการกิจการได้ สิ่งที่เป็นห่วงตอนนี้ คือ การหา ATK ที่มีคุณภาพให้ประชาชน และสถานประกอบการให้เข้าถึงง่าย ในราคาที่เหมาะสม รวมถึง ควรมีมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ให้กิจการที่มีสนับสนุนการป้องกันตัวเอง ช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐ ตรงนี้จะสามารถให้ร่วมมือกัน ได้มากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง จำนวนตัวเลข 50 คนและ 100 คน ที่กำหนดนั่นอยากจะให้พิจารณาตามลักษณะของแต่ละธุรกิจ ว่ามีความเสี่ยงที่ต่างกันด้วย เพื่อให้มาตรการที่ออกมาสามารถปฏิบัติได้จริง
#3172


วานนี้ ( 16 ส.ค.2564) โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สถากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แถลงข่าว 'แพทย์จุฬาแจ้งข่าวดี ทดสอบวัคซีน ChulaCOV19 ในอาสาสมัคร เร่งวิจัยระยะต่อไป'

'ChulaCOV19' ทดลองในอาสาสมัครประสิทธิภาพเทียบเท่าไฟเซอร์
โดยมี ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่ารพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และศูนย์วิจัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้มีการพัฒนา วิจัย ต่อยอด คิดค้น ผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคต่างๆ มาให้แก่ประชาชน รวมถึง โรคโควิด-19 ได้มีการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ในอาสาสมัครในระยะที่ 1 และต่อเนื่องไปในระยะที่ 2 ภายใต้การควบคุมดูแลจากหลายภาคส่วน รวมถึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ มาดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยสูงสุดของการทดสอบฉีดวัคซีน 


ด้าน ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากการพัฒนาวัคซีนนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ทุนศตวรรษที่สอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย  

ทั้งนี้ วัคซีน ChulaCov19 เป็น วัคซีนชนิด mRNA ที่ได้มีการทดลองในสัตว์ทดลองทั้งหนู และลิง พบว่ามีประสิทธิภาพ สร้างภูมิคุ้มได้ในระดับสูง ต่อมามีทดลองในกลุ่มอาสาสมัคร อายุ 18-55 ปี จำนวน 36 คน ในเดือนมิ.ย. พบว่า  ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ มีผลข้างเคียงอยู่ในระดับเล็กน้อยหรือปานกลาง เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เป็นไข้ต่ำๆ และมีอาการหนาวสั่นบ้างในกลุ่มอาสาสมัครที่ได้เข็ม 2  ซึ่งอาการต่างๆ จะดีขึ้นภายในเฉลี่ยประมาณ1-3 วัน

สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

'ChulaCOV19' ป้องกันการข้ามสายพันธุ์โควิด-19
"ผลการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีน  ChulaCov19 พบว่า สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดแอนตี้บอดี้ ได้เทียบเท่ากับวัคซีนชนิด mRNA อย่าง ไฟเซอร์ โดยสามารถยับยั้งการจับโปรตีนที่กลุ่มหนามได้ 94% เท่ากับไฟเซอร์ 94%   รวมถึงสามารถกระตุ้นแอนตี้บอดี้ได้สูงมากในการยับยั้งสายพันธุ์ดั้งเดิม แอนตี้บอดี้ที่สูงนี้สามารถยับยั้งเชื้อข้ามสายพันธุ์ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ คือ อัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า อีกทั้งสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด T-cell ซึ่งจะช่วยขจัดและควบคุมเชื่อที่อยู่ในเซลล์ของคนที่ติดเชื้อได้" ศ.นพ.เกียรติ กล่าว

วัคซีน ChulaCov19 เป็นการคิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทยจากความร่วมมือสนับสนุนโดยคุณหมอนักวิทยาศาสตร์ผู้คิดคนเทคโนโลยีนี้คือ Prof.Drew Weissman มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย วัคซีน ChulaCov19 ผลิตโดยสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไวเตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีน mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด


 ทั้งนี้ การทดสอบดังกล่าว เป็นไปในระยะที่ 1 แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน

กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม,  25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าใด เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม ทางศูนย์ฯ ต้องศึกษาว่าคนไทยหรือเอเชียเหมาะกับการฉีด 10 หรือ 25 หรือ 50 ไมโครกรัม  จะได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2

เดินหน้าเฟส 2 ทดลองในอาสาสมัคร 25 ส.ค.นี้
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวต่อว่าผลการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครเป็นการดำเนินการเบื้องต้น ซึ่งในปลายสัปดาห์นี้จะมีการประชุมหารือ เพื่อหาปริมาณของโดสที่ใช้ในการดำเนินการขั้นต่อไป  และการดำเนินการตอนนี้จะเป็นไปทีละขั้นตอนคงไม่ได้ เพราะต้องแข่งกับเวลา เราได้มีการดำเนินการในเฟส 2 แบ่งเป็น 2a และ2b ซึ่งในส่วนของ 2a จะมีการคัดกรองอาสาสมัคร 150 ท่าน  และคาดว่าจะเริ่มทดสอบเปรียบเทียบวัคซีน ChulaCov19 กับวัคซีนชนิด mRNA อย่างไฟเซอร์ ประมาณ 25 ส.ค.นี้  ก่อนจะดำเนินการในส่วน 2b ซึ่งจะใช้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท 


ส่วนเฟส3 จะดำเนินการหรือไม่อย่างไรนั้น ต้องอยู่ที่กติกาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งจะคาดว่าจะกำหนดกติกาการขึ้นทะเบียนวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตโดยคนไทย จะออกมาในเดือนก.ย.นี้ ก็จะทำให้วัคซีนของคนไทยทั้ง 4 ทีม ได้รู้ว่าการจะขึ้นทะเบียนต้องดำเนินการอะไรบ้าง และหากกติกาอย. ให้สามารถขึ้นทะเบียนได้ในเฟส 2 โดยวัคซีนที่ผลิตโดยคนไทย มีประสิทธิภาพมากกว่าวัคซีนชนิด mRNA ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและได้ขึ้นทะเบียนในเมืองไทย เชื่อมั่นว่าภายในเม.ย.2565 ประเทศไทยจะมีวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตโดยคนไทยใช้ในการกระตุ้นเข็ม 3 อย่างแน่นอน

ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ตายสูง! พบเสียชีวิต 239 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 20,128 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,102 ราย
ด่วน! ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นัดลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนโควิด 20,000 ราย
'ChulaCOV19' ประสิทธิภาพเทียบเท่า 'ไฟเซอร์' คาดทันใช้กระตุ้นเข็ม 3
ตั้งเป้า'ChulaCov19' ผลิตใช้ฉีดให้คนไทยเม.ย.65
"ปี2565 เชื่อว่าคนไทยเกิน 80-70% ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น วัคซีนทั้ง 4 ทีม ที่คนไทยกำลังพัฒนา ผลิตอยู่นี้จะใช้เป็นการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 โดยในส่วนของวัคซีน ChulaCov19 ถ้ากติกาของอย.ไม่จำเป็นต้องทดลองในเฟส 3 ประมาณเดือนเม.ย.ปี2565 คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนดังกล่าวอย่างแน่นอน อีกทั้งวัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการข้ามสายพันธุ์ได้ดีมาก และตอนนี้มีข้อมูลยืนยันชัดเจน ว่าวัคซีน ChulaCov19 สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานถึง 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น เป็นอย่างมาก" นพ.เกียรติ กล่าว

นอกจากนั้น ขณะนี้ จุฬาฯ ได้มีการเตรียมโรงงานในการผลิตจากโรงงานของบริษัทไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ในประเทศไทย ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตรองรับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งหากผลการศึกษาวิจัยสำเร็จตามแผนจะใช้โรงงานแห่งนี้ในการผลิตวัคซีนโควิด ชนิด mRNAของจุฬาฯ โดยคาดว่าโรงงานจะสามารถผลิตได้ 30-50 ล้านโดสต่อปี ทำให้สามารถปิดช่องว่างวงจรการผลิตวัคซีนในไทยได้


4 ข้อที่จะทำให้ไทยมี 'วัคซีนโควิด-19' ของตนเอง
นพ.เกียรติ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้คนไทยต้องงดเสพสื่อที่จะมองลบอย่างเดียว ถ้าประเทศไทยต้องการให้มีอย่างน้อย 1 ใน 4 วัคซีนที่ได้รับการรับรอง ภายในเม.ย.2565 ซึ่งการจะทำให้ไทยมีวัคซีนของตนเองได้นั้น ต้องมี 4 อย่าง คือ

1.ไทยต้องไม่บริหารระดมทุนแบบเดิม ต้องมีเป้าหมายร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคปราชน ต้องมีงบที่เพียงพอรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ  ซึ่งในส่วนของวัคซีนนี้ ควรจะมีการระดมทุนกองไว้ 2,500-3,000 ล้านบาท เพราะถ้าทำถึง 2 b จะต้องใช้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท แต่ถ้าจะเฟส 3 ซึ่งจะมีการทดลองในอาสาสมัครประมาณ 10,000 กว่าคน คาดว่าจะใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท และอีก1,000 ล้านบาท สำหรับวัตถุดิบ โดยตอนนี้ได้มีการจองวัตถุดิบล่วงหน้าไว้แล้ว แต่ยังไม่มีเงินไปจองเขา ทำให้เราติดขัดในเรื่องนี้ หากมีระดมทุนกองไว้อย่างชัดเจน คาดว่าจะได้วัคซีน 1 ตัวขึ้นทะเบียนภายในปีหน้า อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวถ้าระบบการบริหารติดกับดักราชการแบบไทย คงไม่สามารถทำได้

2.กติกาในการขึ้นทะเบียนวัคซีน ต้องมีกติกาออกมาชัดเจน ภายในเดือนก.ย. จากอย. ว่าการขึ้นทะเบียนจะต้องทำวิจัยระยะ2บี หรือระยะ3อย่างไรจึงจะเพียงพอ

3.โรงงานผลิต จะต้องเร่งดำเนินการ ให้สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพและจำนวนมาก

4.นโยบายการจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้าต้องมีความชัดเจน

นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่าการที่จุฬาฯ เดินมาถึงจุดนี้ได้เป็นเรื่องน่ายินดี อย่างมาก เพราะถือเป็นการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย เนื่องจากทั้งการศึกษาวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยี และการพัฒนาวัคซีนในขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องเร่งแข่งกับเวลา การที่จุฬา ได้ดำเนินการทดลองในอาสาสมัครเป็นเรื่องน่ายินดี และชื่นชม สถาบันวัคซีนฯมีทิศทางสนับสนุนการพัฒนาวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศอย่างชัดเจน แต่การที่มีทุนสนับสนุนอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีนักวิจัยที่เก่ง และออกแบบงานวิจัยได้ดี

"แม้ว่าเราจะทำได้ช้ากว่า แต่เราก็ได้วัคซีนที่เมื่อมาเปรียบเทียบกับวัคซีนชนิด mRNA ที่มีอยู่ ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยกว่า ซึ่งเชื่อว่าถ้าเราทดลองในระยะที่ 2 จะทำให้เรามีวัคซีนใช้เอง มีความยั่งยืน ยืนอยู่บนขาตัวเอง อีกทั้งรูปแบบการพัฒนาวัคซีนสามารถใช้ในการป้องกัน และรักษาโรคอื่นได้ นอกเหนือจากโควิด-19 ถ้าเราสามารถวิจัยพัฒนาวัคซีนชนิด mRNA   ได้สำเร็จก็จะเป็นพื้นฐาน ในการรับมือกับโรคติดต่ออุบัติใหม่ และโรคมะเร็งต่างๆ ต่อไป"นพ.นคร กล่าว
#3173


ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA มีมติประกาศแต่งตั้ง นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คนแรกของบริษัทฯ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป

สำหรับภารกิจสำคัญจะเน้นในการบริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมถึงเป็นศูนย์กลางของมหานครการบินภาคตะวันออก ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต่อเนื่องไปทางภาคตะวันออกได้อย่างสะดวกสบายทันสมัย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ


นายวีรวัฒน์ มีประวัติการทำงานกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รวม 23 ปี โดยมีประสบการณ์ด้านการบริหารเครดิต, ด้านธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ, ด้านการบริหารกลยุทธ์และวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการบริหารความเสี่ยงขององค์กร ตลอดจนทำหน้าที่ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กสิกรวิชั่น จำกัด มาก่อนที่จะมาร่วมงานกับ UTA

นายวีรวัฒน์ จบการศึกษาปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้านวิศวกรรมระบบควบคุม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และปริญญาโท MBA Financial Engineering, Sloan School of Management สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
#3174


นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศรวม 7 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนหุ้นไทย 4 กองทุน กองทุน Super Savings (ชนิดเพื่อการออมพิเศษ) จำนวน 1 กองทุน และกองทุนหุ้นต่างประเทศ 2 กองทุน รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท แบ่งเป็นงวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2563 ถึงวันที่ 31 ก.ค. 2564 โดยกำหนดจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 19 ส.ค. 2564 มีจำนวน 5 กองทุน ได้แก่

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBSE) จ่ายปันผลในอัตรา 0.7500 บาทต่อหน่วย โดยมีการจ่ายระหว่างกาลแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2564 และวันที่ 20 พ.ค. 2564 ครั้งละ 0.2500 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.2500 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 20 รวมจ่ายปันผล 8.2100 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2554) กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach ด้วยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้นโดยลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว นอกจากนี้ กองทุนนี้จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ค. 2564)

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET ENERGY SECTOR INDEX (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBENERGY) จ่ายปันผลในอัตรา 0.1500 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 10 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 3.5700 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิถุนายน 2554) กองทุนมีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX (SCBBANKING)  จ่ายปันผลในอัตรา 0.200 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 8 รวมจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 3.9500 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.2554) กองทุนมีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBPIND) จ่ายปันผลในอัตรา 0.1354 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 6 รวมจ่ายปันผลแล้ว 0.9111 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2561) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (ชนิดเพื่อการออม) จ่ายปันผลในอัตรา 0.1414 บาทต่อหน่วย โดยทั้งสองกองทุนมีนโยบายการลงทุนโดยเน้นการคัดสรรหลักทรัพย์รายตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานในไทยและสิงคโปร์ นอกจากนี้ การกระจายวัคซีนที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น จะส่งผลให้กองทุนได้รับประโยชน์ในระยะกลางถึงระยะยาว

สำหรับกองทุนหุ้นต่างประเทศอีก 2 กองทุน งวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2564 – 31 ก.ค. 2564 โดยกำหนดจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 23 ส.ค. 2564 ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBEUEQ) จ่ายปันผลในอัตรา 0.2122 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 11 รวมจ่ายปันผลแล้ว 2.0017 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 26 ก.พ. 2557) กองทุนมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ iShares STOXX Europe 600 (DE) โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี STOXX Europe 600 เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี STOXX Europe 600 และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกล. อิควิตี้ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCBGEQ) จ่ายปันผลในอัตรา 0.3573 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 14 รวมจ่ายปันผลแล้วจำนวน 3.3618 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 14 ก.พ. 2556) กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ กองทุน Veritas Global Focus (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก

นายอาชวิณ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าในช่วงแรกความกังวลต่อการระบาดของ COVID-19 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าจะมีอิทธิพลต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังคงทรงตัวในระดับสูง ซึ่งทำให้เกิดการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการติดเชื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้นจนระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ ในขณะที่การกระจายการฉีดวัคซีนยังคงล่าช้าทำให้โอกาสการกลับมาเปิดประเทศในช่วงปลายปียังมีความท้าทายอยู่มาก โดยคงคาดการณ์ว่าการฉีดวัคซีนตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไปจะเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 และคาดว่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในเรื่องการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และเสถียรภาพของรัฐบาลจากการชุมนุมประท้วงที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับภาพการลงทุนต่อตลาดหุ้นทั่วโลกมองว่ายังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน ที่การกระจายวัคซีนมีความคืบหน้าอย่างมาก และประเมินว่าจะครอบคลุมในระดับที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐที่นำนโยบายขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล โดยสหรัฐฯ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สูงกว่าช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ในส่วนยุโรปเองก็กำลังจะเริ่มงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ระหว่าง 0.5-1.5% ต่อปีต่อเนื่องไปอีก 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ยังต้องจับตาได้แก่ การส่งสัญญาณปรับลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งอาจจะลดการฉีดสภาพคล่องเข้าระบบในปี 2022 และเริ่มทำการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
#3175
บอกลามือเหี่ยวบอกอายุไปได้เลย มือนุ่ม กระจ่างใส  สารสกัด น้ำผึ้งเกสรกุหลาบ

259 บาท มือนุ่ม กระจ่างใส  สารสกัด น้ำผึ้งเกสรกุหลาบ  ป้องกันมือหยาบกร้านจาก แอลกกอฮอล์ มือกลับมาสวยใส นุ่มนวล 

เชตเปิดร้านค้าออนไลน์ 999 บาทพร้อมของลงร้านค้า  

สมัครได้ที่ line @marisglowthailand

เลือกสินค้าลงร้านค้าออนไลน์ค่ะ
https://shop.line.me/@marisglowthailand/product/320197801

Facebook :: https://www.facebook.com/Maris-glow-Thailand-110057554456679/




















#3176


นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ธนาคารเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ประกอบอาชีพแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นบุคลากรด่านหน้าในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ฉีดวัคซีน และมีสถานะบัญชีปกติ ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วม "โครงการ My Hero : บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข" เพื่อรับสิทธิ์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือ 1.00% ต่อปี จากทุกอัตราดอกเบี้ยที่บุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นระยะเวลานาน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 31 ธันวาคม 2564 ทำให้เงินงวดที่ลูกค้าต้องชำระลดลงมากกว่า 50% ของเงินงวดเดิม และผลปรากฏว่ามีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการจนเต็มกรอบวงเงิน 8,000 ล้านบาท ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้น

เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขสามารถเข้า รับความช่วยเหลือตามมาตรการได้มากยิ่งขึ้น ธอส. จึงได้ เพิ่มกรอบวงเงินของโครงการ My Hero : บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อีก 4,000 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินรวมโครงการเพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่วันที่ 16-29 สิงหาคม 2564 หรือจนกว่าจะเต็มกรอบวงเงิน

ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ได้ทาง Mobile Application : GHB ALL , GHB Buddy บน Line Application และเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th พร้อมแนบหลักฐาน/เอกสารเพื่อแสดงว่าปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ฉีดวัคซีน เช่น บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หนังสือรับรองการปฏิบัติงานจากหน่วยงาน และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาความช่วยเหลือ 4 เดือนแล้ว ลูกค้าจะกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการเดิมที่เคยเลือกใช้ก่อนเข้าร่วมโครงการโดย ไม่ถือว่ามีดอกเบี้ยค้างชำระแต่อย่างใด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th
#3177


รวมถึงความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน หลังดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ในเดือน ก.ค. 2564 ลดลง 0.5 จุด เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง

ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้นำปัจจัยเหล่านี้ มาวิเคราะห์ทางเทคนิคราคาน้ำมันดิบICE Brentระยะสั้นสัปดาห์นี้ จะอยู่ระหว่าง 72– 77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แม้ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปีนี้ จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ในระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า คงยังขึ้นไปแตะระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไม่ง่ายนัก

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า กระทรวงพลังงาน ยังติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานอย่างใกล้ชิด และพยายามรักษาเสถียรภาพราคา โดยยังยึดหลักการของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการเข้ามาดูแลราคา ซึ่งหากราคาน้ำมันสูงเกินระดับที่ตั้งไว้ก็จะใช้กลไกกองทุนฯเข้าไปดูแล เพื่อลดผลกระทบกับประชาชนผู้ใช้น้ำมัน

ขณะที่เรื่องของค่าไฟฟ้า ภาครัฐก็ยังดูแลให้ ผ่านมาตรการส่วนลดค่าไฟ และเรื่องของก๊าซหุงต้ม(LPG) ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ก็ยังดูแลราคาต่อไป รวมถึงการช่วยเหลือราคาพลังงานผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็ยังดูแลเช่นกัน

"การกู้เงินของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อนำมาดูแลเสถียรภาพราคาในอนาคต ก็อยู่ในอำนาจอยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่ขอดูระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะตอนนี้ ราคา LPG เป็นขาขึ้น ก็ต้องดูว่าจะลากยาวอย่างไร"

ส่วนความเป็นไปได้ในการขยายระยะเวลามาตรการช่วยส่วนลดค่าไฟฟ้าที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนส.ค.นี้ ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ดำเนินการได้ แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลคาดหวังให้การควบคุมโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และรัฐบาลพร้อมออกมาตรการเยียวยาผลกระทบให้กับประชาชน



ส่วนแนวทางในการลดการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 10 สตางค์ต่อลิตร เพื่อนำไปลดต้นทุนราคาน้ำมันนั้นในอนาคตนั้น ก็ยังมีความเป็นไปได้ ซึ่งยังต้องรอเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการฯ (บอร์ดกองทุนฯ) ในเร็วๆนี้ เพื่อพิจารณาลดการจัดสรรเงินกองทุนฯในปี 2565 แต่ในส่วนนี้ ก็ต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ของการเก็บเงินที่จะต้องไม่กระทบต่อแผนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ได้ไม่น้อยกว่า 30% ด้วย

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้สั่งกำชับให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันและLPGอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงาน ยังยึดหลักการดูแลราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้เกิดภาระต่อประชาชนผู้ใช้น้ำมันและต้นทุนการขนส่งสินค้า

อีกทั้ง ทาง สกนช. ยังได้เตรียมแผนการกู้เงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับรับมือกรณีที่กองทุนน้ำมันฯต้องรับภาระดูแลราคา LPG และราคาน้ำมัน จนส่งผลกระทบต่อสถานะกองทุนฯในอนาคตด้วย 


คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. ระบุว่า การดูแลค่าไฟฟ้าไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19 นั้น กกพ.ได้มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน – ธันวาคม 2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วย ต่อไปจนถึงสิ้นปี

"ราคาก๊าซฯ ขณะนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณความต้องการการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงก็เป็นผลลบต่อราคาพลังงาน"

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะราคาพลังงานขาขึ้น ทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที)ในปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ดังนั้น การบริหารค่าเอฟทีในปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางเพื่อสร้างให้ค่าไฟฟ้ามีเสถียรภาพ โดยขณะนี้ กกพ.ยังมีเงินเหลืออีกกว่า 2,000 ล้านบาท ที่จะนำมาบริหารจัดค่าไฟฟ้าในอนาคต แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะยังต้องดูหลายปัจจัยในขณะนั้นด้วย 

ดับ 304 ศพสังเวย'แผ่นดินไหวเฮติ'
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังหนัก! พบติดเชื้อเพิ่ม 21,882 ราย เสียชีวิต 209 ราย ไม่รวม ATK อีก 1,586 ราย
'เดินเร็ว' ออกกำลังกายยอดฮิตวัยทำงาน ช่วงโควิด-19

ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า แม้โควิด -19 จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย แต่การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ยังขยายตัวได้ดี ตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ถือว่าเป็นอีกแรงสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2564 (เดือนม.ค.- มิ.ย.)มีมูลค่า716,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1 % สินค้าสำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ยางพารา เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ กุ้งและผลิตภัณฑ์ และน้ำมันปาล์ม โดย ตลาดส่งออกหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ผลกระทบโควิด-19พบว่าภาคเกษตรได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับ ภาคอื่น ๆโดย

ผลกระทบที่ได้รับมีสาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อสินค้าเกษตรที่อ่อนตัวลง เพราะมาตรการ ที่ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19โดยผลวิเคราะห์พบว่ากรณีโควิด-19 กระทบ 5 เดือน (เม.ย.-ส.ค. 2564) มูลค่าทางเศรษฐกิจการเกษตรในส่วนของการบริโภคสินค้าเกษตรในประเทศ จะลดลงรวมทั้งสิ้น13,895 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อสาขาการผลิตทางการเกษตร 5 อันดับแรก (กรณี 5 เดือน) พบว่าสาขาการผลิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ การทำสวนผัก มูลค่าทางเศรษฐกิจลดลง 3,049 ล้านบาท รองลงมา คือ การทำสวนผลไม้ มูลค่าลดลง 2,061 ล้านบาท การทำนา มูลค่าลดลง 2,038 ล้านบาท การประมงทะเลและการประมงชายฝั่ง มูลค่าลดลง 1,007 ล้านบาท และการเลี้ยงสัตว์ปีก มูลค่าลดลง 908 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากโครงสร้างการบริโภคของประเทศไทย มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริโภค ผัก ผลไม้ และข้าว มากที่สุด


อย่างไรก็ตาม ภาคเกษตร เป็นภาคสำคัญที่รองรับการย้ายคืนถิ่นในช่วงการระบาดโควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมือง และความรู้และเทคโนโลยี จึงถือเป็นการสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตรและเร่งกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคให้เกิดขึ้นจริงได้ เพราะกลุ่มแรงงานคืนถิ่นรุ่นใหม่กลุ่มนี้ จะเพื่อเป็นกำลังสำคัญทั้งการสร้างมูลค่าใหม่ทางการเกษตร มูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปเกษตรอย่างง่าย รวมทั้งพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและสุขภาพ

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแนวทางดำเนินนโยบายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ตลอดจนผลักดันนโยบายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาและปรับทักษะแรงงาน (upskill/reskill) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล (Smart Farm) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (economic shocks) ในอนาคตได้

"โควิดระลอกนี้เสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้าลง จะขยายตัวเพียง 0.7% เท่านั้นขณะที่ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร(จีดีพี เกษตร)ในไตรมาส 2 ปี 2564 สศก. พบว่า ขยายตัว 1.2% "
#3178


ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ Live สดผ่าน facebook : คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ "เกษตรกร Happy" phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลำไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต จนทำให้มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น ระบบขนส่งระหว่างประเทศเกิดความติดขัด ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แรงงานและผู้ค้า

 รวมทั้งบริษัทขนส่งในประเทศติดโควิดเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกและล้งลดจำนวนลง ในขณะที่ผลไม้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ทั้งมังคุด เงาะ ลำไย และลองกอง เป็นต้น โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยภายในประเทศ 2) เพิ่มกิจกรรมการค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อระบบการค้าที่เป็นธรรม และ 3) ยกระดับราคา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้" และ "คนไทยไม่ทิ้งกัน"


        และจากการดำเนินโครงการ "เกษตรกร Happy" phase 1 ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมังคุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความรวมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ททบ.5 กองทัพบก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จำกัด, เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce คณะกรรมการธุรกิจเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสื่อมวลชนทุกแขนงที่ช่วยในการสื่อสารรณรงค์จนประสบความสำเร็จ และสามารถระบายมังคุดออกจากกลไกตลาดและรักษาเสถียรภาพราคาได้ในระดับที่น่าพอใจ


"ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดำเนินโครงการเกษตรกร Happy ซึ่งในวันนี้เป็นการดำเนินโครงการเฟส 2 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กำลังออกตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลองกอง และเงาะ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทย การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้อุดหนุนผลไม้ไทย และได้มอบ หมายปลัดเกษตรฯ ตั้งทีมกระจายผลไม้เฉพาะกิจ เพื่อประสานงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ

            สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออกลำไย ตามที่จีนมีหนังสือเพื่อให้ไทยสั่งระงับการส่งออกลำไยจาก66 ล้งที่ตรวจพบเพลี้ยแป้งปนเปื้อน นั้น กรมวิชาการเกษตรอยู่ระหว่างเจรจากับจีนโดยต่อรองให้จีนอนุโลมให้ล้งที่ตรวจพบเพลี้ยแป้งไม่มาก และไทยพร้อมจะสุ่มตรวจเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 % เป็น 5-10 %  คาดว่าจีนจะรับข้อเสนอของไทย  

            นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ ยังอยู่ระหว่างประสานกับเวียดนามเพื่อให้เปิดตลาดกับไทยด้วย  อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและง่ายที่สุด จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องหันมาบริโภคผลไม้ไทย และร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค เช่น มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 7 ล้านไร่ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แปรรูป ซึ่งในปี 2564 ได้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 23% จากปีที่ผ่านมา จาก 4.4 ล้านตัน เป็น 5.4 ล้านตัน และถึงแม้ว่าเราจะเผชิญกับสถานการณ์การโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563

 

กระทรวงเกษตรฯ ได้บริหารจัดการเชิงรุก โดยได้เร่งพัฒนาการบริหารผลไม้จัดการทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การสร้างมาตรฐาน GAP/GMP การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การบริหารโลจิสติกส์ ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผลไม้สามารถครองแชมป์การส่งออก ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 185% ทุเรียนส่งออกขยายตัว 172% และมังคุดเติบโตถึง 488% ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม มีมูลค่า 71,473 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดถึง 59.8% นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องกัน
#3179


เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังของ ลิเวอร์พูล แสดงทัศนะว่า ทัพนักเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูลค่ารวมกันมหาศาล ไม่สมควรพลาดหยิบแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้

แมนฯยู มีคิวเปิดศึก พรีเมียร์ ลีก ซีซันใหม่ เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่บ้านของตัวเอง วันที่ 14 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ยังนับเป็นปีที่ 3 แล้วที่ โอเล กุนนาร์ โซลชา เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม

"ผีแดง" ซีซันนี้ใช้เงินก้อนโตจ่ายค่าตัวนักเตะบิ๊กเนมอย่าง เจดอน ซานโช ที่ 73 ล้านปอนด์ และ ราฟาเอล วาราน กองหลังคนใหม่ 42 ล้านปอนด์ ซึ่งหากเมื่อนับค่าตัวของนักเตะชุดปัจจุบันทั้งทีม ก็อยู่ที่ 500 ล้านปอนด์

และนั่นทำให้ คาร์ราเกอร์ อดีตแนวรับ ลิเวอร์พูล มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ลูกทีมของ โซลชา ต้องรีดฟอร์มยอดเยี่ยมไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ให้ได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพราะถือว่ามีขุมกำลังที่เพียบพร้อมที่สุดแล้วในปีนี้

"โซลชา กำลังเข้าสู่การทำงานปีที่ 3 ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และสโมสรก็ต่อสัญญากับเขาอีก 3 ปี มันถึงเวลาแล้วที่ ยูไนเต็ด จะต้องลุยเพื่อแชมป์ลีก นั่นคือ ความคาดหวังที่แท้จริง และคุณไม่สามารถลดระดับความทะเยอะทะยานนั้นได้"

"ซีซันที่แล้ว ยูไนเต็ด มีศักยภาพที่จะชิงแชมป์ แต่กลับล้มเหลวเมื่อถึงเดือนมกราคม พวกเขาต้องดีกว่านี้ ยูไนเต็ด มี 11 ตัวจริงที่ราคาแพงที่สุดที่ 500 ล้านปอนด์ ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี แจ๊ค เกรียลิช ในราคา 100 ล้านปอนด์"

"นี่คือทีมที่ดีและมีราคาแพงทีเดียว ซึ่งน่าจะส่งผลถึงความกดดันที่มีต่อ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน กระนั้น พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว"
#3180


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 15.53 จุด ปิดที่ 35,515.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 0.16% ปิดที่ 4,468.00 จุดและดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 0.04% ปิดที่ 14,822.90 จุด


ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มการชะลอตัวของภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ

หุ้นดิสนีย์พุ่งขึ้นกว่า 3% ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด

ผลการสำรวจของนักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี500 มีแนวโน้มที่จะรายงานตัวเลขกำไรพุ่งขึ้น 92.9% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 และบรรดาบริษัทในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว พบว่า 88% มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดคิวอีในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงินคิวอี เดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำคิวอีวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลดคิวอีจนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566