• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - luktan1479

#3141


วันนี้ (16 ส.ค. 64) หลังรู้ผลเลขรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ร.ต.อ.วินัย อาสว่าง อายุ 60 ปี ตำรวจในสังกัดกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร ที่กำลังจะปลดเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย. 64 นี้ พร้อมกับภรรยา พากันเดินยิ้มหน้าบานขึ้นไปที่ สภ.เมืองพิจิตรเพื่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าถูกรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล เว็บรวยruayงวดประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2564 เลขที่ออก 046750 จำนวน 5 ใบ ซึ่งจะได้เงินรางวัลรวม 30 ล้านบาท

ร.ต.อ.วินัย หรือหมวดนัยรถตู้ เล่าถึงความโชคดีในครั้งนี้ว่า นอกจากจะรับราชการตำรวจแล้วตนยังทำธุรกิจรถตู้ให้เช่าอยู่ 4 คัน แต่ช่วงนี้ประสบภาวะวิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงไม่มีเงินส่งรถตู้ ในใจก็คิดว่าธุรกิจอาจไปไม่รอด รถอาจถูกยึด

ซึ่งในช่วงที่ยังคิดหาทางแก้ปัญหาไม่ได้จึงไปนมัสการหลวงพ่อเพชร สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิจิตรที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดท่าหลวงพระอารามหลวง และได้บนบานศาลกล่าวว่า..ขอให้มีโชคมีลาภถูกหวยรางวัลที่ 1 ชุดใหญ่ ซึ่งถ้าถูกรางวัลแล้วจะทำบุญ 1 ล้านบาทเพื่อบูรณะซ่อมแซมหลังคาพระอุโบสถที่กำลังชำรุดทรุดโทรมและทางวัดกำลังซ่อมแซมอยู่ในขณะนี้

ส่วนเลขที่ซื้อก็เป็นเลขทะเบียนรถตู้ของตนที่เฝ้าตามซื้อมาหลายงวดติดต่อกัน จนในที่สุดก็ถูกหวยรางวัลที่ 1 สมใจนึก สร้างความยินดีให้แก่ครอบครัวและเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานกันถ้วนหน้า
#3142


บมจ.แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB หนึ่งในบริษัทผู้ในห้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยควบคู่กับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม และ บมจ.มาสเตอร์ แอด หรือ maco ผู้ประกอบการธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้งนอกบ้านที่เป็นสื่อออฟไลน์ ทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เข้าลงทุนร่วมใน Zipmex บริษัทผู้ประกอบการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

Zipmex แพลตฟอร์มด้านการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยว่า การลงทุนครั้งนี้จะเป็นความร่วมมือสำหรับการนำโทเค็นยูทิลิตี้สูงสุดในประเทศไทยอย่าง ZMT มาผนึกกำลังรวมเข้ากับระบบนิเวศการโฆษณาในหลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนครั้งใหญ่ของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากขึ้น ซึ่งจะประกาศรายชื่อในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนในครั้งนี้จะช่วยให้ Zipmex เข้าถึงลูกค้าหลายล้านรายทั่วประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ Plan B และ MACO ได้ตัดสินใจร่วมมือกันลงทุนในแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่สอดคล้องกับกฎระเบียบมากที่สุดในภูมิภาค แพลน บี เป็นผู้ให้บริการโฆษณาสื่อโฆษณานอกบ้านด้วยแพลตฟอร์มนวัตกรรมที่หลากหลาย ประกอบกับธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกมในประเทศไทย และ บริษัท มาสเตอร์แอด จำกัด (มหาชน) ("MACO") มีพื้นที่สำหรับการโฆษณากว่า 2,000 แห่งที่ครอบคลุมมากที่สุด การลงทุนจากบริษัทสื่อโฆษณาชั้นนำทั้งสองแสดงถึงความเชื่อมั่น ความไว้วางใจในสินทรัพย์ดิจิทัล และแนวโน้มการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีต่อสังคมในอนาคต

นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Zipmex ประเทศไทย กล่าวว่ามีความเชื่อมั่นว่าปี 2564 เป็นปีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในปีที่แล้ว Zipmex ประสบความสำเร็จในการระดมทุนมากกว่า 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำโดย Jump Capital บริษัทการลงทุนสัญชาติอเมริกันที่มีบริษัทพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งรวมถึง TradingView ซอฟต์แวร์สร้างแผนภูมิบนคลาวด์ และซอฟต์แวร์โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับนักลงทุนมือใหม่ และนักลงทุนระดับสูง

ขณะที่ปริมาณการซื้อขาย Zipmex ครึ่งปีแรกมีมูลค่ากว่า 62 พันล้านบาท โดยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจของไทย และคาดว่าจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคต ซึ่งสัดส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตกว่า 2,540% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และได้มีการวางแผนขยายการเติบโตอีก 310% สำหรับการซื้อขายในช่วงที่เหลือของปี 2564

"Zipmex ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมผ่านคริปโทฯ เช่นเดียวกับการใช้คริปโทฯ ในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้เรายังคงมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมช่องว่างระหว่างการเงิน และไลฟ์สไตล์ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ Plan B และ MACO ได้มอบความไว้วางใจที่สำคัญเช่นนี้ให้กับเรา"

ด้านนายพินิจสรณ์ ลือชัยขจรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ("Plan B") กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นว่า Zipmex เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีทีมงานที่มีความสามารถในอุตสาหกรรมนี้ พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มเปิดตัว เราพร้อมที่จะสนับสนุนการเติบโตของ Zipmex ผ่านช่องทางสื่อโฆษณาของเรา การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของเราในธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม ซึ่งรวมถึงธุรกิจสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ธุรกิจด้านอาร์ทติส เมเนจเม้นท์ และธุรกิจเกม เรามั่นใจว่าการลงทุนและการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้จะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Plan B "

เกี่ยวกับ Zipmex (ซิปเม็กซ์)

"ซิปเม็กซ์" เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศไทย รวมถึงประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย โดยมุ่งเน้นมุ่งเน้นการให้บริการนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
#3143


นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย กล่าวว่า แม้เผชิญวิกฤติการณ์ใดๆ ก็ตาม  เซ็นทรัลพัฒนา มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยไม่หยุดการลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ หรือ มิกซ์ยูส ซึ่งรอบ 40 ปีที่ผ่านมาได้มีการลงทุนขยายโครงการต่างๆ ไปทั่วประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับท้องถิ่น เป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้าง "Local Wealth" ในทุกจังหวัด ด้วยการเพิ่มการจ้างงาน ขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการ สร้างรายได้หมุนเวียนให้ท้องถิ่น ภายใต้การเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกชุมชน หรือ  "Community at Heart"

ทั้งนี้ ได้เตรียมเปิดบริการ "เซ็นทรัล ศรีราชา" อย่างเป็นทางการวันที่ 27 ต.ค. นี้ นับเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันและใหญ่สุดในภาคตะวันออก มีการออกแบบพื้นที่ให้ใกล้ชิดธรรมชาติในรูปแบบ Semi-Outdoor 

"การขยายโครงการใหม่นี้ เราได้ช่วย Business Matching กับ Local Investors เพื่อให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น พันธมิตรคู่ค้าระดับประเทศมีโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน  พร้อมออก Flexible Leasing Programme เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการช่วยเหลือร้านค้าผู้เช่า ช่วยลดภาระ ผ่อนคลายความกังวลเรื่องผลประกอบการในช่วงเปิดร้านใหม่หรือในช่วงปีแรก"



ช่วงวิกฤติโควิดนี้ เซ็นทรัลพัฒนา มีการช่วยเหลือผู้เช่าและคู่ค้ารอบด้านแบบ 360 องศา ทั้งการลดและยกเว้นค่าเช่าตามสถานการณ์ การเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู Multi-Bank 7 ธนาคาร อีกทั้งแผนการตลาดแพลตฟอร์มใหม่ เช่น  The 1 Biz ซึ่งเป็น Effective CRM เพิ่มยอดขายให้ผู้เช่า และ Central Pattana Serve Application ให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร

สำหรับ "เซ็นทรัล ศรีราชา" จะเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่บนทำเลศักยภาพ "อีอีซี" ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Innovation Oasis : ล้ำอย่างลงตัว" ประกอบด้วยศูนย์การค้ารูปแบบ Semi-Outdoor แห่งแรกนอกกรุงเทพฯ คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ อาคารสำนักงาน เอ็ดดูเคชั่น เซ็นเตอร์ และ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย Eco-Friendly Mall ใส่ใจการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการ พร้อมจัดการพลังงานด้วย Giant Green Wall, Solar Rooftop นำพลังงานกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแนวคิด Zero Waste เปลี่ยนขยะให้เป็นศูนย์ ตอบรับไลฟ์สไตล์ด้วย "Thematic Lifestyle Mall"
#3144


โอกาสรอดของผู้ป่วยมะเร็ง นักวิจัยจากจุฬาฯ พิสูจน์พบว่า "สูตรตำรับยาสมุนไพรที่มี "เห็ดกระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้" สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด Estrogen receptor positive ได้เป็นอย่างดี หวังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษา และพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยมะเร็งต่อไป

รศ.ดร.ปฐมวดี ญาณทัศนีย์จิต ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าโครงการวิจัยสารสกัดจากเห็ดกระถินพิมานที่มีสรรพคุณใช้รักษาโรคมะเร็ง เผยว่า การวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากจุฬาฯ กับภาคเอกชน โดยบริษัท เนเจอร์ เฮิร์บ อินเตอร์เนชั่นแนลโฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท เฮิร์บ ฟอร์ ยู จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทมีสูตรตำรับยาสมุนไพรที่มีเห็ดกระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ และตัวยาอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบ ซึ่งก่อนหน้านี้ผลการวิจัยตลอด

1 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าสารสกัดจากสูตรตำรับนี้มีฤทธิ์ยับยั้งและส่งผลต่อการตายของเซลล์มะเร็งปากมดลูกชนิดที่ไม่พบการติดเชื้อ human papillomavirus (HPV) ได้ ต่อมาทีมวิจัยของจุฬาฯ ได้มีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อจะหาฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย โดยล่าสุดทางทีมวิจัยได้ใช้สารสกัดจากสูตรตำรับนี้ในเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด estrogen receptor positive ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งเต้านมในปัจจุบัน จากผลการวิจัยพบว่าตำรับยาสมุนไพรที่มีเห็ดกระถินพิมาน ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ และตัวยาอื่นๆ เป็นองค์ประกอบ ซึ่งเป็นสูตรตำรับที่ได้มีการจำหน่ายในปัจจุบัน สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็งและแนวทางในการรักษาด้วยสมุนไพรไทยอีกด้วย

รศ.ดร.ปฐมวดี ญาณทัศนีย์จิต กล่าวตอนท้ายว่า ปัจจุบัน ทีมนักวิจัยกำลังศึกษาค้นคว้าในเซลล์มะเร็งชนิดอื่นเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าสูตรตำรับยาชนิดนี้สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดในหลอดทดลอง พร้อมที่จะนำไปสู่การวิจัยในสัตว์ทดลอง และการวิจัยทางคลินิก เพื่อให้ผู้ป่วยมีความเชื่อมั่นต่อสูตรตำรับยาที่จะนำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษามะเร็งต่อไป
#3145


นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ผู้บริหารบริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด (DOMINO'S PIZZA) บริษัทในเครือ เผยถึงผลประกอบการงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ของกลุ่ม W ว่า รายได้รวมสำหรับงวดหกเดือนเท่ากับ 183.79 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 39.07 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์หายไปทั้งจำนวนที่ 149.35 ล้านบาท ภายหลังจากการขาย EIC SEMI ในเดือน ต.ค.2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้รวมที่ลดลงเกิดจากในปีนี้ไม่มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์

แต่รายได้ของกลุ่มธุรกิจอาหารเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกล่าวคือ กลุ่ม Food Holding (ภายใต้แบรนด์ Kagonoya, กลุ่มขนม BAKE และ Le Boeuf) ยอดขาย 116.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 42.94 ล้านบาท ส่วน DOMINO'S PIZZA ยอดขาย 67.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.60 ล้านบาท (เทียบกับรายได้งวดเดียวกันของปีก่อนภายใต้เจ้าของเดิม)


อย่างไรก็ดี นายศิรัตน์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงรายได้ไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า หากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 รายได้รวมของกลุ่ม W มีมูลค่าเท่ากับ 87.78 ล้านบาท ลดลง 8.23 ล้านบาท เนื่องจากแบรนด์ของกลุ่ม Food Holding ยอดขายมีการชะลอตัวจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดตั้งแต่ต้นปีและทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และรัฐมีการประกาศจำกัดการขายในศูนย์การค้า ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อสินค้าพรีเมี่ยมลดลง แต่ยอดขายของ DOMINO'S PIZZA กลับโตสวนทางอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือรายได้เท่ากับ 40.06 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ 12.78 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 46.83%


"แม้ว่าจะมีปัจจัยจากโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยเชิงลบต่อธุรกิจอาหารมาตลอดช่วงหกเดือนแรกของปี 64 แต่ร้านอาหารทุกแบรนด์ภายใต้เครือ W ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของธุรกิจรวมถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ และฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DOMINO'S PIZZA ซึ่งเป็นเรือธงของ W ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสินค้าที่เหมาะกับการขายผ่านช่องทาง Delivery รวดเร็ว-สดใหม่-คุณภาพเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้เรายังคงแผนการที่จะขยายสาขาให้กระจายมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีการเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย"
#3146


ดัชนี'ดาวโจนส์'ปิดวันจันทร์ (16ส.ค.)ทะยาน 110 จุด โดยดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขณะนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่และข้อมูลทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะทะยอยเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 110.02 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 35,625.40 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 11.71 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 4,479.71 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 29.14 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 14,793.76 จุด


อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ต่างร่วงลงในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินปรับตัวลงเช่นกัน

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกกดดัน หลังจากที่จีนเปิดเผยยอดค้าปลีกชะลอตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้


ทั้งนี้ จีนเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ขยายตัวเพียง 8.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.5% และต่ำกว่าระดับ 12.1% ของเดือนมิ.ย.

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ


นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีในการประชุมดังกล่าว
#3147


นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กนอ. ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติอนุมัติโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ภายใต้ชื่อนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับ บริษัท ดับเบิ้ลพี แลนด์ จำกัด พื้นที่โครงการอยู่ในตำบลเขาดิน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ประมาณ 1,181 ไร่ มูลค่าการลงทุนโครงการ  4,856 ล้านบาท

โดยพื้นที่โครงการอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประมาณ 44 กิโลเมตร ท่าเรือแหลมฉบัง ประมาณ 60 กิโลเมตร และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 119 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกและเปิดให้บริการได้ภายใน 2 ปี ทั้งนี้ เมื่อเปิดดำเนินการแล้วจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนประมาณ 33,200 ล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 8,300 คน

มุ่งเน้นรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงและสมัยใหม่ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าประจุสูง รวมถึงกิจการอื่นที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ด้วย


โครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาอีอีซีของรัฐบาล โดย กนอ. ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมพื้นที่รองรับนักลงทุน ซึ่ง กนอ.พิจารณาข้อเสนอของโครงการฯ แล้วเห็นว่าบริษัทฯมีความพร้อมในการพัฒนาโครงการฯ

รวมถึงโครงการฯ มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้ง มีเครือข่ายการคมนาคมที่มีศักยภาพเอื้อต่อการลงทุน คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี

อีกทั้ง โครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แบ่งเป็นพื้นที่ประกอบกิจการประมาณ 70% และเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและพื้นที่สีเขียวรวมประมาณ 30% โดยได้นำแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ การจัดให้มีพื้นที่สีเขียวและพื้นที่แนวกันชนเชิงนิเวศ (Eco-Belt) รอบพื้นที่โครงการฯ การจัดสรรพื้นที่สีเขียวภายในนิคมอุตสาหกรรม ไม่น้อยกว่า 10% และการนำน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดแล้วมาปรับปรุงคุณภาพ ก่อนนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ภายในโครงการ

ทั้งนี้ เมื่อเปิดดำเนินโครงการนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ แล้ว คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในประเทศอีกประมาณ 33,200 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 8,300 คน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ นอกจากนี้ โครงการฯมีความเป็นไปได้ทางการตลาดสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่เป้าหมายคือ พื้นที่อีอีซี ที่ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดภายใต้มาตรการส่งเสริมของอีอีซี ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีประจุสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์สำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ความสนใจพื้นที่โครงการแล้ว โดยคาดว่าจะขายพื้นที่และให้เช่าพื้นที่ทั้งหมดได้ภายใน 4 ปี
#3148


"ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NDR เผยรายได้ Q2/64 อยู่ที่ 202.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังยอดขายเพิ่ม-คุมต้นทุนดี

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 202.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 158.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.86 ล้านบาท

โดยสาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนขายในไตรมาส 2/2564 ขยับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาด ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อรักษาสมดุลระหว่างราคาและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับดีได้ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับตัวให้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

"แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2/2564 และเริ่มมีการปิดประเทศของประเทศกัมพูชา สปป. ลาว และประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายไตรมาส 2/2564 รวมถึงมีการปิดกิจการหลายประเภทในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถรักษายอดขายไว้ได้ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2564 ที่ทำได้ 200.91 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน" นายชัยสิทธิ์ กล่าว
#3149


ภาษีศุลกากรจัดเก็บเอากับสินค้านำเข้าจากประเทศจีนซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเป็นเชื้อเพลิงทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯขึ้นสู่งเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกันก็คุกคามโอกาสของพรรคเดโมแครตของไบเดน ในการชนะเลือกตั้งกลางสมัยปี 2022

นิวยอร์ก - ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยที่ทั่วทั้งประชาคมธุรกิจอเมริกัน –องค์กรทางธุรกิจขนาดใหญ่ๆ มากกว่า 30 แห่ง – พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน อย่างที่พวกเขาได้กระทำในคำร้องเรียนถึงคณะบริหารไบเดนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เพื่อขอให้ยกเลิกภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศจีน

ในการเมืองอเมริกัน ไม่มีบุคคลหรือกลุ่มองค์กรไหนอีกแล้วที่ขี้ขลาดตาขาวยิ่งไปกว่าพวกล็อบบี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแวดวงธุรกิจ พวกเขาเหล่านี้แทบทั้งหมดทำงานแบบมุ่งล็อบบี้กันเงียบๆ เพื่อให้มีการผ่อนคลายมาตรการของฝ่ายบริหารและปรับเปลี่ยนน้ำหนักของกฎหมายข้อบังคับต่างๆ ดังนั้น การออกมาเรียกร้องแบบเป็นข่าวเกรียวกราวเช่นนี้ จึงบ่งบอกให้เห็นว่า พวกองค์กรธุรกิจเหล่านี้เชื่อว่าเวลานี้กำลังมีการเดินหน้าเพื่อทำข้อตกลงกันอยู่แล้ว

การตกลงกันน่าที่จะเกิดขึ้น สืบเนื่องจากภาวะเงินเฟ้ออาจจะกลายเป็นยาพิษที่ทำลายโอกาสของพรรคเดโมแครตในการชนะการเลือกตั้งกลางสมัยปี 2022 และต้องคืนอำนาจควบคุมรัฐสภาสหรัฐฯไปให้แก่พรรครีพับลิกัน การตัดลดอัตราภาษีศุลกากรนี่แหละ คือหนทางอันรวดเร็วที่สุดในการลดเงินเฟ้อ นอกเหนือจากเรื่องเลขคณิตของการเมืองเพื่อการเลือกตั้งแล้ว ฉันทามติอย่างหนึ่งกำลังปรากฏโฉมออกมาให้เห็น ซึ่งได้แก่ความคิดเห็นที่ว่า มาตรการแซงก์ชั่นด้านเทคโนโลยีที่ ทรัมป์ นำมาบังคับใช้กับจีนนั้น ประสบความล้มเหลว และแม้กระทั่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียหายย้อนกลับคืนสหรัฐฯเองอีกด้วย

กลุ่มธุรกิจต่างๆ มากกว่า 30 กลุ่ม ในจำนวนนี้มีทั้ง หอการค้า (Chamber of Commerce), กลุ่มโต๊ะกลมธุรกิจ (Business Roundtable สมาคมของพวกประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบรรดาบริษัทใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ -ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Business_Roundtable), สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Industry Association) ตลอดจนตัวแทนของอุตสาหกรรมขายปลีก, การเกษตร, และอุตสาหกรรมการผลิต ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนให้ไบเดนตัดลดภาษีศุลกากร และเปิดการหารือทางการค้ากับจีนขึ้นมาใหม่

หนังสือฉบับนี้ระบุว่า "วาระการค้าที่มุ่งถือคนงานเป็นศูนย์กลาง (worker-centered trade agenda คณะบริหารไบเดนถือเรื่องนี้เป็น ส่วนประกอบสำคัญในนโยบายการค้าของตน ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://ustr.gov/sites/default/files/files/reports/2021/2021%20Trade%20Agenda/2021%20Trade%20Report%20Fact%20Sheet.pdf -ผู้แปล) ควรต้องคำนึงถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายซึ่งภาษีศุลกากรของสหรัฐฯและของจีนบังคับเรียกเอากับชาวอเมริกันภายในสหรัฐฯ และต้องยกเลิกภาษีศุลกากรที่สร้างอันตรายให้แก่ผลประโยชน์ต่างๆ ของสหรัฐฯ"

เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐมนตรีคลัง เจเนต เยลเลน (Jenet Yellen) ก็บอกกับนิวยอร์กไทมส์ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nytimes.com/2021/07/16/us/politics/yellen-us-china-trade.html) ว่า ภาษีศุลกากรเหล่านี้ "สร้างความเจ็บปวดให้แก่บรรดาผู้บริโภคอเมริกัน" ตั้งแต่ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯในตอนนั้น สั่งจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราราว 20% จากสินค้าประมาณครึ่งหนึ่งที่อเมริกาซื้อจากจีน กระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บภาษีนี้ได้เงินราวๆ 100,000 ล้านดอลลาร์ ทว่าแทบทั้งหมดของจำนวนนี้ ผู้บริโภคสหรัฐฯนั่นแหละคือคนที่จ่าย

ภาษีศุลกากรเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ซึ่งอธิบายถึงการที่อัตราเงินเฟ้อเมื่อคำนวณจากพวกสินค้าคงทน พุ่งขึ้นสูงลิ่วในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ราคาผู้บริโภคสำหรับพวกสินค้าคงทนอยู่ในสภาพลดต่ำลงอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงระหว่างปี 1995 ถึงปี 2020 โดยที่สำคัญเป็นเพราะพวกอิเล็กทรอนิกส์มีราคาลดลง ดัชนีราคาผู้บริโภคสำหรับสินค้าคงทนนั้นตกลงราว 25% ทีเดียวในช่วงระหว่างปี 1997 ถึงปี 2020 ก่อนที่มันจะเด้งกลับขึ้นมาประมาณ 15% นับตั้งแต่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อสู้กับโรคโควิด-19

อย่างที่แสดงให้เห็นในแผนภูมิข้างล่างนี้ การที่สินค้าซึ่งสหรัฐฯนำเข้าจากจีนมีราคาที่ลดต่ำลงนั้น มีผลกระทบอย่างใหญ่โตทีเดียวต่อราคาที่ชาวอเมริกันต้องจ่ายเพื่อซื้อพวกสินค้าคงทน



ผลสำรวจความคิดเห็นของ ว็อกซ์/ดาตา ฟอร์ โพรเกรสสีฟ โพลล์ (Vox/Data for Progress poll) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vox.com/22600551/inflation-rate-poll-jobs-infrastructure-fed) ระบุเอาไว้ว่า ในทัศนะของผู้ออกเสียงชาวอเมริกัน เรื่องเงินเฟ้อคือประเด็นปัญหาทางเศรษฐกิจเร่งด่วนที่สุด

เวลานี้ สหรัฐฯนำเข้าสินค้าต่างๆ จากจีนคิดเป็นมูลค่าประมาณปีละ 550,000 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับเกือบๆ หนึ่งในสี่ของผลผลิตด้านอุตสาหกรรมการผลิตของอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เมื่อคำนวณจากพื้นฐานตัวเลขจีดีพี ในเมื่อสินค้านำเข้าจากจีนประมาณครึ่งหนึ่งทีเดียว ถูกจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราราวๆ 20% ดังนั้นเพียงใช้หลักเลขคณิตธรรมดาๆ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การยกเลิกภาษีศุลกากรเช่นนี้ไป สมควรจะลดต้นทุนของสินค้าคงทนในสหรัฐฯลงได้ประมาณ 2% กว่าๆ

จิน ชั่นหรง (Jin Canrong) ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยเหรินหมิน (Renmin University) ในกรุงปักกิ่ง และเป็นนักวิชาการจีนคนสำคัญคนหนึ่งซึ่งเป็นที่ติดตามกันอย่างใกล้ชิดในวอชิงตัน ออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อัตราเงินเฟ้อสามารถที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯล้มละลายได้ เนื่องจากกำลังทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยในภาระหนี้สินของสหรัฐฯพุ่งสูงลิ่ว เขากล่าวต่อไปด้วยว่า สหรัฐฯจำเป็นต้องอาศัยสายโซ่อุปทานของจีน เพื่อกดให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ข้อเขียนเรื่อง "Will China bail out Biden?," วันที่ 3 สิงหาคม 2021 https://asiatimes.com/2021/08/will-china-bail-out-biden/)

โกล.ไทมส์ (Global Times) หนังสือพิมพ์ในการควบคุมของรัฐจีน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ได้เสนอความเห็นเอาไว้ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของตน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.globaltimes.cn/page/202108/1230787.shtml) ว่า "นโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรอัตราสูงของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ฝืนกับแนวโน้มของช่วงเวลานี้ และจะไม่สามารถยืนโรงไปได้นาน พวกบริษัทจีนโดยทั่วไปสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่เช่นนี้แล้ว ขณะที่สหรัฐฯกลับกำลังเจ็บปวดเสียหายจากภาษีศุลกากรเหล่านี้มากกว่าจีน  เรื่องนี้กำลังค่อยๆ ก่อรูปกลายเป็นฉันทามติในมติสาธารณชนสหรัฐฯ  และนี่ทำให้จีนมีเงื่อนไขที่ได้เปรียบกว่าในการธำรงรักษาจุดโฟกัสทางยุทธศาสตร์ของตน  อันที่จริงแล้ว มันยังเป็นการประกาศให้เห็นกันอย่างชัดเจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ถึงความแข็งแกร่งอย่างรอบด้านของจีน"

เวลาเดียวกันนี้ พวกนักยุทธศาสตร์ชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ยังกำลังมีข้อสรุปอีกประการหนึ่งว่า ทรัมป์ประสบความล้มเหลวในการพยายามเหนี่ยวรั้งดึงถ่วงให้จีนก้าวหน้าช้าลงมา จากวิธีการตัดขาดไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงพวกเซมิคอนดักเตอร์ระดับไฮ-เอนด์ ซึ่งผลิตขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีสหรัฐฯ ทั้งนี้เอเชียไทมส์คือสื่อเจ้าแรกซึ่งรายงานเอาไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วว่า จีนมีศักยภาพด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่สามารถหลบหลีกข้ามลอดมาตรการแซงก์ชั่นอเมริกันซึ่งมุ่งสกัดขัดขวางพวกแอปพลิเคชั่นสำคัญขั้นเป็นตายทั้งหลาย อย่างเช่น การสร้างเครือข่าย 5จี รวมทั้งยังรายงานว่าจีนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในการนำเอา 5จี มาใช้ประโยชน์ในแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างกว้างขวาง (ดูเพิ่มเติมได้ที่ข้อเขียนเรื่อง "China is first out of the gate to Industry 4.0," วันที่ 26 มิถุนายน 2021 https://asiatimes.com/2021/06/china-is-first-out-of-the-gate-to-industry-4-0/)

ภายในปีนี้ จีนจะสร้างสถานีฐานของเครือข่าย 5จี ได้เกือบๆ 1 ล้านแห่ง ถือเป็นฝีก้าวที่ล้ำหน้าดินแดนส่วนอื่นๆ ของโลกไปไกลทีเดียว ยิ่งกว่านั้น แหล่งข่าวหลายรายในแวดวงอุตสาหกรรมจีนรายงานว่า เครือข่าย 5จี ที่มีความประณีตซับซ้อน สำหรับใช้ในโรงงาน, ท่าเรือ, โกดังคลังสินค้า, เหมืองแร่, และระบบขนส่งภายในตัวเมืองใหญ่ จำนวนหลายหมื่นระบบ กำลังจะได้รับการติดตั้งขึ้นมาให้ใช้งานได้ภายในช่วงปีหน้า

ในเดือนกรกฎาคม 2021 สมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานว่าด้วยอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.semiconductors.org/wp-content/uploads/2021/07/Taking-Stock-of-China%E2%80%99s-Semiconductor-Industry_final.pdf) โดยพูดเอาไว้ดังนี้:

"เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง จีนได้ส่งทีมนักบินอวกาศขึ้นสู่อวกาศเพื่อเข้าไปประจำอยู่ในสถานีอวกาศแห่งใหม่ ก่อนหน้านั้นในปีนี้ จีนยังจัดส่งยานสำรวจไปยังดาวอังคาร พวกสื่อภาครัฐของจีนรายงานว่า ทั้งภายในสถานีอวกาศ และภายในยานสำรวจดาวอังคารของจีนเหล่านี้ ต่างใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่ออกแบบและผลิตขึ้นภายในประเทศล้วนๆ 100% เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงสมรรถนะด้านไมโครชิประดับประณีตซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของจีน

กระนั้นก็ตาม ขณะที่จีนแสดงให้เห็นว่ามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีด้านชิปบางอย่างบางด้าน  ทว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพื่อการพาณิชย์ของแดนมังกรโดยรวมกลับยังคงอยู่ในอาการค่อนข้างเริ่มต้นเติบโตเท่านั้น  แต่รัฐบาลจีนก็กำลังใช้ความพยายามอย่างจริงจังเพื่ออุดช่วงห่างนี้ ด้วยการลงทุนในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ เป็นมูลค่ามากกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ในระยะเวลาตั้งแต่ปี 2014 ไปจนถึงปี 2030 และด้วยการหนุนส่งจากตลาดที่กำลังบูม ตลอดจนการลงทุนต่างๆ เหล่านี้ของรัฐบาล จีนจึงอยู่ในฐานะที่จะมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นในบางภาคส่วนของตลาดเซมิคอนดักเตอร์"

ในบทวิจารณ์ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.project-syndicate.org/commentary/china-
versus-america-ai-race-pandemic-by-eric-schmidt-and-graham-allison-2020-08) ที่เขียนให้ โปรเจ็คต์ ซินดิเคต (Project Syndicate) เมื่อวันที่ 4สิงหาคม เกรแฮม แอลลิสัน (Graham Allison)ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ อีริก ชมิดต์ (Eric Schmidt)อดีตซีอีไอของ กูเกิล กล่าวเตือนเอาไว้ว่า:

"ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ทึกทักเอาว่า ความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีก้าวหน้าด้านต่างๆ ของประเทศชาติของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ ขณะเดียวกันก็มีผู้คนจำนวนมากในประชาคมความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯยืนกรานว่า จีนไม่มีทางเลยที่ไปได้ไกลเกินกว่าการเป็น "คู่แข่งขันที่ตามหลังมาใกล้ๆ"ของสหรัฐฯ ในด้าน เอไอ (AI ย่อมาจาก artificial intelligenceปัญญาประดิษฐ์) ในความเป็นจริงแล้ว จีนเป็นคู่แข่งขันระดับเท่าเทียมเต็มที่ของสหรัฐฯอยู่แล้วในเรื่องแอปพลิเคชั่น เอไอ ทั้งในเชิงพาณิชย์และในด้านความมั่นคงแห่งชาติ จีนไม่ได้เพียงแค่กำลังพยายามเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอเท่านั้น พวกเขามีความเชี่ยวชาญในเรื่องเอไออยู่แล้ว

โรคระบาดใหญ่คราวนี้เป็นการเสนอเวทีทดสอบอย่างเปิดเผยรุ่นแรกๆ ในเรื่องความสามารถของแต่ละประเทศที่จะระดมเอาเอไอออกมาใช้เพื่อตอบโต้กับภัยคุกคามทางความมั่นคงแห่งชาติ  ในสหรัฐฯ คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าตนนำเอาเทคโนโลยีลำสมัยมาใช้งานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศ"ทำสงคราม" กับไวรัสโคโรนา ทว่าส่วนใหญ่ที่สุดแล้ว เทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ถูกนำมาใช้ในฐานะเป็นวลีถ้อยคำที่ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจเสียมากกว่า

ในประเทศจีนไม่ใช่อย่างนั้น เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัสร้าย จีนล็อกดาวน์ประชากรทั้งหมดในมณฑลเหอเป่ย –ผู้คนจำนวน 60 ล้านคน  นั่นคือมากกว่าจำนวนของผู้พำนักอาศัยอยู่ทางฝั่งอีสต์โคสต์ของสหรัฐฯทุกๆรัฐ ไล่ตั้งแต่รัฐฟลอริดาจนถึงรัฐเมน จีนดูแลรักษาเขตควบคุมโรคอันใหญ่โตมโหฬารที่ขีดวงขึ้นมานี้ โดยใช้อัลกอริธึมที่ผ่านการปรับปรุงยกระดับโดยเอไอ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของผู้พำนักอาศัย และยกระดับสมรรถนะในการตรวจหาเชื้อ เวลาเดียวกันนั้นก็สร้างสถานรักษาพยาบาลขนาดมหึมาแห่งใหม่

เอเชียไทมส์เป็นสื่อรายแรกที่รายงานข่าวเรื่องจีนใช้ เอไอ เพื่อควบคุมโรคระบาดใหญ่คราวนี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2020  (ในข้อเขียนเรื่อง ("China suppressed Covid-19 with AI and big data"https://asiatimes.com/2020/03/china-suppressed-covid-19-with-ai-and-big-data/)

มาตรการแซงก์ชั่นเทคโนโลยีของคณะบริหารทรัมป์ ไม่ได้ดึงรั้งจีนให้เชื่องช้าลง ในทางตรงกันข้าม อย่างที่ แอลลิสัน และชมิดต์ ยืนยันเอาไว้ จีนกำลังเคลื่อนตัวไปได้รวดเร็วกว่าสหรัฐฯ  และในบางแวดวงกระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯไปแล้ว  เมื่อพิจารณากันด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและเหตุผลทางยุทธศาสตร์  คณะบริหารไบเดนน่าที่จะนำเอานโยบายจีนที่ล้มเหลวแล้วของทรัมป์ไปกลบฝังอย่างเหมาะสม  แล้วจะได้เดินหน้ากันต่อไป
#3150


นายสมโภชน์ วัลยะเสวี กรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) APCS เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนที่ทำได้ 278 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 422.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 18 ล้านบาท

ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนที่ทำได้ 700 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 271.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 81 ล้านบาท

"ผลการดำเนินงานของบริษัทพลิกมีกำไร อันเป็นผลมาจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วน (AUTO) ฟื้นตัวได้แรงจากการปรับประสิทธิภาพควบคุมต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดีมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 95.3% เมื่อเทียบจากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำให้กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ 57 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง (EPC) และธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบ (WATER) สามารถสร้างอัตราการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ"

กรรมการบริหาร กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาจำนวนมาก หลังจากธุรกิจยานยนต์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ส่วนธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเข้าสู่ช่วง High Season รวมทั้งมีแผนจะยื่นเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบกลับมามีปริมาณการขายน้ำที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100% จึงน่าจะยังคงรักษาการเติบโตในระดับที่ดีได้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควบคุมการบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ ประกอบกับเร่งเพิ่มสัดส่วนธุรกิจที่มีกำไรขั้นต้นสูง จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคง และสามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัวไปได้อย่างแน่นอน
#3151


นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า แม้ว่า ในปีงบประมาณ 2564 กระทรวงการคลังจะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ให้รัฐบาลได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่กระทรวงการคลังจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องให้รัฐบาลสามารถใช้จ่ายและปิดหีบงบประมาณในปีนี้ได้ โดยที่ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนก.ย.2564 จะอยู่ในระดับกว่า 4 แสนล้านบาท


ทั้งนี้ ขณะนี้ เงินคงคลังของรัฐบาลอยู่ในระดับกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ที่ยังต่ำกว่าเป้าหมาย โดย 9 เดือนของปีงบประมาณ 2564 รัฐบาลจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายราว 1.9 แสนล้านบาท ตลอดทั้งปีงบประมาณกระทรวงการคลังคาดว่า จะต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 2 แสนล้านบาท

"แม้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณนี้จะต่ำเป้าหมาย แต่กระทรวงการคลังจะสามารถบริหารจัดการให้การปิดหีบงบประมาณทำได้สำเร็จ และ ยังทำให้แคชโฟลว์ของรัฐบาลในปลายงวดที่จะส่งต่อไปยังปีงบประมาณใหม่มีความเพียงพอที่กว่า 4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เงินคงคลัง เป็นส่วนเสริมสภาพคล่องในระบบงบประมาณ"


สำหรับงบประมาณรายจ่ายปี 2564 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ รัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 3.285 ล้านล้านบาท โดยคาดว่า จะมีรายได้ 2.677 ล้านล้านบาท ทำให้เป็นงบประมาณขาดดุล และต้องกู้ชดเชยการขาดดุล 6.23 แสนล้านบาท สำหรับงบประมาณรายจ่าย 2565 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ต.ค.นี้นั้น มีงบประมาณรายจ่ายที่ 3.10 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจะมีรายได้เข้ามา 2.4 ล้านล้านบาท ทำให้เป็นงบประมาณขาดดุล 7 แสนล้านบาท

เขากล่าวว่า ผลการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำเป้าหมาย เป็นผลพวงจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่กระทบทุกกิจกรรมเศรษฐกิจ ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีในทุกกรมจัดเก็บต่ำเป้าหมาย อย่างไรก็ดี สำหรับปีงบประมาณ 2565 นั้น เป้าหมายการจัดเก็บรายได้จะต่ำกว่าปีนี้ ก็เชื่อว่า กระทรวงการคลังจะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย

"เรื่องการจัดเก็บรายได้นั้น เราได้หารือกันตลอดในทุกเดือนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยจัดเก็บ เพื่อติดตามและเร่งรัดให้การจัดเก็บเป็นไปตามเป้าหมาย"

ทั้งนี้ จากสถิติการคลัง สัดส่วนรายได้ของรัฐบาลต่อจีดีพีในปี 2563 อยู่ที่ 15.01% ซึ่งกระทรวงการคลัง ยังมองว่า สัดส่วนนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น ควรปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ เพื่อให้ทันต่องบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ หากมองงบประมาณรายจ่ายนั้น ได้ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง ในปีงบประมาณ 2553 รัฐบาลตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 1.7 ล้านล้านบาท

ต่อมาในงบประมาณปี 2554 เป็นปีแรกที่งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล กระโดดขึ้นมาสู่หลัก 2 ล้านล้านบาท โดยอยู่ที่ 2.69 ล้านล้านบาท และปีงบประมาณ 2561 ก็เป็นปีที่งบประมาณกระโดดขึ้นมาแตะหลัก 3 ล้านล้านบาท โดยมาอยู่ที่ 3.050 ล้านล้านบาท

ส่วนระดับเงินคงคลังของรัฐบาล เคยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ในปีงบประมาณ 2560 โดยอยู่ที่ 7.49 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินคงคลังส่วนใหญ่มาจากการจัดเก็บภาษี รวมถึง บัญชีเงินของกระทรวงการคลังที่ฝากไว้ในธนาคารแห่งประเทศไทย และเงินสดที่อยู่ตามคลังจังหวัดทั่วประเทศ
#3152


นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ได้เตรียมพร้อมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ตามนโยบายของภาครัฐ หรือ Restart Thailand โดยจะเร่งรัดดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณในปี 2564 ตามแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่วางไว้ ในส่วนของโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและขยายระบบส่งไฟฟ้าครอบคลุมทั้งประเทศ จำนวน 17 โครงการ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2564-2573 คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรวมทั้งสิน 242,567 ล้านบาท


โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ปี2564-2568 จะมีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 136,405 ล้านบาท และระยะที่สอง ปี2569-2573 มีแผนเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น 106,162 ล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนสายส่งระดับแรงดัน 115,230 และ 500 กิโลโวลต์ เพื่อรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า เสริมความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้า การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า Smart Grid การปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพ และสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงทุนระยะยาว เพื่อพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. อีก 2 โครงการ กับ 1 แผนงาน ที่อยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติโครงการ ได้แก่ 

1.โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 (SEZ1) วงเงินลงทุน 2,150 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2568 เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าให้แก่บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก และ อ.เมือง จ.มุกดามาร ในระยะยาว และรองรับการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน



2.โครงการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ทะเลไปยังบริเวณอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (SPSS) วงเงินลงทุน 11,230 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของการส่งกำลังไฟฟ้าบริเวณเกาะสมุย และบริเวณข้างเคียง (เกาะพะงันและเกาะเต่า) และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

แม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย จะชะลอตัวในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี แต่มีแนวโน้มจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นหลังผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งระบบไฟฟ้าในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ กฟผ.จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามแผนงาน เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่อไป

โดยทั้ง 2 โครงการนี้ ได้นำเสนอต่อปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2563


และ 3.โครงการแผนลงทุนระยะยาว-แผนใหม่ แผนงานปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (HSIT)วงเงินลงทุน 1,600 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2563-2569 เพื่อช่วยรักษาและเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในการจ่ายไฟฟ้าของ สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของอุปกรณ์ภายใน สฟ.ในพื้นที่ 3 จังหวัดฯ โดยปัจจุบันโครงการนี้ ได้รับการอนุมัติแผนการลงทุนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)แล้ว

"ช่วงไตรมาส1ปีนี้ กฟผ.มีการเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน ไตรมาส 2 ก็คาดจะเบิกจ่ายได้ตามแผน ส่วนไตรมาส 3-4 ก็จะพยายามทำให้ได้ตามเป้า"


นายบุญญนิตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ.ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมของโครงการอีก 2 โครงการ คือ 1.โครงการขยายระบบไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ระยะที่ 4 (BSB4) วงเงินลงทุน 5,800 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2571 เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในเขตเมืองหลวง ซึ่งเป็นศูนย์การของส่วนราชการ ธุรกิจ การค้า การท่องเที่ยว และรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

และ 2.โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 3 วงเงินลงทุน 23,380 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการปี 2566-2570 เพื่อปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูงซึ่งเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และเพื่อลดปัญหาความสูญเสียที่เกิดจากไฟฟ้าดับเรื่องจากอุปกรณ์ขำรุด
#3153


ในปีที่แล้วนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกลดลง5% โดยลดลงทุกประเทศ รวมทั้งการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดก็ลดลง 42% หรือเกือบ ๆ ครึ่งที่หายไปจากปีก่อนหน้านี้ หนักที่สุดก็เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ลดการลงทุนกว่า69%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกจะลดลง 4% และในส่วนของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ลดลง31% ลดลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยนั้นมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ผลสุทธิที่มีจำนวนน้อยนี้ อาจเป็นผลจากถอนการลงทุนของบริษัทเทสโก้ สหราชอณาจักร แต่เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ลดลง10%  แต่ก็มี FDI ไหลเข้ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์  มากกว่าไทยหลายเท่า ก็ทำให้น่าห่วงและมีคำถามใหญ่ ๆ ที่ต้องสนใจว่า "นักลงทุนต่างประเทศกำลังเลิกสนใจไทย" หรือ "ไทยกำลังถูกนักลงทุนทิ้ง"

คำถามที่คนชอบตั้งประเด็นจากผลการศึกษาของหลายสำนักเศรษฐกิจภาคเอกชนที่ FDI ไหลเข้าลดลงมากและตามหลังเกือบทุกประเทศที่สำคัญในภูมิภาคนี้  เพราะเดิมทีประเทศไทยยังคงเสน่ห์ในการเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ไม่ได้มาจากอัตราภาษีที่ลดแลกแจกแถมเหมือนคนอื่น แต่นักลงทุนจะมองที่ความสงบทางการเมือง สังคมที่เปิดกว้างในการยอมรับวัฒนธรรมอื่น ค่าแรงงานที่ไม่สูง ฝีมือและทักษะ สาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย และความโปร่งใสในการทำธุรกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่เอื้อและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ    

       ทำให้กลายเป็นประเทศที่ FDI ด้านการผลิตเข้ามามากที่สุดในอาเซียน (ยกเว้นทางการเงินที่ไปสิงค์โปร์มากสุด) แต่ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าของอดีตเท่านั้น เสน่ห์ที่เรามีน้อยและบางอย่างไม่มีด้วยซ้ำไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคนี้

ความยุ่งยากของระบบกฎหมายบ้านเราที่เป็นประเภท One fits all ทำให้เราพยายามสร้างเสน่ห์อื่นขึ้นมาแทนซึ่งในขณะนี้ เราลงไปในระดับพื้นที่เป้าหมายเฉพาะที่ตอนนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี พ.ร.บ. ของตนเอง เพื่อเลี่ยงที่จะใช้ระเบียบแบบเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งก็ทำได้ไม่มาก แต่ก็มีพิเศษมากกว่าที่อื่น ๆ แม้ว่าจะผ่านเครื่องมือเดิม ๆ ก็ตาม เช่น ผ่าน BOI แต่มีสิทธิประโยชน์มากกว่านอกพื้นที่ผ่านการ Plus Plus ให้ หรือการมีสาธารณูปโภคระดับโลก สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อาทิ Smart Visa รวมทั้งการเตรียมแรงงานมีฝีมือทันสมัย เพื่อให้พื้นที่นี้เพื่อให้ทุกอย่างโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของนักลงทุน ทดแทนสิ่งที่เราไม่มี เช่น FTA กับประเทศใหญ่ ๆ หรือการส่งเสริมการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง และแรงงานที่ไม่ถูกและยังหายากอีก (ซึ่งอย่างหลังเราก็พยายามเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น)

แม้ว่ามูลค่าการขอรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 นี้อาจจะแสดงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทย แต่เราจะสังเกตเห็นว่ายังคงวนเวียนอยู่กับอุตสาหกรรมเดิม ๆ ที่เรามีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ฯลฯ ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่นั้น แม้ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือน้อยมาก ที่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ให้ประเทศ ดูแล้วเราคงต้องออกแรงกว่านี้มาก เพราะการลงทุนที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในสามปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการลงทุนของโครงการร่วมรัฐเอกชน (PPP) ด้านสาธารณูปโภคเป็นส่วนมาก แต่ FDI ในอุตสาหกรรม New S-Curve ยังต้องออกแรงอีกเยอะ

เรายังหวังว่า "เสน่ห์" ที่เรากำลังสร้างในพื้นที่ EEC ในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมานั้นสามารถทดแทนเสน่ห์เก่า ๆ ที่หายไป หมดยุค หรือไร้ซึ่งความสนใจของลูกค้า และด้อยกว่าคู่แข่ง ก็ได้แต่หวังว่าคนที่ดูแลภาพของเสน่ห์รวม จะพยายามดูให้ครบว่า เสน่ห์ ที่นักลงทุนต้องการนั้นคืออะไรจริง ๆ และหากเราทำไม่ได้ อะไรคือสิ่งที่มี "ค่า" สำหรับเขา (ไม่ใช่เรา) พอจะทดแทนสิ่งที่เราไม่มีให้เขาได้บ้าง ที่มองภาพรวมแล้ว ไทยยังมีเสน่ห์ในการลงทุนมากกว่าที่อื่น
#3154


นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดเป็นวงกว้างส่งผลกระทบต่อทุกคนจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างงาน สถานประกอบการบางแห่งต้องปรับลดอัตรากำลังการจ้างงานให้น้อยลง ลดเวลาการทำงาน ส่งผลกระทบต่อรายได้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้

'คนพิการไม่มีงานทำ' มากกว่า 7 หมื่นคน
จากรายงาน ข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปี 2564 พบ 'คนพิการ' วัยทำงานที่ยังไม่มีอาชีพ จำนวน 72,466 คน จากจำนวนคนพิการวัยทำงานทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบ 857,253 คน


พัฒนาชุมชนต้นแบบ เกิดการจ้างงาน
สสส. ได้ร่วมกับ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ เพื่อพัฒนาการจ้างงานคนพิการระยะยาวในวิกฤตโควิด-19 โดยใช้กลไกชุมชนด้านความมั่นคงทางอาหาร มาจ้างงานเชิงสังคม ให้คนพิการทำงานที่บ้านและในท้องถิ่นของตัวเองได้ เช่น เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ เพราะการจ้างงานลักษณะนี้คนพิการมีความรู้พื้นฐานเป็นทุนเดิม ทำให้ไม่ต้องปรับตัวจากการทำงานมาก และเป็นอาชีพที่สามารถทำงานที่บ้านและไม่ขาดแคลนอาหารในการบริโภค


3 เป้าหมายพัฒนาคนพิการ
โดยโมเดลความมั่นคงทางอาหารและสนับสนุนอาชีพคนพิการมีเป้าหมาย 3 อย่าง คือ

1. พัฒนาทักษะคนพิการให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่ท้องถิ่นของตัวเองในภาวะวิกฤต

2. พัฒนาให้คนพิการทำงานตามแผนการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.พัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องเพื่อถอดบทเรียนการทำชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ ระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ในอนาคต


"ในวิกฤตโควิด-19 นี้ ถือเป็นโอกาสสร้างอาชีพแก่คนพิการซึ่งเป็นอีกกลุ่มประชากรที่ควรได้รับความเป็นธรรมทางสุขภาพในทุกมิติ ทั้งกาย จิต ปัญญา และสังคม การที่คนพิการสามารถประกอบอาชีพ และมีรายได้จากการทำงานเหมือนคนทั่วไป ทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเอง และช่วยให้คนพิการมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับจากสังคม  โดยที่ผ่านมา สสส. ได้สนับสนุนเรื่องการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ ทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อมของทั้งคนพิการ สถานประกอบการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชนอยู่แล้ว" นางภรณี กล่าว


โครงการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร 
นายอภิชาติ  การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า โครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ สนับสนุนโดย สสส. จะเป็นการร่วมกันพัฒนาอาชีพไปยังคนพิการและครอบครัวในต่างจังหวัด ที่ตั้งใจพัฒนาเรื่องอาชีพและต้องการมีรายได้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างหรือมีรายได้น้อยลง

โดยบริษัทที่จ้างงานจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเรื่องวัตถุดิบอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ และประสานเรื่องการจัดทำเอกสารและติดตามส่งรายงานให้บริษัทที่เข้าร่วมการจ้างงานเชิงสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550  


คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ 
ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีบัตรคนพิการ อายุ 20 – 70 ปี

ผู้ดูแลจะต้องมีชื่อหลังบัตรคนพิการให้สามารถใช้สิทธิแทนคนพิการ เพื่อนำเงินไปเตรียมพื้นที่สำหรับการประกอบอาชีพ

ซึ่งครอบครัวคนพิการส่วนใหญ่จะนิยมปลูกผัก สมุนไพร ผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ และหลังจากผลผลิตถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะถูกจำหน่ายหรือมีผู้ค้าเข้ามารับซื้อ และผลผลิตส่วนที่เหลือหรือแบ่งเก็บไว้ครอบครัวคนพิการจะนำมาบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาวะวิกฤตโควิด-19 โดยผลกำไรหรือรายได้ทั้งหมดที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนพิการและครอบครัว


บริษัทจะไม่เรียกรับเงินคืน เพราะต้องการสร้างอาชีพให้คนพิการในระยะยาวและสามารถต่อยอดไปถึงอนาคตได้ ปัจจุบันได้จัดทำนำร่องไปแล้วตั้งแต่โควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 ที่บ้านยางชุม และบ้านวังศิลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และเตรียมขยายพื้นที่เพิ่มไปยังจังหวัดต่างๆ ในอนาคตโดยมีโมเดลนำร่องจากที่นี่เป็นแบบอย่าง

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก คนพิการต้องมีงานทำ-มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 02 279- 9385
#3155


บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)หรือ S แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี2564 ว่ามีผลขาดทุน 428ล้านบาท ขาดทุนลดลง55% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน946 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รวม1,712 ล้านบาท เพิ่มขึ้น85% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 927 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายการบริหาร ต้นทุนการเงินที่ลดลง และรับรู้ส่วนกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า จำนวน 59 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 28 ล้านบาท 


จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นตังแต่ต้นปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลได้ยกระดับมาตรการควบคุม
การแพร่ระบาดโดยการแบ่งโซนพื้นที่ตามระดับความเสี่ยง และบังคับใช้มาตรการการควบคุมข้นสูง ั ได้แก่การสนับสนุนให้
งดเดินทางข้ามจังหวัด การขอความร่วมมือองค์กรต่างๆ ในการทำงานที่บ้าน (Work From Home)

รวมถึงการประกาศปิดสถานที่สำคัญ และการประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ควบคุมเข้มงวดสูงสุด 29จังหวัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจโดยรวมของบริษัทฯ

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดทอนผลกระทบต่อ
ผลประกอบการของบริษัทฯ

 ขณะที่งวดครึ่งปีแรก2564 ครึ่งปีแรกขาดทุน 359 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 41% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 612 ล้านบาท  เป็นผลจากการทยอยฟื้นตวของธุรกิจดมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดใสไตรมาส2ปี2563 และการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขายที่ลดลง39%

รวมถึงการรับรู้ส่วนแงกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าจำนวน 177 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน129 ล้านบาท จากช่วเดียวกันของปีก่อน เพราะ จากการทยอยรับรู้ยอดโอนของโครงการดิ เอส สุขุมวิท36
#3156


พลพรรคนักเตะของ อาร์เซนอล พุ่งชนคำว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล หลังบุกไปโดน เบรนต์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ยิงดับ 2-0 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คู่เปิดสนาม เมื่อคืนวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เบรนต์ฟอร์ด 2-0อาร์เซนอล

เกมเปิดซีซัน อาร์เซนอล ยกพลเยือน เบรนต์ฟอร์ด น้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้น เกมนี้เจ้าบ้านใช้ อิวาน โทนี กับ ไบรอัน เอ็มบูโม่ เป็นคู่หน้า ส่วน "ปืนโต" ใช้ โฟลาริน บาโลกัน, นิโคลัส เปเป้ และ เอมิล สมิธ โรว เป็นตัวบุก

เริ่มเกม 2 นาที อาร์เซนอล ทักทาย นิโคลัส เปเป้ จ่ายต่อให้ คีแรน เทียร์นี ลองซัดไกลแต่ติดเซฟ เดวิด รายา ถัดมา นาที 12 เบรนต์ฟอร์ด เกือบทำได้ อิวาน โทนี ดีดออกขวาให้ ไบรอัน เอ็มบูโม่ ลากขึ้นไปยิงแต่ชนเสา

และแล้ว นาที 22 เบรนต์ฟอร์ด ยิงจนได้ อีธาน พินน็อก โหม่งตั้งให้ เซร์จี กานอส ลากหาช่องแล้วซัดเปรี้ยง 1-0 ต่อมา นาที 41 อาร์เซนอล จะตีเสมอ คีแรน เทียร์นี เปิดมาแล้ว โฟลาริน บาโลกัน โหม่งแต่ออกหลัง หมดครึ่งแรก ปืนโต เป็นฝ่ายตามหลัง

ครึ่งหลัง อาร์เซนอล จะทวงคืน นาที 65 นิโคลัส เปเป้ เปิดลูกเตะมุมให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี โหม่งจ่อๆ แต่ออกหลัง ทว่า นาที 73 กองเชียร์ เบรนต์ฟอร์ด เฮลั่น .ลอยโด่งกลางอากาศแล้ว คริสเตียน นอร์การ์ด โหม่งทิ้งห่าง 2-0

ท้ายเกม นาที 80 เบรนต์ฟอร์ด เกือบได้เม็ดสาม เซร์จี กานอส เปิดย้อยเข้ากบาล คริสเตียน นอร์การ์ด โขกแต่ออกหลัง สุดท้ายไม่มีประตูแล้ว จบเกม เบรนต์ฟอร์ด ทำเซอร์ไพรส์ดับทีมยักษ์เปิดซีซันอย่างเร้าใจ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เบรนต์ฟอร์ด- เดวิด รายา, พอนตัส แยนเซน, อีธาน พินน็อก, คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์, วิตาลี เจเนต็ต, แฟรงค์ ออนเยก้า, คริสเตียน นอร์การ์ด, ริโก เฮนรี, เซร์จี กานอส, อิวาน โทนี, ไบรอัน เอ็มบูโน่
อาร์เซนอล - แบรนด์ เลโน, พาโบล มารี, เบน ไวท์, คีแรน เทียร์นี, คาลัม แชมเบอร์ส, เอมิล สมิธ โรว, กรานิต ชาก้า, อัลเบิร์ต ลากองก้า, โฟลาริน บาโลกัน, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, นิโคลัส เปเป้
#3157


วันนี้ (13 สิงหาคม 2564) นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH พร้อมด้วยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO และนายจรัญ คำเงิน ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมพิธีมอบเงินให้แก่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจำนวน 3 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนในการจัดหายาฟ้าทะลายโจรให้แก่ผู้ป่วยโควิด -19 โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ รองประธานโครงการสนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยประชาชนในช่วงโควิด-19 เป็นผู้แทนรับมอบผ่านระบบออนไลน์

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH ในฐานะผู้แทนกลุ่ม กฟผ. เปิดเผยว่า กลุ่ม กฟผ. พร้อมเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนในการช่วยเหลือสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างสุดกำลัง ตั้งแต่การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การผลิตนวัตกรรมทางการแพทย์ เตียงสนาม รวมถึงจัดหาอาหารและสิ่งของจำเป็นมอบให้แก่ประชาชน

โดยในโอกาสนี้ กฟผ. RATCH และ EGCO ร่วมกันมอบเงินให้แก่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจำนวน 3 ล้านบาท เพื่อสมทบทุนในการจัดหายาฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูล

รวมถึงฟ้าทะลายโจรแบบต้นสดหรือต้นตากแห้งที่จะนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยาฟ้าทะลายโจรให้แก่ผู้ป่วยโควิด -19 สำหรับนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยและคลัสเตอร์ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบรรเทาอาการระหว่างรอเข้ารับการรักษา และผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้โดยเร็วที่สุด

ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ รองประธานโครงการสนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยประชาชนในช่วงโควิด-19 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ดำเนินการจัดหาฟ้าทะลายโจรชนิดแคปซูล ฟ้าทะลายโจรแบบต้นสดและตากแห้ง รวมถึงวัตถุดิบในการผลิตขิงผงที่เป็นยาฤทธิ์ร้อนที่ใช้รับประทานคู่กับยาฟ้าทะลายโจรเพื่อลดอาการข้างเคียง มอบให้แก่ชุมชนแออัด วัด และโรงพยาบาลต่าง ๆ ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกลุ่ม กฟผ.

ซึ่งเป็นองค์กรเสาหลักที่ช่วยเหลือสังคมมาในทุกวิกฤตมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนอกเหนือจากภารกิจด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในยามที่ประชาชนต้องการความช่วยเหลือ การดูแลชุมชนสิ่งแวดล้อม ซึ่งการสนับสนุนการจัดหายาฟ้าทะลายโจรในครั้งนี้ของกลุ่ม กฟผ. จะทำให้ยาฟ้าทะลายโจรเข้าถึงประชาชนที่ขาดโอกาสในการรักษาและผู้ป่วยโควิด-19 มากยิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดให้อยู่ในวงจำกัดอีกด้วย
#3158


โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสขวัญใจแฟนๆ ตลอดกาล ฉลองวันเกิดอายุ 40 ปีไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก่อนบอกข่าวร้ายว่ายังไม่มีกำหนดกลับคืนสังเวียนเทนนิสเร็วๆ นี้

เฟเดอเรอร์ เพิ่งลงสนามไปเพียง 13 แมตช์ ในปี 2021 หลังมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าจนต้องเข้ารับการผ่าตัด และไม่ได้ลงแข่งมหกรรมโอลิมปิก 2020 ให้กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นแตะหลัก 4 ทำให้ "เฟดเอ็กซ์" ต้องยอมรับความจริงว่าการฟื้นฟูร่างกายนั้นไม่เร็วเท่าสมัยหนุ่ม จนไม่สามารถบอกแน่ชัดได้ว่าจะกลับมาลงสนามหวดแร็กเก็ตได้เมื่อไหร่

"ผมสบายดี ได้หยุดพักผ่อน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมาสักพักแล้วเพราะอาการที่หัวเข่า ดังนั้นผมเลยต้องหยุดทำทุกอย่างตั้งแต่จบศึกวิมเบิลดัน ซึ่งสัปดาห์นี้ต้องไปพบแพทย์และทีมงาน แล้วมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งทุกอย่างก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน"

"ทุกอย่างมันต่างไปจากเดิม คำถามก็มีแต่เรื่องง่ายๆ อันดับโลกของผมเป้นยังไง แล้วจะกลับมาแข่งรายการไหน ผมรู้สึกอย่างไรเมื่อจะได้กลับไปซ้อม เป้าหมายคืออะไร ถึงจะกระตือรือร้นกว่าแต่ก่อน แต่ก็ตอบได้ยากอยู่เหมือนกัน"
#3159


วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. เปิดเผยว่า การปลูกพืชสมุนไพรในพื้นที่ส.ป.ก.ได้สนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากเห็นว่าการปลูกสมุนไพรจะสามารถสร้างความมั่นคงเชิงคุณภาพชีวิตได้ แต่การขับเคลื่อนเป็นไปตามความประสงค์ของเกษตรกรนั้นไม่ถือเป็นนโยบายหลัก โดยมีเกษตรกรบางกลุ่มที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดและผลิตในเชิงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรในพื้นที่ ส.ป.ก.รวม 4,500 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วม 5,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 32 จังหวัด แต่ปัจจุบันกระแสการใช้สมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการของโรคโควิด-19 มีมากขึ้น ทั้งในและต่างประเทศ และคาดว่าจะมีการวิจัยผลิตตัวยาออกมารักษาในอนาคต ซึ่งส่วนผสมที่สำคัญที่เป็นพืชสมุนไพร ดังนั้นจึงทำให้พืชสมุนไพรมีอนาคตมาก รวมถึงรัฐบาลจึงกำหนดนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ

ในขณะที่ ส.ป.ก.ได้กำหนดให้ตั้งศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดินใน 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ลำพูน จ.นครราชสีมา จ. นครศรีธรรมราช และ จ.ฉะเชิงเทรา ที่อยู่ในเขตอีอีซี

สำหรับ จ.ฉะเชิงเทรา นั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) มีความสนใจที่จะยกระดับพัฒนาพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเชิงอุตสาหกรรม และร่วมวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งเกษตรกรมีความพร้อมอยู่แล้วสามารถต่อยอดได้ทันที

ศูนย์ส่งเสริมและขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ต.คลองนครเนื่องเขต อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา จะทำหน้าที่เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า รูปแบบ การใช้ประโยชน์ที่ดินขนาดเล็ก หรือที่ดินแปลงเล็กเพื่อให้ทำการเกษตรให้ได้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้เกษตรกรนำไปประยุกต์ใช้ กับแปลงเกษตรของตนเอง สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้และมีคุณภาพที่ดี เช่น พืชผักปลอดสารพิษตามตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) รวมถึงการทำเกษตรปลอดภัย (การผลิตพืชผักในระบบโรงเรือนมุ้ง การปลูกพืชสมุนไพร)

การพัฒนาตามแนวทางดังกล่าวถือเป็นการพัฒนารูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ มีศักยภาพเหมาะสมต่อการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน ภาคตะวันออก เพื่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดต่างๆ ในภาคตะวันออก โดยได้กำหนดทิศทางในการดำเนินงานที่เน้นส่งเสริม สนับสนุนองค์ความรู้ในการขยายพันธุ์พืช การผลิต การอนุรักษ์พันธุกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพร ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

รวมทั้งขยายผลการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่งเสริมการขยายพันธุ์พืชสมุนไพรที่มีแนวโน้มขาดแคลนและหายาก เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งพันธุ์ดี มีคุณภาพ ยกระดับสมุนไพรไทย พัฒนาเป็นอาหารและยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ โดยใช้หลัก "การตลาดนำการผลิต" และมีการวางแผนระบบการผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP หรือเกษตรอินทรีย์ (Organic) สืบสานภูมิปัญญาไทย

'ทั้งนี้โครงการศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา ภาคตะวันออก มีแผนดำเนินโครงการ 5 ปี (2564-2568) โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถเปิดตัวศูนย์ได้ในเดือน ส.ค.นี้ หลังจากนั้นจะรวบรวม ขยายพันธุ์ อนุรักษ์พันธุกรรมพืชสมุนไพรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

 

นอกจากนี้ ศูนย์กลางการส่งเสริม วิจัย พัฒนา ขยายพันธุ์พืชในเขตปฏิรูปที่ดิน จ.ฉะเชิงเทรา จะคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วม 500 ราย ซึ่งหรือพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ต่อรายต่อปี และคาดว่าจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเฉลี่ยครัวเรือนเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3% จากการจำหน่ายวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์และสินค้าจากสมุนไพร

 

รวมทั้งมีแผนการผลิตตามปีปฏิทินการเพาะปลูกพืชสมุนในแปลงปลูก 2 รูปแบบ คือ

1.แปลงสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจและมีศักยภาพทางการตลาด พื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 17 ชนิด ได้แก่ พริกไทย เคล กระชายดำ กระชายขาว ไพล ขิง ขมิ้น ใบบัวยก พลูคาว กระเทียม ผักชี หญ้าหวาน สะเดา กระทือ กวาวเครือขาว มะแว้งเครือ และเสลดพังพอนตัวเมีย

2.แปลงเรียนรู้ วิจัยและพัฒนา พื้นที่ 6,210 ตารางเมตร จำนวน 11 ชนิด ได้แก่ เคล กระชายดำ กระชายขาว ไพล ขิง ขมิ้น ใบบัวบก พลูคาว กระเทียม ผักชี และหญ้าหวาน โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.2564

รายงานข่าวจาก ส.ป.ก.ระบุว่า ที่ผ่านมา ส.ป.ก.ได้ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรหลายโครงการ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ทดลองปลูก "ฟ้าทะลายโจร" บริเวณสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งวางแผนการปลูกสัปดาห์ละ 1,000 ต้น เพื่อแจกให้เกษตรกรนำไปปลูกในครัวเรือน และใช้รับประทานเป็นยาสมุนไพรเพื่อป้องกันโควิด-19

รวมทั้ง จ.ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์มีศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและอุตสาหกรรม ซึ่งมีการกำหนดแนวทางการพัฒนา จ.ฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่เชื่อมอีอีซีสู่เมืองที่อยู่อาศัยชั้นดี โดยมีการพัฒนาแบบจำแนกเชิงพื้นที่อุตสาหกรรมสีเขียวท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแหล่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยสังคมมีคุณภาพป่าและน้ำอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการแข่งขันด้านการผลิตการแปรรูปและการส่งออกของภาคการเกษตร
#3160


นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 2 ปี 2564 กรุงเทพประกันชีวิตมีเบี้ยประกันรับปีแรกจำนวนทั้งสิ้น 1,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกของทั้งช่องทางธนาคาร ตัวแทน และช่องทางอื่น ๆ จากการออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งได้รับการตอบสนองที่ดีในแต่ละช่องทางจำหน่าย สำหรับเบี้ยรับประกันภัยรวมในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีจำนวน 8,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 18,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  

"บริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 348,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563
ที่ร้อยละ 3 โดยสินทรัพย์ลงทุนมีสัดส่วนสูงที่สุดคือร้อยละ 94 ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ
751 ล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ร้อยละ 102 เนื่องจากไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทมีการตั้งสำรองค่าเผื่อความผันผวน (PAD: Provision for Adverse Deviation) เพิ่มขึ้น ทางด้านความมั่นคงของฐานะทางการเงิน บริษัทมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio – CAR) ณ ไตรมาสที่ 2/2564
ที่ระดับร้อยละ 295"

ไตรมาสที่ 2/2564 นี้ ทางบริษัทฯ ได้ทำการตลาดในช่องทางจำหน่ายแต่ละช่องทาง โดยในช่องทางธนาคาร บริษัทเปิดตัวแบบประกันสะสมทรัพย์ใหม่ เกนเฟิสต์ ซิมเพิล (Gain1st Simple)
และยังคงทำการตลาดผ่านแคมเปญ "เลือกประกันที่ดี ชีวิตมีแต่ได้" ที่มี นาย ณภัทร เสียงสมบุญ
แบรนด์แอมบาสเดอร์ของกรุงเทพประกันชีวิต ร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบบประกันเกนเฟิสต์
(Gain 1st)

ในส่วนของช่องตัวแทนจำหน่าย กรุงเทพประกันชีวิตได้ทำการสื่อสารแคมเปญโฆษณาแบบประกันสุขภาพ บีแอลเอ แฮปปี้เฮลธ์ แบบประกันสุขภาพที่ทำให้หมดความกังวลทั้งค่ารักษาพยาบาลและส่วนเกินค่าห้อง ครอบคลุมค่าห้องเดี่ยวมาตรฐานของทุกโรงพยาบาลแบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม พร้อมเพิ่มความคุ้มครองการเข้าพักรักษาตัวจาก 3 โรคร้าย ตอบโจทย์คนทุกเพศ ทุกวัย อาชีพไหน ๆ ก็ครอบคลุม ทั้งผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงเจ้าของกิจการอีกด้วย

 กรุงเทพประกันชีวิต ยังได้เสริมบริการด้านสุขภาพเพื่อครอบคลุมความต้องการในการดูแลสุขภาพของผู้ทำประกันสุขภาพ ผ่านบริการเสริมด้านสุขภาพภายใต้โครงการ BLA Every Care
ของกรุงเทพประกันชีวิตให้แข็งแกร่งครบวงจร รองรับความต้องการและดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ และเปิดบริการแพลตฟอร์มออนไลน์บนเว็บไซต์ "BLA Health Partner เพื่อนซี้สุขภาพ" ศูนย์บริการข้อมูลสุขภาพสำหรับลูกค้ากรุงเทพประกันชีวิตที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ในยุควิถีใหม่ ให้ลูกค้าได้รับความอุ่นใจกับข้อมูล คำตอบ และแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพ คลายกังวลกับข้อมูลด้านค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารับการรักษา รวมถึงการสอบถามการบริการด้านการดูแลหลังจากการออกจากโรงพยาบาลเพิ่มเติม

นอกจากนี้ กรุงเทพประกันชีวิต มุ่งให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน ผ่านโครงการรับรองรายได้ผู้บริหารตัวแทนมืออาชีพ (Smart Leader)
เพื่อยกระดับการพัฒนาคุณภาพทีมงานขายอย่างมั่นคงและยั่งยืน และร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ
ด้านแผนการลงทุนคู่ความคุ้มครองผ่านที่ปรึกษาการเงินของบริษัท เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านการเงินให้ประชาชนทุกกลุ่ม โครงการ Smart Leader ได้ทำการสื่อสารผ่านแคมเปญ อาชีพของแม่ที่ผมภูมิใจ ที่มีคุณปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัย เป็นผู้นำเสนอ ตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา
ในไตรมาสที่ 2/2564 นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ได้รับรางวัลบริษัทประกันสุขภาพที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Most Innovative Health Insurance Company) จากงาน International Finance Awards 2020 แสดงถึงการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพชั้นนำที่มีการพัฒนาทางด้านความคุ้มครองสุขภาพที่บริษัทมีนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง